More Related Content
Similar to โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผยแพร่.docx (10)
โลกของดนตรีไทย พื้นที่เล็กๆที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยเพื่ออนุรักษ์เผยแพร่.docx
- 2. เครื่องสี
เครื่องตี
เครื่องเป่า
ใกล้เคียงกับลักษณะเครื่องดนตรี อินเดียตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ "สังคีตรัตนากร"ของอินเดียซึ่งจาแนกเป็น 4 ประเภท
เช่นกันคือ
ตะตะคือ เครื่องดนตรี ประเภทมีสาย
สุษิระคือ เครื่องเป่า
อะวะนัทธะหรืออาตตะ คือ เครื่องหุ้มหนังหรือ กลองต่าง ๆ
ฆะนะ คือเครื่องตี หรือเครื่องกระทบ
การสันนิษฐานเกี่ยวกับกาเนิดหรือที่มาของดนตรีไทยตามแนวทัศนะข้อนี้เป็นทัศนะที่มีมาแต่เดิมนับตั้งแต่ได้มีผู้สนใจและ
ได้ทาการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นและนับว่าเป็นทัศนะที่ได้รับการนามากล่าวอ้างกันมากบุคคลสาคัญที่เป็น
ผู้เสนอแนะแนวทางนี้คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพพระบิดาแห่งวงการประวัติศาสตร์ของไทย
ทัศนะที่ 2 สันนิษฐานว่าดนตรีไทยเกิดจากความคิดและสติปัญญาของคนไทยเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนไทยตั้งแต่
สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแล้ว
ทั้งนี้เนื่องจากดนตรี เป็นมรดกของมนุษยชาติทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีดนตรี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของตนด้วยกันทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าในภายหลังจะมีการรับเอาแบบอย่างดนตรี ของต่างชาติเข้ามาก็ตามแต่ก็เป็นการนาเข้ามาปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับลักษณะและนิสัยทางดนตรีของคนในชาตินั้นๆไทยเราตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้
ของประเทศจีนก็คงจะมีดนตรี ของเราเองเกิดขึ้นแล้วทั้งนี้จะสังเกตเห็นได้ว่าเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะมีชื่อเรียกเป็นคาโดด
ซึ่งเป็นลักษณะของคาไทยแท้ เช่น
เกราะ,โกร่ง,กรับ
ฉาบ, ฉิ่ง
ปี่, ขลุ่ย
ฆ้อง, กลอง .. เป็นต้น
ต่อมาเมื่อไทยได้ อพยพ ลงมาตั้งถิ่นฐานในแถบแหลมอินโดจีนจึงได้มาพบ
วัฒนธรรมแบบอินเดียโดยเฉพาะเครื่องดนตรีอินเดียซึ่งชนชาติมอญและเขมร รับไว้ก่อนที่ไทยจะอพยพเข้ามาด้วยเหตุนี้
ชนชาติไทยซึ่งมีนิสัยทางดนตรีอยู่แล้วจึงรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีแบบอินเดียผสมกับแบบมอญและเขมรเข้ามาผสมกับดนตรี
ที่มีมาแต่เดิมของตนจึงเกิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีกได้แก่
พิณ
สังข์
ปี่ไฉน
บัณเฑาะว์
กระจับปี่ และจะเข้ เป็นต้น
- 3. ต่อมาเมื่อไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมอินโดจีนอย่างมั่นคงแล้วได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในแหลมอินโดจีน
หรือแม้แต่กับประเทศทางตะวันตก
บางประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายทาให้ไทยรับเอาเครื่องดนตรีบางอย่างของประเทศต่างๆเหล่านั้นมาใช้เล่นในวงดนตรีไทยด้วยเช่น
กลองแขกปี่ชวา ของชวา (อินโดนิเซีย)กลองมลายูของมลายู(มาเลเซีย)เปิงมางตะโพนมอญปี่มอญ และฆ้องมอญของมอญ
กลองยาวของพม่าขิมม้าล่อของจีนกลองมริกัน(กลองของชาวอเมริกัน)เปียโนออร์แกนและ ไวโอลีนของประเทศทางตะวันตก
เป็นต้น
ประวัติดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย
นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีนและได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้นจึงเป็นการเริ่มต้นยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย
ที่ปรากฎหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวคือเมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นและหลังจากที่พ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้วนับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้านดนตรีไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งในหลักศิลาจารึก
หนังสือวรรณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุคซึ่งสามารถนามาเป็นหลักฐานในการพิจารณา
ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของดนตรีไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎในปัจจุบัน
สมัยสุโขทัย ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลานาและร้องเล่นกันอย่างพื้นเมืองเกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทย
ในสมัยนี้ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดีที่แต่งในสมัยนี้ได้แก่ แตร,สังข์,มโหระทึก,
ฆ้อง, กลอง,ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ),บัณเฑาะว์พิณ,ซอพุงตอ(สันนิษฐานว่าคือซอสามสาย)ปี่ไฉน, ระฆัง,และ กังสดาลเป็นต้น
ลักษณะการผสมวงดนตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึกและหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึง"เสียงพาทย์เสียงพิณ"
ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้สันนิษฐานว่าวงดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยมีดังนี้คือ
1. วงบรรเลงพิณมีผู้บรรเลง1 คนทาหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วยเป็นลักษณะของการขับลานา
2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง3 คนคือคนขับลานา1 คนคนสี ซอสามสายคลอเสียงร้อง1 คนและ คนไกวบัณเฑาะว์
ให้จังหวะ 1 คน
3. วงปี่พาทย์เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง5มี 2 ชนิด คือ
3.1วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบาประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็กๆจานวน5 ชิ้น คือ1. ปี่ 2. กลองชาตรี 3. ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่
และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
3.2วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนักประกอบด้วยเครื่องดนตรีจานวน5ชิ้น คือ1. ปี่ใน 2. ฆ้องวง (ใหญ่) 3. ตะโพน4. กลองทัดและ
5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่างๆจะเห็นว่าวงปี่พาทย์เครื่องห้า
ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่งที่นาเอาวงบรรเลงพิณกับวงขับไม้ มาผสมกันเป็นลักษณะของวงมโหรีเครื่องสี่
เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง4คนคือ 1. คนขับลานาและตีกรับพวงให้จังหวะ2. คนสีซอสามสายคลอเสียงร้อง3. คนดีดพิณและ
4. คนตีทับ (โทน)ควบคุมจังหวะ
- 4. ประวัติดนตรีไทยในสมัยอยุธยา
ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับดนตรีไทยในสมัยนี้ในกฏมลเฑียรบาลซึ่งระบุชื่อเครื่องดนตรีไทยเพิ่มขึ้นจากที่เคยระบุไว้
ในหลักฐานสมัยสุโขทัยจึงน่าจะเป็นเครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รามะนา
นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า"...ห้ามร้องเพลงเรือ
เป่าขลุ่ยเป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับในเขตพระราชฐาน..."ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ดนตรีไทยเป็นที่นิยมกันมาก
แม้ในเขตพระราชฐานก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี
จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาลดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของวงดนตรีไทยในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง
และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัยดังนี้คือ
1. วงปี่พาทย์ในสมัยนี้ก็ยังคงเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้าเช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัยแต่มีระนาดเอกเพิ่มขึ้นดังนั้นวงปี่พาทย์เครื่องห้า
ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้คือ
ระนาดเอก
ปี่ใน
ฆ้องวง (ใหญ่)
กลองทัดตะโพน
ฉิ่ง
2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจากวงมโหรีเครื่องสี่ในสมัยสุโขทัยเป็นวงมโหรีเครื่องหกเพราะได้เพิ่มเครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น
คือ ขลุ่ยและ รามะนาทาให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี จานวน 6 ชิ้นคือ
ซอสามสาย
กระจับปี่ (แทนพิณ)
ทับ (โทน)
รามะนา
ขลุ่ย
กรับพวง
ประวัติดนตรีไทยในสมัยธนบุรี
เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่15 ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง
และการป้องกันประเทศเสียโดยมากวงดนตรีไทย ในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่าได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้นสันนิษฐานว่า
ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
- 5. ประวัติดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยนี้เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงครามและได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นเกิดความสงบร่มเย็น
โดยทั่วไปแล้วศิลปวัฒนธรรมของชาติก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบารุงและส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยเฉพาะทางด้านดนตรีไทย
ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลาดับดังต่อไปนี้คือ
สมัยรัชกาลที่1ดนตรีไทยในสมัยนี้ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะและรูปแบบตามที่มี
มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือการเพิ่มกลองทัดขึ้นอีก 1 ลูก ในวงปี่พาทย์ซึ่งแต่เดิมมามีแค่ 1 ลูก
พอมาถึงสมัยรัชกาลที่1วงปี่พาทย์มีกลองทัด 2 ลูก เสียงสูง(ตัวผู้)ลูกหนึ่งและเสียงต่า(ตัวเมีย)ลูกหนึ่งและการใช้กลองทัด 2ลูก
ในวงปี่พาทย์ก็เป็นที่นิยมกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
สมัยรัชกาลที่2อาจกล่าวว่าในสมัยนี้เป็นยุคทองของดนตรีไทยยุคหนึ่งทั้งนี้เพราะองค์พระมหากษัตริย์
ทรงสนพระทัยดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่งพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในทางดนตรีไทยถึงขนาดที่ทรงดนตรีไทย คือซอสามสายได้
มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า"ซอสายฟ้าฟาด"ทั้งพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงไทยขึ้นเพลงหนึ่งเป็นเพลงที่ไพเราะและอมตะ
มาจนบัดนี้นั่นก็คือเพลง"บุหลันลอยเลื่อน"
ประวัติดนตรีไทย
ทัศนะ ที่ 1 สันนิษฐานว่าดนตรีไทยได้แบบอย่างมาจากอินเดียเนื่องจากอินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สาคั
ญแห่งหนึ่งของโลกอารยธรรมต่างๆของอินเดียได้เข้ามามีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆในแถบเอเชียอย่างมากทั้งในด้านศาสนา
ประเพณีความเชื่อตลอดจนศิลปแขนงต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านดนตรี ปรากฎรูปร่างลักษณะเครื่องดนตรี ของประเทศต่าง ๆ
ในแถบเอเชีย เช่นจีน เขมร พม่าอินโดนิเซีย และ มาเลเซียมีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมากทั้งนี้เนื่องมาจาก
ประเทศเหล่านั้นต่างก็ยึดแบบฉบับดนตรี ของอินเดีย เป็นบรรทัดฐานรวมทั้งไทยเราด้วยเหตุผลสาคัญที่ท่านผู้รู้ได้เสนอทัศนะนี้ก็คือ
ลักษณะของเครื่องดนตรีไทยสามารถจาแนกเป็น4ประเภทคือ
เครื่องดีด
เครื่องสี
เครื่องตี
เครื่องเป่า
การสันนิษฐานเกี่ยวกับกาเนิดหรือที่มาของดนตรีไทยตามแนวทัศนะข้อนี้เป็นทัศนะที่มีมาแต่เดิมนับตั้งแต่ ได้มีผู้สนใจและ
ได้ทาการค้นคว้าหาหลักฐานเกีีี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นและนับว่าเป็นทัศนะที่ได้รับการนามากล่าวอ้างกันมาก
บุคคลสาคัญที่เป็นผู้เสนอแนะแนวทางนี้คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ
พระบิดาแห่งวงการประวัติศาสตร์ของไทย
ทัศนะคติที่ 2 สันนิษฐานว่าดนตรีไทยเกิดจากความคิดและสติปัญญาของคนไทยเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนไทยตั้งแต่
สมัยที่ยังอยู่ทางตอนใต้ ของประเทศจีนแล้วทั้งนี้เนื่องจากดนตรี เป็นมรดกของมนุษยชาติทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีดนตรี
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของตนด้วยกันทั้งนั้นถีึงแม้ว่าในภายหลังจะมีการรับเอาแบบอย่างดนตรี ของต่างชาติเข้ามาก็ตามแต่ก็เป็น
การนาเข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับลักษณะและนิสัยทางดนตรี ของคนในชาตินั้นๆไทยเราตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ทาง
- 6. ตอนใต้ของประเทศจีนก็คงจะมี ดนตรี ของเราเองเกิดขึ้นแล้วทั้งนี้จะสังเกตุเห็นได้ว่าเครื่องดนตรี ดั้งเดิมของไทย
จะมีชื่อเรียกเป็นคาโดดซึ่งเป็นลักษณะของคาไทยแท้ เช่น
เกราะ,โกร่ง,กรับ
ฉาบ,ฉิ่ง
ปี่, ขลุ่ย
ฆ้อง, กลอง .. เป็นต้น
ต่อมาเมื่อไทยได้ อพยพ ลงมาตั้งถิ่นฐานในแถบแหลมอินโดจีนจึงได้มาพบวัฒนธรรมแบบอินเดียโดยเฉพาะเครื่องดนตรี อินเดีย
ซึ่งชนชาติมอญ และเขมร รับไว้ก่อนที่ไทยจะอพยพเข้ามาด้วยเหตุนี้ชนชาติไทยซึ่งมีนิสัยทางดนตรีอยู่แล้ว
จึงรับเอาวัฒนธรรมทางดนตรีแบบอินเดียผสมกับแบบมอญและเขมรเข้ามาผสมกับดนตรีที่มีมาแต่เดีิมของตน
จึงเกิดเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีกได้แก่
พิณ
สังข์
ปี่ไฉน
บัณเฑาะว์
กระจับปี่ และจะเข้ เป็นต้น
ต่อมาเมื่อไทยได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมอินโดจีนอย่างมั่นคงแล้วได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศเพืี่อนบ้านในแหลมอินโดจีน
หรือแม้แต่กับประเทศทางตะวันตกบางประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายทาให้ไทยรับเอาเครื่องดนตรีบางอย่างของประเทศต่างๆ
เหล่านั้นมาใช้ เล่นในวงดนตรีไทยด้วยเช่นกลองแขกปี่ชวา ของชวา (อินโดนิเซีย)กลองมลายูของมลายู(มาเลเซีย)เปิงมาง
ตะโพนมอญปี่มอญ และฆ้องมอญ ของมอญ กลองยาวของพม่าขิมม้าล่อของจีนกลอง มริกัน(กลองของชาวอเมริกัน)เปียโน
ออร์แกนและ ไวโอลีนของประเทศทางตะวันตกเป็นต้น
วิวัฒนาการของวงดนตรีไทย
นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีนและได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้นจึงเป็นการเริ่มต้นยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทยที่ปรากฎ
หลั กฐานเป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวคือเมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นและหลังจากที่พ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้วนับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้านดนตรีไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งในหลักศิลาจารึก
หนังสือวรรณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุคซึ่งสามารถนามาเป็นหลักฐานในการพิจารณา
ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนกระทั่งเป็นแบบแผนดีังปรากฎในปัจจุบัน
พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
สมัยสุโขทัยดนตรีไทย
มีลักษณะเป็นการขับลานาและร้องเล่นกันอย่างพื้นเมืองเกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทยในสมัยนี้ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ
ไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดีที่แต่งในสมัยนี้ได้แก่ แตร,สังข์,มโหระทึก,ฆ้อง, กลอง,ฉิ่ง,แฉ่ง (ฉาบ),บัณเฑาะว์พิณ,
ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือซอสามสาย)ปี่ไฉน,ระฆัง,และ กังสดาลเป็นต้นลักษณะการผสมวงดนตรี
ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึกและหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึง"เสียงพาทย์เสียงพิณ"ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้สันนิษฐานว่า
วงดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยมีดังนี้คือ
- 7. 1. วงบรรเลงพิณมีผู้บรรเลง1คนทาหน้าทีีี่ดีดพิณและขับร้องไปด้วยเป็นลักษณะของการขับลานา
2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง3คนคือ ค นขับลานา1 คนคนสี ซอสามสายคลอเสียงร้อง1คนและ คนไกวบัณเฑาะว์
ให้จังหวะ 1 คน
3. วงปี่พาทย์เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง5มี 2 ชนิด คือ
วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบาประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็กๆจานวน5 ชิ้น คือ1. ปี่ 2.กลองชาตรี 3.ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่ และ
5. ฉิ่งใช้บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนักประกอบด้วยเครื่องดนตรีจานวน5ชิ้น คือ1. ปี่ใน 2. ฆ้องวง (ใหญ่) 3.ตะโพน4. กลองทัดและ 5.
ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพ ต่างๆจะเห็นว่าวงปี่พาทย์เครื่องห้า
ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่งที่นาเอาวงบรรเลงพิณกับวงขับไม้ มาผสมกันเป็นลักษณะของวงมโหรีเครื่องสี่
เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง4คนคือ1. คนขับลานาและตีกรับพวงให้จังหวะ2.คนสี ซอสามสายคลอเสียงร้อง3.คนดีดพิณและ
4. คนตีทับ(โทน)ควบคุมจังหวะ
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยนี้ในกฏมลเฑียรบาลซึ่งระบุชื่อเครื่องดนตรีไทยเพิ่มขึ้นจากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัยจึงน่าจะเป็นเครื่องดนตรี
ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ยจะเข้ และ รามะนานอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.
1991-2031)ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า"...ห้ามร้องเพลงเรือเป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ
ในเขตพระราชฐาน..."ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ดนตรีไทยเป็นที่นิยมกันมากแม้ในเขตพระราชฐาน
ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดีจนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล
ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของวงดนตรีไทยในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัยดังนี้คือ1.วงปี่พาทย์
ในสมัยนี้ก็ยังคงเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้าเช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัยแต่มีระนาดเอกเพิ่มขึ้นดังนั้นวงปี่พาทย์เครื่องห้า
ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้คือ
1. ระนาดเอก
2. ปี่ใน
3. ฆ้องวง (ใหญ่)
4. กลองทัดตะโพน
5. ฉิ่ง
2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจากวงมโหรีเครื่องสี่ในสมัยสุโขทัยเป็นวงมโหรีเครื่องหกเพราะได้เพิ่มเครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น
คือ ขลุ่ยและ รามะนาทาให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ประกอบด้วยเครื่องดนตรี จานวน 6 ชิ้น คือ
1. ซอสามสาย
2. กระจับปี่ (แทนพิณ)
3. ทับ(โทน)
4. รามะนา
5. ขลุ่ย
- 9. ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่งซึ่งต่อมาเรียกว่า"วงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์"โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
สาหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง"ละครดึกดาบรรพ์"ซึ่งเป็นละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลมหรือดังเกินไปออกคงไว้แต่เครื ี่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวล
กับเพิ่มเครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดีาบรรพ์จึงประกอบด้วยระนาดเอกฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม
ระนาดทุ้มเหล็กขลุ่ยซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพนกลองตะโพนและเครื่องกากับจังหวะ
รัชกาลที่6
ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่งโดยนาวงดนตรีของมอญมาผสมกับวงปี่พาทย์ของไทยต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ว่า
"วงปี่พาทย์มอญ"โดยหลวงประดิษฐไพเราะ(ศรศิลปบรรเลง)เป็นผู้ปรับปรุงขึ้นวงปี่พาทย์มอญดังกล่าวนี้
ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้าเครื่องคู่และเครื่องใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทยและกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในง
านศพมาจนกระทั่งบัดนี้นอกจากนี้ยังได้มีการนาเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมกับวงดนตรีไทยบางชนิ
ดก็นามาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทยทาให้รูปแบบของวงดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงพัฒนาดังนี้คือ
1. การนาเครื่องดนตรีของชวาหรืออินโดนีเซียคือ"อังกะลุง"มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรกโดยหลวงประดิษฐไพเราะ(ศร
ศิลปบรรเลง)ทั้งนี้โดยนามาดัดแปลงปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ7เสียง(เดิมมี 5 เสียง)ปรับปรุง วิธีการเล่นโดยถือเขย่าคนละ 2
เสียงทาให้เครื่องดนตรีชนิดนี้กลายเป็นเครื่องดนตรีไทยอีกอย่างหนึ่งเพราะคนไทยสามารถทาอังกะลุงได้เอง
อีกทั้งวิธีการบรรเลงก็เป็นแบบเฉพาะของเราแตกต่างไปจากของชวาโดยสิ้นเชิง
2. การนาเครื่องดนตรีของต่างชาติเขี้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสายได้แก่ ขิมของจีนและออร์แกนของฝรั่ง
ทาให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่งคือ"วงเครื่องสายผสม"
รัชกาลที่7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจี้าอยู่หัวได้ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรีไทยมากเช่นกันพระองค์ได้พระราชนิพนธ์
เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง3เพลงคือเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง3ชั้นเพลงเขมรลอยองค์(เถา)และเพลงราตรีประดับดาว(เถา)
พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวังแต่เป็นที่น่าเสียดายที่ระยะเวลาแห่งการครอง
ราชย์ของพระองค์ไม่นานเนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ หลังจากนั้นได้ 2ปี
มิฉะนั้นแล้วดนตรีไทยก็คงจะเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยแห่งพระองค์อย่างไรก็ตามดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้นับว่าได้พัฒนารูปแบบ
และลักษณะมาจนกระทั่งสมบูรณ์ เป็นแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้ว ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมีผู้นิยมดนตรีไทยกันมาก
และมีผู้มีฝีมือทางดนตรี ตลอดจนมีความคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้พัฒนาก้าวหน้ามาตามลาดับพระมหากษัตริย์เจ้านาย
ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้ความอุปถัมภ์และทานุบารุงดนตรีไทยในวังต่างๆมักจะมีวงดนตรีประจาวังเช่นวงวังบูรพา
วงวังบางขุนพรหมวงวังบางคอแหลมและวงวังปลายเนินเป็นต้นแต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรี
และนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจาวงมีการฝึกซ้อมกีันอยู่เนืองนิจบางครั้งก็มีการประกวดประชันกัน
จึงทาให้ดนตรีไทยเจริญเฟื่องฟูมากต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 เป็นต้นมา ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง
อาจกล่าวได้ว่าเป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดนตรีไทยเกือบจะถึงจุดจบเนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายทีเรียกว่า"รัฐนิยม"
ซึ่งนโยบายนี้มีผลกระทบต่อดนตรีไทยด้วยกล่าวคือมีการห้ามบรรเลงดนตรีไทยเพราะเห็นว่าไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ
ให้ทัดเทียมกับอารยประเทศใครจะจัดให้มีการบรรเลงดนตรีไทยต้องขออนุญาตจากทางราชการก่อนอีกทั้ง
นักดนตรีไทยก็จะต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จนกระทั่งต่อมาอีกหลายปี เมื่อได้มีการสั่งยกเลิก"รัฐนิยม"ดังกล่าวเสีย
แต่ถึงกระนั้นก็ตามดนตรีไทยก็ไม่รุ่งเรืองเที่าแต่ก่อนยังล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งบัดนี้เนื่องจากวิถีชีวิต
- 11. สองชั้น - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ
ชั้นเดียว - ฉิ่ง- ฉับ - ฉิ่ง-ฉับ - ฉิ่ง- ฉับ - ฉิ่ง-ฉับ
3. จังหวะหน้าทับหมายถึงเกณฑ์การนับจังหวะที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีประเภทหนังซึ่งเลียนเสียงการตีมาจาก
“ทับ” เป็นเครื่องกาหนดจังหวะเครื่องดนตรีเหล่านี้ได้แก่ ตะโพนกลองแขกสองหน้าโทน -รามะนาหน้าทับ
3. ทานองดนตรีไทย
ลักษณะทานองเพลงที่มีเสียงสูงๆต่าๆสั้นๆยาวๆสลับคละเคล้ากันไป
ตามจินตนาการของคีตกวีที่ประพันธ์ บทเพลงซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เหมือนกันทุกชาติภาษา จะมีความแตกต่างกันตรงลักษณะประจา
ชาติที่มีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน
เช่นเพลงของอเมริกันอินโดนีเซีย อินเดียจีน ไทย ย่อมมีโครงสร้างของทานองที่
แตกต่างกัน ทานองของดนตรีไทยประกอบด้วยระบบของเสียง การเคลื่อนที่ของเสียงความยาว ความกว้างของเสียง
และระบบหลักเสียงเช่นเดียวกับทานองเพลงทั่วโลก
1. ทานองทางร้อง เป็นทานองที่ประดิษฐ์เอื้อนไปตามทานองบรรเลงของเครื่องดนตรี และมีบทร้องซึ่งเป็นบทร้อยกรอง
ทานองทางร้องคลอเคล้าไปกับทานองทางรับหรือร้องอิสระได้ การร้องนี้ต้องถือทานองเป็นสาคัญ
2. ทานองการบรรเลงหรือทางรับเป็นการบรรเลงของเครื่องดนตรีในวงดนตรี ซึ่งคีตกวีแต่งทานองไว้สาหรับบรรเลง
ทานองหลักเรียกลูกฆ้อง“BasicMelody”เดิมนิยมแต่งจากลูกฆ้องของฆ้องวงใหญ่
และแปรทางเป็นทางของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆดนตรีไทยนิยมบรรเลงเพลงในแต่ละท่อน2 ครั้งซ้ากัน
ภายหลังได้มีการแต่งทานองเพิ่มใช้บรรเลงในเที่ยวที่สองแตกต่างไปจากเที่ยวแรกเรียกว่า “ทางเปลี่ยน”
4. การประสานเสียง
เป็นการทาเสียงดนตรีพร้อมกัน2เสียงพร้อมกันเป็นคู่ขนานหรือเหลื่อมล้ากันตามลีลาเพลงก็ได้
1. การประสานเสียงในเครื่องดนตรีเดียวกันเครื่องดนตรีบางชนิดสามารถบรรเลง
สอดเสียงพร้อมกันได้ โดยเฉพาะทาเสียงขั้นคู่ (คู่2 คู่3 คู่4 คู่5 คู่6 และ คู่7)
2. การประสานเสียงระหว่างเครื่องดนตรี คือการบรรเลงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีต่างชนิดกันสุ้มเสียง
และความรู้สึกของเครื่องดนตรีเหล่านั้นก็ออกมาไม่เหมือนกันแม้ว่าจะบรรเลงเหมือนกันก็ตาม
3.การประสานเสียงโดยการทาทาง การแปรทานองหลักคือลูกฆ้อง“Basic
Melody”ให้เป็นทานองของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดเรียกว่า “การทาทาง”
ทางของเครื่องดนตรี (ทานอง)แต่ละชนิดไม่เหมือนกันดังนั้นเมื่อบรรเลงเป็นวงเครื่องดนตรีต่างเครื่องก็จะบรรเลงตามทางหรือทานองข
องตนโดยถือทานองหลักเป็นสาคัญของการบรรเลง
การแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีไทย
การแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีนั้นย่อมจะแตกต่างกันไปได้ตามพื้นภูมิหรือความนิยมของแต่ละชาติ
การแบ่งประเภทของเครื่อดนตรีตามแบบตะวันตกนั้นแบ่งเป็นเครื่องสาย เครื่องลมและเครื่องตี เครื่องสายจะต้องแยกออกเป็นเครื่อง
- 12. ดีดและเครื่องสี เครื่องลมก็แยกออกเป็นเครื่องไม้และเครื่องโลหะ และเครื่องตีก็แยกได้เป็นเครื่องบรรเลงทานองและเครื่องประกอบจั
งหวะ
ส่วนการแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีไทยนั้นถือเอากิริยาที่บรรเลงให้เกิดเป็นเสียงขึ้นอย่างเดียวเป็นเครื่องแบ่งประเภท คือเครื่อ
งที่ดีดเป็นเสียงเป็นเครื่องที่มีสาย ใช้มือหรือวัตถุใดๆดีดที่สายแล้วก็เกิดเสียงขึ้นเช่นกระจับปี่ จะเข้ อย่างนี้เรียกว่า
เครื่องดีดเครื่องที่สีเป็นเสียงเป็นเครื่องที่มีสายใช้หางม้าหลายๆเส้นสีที่สายให้เกิดเสียงเช่นซอสามสายซอด้วงซออู้
อย่างนี้เรียกว่าเครื่องสีี เครื่องที่ตีเป็นเสียงมีทั้งตีด้วยไม้ เช่นฆ้อง ระนาดกับตีด้วยมือเช่นตะโพนโทน
หรือของสิ่งเดียวกันสองอันตีกันเองเช่นกรับและฉิ่ง
เหล่านี้เรียกว่าเครื่องตี เครื่องที่เป่าเป็นเสียงเป็นเครื่องที่ต้องใช้ลมเป่าเข้าไปในเครื่องนั้นๆเช่นปี่ ขลุ่ย
ก็เรียกว่าเครื่องเป่ ารวมแล้วดนตรีไทยมี๔ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า
การแบ่งหน้าที่ของการบรรเลงการแบ่งประเภทเป็นดีดสีตี เป่า นั้นเป็นการแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีแต่เครื่องดนตรีนั้นๆ
ย่อมมีหน้าที่ในการบรรเลงซึ่งแบ่งออกได้เป็น๒ พวก
๑. บรรเลงทํานองเพลง
พวกที่๑ เป็นพวกที่มีเสียงสูงต่าเรียงลาดับกันไม่น้อยกว่า ๗เสียงดนตรีพวกนี้มีหน้าที่บรรเลงเป็นทานองเพลงเช่นระนาดเอก
ระนาดทุ้มฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็กปี่ ขลุ่ย และซอต่างๆ
๒. บรรเลงประกอบจังหวะ
พวกที่๒เป็นพวกที่มีเสียงสูงต่าไม่ถึง๗เสียงเครื่องดนตรีพวกนี้มีหน้าที่บรรเลงเป็นเครื่องประกอบจังหวะเช่นฉิ่งฉาบตะโพน
กลองทัดโทนรามะนาเป็นต้น
เอกลักษณ์ดนตรีไทย
สัญลักษณ์ของดนตรีไทยมีเอกลักษณ์ประจาชาติซึ่งจะพิจารณาได้ ๓ประการคือ
1.วัสดุที่สร้าง
เครื่องดนตรีของทุกๆชาติในยุคเริ่มแรกก็มักจะใช้วัสดุที่มีอยู่ในถิ่นของตนมาสรรค์์สร้างขึ้นแล้วจึงค่อยวิวัฒนาการต่อไป ภูมิประ
เทศของไทยตั้งแต่สมัยโบราณนั้นอุดมไปด้วยไม้ไผ่ไม้เนื้อแข็ง
หนังและกระดูกสัตว์ที่ใช้งานและใช้เนื้อเป็นอาหาร เครื่องดนตรีของไทยมักจะสร้างจากสิ่งเหล่านี้โดยมาก
เช่นซอด้วงขั้นแรกกระบอก
ซอด้วงก็ใช้ทาด้วยไม้ไผ่แล้วเปลี่ยนเป็นไม้เนื้อแข็ง ต่อมาคนไทยมาอยู่ในตอนใต้ลงไปและใช้ช้างเป็นพาหนะและใช้แรงงาน กระบอก
ซอด้วงจึงทาด้วยงาช้างซึ่งเป็นสิ่งที่สวยงามมาก ซออู้ ซอสามสายกะโหลกนั้นทาด้วยกะลามะพร้าวซึ่งอุดมมากในดินแดน
ของไทยตอนใต้นี้ ระนาดของไทยแม้จะมาเริ่มใช้เอาในตอนหลังก็ยังทาด้วยไม้ไี่ผ่่ซึ่งมีเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่าทาด้วยไม้เนื้อแข็งมา
ก เพราะไม้ไผ่บงในจังหวัดตราดทาลูกระนาดมีเสียงไพเราะดีไม่มีที่ไหนสู้ ต่างกับระนาดของชาติใกล้เคียงที่ทาด้วยู้ไม้เนื้อแข็งที่มีเสีย
งกระด้างกว่า ส่วนกลองตัวกลองทาด้วยไม้เนื้อแข็งและขึงหน้าด้วยหนังสัตว์เฉพาะกลองที่ขึงหนังสองหน้าตรึงด้วยหมุดที่เราเรียกกั
นว่า “กลองทัด” นั้นจีนได้เอาอย่างไปใช้แล้วเรียกชื่อว่า “น่านตังกู๊” ซึ่งแปลว่า“กลองของชาวใต้”ส่วนฆ้องทั้งฆ้องโหม่งฆ้องวงทาด้วย
ทองเหลือง ซึ่งชาวไทยเราสามารถในเรื่องหล่อทองเหลืองมากยิ่งกว่าชาติอื่นในถิ่นแถบนี้
- 13. 2.รูปร่างลักษณะ
ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆรูปร่างลักษณะที่จะเห็นว่างดงามนั้น
ย่อมเป็นไปตามจิตใจ นิสัยและสัญชาตญาณที่เห็นงามของชาตินั้นๆชนชาติไทยป็นผู้ที่มีจิตใจและนิสัยอ่อนโยนมีเมตตากรุณายิ้มแย้
มแจ่มใส ศิลปะต่างๆของไทยจึงมักจะเป็นรูปที่เป็นเส้นโค้งอ่อนช้อย
ที่จะหักมุม ๔๕ องศานั้นน้อยที่สุดและทุกๆสิ่งมักจะเป็นปลายเรียวแหลม ขอให้พิจารณาดูศิลปะต่างๆของไทยเพื่อเปรียบเทียบเช่น
บ้านไทย จั่วและปั้นลมอ่อนช้อยจนถึงปลายเรียวแหลม
ช่อฟ้าใบระกาของปราสาทราชวังและโบสถ์วิหารล้วนแต่อ่อนช้อย่น่าชมสมส่วนลายไทยซึ่งเต็มไปด้วยกระหนกต่างๆ
กระหนกทุกตัวจะเป็นเส้นโค้งอ่อนสลวยและสะบัดสะบิ้งจนถึงปลายแหลม
เครื่องแต่งตัวละครราเป็นละครของไทยแท้มีมงกุฎและชฎาเรียวและยอดแหลม
อินทรธนูที่ประดับบ่าก็โค้งและปลายแหลมท่าราของละครแขนและมือเมื่อจะงอหรือจะเหยียดล้วนเป็นเส้นโค้งตลอดจนปลายนิ้วมือซึ่
งอ่อนช้อยน่าดูมาก
ทีนี้มาดูลักษณะรูปร่างของเครื่องดนตรีไทยโทนระนาดเอกระนาดทุ้มส่วนสัดเป็นเส้นโค้งและมีปลายแหลมทั้งนั้น
โขนของฆ้องวงใหญ่และฆ้องเล็กโอนสลวยขึ้นไป
คล้ายหลังคาบ้านไทยส่วนโขนของคันซอด้วงที่เรียกว่า “ทวนบน”ก็โค้งอ่อนขึ้นไปจนปลายคล้ายกับโขนเรือพระราชพิธีของไทยโบราณ
นี่คือรูปลักษณะของดนตรีไทย
3.เสียงของดนตรีไทย
เครื่องดนตรีไทยที่สร้างขึ้นนั้นล้วนแต่มีเจตนาให้ไพเราะแต่ว่าเป็นเสียงไพเราะ อย่างนุ่มนวลอ่อนหวานไม่เอะอะหรือเกรี้ยวกราด
ซึ่งเป็นไปตามลักษณะนิสัยของชนชาติไทย เสียงซอเสียงขลุ่ยเสียงปี่ เสียงฆ้องและเสียงพิณล้วนเป็นสิ่งที่ มีเสียงนุ่มนวล
มีกังวานไพเราะอย่างอ่อนหวาน แม้จะมีสิ่งที่มีเสียงดังมากเช่นกลองทัดผสมอยู่บางเวลาก็เป็นสิ่งจาเป็น
โดยการบรรเลงเพลงที่มีกลองนั้นมักจะเป็นเพื่อโฆษณาให้ผู้ที่อยู่ไกลได้ยินได้รู้กิจกรรมที่กระทา
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นเจตนาของผู้สร้างเครื่องดนตรีไทยว่าต้องการความไพเราะอย่างนุ่มนวลไม่แกร่งกร้าวก็คือการที่จะเทียบเสียงระนาดแล
ะฆ้องวงให้มีเสียงสูงต่าตามประสงค์นั้นได้ใช้ขี้ผึ้งผสมกับผงตะกั่วเป็นเครื่องถ่วงเสียงสาหรับระนาด
จะติดขี้ผึ้งตรงเบื้องล่างหัวลูกระนาดด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน ส่วนฆ้องวงจะติดขี้ผึ้งตรงใต้ปุ่มฆ้องผลของการติดด้วยขี้ผึ้งผสม
ผงตะกั่วนี้ยิ่งติดมากก็ยิ่งทาให้เสียงต่า
ถ้าเอาออกก็จะเป็นเสียงสูงนอกจากทาให้เสียงสูงต่าแล้วยังจะทาให้สิ่งที่เทียบด้วยติดขี้ผึ้งนี้มีเสียงนุ่มนวลไพเราะไม่โฉ่งฉ่าง ฆ้องที่ท
าสาเร็จเป็นเสียงสูงต่าตามต้องการโดยไม่ต้องติดขี้ผึ้งกับผงตะกั่วนั้นเสียงจะแกร่งกร้าวไม่นุ่มนวลเช่นฆ้องของพม่าและชวา
เป็นต้น แต่ในสมัยปัจจุบันได้มีการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมระหว่างประเทศแลกเปลี่ยนความรู้
ความบันเทิงกัน เมื่อเครื่องดนตรีของไทยที่มีระนาดเอกและฆ้องวงต้องไปบรรเลงในประเทศที่มีอากาศ หนาวความเย็น
อาจจะทาให้ขี้ผึ้งกับผงตะกั่วที่ถ่วงเสียงนั้นหลุดได้ง่าย
ซึ่งเป็นอุปสรรคแก่การบรรเลงเป็นอันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจต้องยอมให้เสียงดนตรีขาดความนุ่มนวลลงไปโดยสร้างระนาดและ
ฆ้องวงที่สาเร็จรูปมีเสียงสูงต่าตามประสงค์โดยไม่ต้องติดขี้ผึ้งถ่วงเสียงก็เป็นได้
- 15. เพลงเถา
เพลงเถาหมายถึงเพลงขนาดยาวที่มีเพลง๓ชนิดติดต่ออยู่ในเพลงเดียวกันโดยการบรรเลงเพลงสามชั้นก่อน
แล้วเป็นเพลงสองชั้นลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียวเรียกว่าเพลงเถา ตัวอย่างเพลงเขมรพวงเถาเดิมเป็นเพลงสองชั้นต่อมา
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้คิดแต่งขึ้นเป็นสามชั้นดาเนินทานองเป็นคู่กันกับเพลงเขมรเลียบพระนครเมื่อราวพ.ศ. ๒๔๖๐
แล้วหมื่นประคมเพลงประสาน(ใจนิตยผลิน)ได้ตัดลงเป็นชั้นเดียวเมื่อพ.ศ.๒๔๖๔ และมีทานองชั้นเดียวโดยนายเหมือน
ดุริยะประกิตเป็นผู้แต่งเพลงเถา
นิยมใช้บรรเลงและขับร้องในรูปของเพลงรับร้องคือเมื่อร้องจบท่อนดนตรีก็บรรเลงรับ ไม่นิยมนาเพลงเถามาร้องให้ดนตรีบรรเลงคลอ
หรือบรรเลงลาลองแต่อย่างใด
เพลงเกร็ด
เพลงเกร็ดเป็นเพลงขนาดย่อมนามาขับร้องและบรรเลงเป็นเพลงๆไปอาจเป็นอัตราจังหวะใดจังหวะหนึ่งในชุดของเพลงเถา
หรือเป็นเพลงใดเพลงหนึ่งจากชุดเพลงตับหรือเพลงเรื่องก็ได้ เพลงเกร็ดที่ขับร้องและบรรเลงกันอยู่โดยทั่วๆไป
มักจะมีบทร้องที่มีความหมายมีคติมีความซาบซึ้งประทับใจและมีช่วงทานองที่มีความไพเราะเป็นพิเศษ ตัวอย่างเพลงเกร็ดเช่น
เพลงแป๊ ะ(สามชั้น)เพลงแขกสาหร่าย(สองชั้น)และเพลงเต่าเห่(สองชั้น)
เพลงละคร
เพลงละครหมายถึงเพลงที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในการแสดงโขนละครและมหรสพต่างๆมีทั้งร้องแล้วดนตรีรับ
ทั้งร้องคลอดนตรี เคล้าและลาลองขึ้นอยู่กับลักษณะการแสดงนั้นๆ
ตัวอย่างเพลงละครได้แก่ เพลงอัตราสองชั้นเช่นเพลงสร้อยเพลงเพลงเวสสุกรรมเพลงพญาโศกหรือเพลงในอัตราเดียวเช่น
เพลงนาคราชเพลงหนีเสือเพลงลิงโลด และเพลงพิเศษที่ใช้เฉพาะละครแท้ๆเช่นเพลงช้าปี่ เพลงโอ้ชาตรี เพลงโอ้โลมเพลงโอ้ร่าย
เพลงยานีเพลงชมตลาดเป็นต้น
เพลงที่ใช้ร้องประกอบละครหรือมหรสพอื่นๆจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามอารมณ์ของตัวละครเช่นเพลงพญาโศกเพลงสร้อยเพลง
ใช้สาหรับอารมณ์โศก เพลงนาคราชเพลงลิงโลดใช้สาหรับอารมณ์โกรธเพลงโอ้โลมเพลงโอ้ชาตรี
ใช้สาหรับอารมณ์รักหรือเวลาเกี้ยวพาราสีเป็นต้น
เพลงลา
เพลงลาหมายถึงเพลงที่ผู้ขับร้องและบรรเลงแสดงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนที่การแสดงจะจบลง
ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนของการแสดงกิจกรรมการบรรเลงดนตรีไทยที่โบราณจารย์ได้กาหนดไว้ กล่าวคือ
เพลงแรกที่บรรเลงคือเพลงโหมโรงและเพลงสุดท้ายต้องบรรเลงเพลงลาเพื่อเป็นการร่าลาให้ศีลให้พรแก่เจ้าของงานหรือผู้ชมผู้ฟัง
เนื้อร้องมีความหมายในทางร่าลาอาลัยอาวรณ์ และให้ศีลให้พรแล้วมักจะมีสร้อยคือมีการร้องว่า"ดอกเอ๋ยเจ้าดอก..."
และจะมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่งบรรเลงเลียนเสียงร้องให้คล้ายคลึงกันมากที่สุดซึ่งเรียกกันเป็นทางภาษาสามัญว่า"ว่าดอก"
เครื่องดนตรีที่ใช้ก็อาจใช้ ซออู้
เพลงลาที่นิยมใช้บรรเลงกันเช่นเพลงเต่ากินผักบุ้งเพลงพระอาทิตย์ชิงดวงเพลงอกทะเลเป็นต้น
เพลงเรื่อง
เพลงเรื่องคือเพลงที่โบราณาจารย์ประดิษฐ์ขึ้นโดยนาเอาเพลงที่มีลักษณะใกล้เคียงกันหลายๆ
เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุดเป็นเรื่องเพื่อความสะดวกในการใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆกันเช่นเพลงเรื่องนางหงส์
สาหรับใช้บรรเลงประกอบพิธีศพเพลงเรื่องฉิ่งพระฉันสาหรับใช้บรรเลงประกอบพระฉันภัตตาหารและเพลงเรื่องสร้อยสน
สาหรับใช้บรรเลงในโอกาสทั่วๆไป นอกจากนั้นยังเป็นการรวบรวมเพลงที่มีลักษณะคล้ายๆกันมาไว้ด้วยกัน