More Related Content
Similar to เรื่อง ระบบหายใจ
Similar to เรื่อง ระบบหายใจ (20)
เรื่อง ระบบหายใจ
- 3. กระบวนการในการหายใจ ในการหายใจนั้นมีโครงกระดูกส่วนอกและ กล้ามเนื้อบริเวณอกเป็นตัวช่วยขณะหายใจเข้า กล้าม เนื้อหลายมัดหดตัวทำให้ทรวงอกขยายออกไปข้างหน้า และยกขึ้นบน ในเวลาเดียวกันกะบังลมจะลดต่ำลง การกระทำทั้งสองอย่างนี้ทำให้โพรงของทรวงอกขยาย ใหญ่มากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อหยุดทำงานและหย่อนตัวลง ทรวงอกยุบลงและความดันในช่องท้องจะดันกะบังลม กลับขึ้นมาอยู่ในลักษณะเดิม กระบวนการเข่นนี้ทำให้ ความดันในปอดเพิ่มขึ้น เมื่อความดันในปอดเพิ่มขึ้นสูง กว่าความดันของบรรยากาศ อากาศจะถูกดันออกจาก ปอด ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ปัจจัยประการแรกที่ทำให้ อากาศมีการเคลื่อนไหวเข้าออกจากปอดได้นั้น เกิด จากความดันที่แตกต่างกันนั่นเอง
- 4. การแลกเปลี่ยนก๊าซและการใช้ออกซิเจน เมื่อเราหายใจเข้า อากาศภายนอกเข้าสู่อวัยวะ ของระบบหายใจไปยังถุงลมในปอด ที่ผนังของถุงลมมีหลอดเลือดแดงฝอยติดอยู่ ดังนั้นอากาศจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับเม็ดเลือดแดงมากออกชิเจนก็จะผ่านผนังนี้เข้าสู่เม็ดเลือดแดง และคาร์บอนไดออกไชด์ก็จะออกจากเม็ดเลือดผ่านผนังออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศมีออกชิเจนร้อยละ 20 แต่อากาศที่เราหายใจมีออกซิเจนร้อยละ 13
- 6. สาเหตุ เชื้อที่เป็นสาเหตุ ที่พบบ่อย ได้แก่ บีตาสเตรปโตค็อกคัส , สแตฟฟีโลค็อกคัส นิวโมค็อกคัส , ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนซา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการลุกลามของเชื้อโรค จากบริเวณรากฟันที่เป็นหนองเข้าไปในโพรงไซนัสโดยตรงก็ได้ ไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย มักพบเป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัด , หวัดจากการแพ้ , เยื่อจมูกอักเสบ , เนื้องอกในรูจมูก , ผนังกั้นจมูกคด , รากฟันเป็นหนอง
- 7. อาการ ปวดมึน ๆ หนัก ๆ ตรงบริเวณหัวตา หน้าผากโหนกแก้มหรือรอบๆ กระบอกตา บางคนอาจรู้สึกคล้ายปวดฟัน บริเวณขากรรไกรบน อาการปวดอาจเป็นมากในเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า ผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บคอ มีเสลดเหลืองหรือเขียวในลำคอ และอาจหายใจมีกลิ่นเหม็น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มักมีไข้ร่วมด้วย
- 8. สิ่งตรวจพบ เยื่อจมูกบวมแดง คอแดงเล็กน้อย ที่สำคัญจะพบว่า ถ้าเคาะหรือกดแรง ๆ ตรงบริเวณหัวตา หน้าผาก หรือใต้ตาจะรู้สึกเจ็บ อาจมีไข้ ( ในรายที่เป็นเฉียบพลัน ) อาการแทรกซ้อน อาจทำให้เป็นหูชั้นกลางอักเสบ , หลอดลมอักเสบ , ปอดอักเสบ , ฝีรอบกระบอกตา ( Periorbitalabscess), เยื่อกระดูกอักเสบ ( Osteomyelitis) ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง
- 9. การรักษา 1. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ , ยาแก้คัดจมูก อาจช่วยลดการบวมของเนื้อเยื่อที่อักเสบ ซึ่งจะช่วยถ่ายเทหนอง ส่วนยาแก้แพ้ ไม่ควรให้ อาจทำให้น้ำเมือกในโพรงไซนัสเหนียว ถ่ายเทออกได้ไม่ดี ยกเว้นในรายที่มีอาการของภูมิแพ้มาก เช่น จาม มีน้ำมูกมาก อาจให้เพียง 2-3 วัน เพื่อบรรเทาอาการ 2. ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน , อีริโทรไมซิน หรือ โคไตรม็อกซาโซล ปกติอาการจะทุเลาหลังกินยา 2-3 วัน ควรให้กินติดต่อกันนาน 10-14 วันในรายที่เป็นเรื้อรัง ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรให้ยาปฏิชีวนะนาน 3-4 สัปดาห์ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือกำเริบบ่อย ควรส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจเอกซเรย์ไซนัส ถ้ามีหนองขังอยู่ อาจต้องทำการเจาะล้างโพรงจมูก ในรายที่เป็นมาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
- 10. ข้อแนะนำ 1. ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรงดว่ายน้ำ ดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน ประมาณ 2 สัปดาห์ 2. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง แต่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือแก้ไขสาเหตุ เช่น ผนังกั้นจมูกคด 3. ไม่ควรรักษากันเองตามแบบพื้นบ้าน เช่น ใช้สารกรดบางอย่าง หยอดเข้าจมูก ( ทำให้มีน้ำมูกไหลออกมามาก เพราะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อจมูก ) อาจทำให้เกิดการอักเสบ และจมูกพิการได้ 4. ระวังอย่าให้เป็นหวัดบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คัดจมูกหรือจาม ( เช่น ฝุ่น อากาศเย็น ขนสัตว์ ) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
- 12. อาการ เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นหลอดลมจะเกิดอาการอักเสบ เยื่อบุหลอดลมจะบวมทำให้หลอดลมตีบแคบลง ขณะเดียวกันการอักเสบทำให้หลอดลมมีความไวต่อการกระตุ้นและตอบสนองโดยการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบแคบลงไปอีก นอกจากนี้หลอดลมที่อักเสบจะมีการหลั่งเมือกออกมามาก ทำให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบ นอกจากนี้กล้ามเนื้อท่อทางเดินหายใจยังเกิด การหดตัว ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดอาการ หายใจลำบาก ไอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจถี่ และรู้สึกแน่นหน้าอก ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจพบริมฝีปากและเล็บมีสีเขียวคล้ำ
- 13. สาเหตุ - หลอดลมของผู้เป็นโรคหอบหืดมีความไวผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้น ( STIMULI ) สิ่งกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดอาการหอบหืดได้แก่ - สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น , ไรฝุ่น , ขนสัตว์ , ละอองเกสร - สารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ , มลพิษในอากาศ , กลิ่น , ควัน - การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น ความเครียด , ความโกรธ , ความกลัว , ความดีใจ - การออกกำลังกาย - การเปลี่ยนแปลงของอากาศ - การติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ - ยา เช่น ยาแอสไพริน , ยาลดความดันบางกลุ่ม - อาหาร เช่น อาหารทะเล , ถั่ว , ไข่ , นม , ปลา , สารผสมในอาหาร เป็นต้น
- 14. คำแนะนำ 1 . เด็กควรกินปลาที่มีไขมันมากเป็นประจำ เช่น ปลาค็อด จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นหอบหืด 2 . รับประทานอาหารที่มี แมกนีเซียมสูง ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน 3 . ค้นหาว่าแพ้อะไร และพยายามหลีกเลี่ยง 4 . งดอาหารที่กระตุ้นอาการหอบหืด ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เช่น อาหารที่ใส่สารกันบูดเช่น เบนโซเอท ซัลไฟท์ 5 . งดอาหารที่ใส่สีสังเคราะห์ เช่น tartrazine , brilliant blue 6 . งดนมวัว ธัญพืช ไข่ ปลา ถั่วลิสง 7 . รับประทานยาและออกกำลังกายตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ