More Related Content
More from leemeanshun minzstar (20)
รายงานพระพุทธ
- 2. 2. มีความเชื่อว่าหลักคาสั่งสอนต่างๆมาจากพระเจ้า
ทั้งศีลธรรมจรรยาและกฎหมายในสังคมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกาหนดขึ้น
3. มีหลักความเชื่อบางอย่างเป็นอจินไตยคือเชื่อไปตามคาสอนโดยไม่คานึงถึงข้อพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์
แต่อาศัยเทวานุภาพของเทพเจ้าผู้อยู่เหนือตนเป็นเกณฑ์
4. มีหลักการมอบตนคือมอบการกระทาของตนและอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับตนให้พระเจ้าด้วยความจงรักภักดี
ส่วนคาว่าศาสนาตามความหมายของชาวตะวันออก4)
โดยเฉพาะทางศาสนาพุทธหมายถึงคาสั่งสอนของท่านผู้รู้ คาสั่ง
คือ วินัยคาสอนคือธรรมหรือธรรมะรวมเรียกว่าธรรมวินัยซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับคาว่า ReligionŽ
ของทางสังคมตะวันตกคือ
1. ไม่มีหลักความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกแต่มีหลักความเชื่อว่ากรรมเป็นผู้สร้างโลกและสร้างสรรพสิ่ง(กมฺมุนาวตฺตตี
โลโก-สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
2. ไม่มีหลักความเชื่อว่าคาสอนต่างๆมาจากพระเจ้าแต่มีหลักความเชื่อว่าคาสอนต่างๆผู้รู้ คือพุทธ เป็นผู้สั่งสอน
(สพฺพปาปสฺสอกรณกุสลสฺสูปสมฺปทาสจิตฺตปริโย-ทปนเอต พุทฺธานสาสน-การไม่ทาชั่วทั้งปวงการทาความดีให้ถึงพร้อม
การทาใจให้ผ่องแผ้วนี่คือคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
3. ไม่มีหลักความเชื่อไปตามคาสอนโดยไม่คานึงถึงข้อพิสูจน์แต่มีหลักให้พิสูจน์คาสอนนั้น(สนฺทิฏฺิโกอกาลิโกเอหิปสฺสิโก
โอปนยิโกปจฺจตฺต เวทิตพฺโพวิญฺญูหิ-อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตัวเองไม่จากัดด้วยกาลควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน)
4. ไม่มีหลักการยอมมอบตนให้แก่พระเจ้าแต่มีหลักการมอบตนให้แก่ตนเอง(อตฺตาหิ อตฺตโนนาโถ - ตนแล
เป็นที่พึ่งของตน)
ตามที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าศาสนาตามความหมายของทางตะวันออกโดยเฉพาะทางศาสนาพุทธกับคาว่า Religion
ตามความหมายของทางตะวันตกย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของศาสนาในแต่ละประเภท
ศาสนาตามความหมายของทางตะวันออกโดยเฉพาะทางศาสนาพุทธนั้นมีจุดยืนตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผล
รวมทั้งเป็นเรื่องของมนุษย์กับธรรมชาติโดยตรงส่วนศาสนาของทางตะวันตก
มีจุดยืนอยู่ที่ศรัทธาหรือความเชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติซึ่งเหตุผลต่างๆย่อมถูกนามาสนับสนุนความเชื่อต่างๆ
โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์
1.1.3 ความหมายตามพจนานุกรม
ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 25425)
ศาสนาคือลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก
คือแสดงกาเนิดและความสิ้นสุดของโลกเป็นต้นอันเป็นไปในฝ่ ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง
แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ ายศีลธรรมประการหนึ่ง
พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทาตามความเห็นหรือตามคาสั่งสอนในความเชื่อถือนั้นๆ
1.1.4 ในทรรศนะของพระยาอนุมานราชธน
ในทรรศนะของพระยาอนุมานราชธน6)
ให้ความหมายว่าศาสนาคือ
ความเชื่อซึ่งแสดงออกมาให้ปรากฏเห็นเป็นกิริยาอาการของผู้เลื่อมใสว่ามีความเคารพเกรงกลัว
ซึ่งอานาจอันอยู่เหนือโลกหรือพระเจ้าซึ่งบอกให้ผู้เชื่อรู้ได้ด้วยปัญญาความรู้สึกเกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ
ว่าต้องมีอยู่เป็นรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเป็นผู้สร้างและเป็นผู้กาหนดวิถีชีวิตของมนุษย์ให้มีอยู่เป็นอยู่
กล่าวกันง่ายๆศาสนาคือการบูชาพระเจ้าผู้ซึ่งมีทิพยอานาจอยู่เหนือธรรมชาติด้วยความเคารพกลัวเกรง
.
1.1.5 ในทรรศนะของหลวงวิจิตรวาทการ
- 3. ในทรรศนะของหลวงวิจิตรวาทการ7)
ให้ความหมายว่าศาสนาเป็นเรื่องที่ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มีคาสอนทางจรรยา
มีศาสดามีคณะบุคคลที่รักษาความศักดิ์สิทธิ์และคาสอนไว้ เช่นพระหรือนักบวชและมีการกวดขันเรื่องความจงรักภักดี
1.1.6 ในทรรศนะของ Emile Durkheim
ในทรรศนะของ Emile Durkheim8)
ให้ความหมายว่าศาสนาคือระบบรวม
ว่าด้วยความเชื่อและการปฏิบัติเพื่อความสัมพันธ์ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
1.1.7 ในทรรศนะของ A.CBouget
ในทรรศนะของ A.CBouget9)
ให้ความหมายว่าศาสนาหมายถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่มิใช่มนุษย์
คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติสิ่งที่สามารถดารงอยู่ได้ด้วยตนเองหรือพระเจ้า
แต่สาหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการมากกว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลศาสนาคือ
หนทางอย่างหนึ่งซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจุดมุ่งหมายจุดประสงค์ความเชื่อของเขา
จากทรรศนะต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดในตอนต้นนั้นสามารถสรุปให้ครอบคลุม
ความหมายของศาสนาทั้งที่เป็นเทวนิยมและอเทวนิยมได้ว่าศาสนาคือคาสอนที่ศาสดานามาเผยแผ่สั่งสอนแจกแจง
แสดงให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่วกระทาแต่ความดีเพื่อประสบสันติสุขในชีวิต
ทั้งในระดับธรรมดาสามัญและความสุขสงบนิรันดร
ซึ่งมนุษย์ยึดถือปฏิบัติตามคาสอนนั้นด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธาคาสอนดังกล่าวนี้
จะมีลักษณะเป็นสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้วศาสดาเป็นผู้ค้นพบหรือจะเป็นโองการที่ศาสดารับมาจากพระเจ้าก็ได้
1.2 ลักษณะของศาสนา
จากความหมายของศาสนาที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นสรุปลักษณะของศาสนาได้ดังนี้
1. ศาสนาเป็นศูนย์รวมของความเคารพนับถือสูงสุดของมนุษย์
2. ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งทางใจ
3. ศาสดาเป็นผู้นาศาสนามาเผยแผ่สั่งสอนแก่มวลมนุษย์
4. ศาสนามีสาระสาคัญอยู่ที่การสอนให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่วกระทาแต่ความดี
5. คาสอนในศาสนามีทั้งระดับโลกิยะและระดับโลกุตระ
6. มนุษย์ต้องปฏิบัติตามคาสอนในศาสนาด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธา
7. ศาสนาต้องมีพิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์และมีสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมาย
1.3 องค์ประกอบของศาสนา
ศาสนาที่จะเป็นศาสนาอย่างสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่นักการศาสนาจัดไว้
โดยจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. ศาสดาต้องมีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาและศาสดาต้องมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่นศาสนายิวมีโมเสสเป็นศาสดา
ศาสนาพุทธมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาศาสนาคริสต์มีพระเยซูเป็นศาสดา
และศาสนาอิสลามมีนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดา
2. ศาสนธรรมต้องมีศาสนธรรมคือคาสอนซึ่งเป็นหลักของศาสนา ต้องมีคัมภีร์เป็นที่รวบรวมคาสอนเช่นศาสนาพราหมณ์-
ฮินดู มีคัมภีร์พระเวทศาสนาพุทธมีพระไตรปิฎกศาสนาอิสลามมีคัมภีร์อัลกุรอาน
3. ศาสนพิธีต้องมีพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องมาจากคาสอนของศาสนาเช่นพิธีสวมสายยัชโญปวีต
หรือสายธุราของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูพิธีอุปสมบทของศาสนาพุทธพิธีล้างบาปของศาสนายิวและศาสนาคริสต์
และพิธีฮัจญ์ของศาสนาอิสลาม
- 4. 4. ปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถานทางศาสนาเช่นพระพุทธรูปและสังเวชนียสถานในศาสนาพุทธ
ไม้กางเขนและวิหารเมืองเยรูซาเลมในศาสนาคริสต์รูปของพระคุรุและเมืองอมฤตสระของศาสนาซิกข์
5. ศาสนบุคคลต้องมีคณะบุคคลสืบทอดคาสอนของศาสนาซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักคาสอนของศาสนาโดยตรงเช่นพระ
นักบวชนักพรตบาทหลวงในศาสนาต่างๆ
6. ศาสนสถานต้องมีศาสนสถานเพื่อประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีต่างๆศาสน-สถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้แก่
เทวสถานหรือเทวาลัยของศาสนาพุทธได้แก่ วัดอุโบสถศาลาการเปรียญวิหารของศาสนาคริสต์ได้แก่ โบสถ์ วิหาร
ของศาสนาอิสลามได้แก่ สุเหร่าหรือมัสยิดเป็นต้น
7. ศาสนิกชนต้องมีศาสนิกชนผู้นับถือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนานั้นซึ่งศาสนิกชนดังกล่าว
มักเรียกตามชื่อของศาสนาที่ตนนับถือเช่นฮินดูชน พุทธศาสนิกชนคริสต์ศาสนิกชนอิสลามิกชนหรือมุสลิมเป็นต้น
8. การกวดขันเรื่องความภักดีต้องมีการกวดขันเรื่องความภักดีในศาสนาเช่นศาสนาพราหมณ์-
ฮินดูกวดขันเรื่องการดาเนินชีวิตตามหลักอาศรม4ศาสนาพุทธกวดขันเรื่องไตรสรณคมน์
ศาสนาคริสต์กวดขันเรื่องการไปสวดมนต์ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ศาสนาอิสลามกวดขันเรื่องหลักปฏิบัติหรือหน้าที่ในศาสนา
องค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้ในบางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนึ่งไปแต่ก็ยังถือว่าเป็นศาสนาเช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ขาดองค์ประกอบข้อที่หนึ่ง คือศาสดาไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ศาสนาอิสลามขาดองค์ประกอบข้อ5คือ
ศาสนบุคคลเพราะผู้นับถือศาสนาอิสลามไม่มีการถือเพศเป็นบรรพชิตคงมีแต่เพศฆราวาสเท่านั้น
1.4 วิวัฒนาการของศาสนา
ไม่ว่ายุคสมัยใดมนุษย์ต่างก็ต้องการให้ชีวิตมีความสุขความปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาว
จะทาอะไรทุกอย่างก็เพื่อจุดหมายดังกล่าว อันเป็นที่มาของการนับถือศาสนาโดยมีวิวัฒนาการดังนี้
วิญญาณนิยม
มนุษย์สมัยปฐมบรรพ์ยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อยยังไม่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จึงคิดและเชื่อไปตามความรู้ของตนเมื่อเห็นสิ่งต่างๆเช่นก้อนหินที่มีลักษณะแปลกๆหรือมีสีสันพิเศษแตกต่างกว่าปกติ
ก็จะคิดว่ามีสิ่งลี้ลับอยู่ภายในจึงทาให้สิ่งนั้นๆแปลกประหลาดไปสิ่งลี้ลับนี้เรียกว่ามนะหรืออานาจที่ไม่มีตัวตน
แต่มีชีวิตจิตใจมีพลังวิเศษที่จะบันดาลให้คุณหรือโทษแก่มนุษย์ได้ จึงเกิดการเคารพนับถือมนะขึ้นมา
ระยะนี้เรียกว่าสมัยมนะต่อมาจึงเกิดหมอผี(Shaman)
ซึ่งเป็นบุคคลที่จะอัญเชิญพลังวิเศษของมนะออกมาใช้ตามจุดประสงค์ต่างๆ
ยุคที่หมอผีมีความสาคัญนี้เรียกว่า สมัยมายาต่อมามนุษย์ได้พยายามทาความเข้าใจในเรื่องมนะให้มากขึ้น
ก็เกิดความเข้าใจว่ามนะก็คือวิญญาณนั่นเองซึ่งวิญญาณนี้สิงสถิตอยู่ในที่ทั่วไป
ไม่จาเป็นต้องมีอยู่ในสิ่งแปลกประหลาดเท่านั้นอาจสิงอยู่ในตัวสัตว์ในต้นไม้ ภูเขาและทะเลก็ได้
จึงเกิดการนับถือสัตว์ที่ตนคิดว่าน่าจะมีวิญญาณสิงสถิตอยู่เช่นนับถือจระเข้ เต่าแมว สิงโต เป็นต้น
ทั้งยังนาสัตว์หรือสิ่งที่ตนเคารพมาเป็นที่เคารพของเผ่าจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจาเผ่าต่างๆ
ชาวพื้นเมืองบางเผ่าของประเทศนิวซีแลนด์ได้แกะสลักรูปคนนั่งซ้อนกันหรือที่เรียกว่ารูปเคารพติกิ
การนาสัตว์หรือรูปแกะสลักมาเป็นสัญลักษณ์ประจาเผ่าเรียกว่ารูปเคารพประจาเผ่า(Totemism)
ธรรมชาติเทวนิยม
ต่อมามนุษย์พยายามทาความเข้าใจในเรื่องวิญญาณให้ชัดเจนขึ้นไปอีกก็ได้มีความเข้าใจ
ว่าวิญญาณมีความศักดิ์สิทธิ์วิเศษเกินกว่าวิสัยของมนุษย์จึงเรียกวิญญาณว่าเทวดาหรือเทพเจ้า
ซึ่งเทพเจ้าเหล่านี้สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทั่วไปจึงเกิดการเรียกว่าพระอาทิตย์พระจันทร์ พระวรุณพระอัคนีและพระคงคา
ฯลฯเช่นในศาสนากรีกโบราณและศาสนาพราหมณ์ เป็นต้นนอกจากนี้ยังนับถือผู้ที่ตนเคารพเช่นบิดามารดาบรรพบุรุษ
- 6. กฎหมายระเบียบข้อบังคับ และกติกายังไม่เพียงพอที่จะทาให้สังคมสงบสุขได้
จาเป็นต้องมีคาสอนของศาสนาช่วยขัดเกลาอบรมจิตใจของคนในสังคมให้มีความละอายต่อการทาชั่วกลัวต่อการทาผิด
เมื่อใช้กฎหมายควบคู่กับคาสอนทางศาสนาแล้วย่อมทาให้สังคมมีความสงบสุขยิ่งขึ้น
1.6 ประเภทของศาสนา
เนื่องจากมนุษย์มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อมและความเชื่อถือจึงทาให้เกิดศาสนาหลายรูปแบบขึ้น
เพื่อความสะดวกในการศึกษาจาเป็นจะต้องมีการแบ่งศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ
ตามลักษณะและสภาพการณ์จริงในปัจจุบันของศาสนาเหล่านั้นดังนี้
1.6.1 แบ่งตามลักษณะของศาสนาแบ่งออกเป็น4ประเภท
1. เอกเทวนิยม(Monotheism) เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเช่นศาสนายิวศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามเป็นต้น
2. พหุเทวนิยม(Polytheism) เชื่อในพระเจ้าหลายองค์เช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนากรีกโบราณเป็นต้น
3. สัพพัตถเทวนิยม(Pantheism)เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ในทุกคนทุกแห่งเช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู(บางลัทธิ)
ถือว่าพระพรหมสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง
4. อเทวนิยม(Atheism) ไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างได้แก่ ศาสนาพุทธศาสนาเชน
ทั้ง 4 ประเภทนี้อาจย่อลงเป็น 2 คือ
- เทวนิยม(Theism) เป็นศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูศาสนายิว(ยูดาย)ศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลามฯลฯ
- อเทวนิยม(Atheism) เป็นศาสนาที่ปฏิเสธเรื่องพระเจ้าสร้างโลกได้แก่ ศาสนาพุทธศาสนาเชน
1.6.2 แบ่งตามสภาพการณ์จริงในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ศาสนาที่ตายแล้ว(Dead Religions) หมายถึงศาสนาที่เคยมีผู้นับถือในอดีตกาลแต่ปัจจุบันไม่มีผู้นับถือแล้ว
คงเหลือแต่ชื่อในประวัติศาสตร์เท่านั้นมี12 ศาสนาได้แก่1.1ในทวีปแอฟริกา1 ศาสนาคือศาสนาของอียิปต์โบราณ
1.2 ในทวีปอเมริกา มี 2 ศาสนา คือ
(1) ศาสนาของพวกเปรูโบราณ
(2) ศาสนาของพวกเม็กซิกันโบราณ
1.3 ในทวีปเอเชียมี 5 ศาสนา คือ
(1) ศาสนามิถรา(Mithraism) ได้แก่ ศาสนาที่นับถือพระอาทิตย์ของพวกเปอร์เซีย
(2) ศาสนามนีกี (Manichaeism) มีผู้นับถือระหว่างคริสต์ศตวรรษที่3-5ชื่อศาสนาตั้งขึ้นตามชื่อผู้ตั้งศาสนานี้เรียกทั่วไปว่ามนี
ศาสนานี้ถือว่าพระเจ้ากับซาตานหรือพญามารเป็นของคู่กันชั่วนิรันดร
(3) ศาสนาของพวกบาบิโลเนีย
(4) ศาสนาของพวกฟีนิเซีย
(5) ศาสนาของพวกฮิตไตต์(Hittites)ชนพวกนี้เป็นชนชาติโบราณที่ตั้งภูมิลาเนาอยู่ในเอเชียไมเนอร์
1.4 ในทวีปยุโรป มี 4 ศาสนา คือ
(1) ศาสนาของพวกกรีกโบราณ
(2) ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
(3) ศาสนาของพวกติวตันยุคแรก(4)ศาสนาของพวกที่อยู่ณแหลมสแกนดิเนเวีย(สวีเดนนอร์เวย์และเดนมาร์ก)
2. ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living Religion) หมายถึงศาสนาที่ยังมีผู้นับถืออยู่ในปัจจุบันมี 12 ศาสนาดังนี้
2.1 ศาสนาที่เกิดในเอเชียตะวันออก
1.1 ศาสนาเต๋า
1.2 ศาสนาขงจื๊อ
- 7. 1.3 ศาสนาชินโต
2.2 ศาสนาที่เกิดในเอเชียใต้
2.1 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
2.2 ศาสนาเชน
2.3 ศาสนาพุทธ
2.4 ศาสนาซิกข์
2.3 ศาสนาที่เกิดในเอเชียตะวันตก
3.1 ศาสนาโซโรอัสเตอร์
3.2 ศาสนายูดายหรือยิว
3.3 ศาสนาคริสต์
3.4 ศาสนาอิสลาม
3.5 ศาสนาบาไฮ
1.6.3 แบ่งตามลาดับแห่งวิวัฒนาการของศาสนาแบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
1. ศาสนาธรรมชาติ(Natural Religion) คือศาสนาที่นับถือธรรมชาติมีความรู้สึกว่าในธรรมชาติเช่นแม่น้า ภูเขา ป่าไม้ ฯลฯ
มีวิญญาณสิงอยู่จึงแสดงความเคารพนับถือโดยการเซ่นสรวงสังเวยเป็นต้น
การที่มนุษย์เห็นปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติแล้วใช้ความรู้สึกสามัญของมนุษย์ตัดสิน
กระทั่งทาให้เกิดความเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีผู้สร้างธรรมชาตินั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติคอยควบคุมอยู่
ซึ่งเป็นการแสดงออกของศาสนาดั้งเดิมและเป็นขั้นแรกที่มนุษย์แสดงออกเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
2. ศาสนาองค์กร(Organized Religion) ศาสนาประเภทนี้มีวิวัฒนาการมาโดยลาดับมีการจัดรูปแบบมีการควบคุมเป็นระบบ
จนถึงกับก่อตั้งในรูปสถาบันขึ้นอาจเรียกว่าศาสนาทางสังคม(AssociativeReligion)
ซึ่งมีการจัดระบบความเชื่อตอบสนองสังคมโดยคานึงถึงความเหมาะสมแก่สภาวะของแต่ละสังคมเป็นหลัก
และก่อรูปเป็นสถาบันทางศาสนาขึ้นเป็นเหตุให้ศาสนาประเภทนี้มีระบบและรูปแบบของตัวเอง
มีความมั่นคงถาวรในสังคมสืบมาเช่นศาสนายิวศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ
เป็นต้น
1.6.4 แบ่งตามประเภทของผู้นับถือศาสนาแบ่งออกได้ 3 ประเภทคือ
1. ศาสนาเผ่า(Tribal Religion) คือศาสนาของคนในเผ่าใดเผ่าหนึ่งเป็นความเชื่อของกลุ่มชนในเผ่า
เช่นศาสนาของคนโบราณเผ่าต่างๆซึ่งได้พัฒนาการขึ้นเป็นศาสนาชาติเช่นศาสนาเชนและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
นับถือกันเฉพาะในประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ นับถือเฉพาะในหมู่ชนเผ่าเปอร์เซีย
ศาสนายูดายหรือศาสนายิวนับถือกันเฉพาะในประเทศอิสราเอลหรือหมู่ชาวยิวศาสนาชินโตนับถือเฉพาะในหมู่ชาวญี่ปุ่น
และศาสนาขงจื๊อก็นับถือเฉพาะในหมู่ชาวจีน
2. ศาสนาโลก(World Religion) คือศาสนาที่มีผู้นับถือกระจายอยู่ทั่วโลกไม่จากัดอยู่เฉพาะกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
และที่ใดที่หนึ่ง เช่นศาสนาพุทธศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามซึ่งเรียกอีกอย่างว่าศาสนาสากล
3. ศาสนานิกาย(Segmental Religion) คือศาสนาที่เกิดจากศาสนาใหญ่ หรือนิกายย่อยของศาสนาสากล
ซึ่งเกิดขึ้นจากสาเหตุความกดดันทางสังคมเช่นการเหยียดสีผิวสิทธิทางกฎหมายความไม่เท่าเทียมกันฯลฯ
กลุ่มบุคคลที่เสียเปรียบทางสังคมจึงหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้และธารงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของตน
จึงฟื้นฟูลัทธิศาสนาและระบบทางสังคมให้เป็นของตัวเองขึ้นมาใหม่
โดยรวบรวมผู้คนที่เห็นด้วยทาการเผยแผ่ศาสนาและวัฒนธรรมของตนในต่างแดนเช่นกลุ่มชาวพุทธในอินโดนีเซีย
กลุ่มมุสลิมดาในอเมริกากลุ่มโซโรอัสเตอร์ในอินเดียกลุ่มฮินดูในแอฟริกาใต้ เป็นต้นโดยอาศัยศาสนาเป็นพลังชี้นา
- 9. 3. ศาสนาช่วยทาให้คนในสังคมอยู่กันได้อย่างสงบสุข
4. ศาสนาช่วยส่งเสริมและสร้างสรรค์ผลงานอันมีคุณค่าทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่สังคม
5. ศาสนาช่วยให้คนมีความอดทนไม่หวั่นไหวในโลกธรรมไม่ดีใจจนเกินเหตุเมื่อประสบกับอารมณ์ดี
และไม่เสียใจจนเสียคนเมื่อเผชิญกับเหตุร้าย
6. ศาสนาช่วยประสานรอยร้าวในสังคมมนุษย์ทาให้สังคมมีเอกภาพในการทาการพูดและการคิด
7. ศาสนาทาให้มนุษย์ปกครองตนเองได้ในทุกสถานและทุกเวลา
8. ศาสนาสอนให้มนุษย์มีจิตใจสะอาดไม่กล้าทาความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
9. ศาสนาทาให้มนุษย์ผู้ประพฤติตามพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
และช่วยให้ประสบความสงบสุขทางจิตใจอย่างเป็นลาดับขั้นตอนจนบรรลุเป้ าประสงค์สูงสุดของชีวิต
10. ศาสนาช่วยให้มนุษย์มีความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกันทาให้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะได้อย่างมีความสุข
11. ศาสนาช่วยให้มีหลักในการดาเนินชีวิตให้ชีวิตมีความหมายและความหวัง
และช่วยให้เกิดเสถียรภาพและความสงบสุขในสังคม
พัฒนาการของพระพุทธศาสนา
ก่อนที่จะกล่าวถึงพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆในปัจจุบันเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่งที่จะสืบค้นเพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีต
เพราะโดยทั่วไปอดีตกับปัจจุบันมักจะมีรอยต่อที่แยกกันไม่ออกเสมออย่างน้อยก็จะ
ช่วยให้เราทราบว่าเหตุใดพระพุทธศาสนาจึงสามารถแพร่หลายออกนอกเขตอินเดียซึ่งเป็นแผ่นดินเกิดได้ และ
เมื่อพระพุทธศาสนาอยู่ในประเทศของเราแล้วเราควรจะมีส่วนในการทานุบารุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้
ถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร พระพุทธศาสนาได้ถือกาเนิดขึ้นในโลกมายาวนานกว่าสามพันปี และเคย
เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในประเทศอินเดียหรือดินแดนชมพูทวีปของสมัยอดีต ตลอดระยะเวลา ๔๕พรรษาที่
พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์แล้วได้มีการสังคายนากล่าวคือการ
รวบรวมและชาระสะสางพระธรรมวินัยขึ้นหลายครั้งการสังคายนาครั้งที่สาคัญที่มีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของ
พระพุทธศาสนามากที่สุดมีด้วยกัน ๕ครั้งโดยจัดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ๓ครั้งและที่ประเทศศรีลังกา ๒ครั้งการ
สังคายนาที่ส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายสู่ต่างประเทศเป็นครั้งแรกคือการสังคายนาครั้งที่ ๓ต่อมา
พระพุทธศาสนาได้แยกเป็นสองนิกายหลักคือนิกายหีนยานและนิกายมหายานซึ่งได้เจริญรุ่งเรืองเคียงคู่กันมาจนถึงปัจจุบัน
ตามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ยังไม่เคยเกิดความขัดแย้งในรูปแบบใดๆ ระหว่าง๒นิกายแต่ตรงกันข้าม
ทั้งสองนิกายได้ร่วมกันทาหน้าที่นาส่งหลักพุทธธรรมสู่ประชาคมโลกอย่างเข้มแข็งและทั่วถึงจนกระทั่งมี
การเปรียบเปรยว่าพระพุทธศาสนาทั้ง ๒นิกายเปรียบเหมือนดวงตาทั้ง ๒ของโลก โดยนิกายหีนยานหรือที่นิยม
เรียกกันว่าเถรวาทนั้นได้แพร่หลายในแถบทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ส่วนนิกายมหายานได้แพร่หลายทั้งแถบทวีปเอเชีย
ทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา เอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาก็คือ มีการปรับตัว
เข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนาใน ประเทศนั้นๆ
ซึ่งสังเกตได้อย่างชัดเจนจากคาเรียกพระพุทธศาสนาโดยเพิ่มชื่อประเทศนั้นๆต่อท้ายเช่น
พระพุทธศาสนาแบบสยามวงศ์ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ มหายานแบบจีน มหายานแบบญี่ปุ่น มหายาน แบบเกาหลี
มหายานแบบเวียดนาม เป็นต้นและที่สาคัญแม้แต่ในประเทศเดียวกัน พระพุทธศาสนาก็ยังมี รูปแบบคาสอน
และศาสนพิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่งที่พวกเรา
ชาวพุทธจะได้ศึกษาเรียนรู้ให้ทราบถึงพัฒนาการของรูปแบบคาสอนและศาสนพิธีของพระพุทธศาสนาในโลก ปัจจุบัน
- 11. ส่วนใหญ่จะมีชื่อเรื่องแบบเฉพาะที่ระบุชัดเจนถึงผู้ฟังหรือกลุ่มผู้ฟังเช่นกูฏทันตสูตรกาลามสูตร เป็นต้น
คาสั่งสอนจึงมีลักษณะกระจัดกระจาย เพราะยังไม่ได้รวบรวมเป็นระบบอย่างชัดเจน ในสมัยที่พระบรม ศาสดายังทรงพระชนม์อยู่
พระอัครสาวกเบื้องขวาคือท่านพระสารีบุตร ได้พยายามจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัย หรือที่เรียกว่าการสังคายนา
ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อว่าสังคีติสูตรและกลายเป็นต้นแบบของการสังคายนาในยุคต่อๆ มา
ในยุคที่ยังไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ศาสนาต่างๆนิยมใช้วิธีท่องจาหรือที่เรียกกันว่า มุขปาฐะ เพื่อ
รักษาและถ่ายทอดคาสอนของตนจากรุ่นสู่รุ่นพระพุทธศาสนาก็ใช้วิธีเดียวกันและเพื่อให้คาสอนที่แต่ละท่าน
ได้รับฟังและจดจามามีความสอดคล้องตรงกันและเพื่อจัดหมวดหมู่คาสอนให้เป็นระบบให้ง่ายต่อการจดจานาไปปฏิบัติ
ให้ง่ายต่อการตรวจสอบความถูกต้องและที่สาคัญเพื่อชาระสะสางความเข้าใจผิดอันก่อให้เกิดการ
ปฏิบัติผิด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนา คณะพระเถระ
ผู้ใหญ่จึงจัดให้มีการทาสังคายนาติดต่อกันมาหลายครั้งซึ่งแต่ละครั้งจะมีองค์ประกอบสาคัญอย่างน้อย ๓ประการคือ ๑.
เหตุการณ์ที่ส่งผลเสียต่อพระธรรมวินัย ๒.ผู้อุปถัมภ์ในการทาสังคายนา ๓. ผู้นาฝ่ ายบรรพชิตใน การทาสังคายนา
หลังจากการทาสังคายนาแต่ละครั้งจะมีการประกาศผลให้เหล่าพุทธบริษัทรับทราบอย่างทั่วถึง
จึงทาให้การทาสังคายนาแต่ละครั้งเป็นที่รู้จักของพุทธบริษัททุกหมู่เหล่าตลอดมา7
พระคัมภีร์จุลวรรคแห่งพระวินัยปิฎกบันทึกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อพระพุทธศาสนาครั้งแรกไว้ว่า
เมื่อข่าวการเสด็จดับขันธ์ของพระพุทธองค์แพร่กระจายไปเหล่าพุทธบริษัทที่ยังเป็นปุถุชนต่างก็
เศร้าโศกเสียใจร่าไห้ราพันอาลัยอาวรณ์ เหล่าพระอรหันตสาวกต่างก็เกิดธรรมสังเวชสลดใจแต่มีพระหลวงตา
นามว่าสุภัททะซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระมหาเถระนามว่ามหากัสสปะได้แสดงอาการและความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับทุกคน
ด้วยการพูดว่าพวกท่านจะมัวเศร้าโศกเสียใจร้องไห้เสียน้ําตาไปทาไมการที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์
มิใช่เป็นเรื่องที่ดีหรอกหรือลองคิดดูขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่นันพระองค์ทรงเข้มงวดกวดขันกับพวกเรายิ่งนัก
ทรงห้ามโน่นห้ามนี่แทบกระดิกตัวมิได้เลยตอนนี้พระองค์ก็ไม่อยู่แล้วพวกเราอยากทาอะไรก็
สามารถทาได้ตามใจชอบ8เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้ท่านพระมหากัสสปะจัดประชุมคณะสงฆ์เพื่อทา
สังคายนาเป็นครั้งแรกและเป็นหนึ่งในจานวนสังคายนาที่สาคัญทั้งห้าครั้งซึ่งนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาต่าง
ให้การยอมรับ รายละเอียดโดยย่อของแต่ละครั้งมีดังต่อไปนี้
การสังคายนาครั้งที่ ๑
เมื่อปีพุทธศักราชที่ ๑หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระสรีระพระพุทธองค์ ท่านพระมหากัสสปะ
ได้ประกาศให้พุทธบริษัทรับทราบถึงความจาเป็นในการทาสังคายนา โดยปรารภความเห็นที่เป็น
โทษต่อพระพุทธศาสนาของพระหลวงตาสุภัททะตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งท่านพระมหากัสสปะพิจารณาเห็น อย่างแจ่มแจ้งว่า
หากไม่รีบชาระสะสางทาความเข้าใจให้ถูกต้องอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายสับสนและเป็น
ผลเสียต่อเหล่าพุทธบริษัทที่ยังมีความรู้น้อยและยังมีศรัทธาไม่มั่นคงในการนี้ท่านพระมหาเถระได้ประชุมพระ
อริยสงฆ์จานวนทังสิน ๕๐๐ องค์ ซึ่งทังหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันตสาวก โดยจัดขึ้นที่ถ้ําสัตตบรรณคูหา บน
ภูเขาเวภารบรรพตเขตเมืองราชคฤภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู ใช้เวลาดาเนินการทั้งสิ้น ๗เดือน
ในการทาสังคายนาครั้งที่๑นี้พระมหาเถระที่มีบทบาทสาคัญในการรวบรวมและจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยมีด้วยกัน๓องค์
คือ๑.ท่านพระมหากัสสปะ ทาหน้าที่เป็นประธานคณะสงฆ์และทาหน้าที่เป็นผู้ ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัยว่า
พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ รายละเอียดเป็นอย่างไร เป็นต้น๒.ท่านพระอานนท์
ซึ่งมีฐานะเป็นพระอนุชาและเป็นพระอุปฐากประจาองค์พระบรมศาสดา ทาหน้าที่
รับผิดชอบตอบคาถามเกี่ยวกับเรื่องราวของพระธรรมหรือที่นิยมเรียกว่าพระสุตตันตปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรง
แสดงไว้ในวาระต่างๆ กัน๓. ท่านพระอุบาลี รับหน้าที่ตอบคาถามเกี่ยวกับเรื่องราวของพระวินัยหรือที่นิยม
- 12. เรียกว่าพระวินัยปิฎกทังส่วนที่เป็นวินัยของภิกษุและภิกษุณเมื่อเสร็จสินการซักถามและได้รับคาตอบชัดเจน ทุกประเด็นแล้ว
ท่านพระมหากัสสปะได้ขอให้คณะพระอริยสงฆ์ทัง ๕๐๐ องค์สวดทบทวนทุกประเด็นอย่าง พร้อมเพรียงกันจนจดจาขึนใจ
การสวดพร้อมกันนีคือความหมายที่แท้จริงของคาว่า สังคายนา หลังจากเสร็จสินการทาสังคายนาแล้ว
คณะพระอริยสงฆ์ได้นาผลการทาสังคายนาไปประกาศบอกต่อให้เหล่าพุทธบริษัท รับทราบโดยทั่วกัน
ซึ่งมีผลให้เหล่าพุทธบริษัทได้รับทราบคาสอนอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรกจุดเด่นอีกอย่าง หนึ่งของการสังคายนาครั้งที่๑คือ
การมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะคงพระธรรมวินัยไว้ตามเดิมไม่ได้ถอดถอนสิกขาบทใดๆ
การสังคายนาครั้งที่ ๒
ในปีพุทธศักราชที่๑๐๐คณะสงฆ์ได้ทาการสังคายนาเป็นครั้งที่๒โดยจัดขึ้นที่วาฬุการามเขตเมืองเวสาลี
ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้ากาฬาโศกมีพระอริยสงฆ์เข้าร่วมจานวน๗๐๐องค์ ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกทั้งหมด
ประธานการทาสังคายนาคือพระสัพพกามีสาเหตุของการสังคายนาครั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติผิดพระวินัย
ซึ่งเกิดจากการตีความหมายพระวินัยคลาดเคลื่อน๑๐เรื่อง(กถาวัตถุ๑๐)ซึ่งเหล่าภิกษุ ชาวเมืองวัชชีได้ก่อขึ้น
ใช้เวลาดาเนินการยาวนานถึง๑๐เดือนจึงแล้วเสร็จผลจากการสังคายนาครั้งนี้เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาแยกเป็น ๒
นิกายคือนิกายสถวีรวาทหรือเถรวาท(ยึดถือตามมติพระมหาเถระผู้ทาการสังคายนา)
และนิกายมหาสังฆิกะ(ยึดถือตามฝ่ ายเสียงข้างมากซึ่งตรงกันข้ามกับมติจากการสังคายนา)ซึ่งได้
ชวยวางรากฐานให้นิกายมหายานในเวลาต่อมาถือได้ว่าสังคายนาครั้งนี้คือวิวัฒนาการของนิกายใหม่อย่างไม่ ต้องสังสัย
การสังคายนาครั้งที่ ๓
ในปีพุทธศักราชที่๒๑๗คณะสงฆ์ได้ทาการสังคายนาครั้งที่๓ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช15
โดยมีคณะสงฆ์ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอรหันต์เข้าร่วมจานวน ๑,๐๐๐องค์ ประธานการทาสังคายนาคือ
ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระจัดทาขึ้นณวัดอโศการามเมืองปาฏลีบุตร(ปัจจุบันคือเมือง ปัฏณะ)ใช้เวลา๙
เดือนจึงแล้วเสร็จสาเหตุที่ต้องสังคายนาก็เนื่องจากว่าในสมัยนั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่องมาก
เพราะได้รับการถวายพระอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชทาให้ลาภสักการะอุดมสมบูรณ์ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ
กลับซบเซา ประชาชนเสื่อมศรัทธาลาภสักการะร่อยหรอเลี้ยงชีวิตด้วยความยากลาบากทาให้ นักบวชในศาสนาอื่นๆ
เป็นจานวนมากหันมาปลอมปนบวชเป็นพระภิกษุชาวพุทธเพื่ออาศัยเลี้ยงชีพโดยไม่มี
ความรู้เรื่องหลักธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเลยอาศัยรูปแบบการนุ่งห่มของพระภิกษุชาวพุทธแต่ยังมีวิถีชิวิต
เหมือนศาสนาเดิมของตนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายสับสนในวงการคณะสงฆ์เป็นอย่างมากเกิดการทะเลาะ
วิวาทเรื่องพระธรรมวินัยระหว่างพระสงฆ์ที่แท้จริงกับพระสงฆ์ที่ปลอมบวชส่งผลให้ชาวบ้านเกิดความสับสน
สงสัยติฉินนินทาเป็นวงกว้างคณะสงฆ์จึงต้องขอความร่วมมือจากทางการเพื่อทาสังคายนาเพื่อชาระสะสางพระ
ธรรมวินัยให้ถูกต้องขจัดความมัวหมองของพระพุทธศาสนาอานิสงส์ของการทาสังคายนาครั้งที่๓นี้มีหลายประการเป็นต้นว่า
การลงโทษคนปลอมบวชการเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องพระธรรมวินัยให้กับพุทธบริษัทและที่สาคัญที่สุดก็คือ
ได้มีการส่งพระสมณทูตจานวน๙สายไปประกาศพระพุทธศาสนานอกเขตประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายออกสู่ต่างประเทศเป็นครั้งแรกด้วยคงไม่เกินจริงนักหากจะบอกว่า
ที่ประชาคมโลกรู้จักพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ก็เพราะผลของการ สังคายนาครั้งที่๓นี่เอง
การสังคายนาครั้งที่ ๔
ผลจากการสังคายนาครั้งที่๓ซึ่งมีการส่งพระสมณทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เป็นครั้งแรก
ทาให้ประเทศต่างๆได้เรียนรู้และน้อมนาคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติอย่างแพรหลาย