SlideShare a Scribd company logo
1 of 25
ตาและจมูก
รายชื่อสมาชิก
1. นางสาวกนกกาญจน์ ชีวชุติรุ่งเรือง เลขที่ 1
2. นางสาวณัฐธยาน์ โชติสิริวัฒน์ เลขที่ 7
3. นางสาวณัฐมน เดชไชยยาศักด์ เลขที่ 8
4. นางสาวนภสร ลิ่มสกุล เลขที่ 11
5. นางสาวพิรยาณ์ ธราพร เลขที่ 14
6. นางสาวรวิภา คงแป้น เลขที่ 17
7. นายกฤตนันท์ เนินคีรี เลขที่ 25
ตา
ตา คือส่วนรับแสงสะท ้อนของร่างกาย ทาให ้สามารถมองเห็น และ
รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได ้ตาของสัตว์ต่างๆ มีรูปแบบที่ต่างกันออกไป เริ่ม
ตั้งแต่การรับรู้ว่าสิ่งแวดล ้อมนั้นมืดหรือสว่างเพื่อให ้สามารถปรับตัวให ้เข ้า
กับการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล ้อมได ้แต่จะไม่สามารถรับรู้ออกมา
เป็นภาพได ้ตาที่ซับซ ้อนกว่าจะมีรูปทรงและสีที่เป็นเอกลักษณ์ ในระบบ
ตาที่ซับซ ้อน ตาแต่ละดวงจะสามารถรับภาพที่มีบริเวณที่ซ ้อนทับกันได ้
เพื่อให ้สมองสามารถรับรู้ถึงความลึก หรือ ความเป็นสามมิติของภาพ
 กระจกตา (Cornea) เป็นเนื้อเยื่อโปร่งใสอยู่ด ้านหน้าสุดของ
นัยน์ตา กระจกตาทาหน้าที่รับและให ้แสงผ่านเข ้าสู่ภายใน
 ม่านตา (lris) เป็นส่วนที่เป็นสีของนัยน์ตา ซึ่งอาจมีสีตามเชื้อ
ชาติ ม่านตาทาหน้าที่ควบคุมการขยายของรูม่านตาเพื่อให ้
ปริมาณแสงที่ผ่านเข ้าไปสู่เลนส์ตา อยู่ในระดับพอเหมาะ เมื่อ
แสงสว่างมากม่านตาจะควบคุม ให ้รูม่านตาเปิดน้อย และเมื่อ
แสงสว่างน้อยก็จะควบคุมให ้รูม่านตาเปิดกว ้าง
 รูม่านตา (Pupil) เป็นสีดาอยู่ตรงกลางม่านตา ทาหน้าที่เป็น
ช่องทาให ้แสงผ่านไปสู่เลนส์ตา
 เลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนที่สามารถยืดหยุ่นได ้เนื่องจาก
การหดตัวและคลายตัวของกล ้ามเนื้อยึดเลนส์ตาเลนส์ตา ทา
หน้าที่โฟกัสภาพให ้ไปตกบนเรตินา
ส่วนประกอบของตา
 เซลล์รูปแท่ง เซลล์รูปแท่งทาหน้าที่รับแสงทาให ้
มองเห็น รูปร่างของวัตถุต่างๆ ได ้
 เซลล์รูปกรวย เซลล์รูปกรวยทาหน้าที่รับสีให ้มองเห็น
วัตถุมีสีต่างๆ เซลล์รูปกรวยจะทางานได ้ดี ต ้องมีแสง
สว่างมาก
 โฟเวีย (Fovea) หรือจุดดวงเหลือง เป็นแอ่งเล็กๆ
บริเวณจอตาเป็นบริเวณที่มีเซลล์รูปกรวยอยู่หนาแน่น
ที่สุด จึงเป็นบริเวณ ที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด
 จุดบอดแสง (Blind spot) เป็นบริเวณที่เส ้นประสาท
และเส ้นเส ้นเลือดผ่านเข ้าสู่ในตา ไม่มีเซลล์รูปแท่ง
หรือ เซลล์รูปกรวยเลย ดังนั้น ถ ้าแสงตกบริเวณนี้เราจะ
มองไม่เห็นวัตถุนั้นเลย
 เปลือกตา (Rid) เป็นส่วนที่ปิดเลนส์ในตา ป้องกันสิ่ง
สกปรกเศษผงต่างๆ เข ้าตา
 กระบอกตา (Sclera) เป็นเยื่อชั้นนอกสุด หนาและ
เหนียว ทาให ้ลูกตาคงรูป มีส่วนประกอบสาคัญได ้แก่
ส่วนตาขาวและ กระจกตา
โรคเกี่ยวกับตา
ต้อลม
เป็นภาวะเนื้อเยื่อบุตามีการเปลี่ยนแปลง
ในทางเสื่อม เนื่องจากการถูกสิ่งระคายเคือง
มาเป็นเวลานาน เช่น ผู้ที่ถูกลม ถูกฝุ่ นเป็น
ประจา ถ ้าลามขึ้นบน cornea จะเรียกว่า ต ้อ
เนื้อ
โรคจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็ นโรคที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่จุด
กลางรับภาพของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็ นส่วนที่ไวต่อการ
มองเห็นมากที่สุด โดยผู้ป่ วยมักจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใน
ระยะเริ่มต ้น มารู้ตัวเมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้นแล ้วโรคจอ
ประสาทตาเสื่อมเป็ นสาเหตุที่ทาให ้ตาบอด และยังไม่มีทางรักษา
สูญเสียการมองเห็นบริเวณส่วนกลางโดยความผิดปกติเกิดขึ้นที่ตรง
กลางของเรตินา หรือจอประสาทตา
สาเหตุ
สาเหตุที่แท ้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่แล ้วมักเกิดกับ
ผู้หญิงผิวขาว ชาวตะวันตกที่มีอายุมากกว่า 60 ปีและมีตาสีฟ้า อีก
สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการที่ตาถูกรังสียูวีมากเกินไป
การป้ องกัน
 งดบุหรี่
 รับประทานผักที่มีสีเขียวเข ้มและสีส ้ม บลูเบอร์รี่เป็ นแหล่ง
แอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดีต่อสุขภาพดวงตา"
 ตรวจสายตา สาหรับโรคจอประสาทตาเสื่อมเวลาเป็ นแล ้วมักไม่
รู้ตัวหากไม่สังเกต เนื่องจากส่งผลกระทบกับตาเพียงแค่ข ้าง
เดียว
ต้อหิน
ต ้อหินเป็นภาวะที่มีน้าคั่งภายในลูกตา ทาให ้ไม่สามารถ
ระบายน้าภายในลูกตาได ้ความดันลูกตาสูงจนทาให ้เกิดจุด
บอด และในที่สุดจะมองเห็นภาพเฉพาะจุดศูนย์กลาง (tunnel
vision)
ต ้อหินมี 2 ประเภทได ้แก่ต ้อหินเรื้อรังไม่แสดงอาการ ซึ่งจะ
พัฒนาอาการอย่างช ้า ๆ และต ้อหินชนิดเฉียบพลันซึ่งมักมี
อาการปวดตา ปวดศีรษะ
สาเหตุ
สาเหตุ ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเสื่อมของร่างกายเอง โรค
ต ้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทาลายของขั้วประสาท
ตา ไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรือพบร่วมกับโรคทางตาอื่น ๆ
การรักษา
1.การใช ้ยา ตัวยาจะออกฤทธิ์ลดความดันลูกตา โดยลดการสร้างของเหลว ในด ้านหน้าลูกตา หรือไปช่วยการไหลของของเหลวนี้ออกจาก
ลูกตา เพื่อควบคุมความดันลูกตา ไม่ให ้ไปทาลายขั้วประสาทตาและลานสายตารวมทั้งการมองเห็น
2. การใช ้อาร์กอนเลเซอร์ ซึ่งเป็นเลเซอร์พลังงานสูง โดยจะฉายแสงไปที่บริเวณมุมของช่องด ้านหน้าลูกตา เพื่อเปิดให ้ของเหลวในลูกตา
ไหลออกไปสู่ระบบไหลเวียนลูกตาได ้สะดวกขึ้น
3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเปิดทางให ้ของเหลว Aqueous ไหลออกจากตาได ้อย่างสะดวก ซึ่งมักจะทาเฉพาะในผู้ป่ วยที่ไม่สามารถใช ้วิธี
อื่นๆ
ต้อกระจก
ต ้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์แก ้วตาซึ่งอยู่ในตา
ของคนเรา ซึ่งปกติจะมีลักษณะใสเหมือนกระจกจะ
เริ่มขุ่นมัวขึ้น เป็นสาเหตุทาให ้ความสามารถในการ
มองเห็นลดลง
สาเหตุ
• ส่วน ใหญ่เป็นการเสื่อมตามวัย อายุที่มากขึ้น
เลนส์แก ้วตาในตาก็จะเริ่มหนาและแข็งขึ้นที่จุด
กึ่งกลาง ซึ่งจะมี
ผลโดยตรงต่อความสามารถในการปรับสายตา
• ผลจากยาบางชนิด เช่น สเตอรอยด์
• โรคแทรกซ ้อนทางตาบางชนิด เช่น โรคต ้อหิน
• โรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม
• เด็กเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะ
ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นต ้น
การป้ องกัน
•ทานอาหารที่อุดมด ้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ เบต ้าแคโรทีน ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนวิตามินเอเป็นเรตินอลที่จาเป็นต่อสายตา
• สวมแว่นกันแดดประจาเวลาอยู่กลางแจ ้ง
โรคตาบอดสี
โรคตาบอดสี เป็นภาวะที่ตามองเห็นสีบาง
สีผิดไปจากคนปกติ สามารถพบได ้บ่อยกว่าใน
ผู้ชาย โดยในผู้ชายพบภาวะได ้ประมาณ 8%
ของประชากรทั้งหมด แต่พบในผู้หญิงได ้
เพียงประมาณ 0.4% เท่านั้น
การดูแลดวงตา
 ไม่ใช ้ดวงตาจนเกินขอบเขต เช่น ไม่ควรอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
เป็นเวลานาน หรือไม่อ่านหนังสือในที่แสงน้อย ถ ้าจาเป็นก็ให ้
พักสายตาด ้วยการมองต ้นไม ้ใบหญ ้าหรืออะไรที่มันเป็นสีเขียว
 กินอาหารที่มีวิตามินเอเป็นส่วนประกอบ จะช่วยในเรื่องรักษา
ดวงตาให ้ไม่เสื่อมสภาพไว
 สวมเเว่นกันเเดด เมื่อออกไปในบริเวณที่มีแสงแดด
 อาการตาบวมสามารถแก ้ได ้โดย นาช ้อนสะอาดเเช่ตู้เย็นจนเย็น
และมาประคบที่เปลือกตาเบาๆ จะทาให ้อาการบวมบรรเทาลง
 การใช ้มือขยี้ดวงตา อาจเกิดการติดเชื้อและเกิดอาการตาอักเสบ
ได ้ หากเกิดการระคายเคืองตา ให ้ใช ้น้าสะอาดล ้างแทน
 การใช ้สายตาในการอ่านหนังสือต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเกินไป
ควรเลือกอ่านจากกระดาษที่มีสีเหลืองอ่อนๆ จะช่วยลดแสง
สะท ้อนได ้ดีกว่ากระดาษที่มีสีขาว
 นอนพักผ่อนให ้เพียงพอ ช่วยให ้ร่างกายสดชื่น มีสุขภาพดี
รวมทั้งดวงตาของเราด ้วย
 หมั่นกะพริบตาเป็นประจาสม่าเสมอ เพราะทาให ้น้ามาหล่อเลี้ยง
ดวงตา ไม่เกิดอาการแสบตาหากตาบวม
 ไม่ว่าจะทากิจกรรมอะไรก็ตาม ควรพักสายตาอยู่เป็นระยะๆ
สมุนไพรแก ้ตากุ้งยิง
ตาลึง : ใช ้ยอดตาลึงเขี่ยที่เป็นกุ้งยิงให ้ยางตาลึงติดอยู่
ทาวันละ 3 ครั้ง กุ้งยิงจะยุบลง
ขมิ้นอ้อย : ถ ้าเริ่มเป็นใช ้เนื้อขมิ้นอ ้อยเขี่ยและลูบตรงที่
เป็นหัว กุ้งยิงจะยุบทันที
สมุนไพรแก ้ตาแดง
ผักบุ้ง : เอาผักบุ้งสด 1 ต ้น ล ้างน้าให ้สะอาดตาในครก
สะอาดให ้ละเอียด คั้นน้าใส่ถ ้วยไว ้ใช ้หยอดตาทั้งสอง
ข ้าง (ถึงแดงข ้างเดียวก็ต ้องหยอดทั้งสองข ้าง)
ว่านหางจระเข้ : เอาน้าเมือกว่านหางจระเข ้หยอดตา
บ่อยๆ หรือวันละ 2 ครั้ง เช ้าและก่อนนอน (คนที่แพ้ห ้าม
หยอด)
สมุนไพรแก ้อาการแสบตาเนื่องจากถูกแสงจ ้ามากเกินไป
แตงกวา : เอาแตงกว่าดิบๆ ลูกประมาณไข่เป็ด
ใช ้มีดฝานตามยาวของลูกให ้โค ้งเหมือนรูปปาก
ถ ้วย ล ้างตาแล ้วนา ส่วนที่โค ้งมาคว่าไว ้บนเปลือก
ตาข ้างที่เจ็บสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยิ่งนานยิ่งดี
แล ้วนอนพักสักครู่ตื่นขึ้นมาจะ รู้สึกสบายขึ้น
จมูก
จมูกเป็นอวัยวะรับสัมผัสที่สาคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย โดยทาหน้าที่รับ
กลิ่นของสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา เช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นดอกไม ้ ฯลฯ นอกจากนี้
ยังเป็นทางผ่านของอากาศที่เราหายใจอยู่ตลอดเวลา โดยทาหน้าที่กรอง
อากาศ ปรับอุณหภูมิ และความชื้นของ อากาศก่อนที่จะเข ้าสู่ปอด คือ ถ ้า
อากาศเย็น จมูกจะปรับให ้อุ่นขึ้น ถ ้าอากาศแห ้งมาก จมูกจะให ้อากาศ ซุ่ม
ชื้น นอกจากนี้จมูกยังช่วยในการปรับเสียงที่เราพูด ให ้กังวานน่าฟังอีกด ้วย
ส่วนประกอบของจมูก
 สันจมูก เป็นกระดูกอ่อนที่เริ่มตั้งแต่ใต ้หัวคิ้ว ส่วนบนเป็น
กระดูกที่เรียกว่าดั้งจมูก ส่วนล่างเป็นกระดูกอ่อน มีเนื้อ
เยื่อและผิวหนังปกคลุมอยู่ภายนอก
 รูจมูก มีอยู่ 2 ข ้าง ตรงส่วนล่างของจมูก ภายในมีขน
จมูก
 โพรงจมูก อยู่ถัดจากรูจมูกเข ้าไปข ้างใน ชึ่งเป็นที่พัก
ของอากาศก่อนจะถูกสูดเข ้าปอด
 โพรงอากาศรอบจมูก (ไชนัส) เป็นโพรงกระดูกที่อยู่ใน
บริเวณรอบๆ จมูก มีอยู่ 4 คู่ คือ บริเวณกึ่งกลางหน้าผาก
เหนือคิ้วทั้งสองข ้าง 1 คู่ บริเวณใต ้สมองทั้งสองข ้าง 1
คู่ บริเวณค่อนไปข ้าง หลังของกระดูกจมูก 1 คู่ และอยู่
บริเวณสองข ้างของ จมูกอีก 1 คู่
หน้าที่และการทางานของจมูก
• รูจมูก : ภายในมีขนจมูกทาหน้าที่ป้องกันฝุ่ นละอองในขณะ
หายใจเข ้า
• โพรงอากาศรอบจมูก (ไชนัส) : โพรงอากาศเหล่านี้มีเยื่อ
บางๆ อยู่เช่นเดียวกับ ช่องจมูก และโพรงอากาศเหล่านี้ก็จะ
เปิดเข ้าสู่ช่อง จมูกโดยตรงด ้วย ดังนั้น ถ ้ามีอะไรผิดปกติ
เกิดขึ้นที่ช่องจมูกก็มีผลต่อโพรงอากาศนี้ด ้วย
• การได้รับกลิ่น : กระเปาะรับกลิ่นคือบริเวณที่เยื่อบุภายใน
โพรงจมูกมีประสาทสาหรับรับกลิ่นอยู่ทั่วไป ซึ่งเชื่อมโยงไป
สู่สมอง เมื่อกลิ่นผ่านเข ้าไปในโพรงจมูก กลิ่นมากกระทบ
ปลายประสาทสัมผัสรับกลิ่น ปลายประสาทรับกลิ่นส่งกระแส
ประสาทไปสู่สมอง เพื่อแปลความหมายของสิ่งที่ได ้รับ
• โพรงจมูก : โพรงจมูกทาหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชึ้นของอากาศ โดย หลอดเลือดฝอยชึ่งมีอยู่มากมายตามแผ่นเยื่อเมือกจะ
ถ่ายเทความร้อนออกมาทาให ้อากาศชุ่มชื้น แผ่นเยื่อเมือกเองก็จะทาหน้าที่ปรับความชื้นให ้กับอากาศพร้อม ทั้งดักจับฝุ่ นละอองที่เล็ด
ลอดผ่านขนจมูกเข ้าไปแล ้วขับทิ้งออกมาเป็นน้ามูกนั่นเอง บริเวณด ้านบนของโพรงจมูกมีปลายประสาท ทาหน้าที่รับกลิ่นอยู่มากมาย
ภายโนจมูกยังมีรูเปิดของ ท่อน้าตาชึ่งเป็นที่ระบายน้าตาลงมาในโพรงจมูก เพื่อ มิให ้เอ่อล ้นออกมานอกลูกตา เมื่อเราร้องไห ้จะมีน้าตา
ออกมามาก น้าตาส่วนหนึ่งไหลลงมาตามท่อนี้เข ้าสู่ซ่องจมูก ทาให ้เห็นเป็ นน้ามูกใสๆ ไหลออกมา ทางจมูก เวลาร้องไห ้จึงมักจะคัด
จมูกและมีน้ามูกไหลออกมาด ้วย
ไซนัสอักเสบ (SINUSITIS)
ไซนัสอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุไซนัสข ้าง
จมูก มีการติดเชื้อเข ้าไปสู่ไซนัส แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน เป็นการอักเสบของไซนัสที่มี
การติดเชื้อนาน 3 สัปดาห์- 3 เดือน ซึ่งมักเกิดหลังการเป็น
หวัด
อาการ คัดแน่นจมูก น้ามูกเหลืองเขียวข ้น เป็นไข ้ ปวดศีรษะ
หรือปวดไซนัส อาจมีหูอื้อ ปวดหู
การรักษา ลดอาการปวด ลดอาการบวมของเยื่อบุจมูกและ
เยื่อบุไซนัสหรือให ้ยาหยอดหรือยาพ่นที่ทาให ้หลอดเลือดหด
ตัว
2.ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นการอักเสบของไซนัสที่มีการติด
เชื้อนานกว่า 3 เดือน
สาเหตุ การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลันไม่ได ้ผล หรือเป็น
ซ้าๆ
ความผิดปกติของจมูกที่พบบ่อย
อาการ คัดแน่นจมูก มีเสมหะไหลลงคอ การได ้กลิ่นลดลงหรือเสียไป ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
การรักษา การผ่าตัดผ่านกล ้องเอนโดสโคปเข ้าช่วย เช่น การเจาะล ้างไซนัส เพื่อล ้างมูกหนองที่คั่งอยู่ในท่อออกไป
เลือดกาเดาไหล
เลือดกาเดาไหล คือภาวะที่มีเลือดออกทางจมูก เกิดจากเส ้นเลือดฝอยใน
โพรงจมูกแตก
สาเหตุ
1. การระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก
2. การอักเสบในช่องจมูก
3. การผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก
4. เนื้องอกในจมูก
5. โรคทางระบบอื่น ๆ เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ภาวะเกล็ดเลือดต่า
การรักษา ขั้นต ้นให ้ผู ้ป่ วยก ้มหน้าลงเล็กน้อย ใช ้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบปีกจมูก
ทั้งสองข ้างให ้แน่นเป็นเวลา 5 – 10 นาที ให ้หายใจทางปากแทน อาจวางผ ้า
เย็นหรือถุงน้าแข็งบนดั้งจมูกด ้วยก็ได ้ถ ้าเลือดไม่หยุดไหลควรรีบมาพบแพทย์
หวัดภูมิแพ้
สาเหตุ เกิดจากการแพ ้สิ่งต่างๆ โดยมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์หรือเกิด
จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา
อาการ หวัด คัดจมูก จามบ่อย น้ามูกใสหรือหนองเหลวจากจมูกจานวน
มาก
การรักษา ให ้ยาแก ้แพ ้
การดูแลรักษาจมูก
การดูแลรักษาจมูก
• รักษาจมูกให ้สะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเข ้าไปอยู่ที่ๆมีฝุ่ นละอองมากๆ
• ไม่เข ้าไปในบริเวณที่มีกลิ่นฉุน เหม็น หรือใส่น้าหอมกลิ่นรุนแรง เพราะทาให ้
ประสาทรับกลิ่นเสื่อมลง
• ไม่ใช ้นิ้วหรือของอื่นๆ เช่นปากกา ดินสอ กระดาษ แหย่จมูกเล่น เพราะอาจ
ทาให ้จมูกอักเสบ หรือเป็นอันตรายได ้
• ไม่ถอนขนจมูกหรือตัดให ้สั้น เพราะขนจมูกมีประโยชน์ในการกรองฝุ่ นละออง
เชื้อโรค และสิ่งอื่นๆ ที่อาจปนเข ้ามากับลมหายใจ ไม่ให ้เข ้าสู่ช่องจมูกและ
ปอดได ้
• เวลาจามให ้ใช ้ผ ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษนุ่มๆ ปิดปากไว ้อย่าใช ้มือบีบหรืออุด
จมูกไว ้จนแน่น
• เวลาสั่งน้ามูกให ้ใช ้ผ ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษนุ่มๆ รอไว ้ที่จมูก แล ้วค่อยๆสั่ง
น้ามูก โดยสั่งพร ้อมกันทั้งสองข ้าง ไม่ควรใช ้มือบีบจมูกแล ้วจึงสั่งน้ามูก
• เมือต ้องการดมกลิ่นของบางอย่าง เพื่อที่จะทราบว่าเป็นอะไร อย่าใช ้จมูกจ่อ
จนใกล ้แล ้วสูดหายใจ เพราะอาจเป็นอันตรายได ้เช่น การสูดดมสารเคมีบาง
ชนิด ฉะนั้นจึงควรให ้จมูกอยู่ห่างของนั้นพอประมาณ แล ้วใช ้มือโบกให ้กลิ่น
โชยเข ้าจมูก โดยสูดกลิ่นเพียงเล็กน้อย
• เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นที่จมูก เช่น คัดจมูก เลือดกาเดาไหล ปวดจมูก
หรืออื่นๆ ควรไปให ้แพทย์ตรวจรักษา
ฟ้ าทะลายโจร : นาใบและกิ่งสดต ้มกับน้า
เดือดนาน 10-15 นาที ดื่มก่อนอาหารวัน
ละ 3 ครั้ง แต่ไม่ควรใช ้กับผู้มีความดันต่า
สมุนไพรรักษาโรคไซนัสอักเสบ
ใบพลู : นาใบพลูมา 1 ใบ แล ้วม ้วน จากนั้นขยี้
ปลายข ้างหนึ่ง แล ้วนาส่วนที่ขยี้สอดเข ้าไปใน
รูจมูกที่เลือดกาเดาไหล ทิ้งไว ้ประมาณ 1ชั่วโมง
เลือดกาเดาจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณ
ในการสมานแผลได ้ดี
สมุนไพรรักษาอาการเลือดกาเดาไหล
รากไพล : ใช ้รากไพล 7 ราก ล ้างน้าให ้สะอาด ตา
ให ้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้าเปล่า 3 หยด ขยี้ให ้
เข ้ากัน กรองเอาแต่น้า หยอดน้ารากไพลในรูจมูก
ข ้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก ้เลือดกาเดา
ไหลและฆ่าเชื้อ
สมุนไพรรักษาโรคภูมิแพ้
หอมแดง และ ขมิ้นชัน : รับประทานเป็นประจาจะช่วยลดการแพ้ได ้
ต้นพริก : ใช ้ต ้นพริก (ยกเว ้นเม็ดพริก) ล ้างน้าให ้
สะอาด สับเป็นท่อนสั้นๆ และตากแดดจนแห ้ง
ประมาณ 15 กรัม ต ้มกับน้าเปล่า 1 ลิตร จนเดือด
รินเฉพาะน้าดื่มก่อนอาหาร ครั้งละ 1 แก ้ว เช ้า-เย็น
จะช่วยให ้คุณหายใจสะดวกขึ้นทันที
สมุนไพรแก้คัดจมูก
ฟ้ าทะลายโจร : นาใบแก่และกิ่งสดล ้างน้าให ้สะอาด สับ
เป็นท่อนสั้นๆ ประมาณ 300 – 500 กรัม (ปรับปริมาณได ้
ตามความต ้องการ) ตากแดดให ้แห ้ง นามาบดเป็นผง ผสม
กับน้าผึ้งเล็กน้อยปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดปลายก ้อย หรือ
ใส่แคปซูลเพื่อความสะดวกในการกิน ใช ้รับประทานก่อน
อาหารครั้งละ 3 เม็ด เช ้า-เย็น ช่วยบรรเทาอาการหวัดคัด
จมูกและแก ้เจ็บคอได ้
หญ้าใต้ใบ : ไม ้ต ้นเล็กๆ มีรสขมเย็น ใช ้ต ้นสดประมาณ
3 ต ้น ล ้างน้าให ้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้นๆ ต ้มกับน้า 1
ลิตร รอจนเดือด กรองด ้วยผ ้าขาวบางเอาแต่น้า ดื่มก่อน
อาหาร ครั้งละ 1 แก ้ว เช ้า-เย็น แก ้หวัดคัดจมูกและทา
ให ้น้ามูกแห ้ง
กระเทียม : ควรปรุงอาหารด ้วยกระเทียมจะช่วยลด
อาการคัดจมูก หรือกินกระเทียมสดๆ ครั้งละ 7 กลีบ
พร้อมมื้ออาหาร ทุกวัน
ขิง : นาขิงแก่ 1 แง่ง หั่นเป็นแว่นบางๆ ต ้มกับน้า 1 ลิตร
ประมาณ 5 นาที เสร็จแล ้วตักขิงออก ดื่มขณะยังอุ่นๆ
ครั้งละ 1 แก ้ว ช่วงเช ้า กลาง และเย็น จะช่วยลดน้ามูก
ได ้

More Related Content

Similar to 090620141832TU75R29HASW1

เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบWan Ngamwongwan
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจkruwai
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจboonyarat thungprasert
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจNichapa Banchakiat
 
การคายน้ำของพืช
การคายน้ำของพืชการคายน้ำของพืช
การคายน้ำของพืชdnavaroj
 
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่ คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่ Kat Suksrikong
 
ครูแต่ว
ครูแต่วครูแต่ว
ครูแต่วkruwalanuku
 
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1Thanyamon Chat.
 

Similar to 090620141832TU75R29HASW1 (20)

ศูนย์ที่ 4ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 4ชุดที่ 8ศูนย์ที่ 4ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 4ชุดที่ 8
 
ไซนัส
ไซนัส ไซนัส
ไซนัส
 
ศูนย์ที่ 2 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 2 ชุดที่ 8ศูนย์ที่ 2 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 2 ชุดที่ 8
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 7
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 7ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 7
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 7
 
สุขศึกษา
สุขศึกษาสุขศึกษา
สุขศึกษา
 
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
 
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
ศูนย์ที่ 3 ชุดที่ 8
 
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 7
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 7ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 7
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 7
 
Response to stimuli in plants
Response to stimuli in plantsResponse to stimuli in plants
Response to stimuli in plants
 
Allergic rhinitis
Allergic rhinitisAllergic rhinitis
Allergic rhinitis
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจ
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจ
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจ
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจ
 
เรื่อง ระบบหายใจ
เรื่อง  ระบบหายใจเรื่อง  ระบบหายใจ
เรื่อง ระบบหายใจ
 
การคายน้ำของพืช
การคายน้ำของพืชการคายน้ำของพืช
การคายน้ำของพืช
 
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่ คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใหม่
 
ครูแต่ว
ครูแต่วครูแต่ว
ครูแต่ว
 
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
วิทย์เข้มข้น1 หน่วยที่ 1
 

090620141832TU75R29HASW1

  • 1. ตาและจมูก รายชื่อสมาชิก 1. นางสาวกนกกาญจน์ ชีวชุติรุ่งเรือง เลขที่ 1 2. นางสาวณัฐธยาน์ โชติสิริวัฒน์ เลขที่ 7 3. นางสาวณัฐมน เดชไชยยาศักด์ เลขที่ 8 4. นางสาวนภสร ลิ่มสกุล เลขที่ 11 5. นางสาวพิรยาณ์ ธราพร เลขที่ 14 6. นางสาวรวิภา คงแป้น เลขที่ 17 7. นายกฤตนันท์ เนินคีรี เลขที่ 25
  • 2. ตา ตา คือส่วนรับแสงสะท ้อนของร่างกาย ทาให ้สามารถมองเห็น และ รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได ้ตาของสัตว์ต่างๆ มีรูปแบบที่ต่างกันออกไป เริ่ม ตั้งแต่การรับรู้ว่าสิ่งแวดล ้อมนั้นมืดหรือสว่างเพื่อให ้สามารถปรับตัวให ้เข ้า กับการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล ้อมได ้แต่จะไม่สามารถรับรู้ออกมา เป็นภาพได ้ตาที่ซับซ ้อนกว่าจะมีรูปทรงและสีที่เป็นเอกลักษณ์ ในระบบ ตาที่ซับซ ้อน ตาแต่ละดวงจะสามารถรับภาพที่มีบริเวณที่ซ ้อนทับกันได ้ เพื่อให ้สมองสามารถรับรู้ถึงความลึก หรือ ความเป็นสามมิติของภาพ
  • 3.  กระจกตา (Cornea) เป็นเนื้อเยื่อโปร่งใสอยู่ด ้านหน้าสุดของ นัยน์ตา กระจกตาทาหน้าที่รับและให ้แสงผ่านเข ้าสู่ภายใน  ม่านตา (lris) เป็นส่วนที่เป็นสีของนัยน์ตา ซึ่งอาจมีสีตามเชื้อ ชาติ ม่านตาทาหน้าที่ควบคุมการขยายของรูม่านตาเพื่อให ้ ปริมาณแสงที่ผ่านเข ้าไปสู่เลนส์ตา อยู่ในระดับพอเหมาะ เมื่อ แสงสว่างมากม่านตาจะควบคุม ให ้รูม่านตาเปิดน้อย และเมื่อ แสงสว่างน้อยก็จะควบคุมให ้รูม่านตาเปิดกว ้าง  รูม่านตา (Pupil) เป็นสีดาอยู่ตรงกลางม่านตา ทาหน้าที่เป็น ช่องทาให ้แสงผ่านไปสู่เลนส์ตา  เลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนที่สามารถยืดหยุ่นได ้เนื่องจาก การหดตัวและคลายตัวของกล ้ามเนื้อยึดเลนส์ตาเลนส์ตา ทา หน้าที่โฟกัสภาพให ้ไปตกบนเรตินา ส่วนประกอบของตา
  • 4.  เซลล์รูปแท่ง เซลล์รูปแท่งทาหน้าที่รับแสงทาให ้ มองเห็น รูปร่างของวัตถุต่างๆ ได ้  เซลล์รูปกรวย เซลล์รูปกรวยทาหน้าที่รับสีให ้มองเห็น วัตถุมีสีต่างๆ เซลล์รูปกรวยจะทางานได ้ดี ต ้องมีแสง สว่างมาก  โฟเวีย (Fovea) หรือจุดดวงเหลือง เป็นแอ่งเล็กๆ บริเวณจอตาเป็นบริเวณที่มีเซลล์รูปกรวยอยู่หนาแน่น ที่สุด จึงเป็นบริเวณ ที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด  จุดบอดแสง (Blind spot) เป็นบริเวณที่เส ้นประสาท และเส ้นเส ้นเลือดผ่านเข ้าสู่ในตา ไม่มีเซลล์รูปแท่ง หรือ เซลล์รูปกรวยเลย ดังนั้น ถ ้าแสงตกบริเวณนี้เราจะ มองไม่เห็นวัตถุนั้นเลย  เปลือกตา (Rid) เป็นส่วนที่ปิดเลนส์ในตา ป้องกันสิ่ง สกปรกเศษผงต่างๆ เข ้าตา  กระบอกตา (Sclera) เป็นเยื่อชั้นนอกสุด หนาและ เหนียว ทาให ้ลูกตาคงรูป มีส่วนประกอบสาคัญได ้แก่ ส่วนตาขาวและ กระจกตา
  • 6. โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็ นโรคที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่จุด กลางรับภาพของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็ นส่วนที่ไวต่อการ มองเห็นมากที่สุด โดยผู้ป่ วยมักจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใน ระยะเริ่มต ้น มารู้ตัวเมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นเกิดขึ้นแล ้วโรคจอ ประสาทตาเสื่อมเป็ นสาเหตุที่ทาให ้ตาบอด และยังไม่มีทางรักษา สูญเสียการมองเห็นบริเวณส่วนกลางโดยความผิดปกติเกิดขึ้นที่ตรง กลางของเรตินา หรือจอประสาทตา สาเหตุ สาเหตุที่แท ้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่แล ้วมักเกิดกับ ผู้หญิงผิวขาว ชาวตะวันตกที่มีอายุมากกว่า 60 ปีและมีตาสีฟ้า อีก สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการที่ตาถูกรังสียูวีมากเกินไป การป้ องกัน  งดบุหรี่  รับประทานผักที่มีสีเขียวเข ้มและสีส ้ม บลูเบอร์รี่เป็ นแหล่ง แอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดีต่อสุขภาพดวงตา"  ตรวจสายตา สาหรับโรคจอประสาทตาเสื่อมเวลาเป็ นแล ้วมักไม่ รู้ตัวหากไม่สังเกต เนื่องจากส่งผลกระทบกับตาเพียงแค่ข ้าง เดียว
  • 7. ต้อหิน ต ้อหินเป็นภาวะที่มีน้าคั่งภายในลูกตา ทาให ้ไม่สามารถ ระบายน้าภายในลูกตาได ้ความดันลูกตาสูงจนทาให ้เกิดจุด บอด และในที่สุดจะมองเห็นภาพเฉพาะจุดศูนย์กลาง (tunnel vision) ต ้อหินมี 2 ประเภทได ้แก่ต ้อหินเรื้อรังไม่แสดงอาการ ซึ่งจะ พัฒนาอาการอย่างช ้า ๆ และต ้อหินชนิดเฉียบพลันซึ่งมักมี อาการปวดตา ปวดศีรษะ สาเหตุ สาเหตุ ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเสื่อมของร่างกายเอง โรค ต ้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทาลายของขั้วประสาท ตา ไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรือพบร่วมกับโรคทางตาอื่น ๆ การรักษา 1.การใช ้ยา ตัวยาจะออกฤทธิ์ลดความดันลูกตา โดยลดการสร้างของเหลว ในด ้านหน้าลูกตา หรือไปช่วยการไหลของของเหลวนี้ออกจาก ลูกตา เพื่อควบคุมความดันลูกตา ไม่ให ้ไปทาลายขั้วประสาทตาและลานสายตารวมทั้งการมองเห็น 2. การใช ้อาร์กอนเลเซอร์ ซึ่งเป็นเลเซอร์พลังงานสูง โดยจะฉายแสงไปที่บริเวณมุมของช่องด ้านหน้าลูกตา เพื่อเปิดให ้ของเหลวในลูกตา ไหลออกไปสู่ระบบไหลเวียนลูกตาได ้สะดวกขึ้น 3. การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเปิดทางให ้ของเหลว Aqueous ไหลออกจากตาได ้อย่างสะดวก ซึ่งมักจะทาเฉพาะในผู้ป่ วยที่ไม่สามารถใช ้วิธี อื่นๆ
  • 8. ต้อกระจก ต ้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์แก ้วตาซึ่งอยู่ในตา ของคนเรา ซึ่งปกติจะมีลักษณะใสเหมือนกระจกจะ เริ่มขุ่นมัวขึ้น เป็นสาเหตุทาให ้ความสามารถในการ มองเห็นลดลง สาเหตุ • ส่วน ใหญ่เป็นการเสื่อมตามวัย อายุที่มากขึ้น เลนส์แก ้วตาในตาก็จะเริ่มหนาและแข็งขึ้นที่จุด กึ่งกลาง ซึ่งจะมี ผลโดยตรงต่อความสามารถในการปรับสายตา • ผลจากยาบางชนิด เช่น สเตอรอยด์ • โรคแทรกซ ้อนทางตาบางชนิด เช่น โรคต ้อหิน • โรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม • เด็กเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะ ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นต ้น การป้ องกัน •ทานอาหารที่อุดมด ้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ เบต ้าแคโรทีน ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนวิตามินเอเป็นเรตินอลที่จาเป็นต่อสายตา • สวมแว่นกันแดดประจาเวลาอยู่กลางแจ ้ง
  • 9. โรคตาบอดสี โรคตาบอดสี เป็นภาวะที่ตามองเห็นสีบาง สีผิดไปจากคนปกติ สามารถพบได ้บ่อยกว่าใน ผู้ชาย โดยในผู้ชายพบภาวะได ้ประมาณ 8% ของประชากรทั้งหมด แต่พบในผู้หญิงได ้ เพียงประมาณ 0.4% เท่านั้น
  • 10. การดูแลดวงตา  ไม่ใช ้ดวงตาจนเกินขอบเขต เช่น ไม่ควรอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานาน หรือไม่อ่านหนังสือในที่แสงน้อย ถ ้าจาเป็นก็ให ้ พักสายตาด ้วยการมองต ้นไม ้ใบหญ ้าหรืออะไรที่มันเป็นสีเขียว  กินอาหารที่มีวิตามินเอเป็นส่วนประกอบ จะช่วยในเรื่องรักษา ดวงตาให ้ไม่เสื่อมสภาพไว  สวมเเว่นกันเเดด เมื่อออกไปในบริเวณที่มีแสงแดด  อาการตาบวมสามารถแก ้ได ้โดย นาช ้อนสะอาดเเช่ตู้เย็นจนเย็น และมาประคบที่เปลือกตาเบาๆ จะทาให ้อาการบวมบรรเทาลง  การใช ้มือขยี้ดวงตา อาจเกิดการติดเชื้อและเกิดอาการตาอักเสบ ได ้ หากเกิดการระคายเคืองตา ให ้ใช ้น้าสะอาดล ้างแทน  การใช ้สายตาในการอ่านหนังสือต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเกินไป ควรเลือกอ่านจากกระดาษที่มีสีเหลืองอ่อนๆ จะช่วยลดแสง สะท ้อนได ้ดีกว่ากระดาษที่มีสีขาว  นอนพักผ่อนให ้เพียงพอ ช่วยให ้ร่างกายสดชื่น มีสุขภาพดี รวมทั้งดวงตาของเราด ้วย  หมั่นกะพริบตาเป็นประจาสม่าเสมอ เพราะทาให ้น้ามาหล่อเลี้ยง ดวงตา ไม่เกิดอาการแสบตาหากตาบวม  ไม่ว่าจะทากิจกรรมอะไรก็ตาม ควรพักสายตาอยู่เป็นระยะๆ
  • 11. สมุนไพรแก ้ตากุ้งยิง ตาลึง : ใช ้ยอดตาลึงเขี่ยที่เป็นกุ้งยิงให ้ยางตาลึงติดอยู่ ทาวันละ 3 ครั้ง กุ้งยิงจะยุบลง ขมิ้นอ้อย : ถ ้าเริ่มเป็นใช ้เนื้อขมิ้นอ ้อยเขี่ยและลูบตรงที่ เป็นหัว กุ้งยิงจะยุบทันที
  • 12. สมุนไพรแก ้ตาแดง ผักบุ้ง : เอาผักบุ้งสด 1 ต ้น ล ้างน้าให ้สะอาดตาในครก สะอาดให ้ละเอียด คั้นน้าใส่ถ ้วยไว ้ใช ้หยอดตาทั้งสอง ข ้าง (ถึงแดงข ้างเดียวก็ต ้องหยอดทั้งสองข ้าง) ว่านหางจระเข้ : เอาน้าเมือกว่านหางจระเข ้หยอดตา บ่อยๆ หรือวันละ 2 ครั้ง เช ้าและก่อนนอน (คนที่แพ้ห ้าม หยอด)
  • 13. สมุนไพรแก ้อาการแสบตาเนื่องจากถูกแสงจ ้ามากเกินไป แตงกวา : เอาแตงกว่าดิบๆ ลูกประมาณไข่เป็ด ใช ้มีดฝานตามยาวของลูกให ้โค ้งเหมือนรูปปาก ถ ้วย ล ้างตาแล ้วนา ส่วนที่โค ้งมาคว่าไว ้บนเปลือก ตาข ้างที่เจ็บสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยิ่งนานยิ่งดี แล ้วนอนพักสักครู่ตื่นขึ้นมาจะ รู้สึกสบายขึ้น
  • 14. จมูก จมูกเป็นอวัยวะรับสัมผัสที่สาคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย โดยทาหน้าที่รับ กลิ่นของสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา เช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นดอกไม ้ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเป็นทางผ่านของอากาศที่เราหายใจอยู่ตลอดเวลา โดยทาหน้าที่กรอง อากาศ ปรับอุณหภูมิ และความชื้นของ อากาศก่อนที่จะเข ้าสู่ปอด คือ ถ ้า อากาศเย็น จมูกจะปรับให ้อุ่นขึ้น ถ ้าอากาศแห ้งมาก จมูกจะให ้อากาศ ซุ่ม ชื้น นอกจากนี้จมูกยังช่วยในการปรับเสียงที่เราพูด ให ้กังวานน่าฟังอีกด ้วย
  • 15. ส่วนประกอบของจมูก  สันจมูก เป็นกระดูกอ่อนที่เริ่มตั้งแต่ใต ้หัวคิ้ว ส่วนบนเป็น กระดูกที่เรียกว่าดั้งจมูก ส่วนล่างเป็นกระดูกอ่อน มีเนื้อ เยื่อและผิวหนังปกคลุมอยู่ภายนอก  รูจมูก มีอยู่ 2 ข ้าง ตรงส่วนล่างของจมูก ภายในมีขน จมูก  โพรงจมูก อยู่ถัดจากรูจมูกเข ้าไปข ้างใน ชึ่งเป็นที่พัก ของอากาศก่อนจะถูกสูดเข ้าปอด  โพรงอากาศรอบจมูก (ไชนัส) เป็นโพรงกระดูกที่อยู่ใน บริเวณรอบๆ จมูก มีอยู่ 4 คู่ คือ บริเวณกึ่งกลางหน้าผาก เหนือคิ้วทั้งสองข ้าง 1 คู่ บริเวณใต ้สมองทั้งสองข ้าง 1 คู่ บริเวณค่อนไปข ้าง หลังของกระดูกจมูก 1 คู่ และอยู่ บริเวณสองข ้างของ จมูกอีก 1 คู่
  • 16. หน้าที่และการทางานของจมูก • รูจมูก : ภายในมีขนจมูกทาหน้าที่ป้องกันฝุ่ นละอองในขณะ หายใจเข ้า • โพรงอากาศรอบจมูก (ไชนัส) : โพรงอากาศเหล่านี้มีเยื่อ บางๆ อยู่เช่นเดียวกับ ช่องจมูก และโพรงอากาศเหล่านี้ก็จะ เปิดเข ้าสู่ช่อง จมูกโดยตรงด ้วย ดังนั้น ถ ้ามีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นที่ช่องจมูกก็มีผลต่อโพรงอากาศนี้ด ้วย • การได้รับกลิ่น : กระเปาะรับกลิ่นคือบริเวณที่เยื่อบุภายใน โพรงจมูกมีประสาทสาหรับรับกลิ่นอยู่ทั่วไป ซึ่งเชื่อมโยงไป สู่สมอง เมื่อกลิ่นผ่านเข ้าไปในโพรงจมูก กลิ่นมากกระทบ ปลายประสาทสัมผัสรับกลิ่น ปลายประสาทรับกลิ่นส่งกระแส ประสาทไปสู่สมอง เพื่อแปลความหมายของสิ่งที่ได ้รับ • โพรงจมูก : โพรงจมูกทาหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชึ้นของอากาศ โดย หลอดเลือดฝอยชึ่งมีอยู่มากมายตามแผ่นเยื่อเมือกจะ ถ่ายเทความร้อนออกมาทาให ้อากาศชุ่มชื้น แผ่นเยื่อเมือกเองก็จะทาหน้าที่ปรับความชื้นให ้กับอากาศพร้อม ทั้งดักจับฝุ่ นละอองที่เล็ด ลอดผ่านขนจมูกเข ้าไปแล ้วขับทิ้งออกมาเป็นน้ามูกนั่นเอง บริเวณด ้านบนของโพรงจมูกมีปลายประสาท ทาหน้าที่รับกลิ่นอยู่มากมาย ภายโนจมูกยังมีรูเปิดของ ท่อน้าตาชึ่งเป็นที่ระบายน้าตาลงมาในโพรงจมูก เพื่อ มิให ้เอ่อล ้นออกมานอกลูกตา เมื่อเราร้องไห ้จะมีน้าตา ออกมามาก น้าตาส่วนหนึ่งไหลลงมาตามท่อนี้เข ้าสู่ซ่องจมูก ทาให ้เห็นเป็ นน้ามูกใสๆ ไหลออกมา ทางจมูก เวลาร้องไห ้จึงมักจะคัด จมูกและมีน้ามูกไหลออกมาด ้วย
  • 17. ไซนัสอักเสบ (SINUSITIS) ไซนัสอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุไซนัสข ้าง จมูก มีการติดเชื้อเข ้าไปสู่ไซนัส แบ่งเป็น 2 ชนิด 1. ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน เป็นการอักเสบของไซนัสที่มี การติดเชื้อนาน 3 สัปดาห์- 3 เดือน ซึ่งมักเกิดหลังการเป็น หวัด อาการ คัดแน่นจมูก น้ามูกเหลืองเขียวข ้น เป็นไข ้ ปวดศีรษะ หรือปวดไซนัส อาจมีหูอื้อ ปวดหู การรักษา ลดอาการปวด ลดอาการบวมของเยื่อบุจมูกและ เยื่อบุไซนัสหรือให ้ยาหยอดหรือยาพ่นที่ทาให ้หลอดเลือดหด ตัว 2.ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นการอักเสบของไซนัสที่มีการติด เชื้อนานกว่า 3 เดือน สาเหตุ การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลันไม่ได ้ผล หรือเป็น ซ้าๆ ความผิดปกติของจมูกที่พบบ่อย อาการ คัดแน่นจมูก มีเสมหะไหลลงคอ การได ้กลิ่นลดลงหรือเสียไป ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น การรักษา การผ่าตัดผ่านกล ้องเอนโดสโคปเข ้าช่วย เช่น การเจาะล ้างไซนัส เพื่อล ้างมูกหนองที่คั่งอยู่ในท่อออกไป
  • 18. เลือดกาเดาไหล เลือดกาเดาไหล คือภาวะที่มีเลือดออกทางจมูก เกิดจากเส ้นเลือดฝอยใน โพรงจมูกแตก สาเหตุ 1. การระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก 2. การอักเสบในช่องจมูก 3. การผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก 4. เนื้องอกในจมูก 5. โรคทางระบบอื่น ๆ เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ภาวะเกล็ดเลือดต่า การรักษา ขั้นต ้นให ้ผู ้ป่ วยก ้มหน้าลงเล็กน้อย ใช ้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบปีกจมูก ทั้งสองข ้างให ้แน่นเป็นเวลา 5 – 10 นาที ให ้หายใจทางปากแทน อาจวางผ ้า เย็นหรือถุงน้าแข็งบนดั้งจมูกด ้วยก็ได ้ถ ้าเลือดไม่หยุดไหลควรรีบมาพบแพทย์ หวัดภูมิแพ้ สาเหตุ เกิดจากการแพ ้สิ่งต่างๆ โดยมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์หรือเกิด จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา อาการ หวัด คัดจมูก จามบ่อย น้ามูกใสหรือหนองเหลวจากจมูกจานวน มาก การรักษา ให ้ยาแก ้แพ ้
  • 19. การดูแลรักษาจมูก การดูแลรักษาจมูก • รักษาจมูกให ้สะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเข ้าไปอยู่ที่ๆมีฝุ่ นละอองมากๆ • ไม่เข ้าไปในบริเวณที่มีกลิ่นฉุน เหม็น หรือใส่น้าหอมกลิ่นรุนแรง เพราะทาให ้ ประสาทรับกลิ่นเสื่อมลง • ไม่ใช ้นิ้วหรือของอื่นๆ เช่นปากกา ดินสอ กระดาษ แหย่จมูกเล่น เพราะอาจ ทาให ้จมูกอักเสบ หรือเป็นอันตรายได ้ • ไม่ถอนขนจมูกหรือตัดให ้สั้น เพราะขนจมูกมีประโยชน์ในการกรองฝุ่ นละออง เชื้อโรค และสิ่งอื่นๆ ที่อาจปนเข ้ามากับลมหายใจ ไม่ให ้เข ้าสู่ช่องจมูกและ ปอดได ้ • เวลาจามให ้ใช ้ผ ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษนุ่มๆ ปิดปากไว ้อย่าใช ้มือบีบหรืออุด จมูกไว ้จนแน่น • เวลาสั่งน้ามูกให ้ใช ้ผ ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษนุ่มๆ รอไว ้ที่จมูก แล ้วค่อยๆสั่ง น้ามูก โดยสั่งพร ้อมกันทั้งสองข ้าง ไม่ควรใช ้มือบีบจมูกแล ้วจึงสั่งน้ามูก • เมือต ้องการดมกลิ่นของบางอย่าง เพื่อที่จะทราบว่าเป็นอะไร อย่าใช ้จมูกจ่อ จนใกล ้แล ้วสูดหายใจ เพราะอาจเป็นอันตรายได ้เช่น การสูดดมสารเคมีบาง ชนิด ฉะนั้นจึงควรให ้จมูกอยู่ห่างของนั้นพอประมาณ แล ้วใช ้มือโบกให ้กลิ่น โชยเข ้าจมูก โดยสูดกลิ่นเพียงเล็กน้อย • เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นที่จมูก เช่น คัดจมูก เลือดกาเดาไหล ปวดจมูก หรืออื่นๆ ควรไปให ้แพทย์ตรวจรักษา
  • 20. ฟ้ าทะลายโจร : นาใบและกิ่งสดต ้มกับน้า เดือดนาน 10-15 นาที ดื่มก่อนอาหารวัน ละ 3 ครั้ง แต่ไม่ควรใช ้กับผู้มีความดันต่า สมุนไพรรักษาโรคไซนัสอักเสบ
  • 21. ใบพลู : นาใบพลูมา 1 ใบ แล ้วม ้วน จากนั้นขยี้ ปลายข ้างหนึ่ง แล ้วนาส่วนที่ขยี้สอดเข ้าไปใน รูจมูกที่เลือดกาเดาไหล ทิ้งไว ้ประมาณ 1ชั่วโมง เลือดกาเดาจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณ ในการสมานแผลได ้ดี สมุนไพรรักษาอาการเลือดกาเดาไหล รากไพล : ใช ้รากไพล 7 ราก ล ้างน้าให ้สะอาด ตา ให ้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้าเปล่า 3 หยด ขยี้ให ้ เข ้ากัน กรองเอาแต่น้า หยอดน้ารากไพลในรูจมูก ข ้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก ้เลือดกาเดา ไหลและฆ่าเชื้อ
  • 22. สมุนไพรรักษาโรคภูมิแพ้ หอมแดง และ ขมิ้นชัน : รับประทานเป็นประจาจะช่วยลดการแพ้ได ้
  • 23. ต้นพริก : ใช ้ต ้นพริก (ยกเว ้นเม็ดพริก) ล ้างน้าให ้ สะอาด สับเป็นท่อนสั้นๆ และตากแดดจนแห ้ง ประมาณ 15 กรัม ต ้มกับน้าเปล่า 1 ลิตร จนเดือด รินเฉพาะน้าดื่มก่อนอาหาร ครั้งละ 1 แก ้ว เช ้า-เย็น จะช่วยให ้คุณหายใจสะดวกขึ้นทันที สมุนไพรแก้คัดจมูก
  • 24. ฟ้ าทะลายโจร : นาใบแก่และกิ่งสดล ้างน้าให ้สะอาด สับ เป็นท่อนสั้นๆ ประมาณ 300 – 500 กรัม (ปรับปริมาณได ้ ตามความต ้องการ) ตากแดดให ้แห ้ง นามาบดเป็นผง ผสม กับน้าผึ้งเล็กน้อยปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดปลายก ้อย หรือ ใส่แคปซูลเพื่อความสะดวกในการกิน ใช ้รับประทานก่อน อาหารครั้งละ 3 เม็ด เช ้า-เย็น ช่วยบรรเทาอาการหวัดคัด จมูกและแก ้เจ็บคอได ้ หญ้าใต้ใบ : ไม ้ต ้นเล็กๆ มีรสขมเย็น ใช ้ต ้นสดประมาณ 3 ต ้น ล ้างน้าให ้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้นๆ ต ้มกับน้า 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด ้วยผ ้าขาวบางเอาแต่น้า ดื่มก่อน อาหาร ครั้งละ 1 แก ้ว เช ้า-เย็น แก ้หวัดคัดจมูกและทา ให ้น้ามูกแห ้ง
  • 25. กระเทียม : ควรปรุงอาหารด ้วยกระเทียมจะช่วยลด อาการคัดจมูก หรือกินกระเทียมสดๆ ครั้งละ 7 กลีบ พร้อมมื้ออาหาร ทุกวัน ขิง : นาขิงแก่ 1 แง่ง หั่นเป็นแว่นบางๆ ต ้มกับน้า 1 ลิตร ประมาณ 5 นาที เสร็จแล ้วตักขิงออก ดื่มขณะยังอุ่นๆ ครั้งละ 1 แก ้ว ช่วงเช ้า กลาง และเย็น จะช่วยลดน้ามูก ได ้