More Related Content
Similar to 9789740333616 (7)
9789740333616
- 1. บทที่ 1
บทนํา
ชลชีววิทยา หรือชีววิทยาทางนํ้า (hydrobiology) เปนวิชาที่ศึกษาถึงความสัมพันธ
ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูในแหลงนํ้าซึ่งแหลงนํ้าในที่นี่หมายรวมถึงนํ้าจืด(freshwater)นํ้ากรอย
(brackish water) และนํ้าเค็ม (sea water) ซึ่งจะเห็นวา ชีววิทยาทางนํ้าเปนวิชาที่มีขอบเขต
ในการศึกษากวางมาก ดังนั้น นักวิทยาศาสตรจึงแบงการศึกษาเนื้อหาออกเปน 2 สวน โดยแบง
ตามลักษณะของระดับความเค็มในแหลงนํ้าเชนในนํ้าเค็มจะทําการศึกษาในรายวิชาสมุทรศาสตร
(oceanography) ซึ่งเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับทะเล มหาสมุทร และกระบวนการตาง ๆ ที่
เกิดขึ้น เชน สิ่งมีชีวิต ระบบการหมุนเวียนของสิ่งแวดลอม คลื่น และพื้นทองนํ้าของมหาสมุทร
ขณะที่ชลธีวิทยา (limnology) เปนการศึกษาเรื่องราวในลักษณะเชนเดียวกับสมุทรศาสตร
แตกระทําการศึกษาในแหลงนํ้าจืดที่เปนแหลงนํ้าผิวดินที่ไมใชทะเล (inland waters) ทั้ง
แหลงนํ้าไหล (lotic water หรือ running water) เชน หวย ลําธาร แมนํ้า และแหลงนํ้านิ่ง
(lentic water หรือ standing water) เชน หนอง บึง อางเก็บนํ้า ทะเลสาบนํ้าจืด ทะเลสาบ
นํ้าเค็ม และพื้นที่ชุมนํ้า
คําวา ชลธีวิทยา มีชื่อภาษาอังกฤษคือ limnology ซึ่งมาจากภาษากรีก เปนการ
ผสมกันระหวางคําวา limne ที่แปลวาแหลงนํ้าเล็ก ๆ หรือทะเลสาบ และ logy ที่แปลวา
- 2. 2 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
วิชา รวมความหมายไดวาเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับแหลงนํ้าหรือทะเลสาบ โดยคําวาชลธีวิทยา
มีนักวิทยาศาสตรไดใหความหมายไวแตกตางกัน เชน
Forel (1841-1912) นักวิทยาศาสตรชาวสวิตเซอรแลนด ที่ถือวาเปนบิดาทาง
ชลธีวิทยา ใหความหมายของชลธีวิทยาวา การศึกษานํ้าในทะเลสาบ
Edgado Baldi (1899-1951) ไดอธิบายวา ชลธีวิทยา คือ วิทยาศาสตรที่เกี่ยวของ
กับวิธีการของสิ่งที่อยู และพลังงานที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในทะเลสาบ
Winberg (1963) ใหความหมายของชลธีวิทยาวา การศึกษาถึงการเคลื่อนไหวของ
สิ่งมีชีวิตและไมมีชีวิตที่มีความสัมพันธกับแหลงนํ้า
Wetzel (2001) อธิบายคําวาชลธีวิทยาวา เปนการศึกษาถึงความสัมพันธระหวาง
โครงสรางและหนาที่ของสิ่งมีชีวิตในแหลงนํ้าจืดบนผิวดิน โดยไดรับผลมาจากการเปลี่ยนแปลง
สิ่งแวดลอมทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ
สวง บุณยวณิชย (2534) นักวิทยาศาสตรของประเทศไทยไดใหความหมายของ
ชลธีวิทยาวา เปนวิชาที่ศึกษาถึงนํ้าจืดในแผนดิน ซึ่งมีอิทธิพลตอสิ่งที่มีชีวิตที่อยูอาศัย ซึ่งรวมถึง
กระแสนํ้าไหลและกระแสนํ้านิ่ง
โดยสรุป คําวาชลธีวิทยาจึงหมายถึง ศาสตรที่ศึกษาถึงแหลงนํ้าจืดบนผิวดิน ทั้ง
แหลงนํ้านิ่งและแหลงนํ้าไหล ที่มีอิทธิพลตอความสัมพันธระหวางโครงสรางและหนาที่ของ
สิ่งมีชีวิตที่ดํารงชีวิตในแหลงนํ้า
นํ้า
นํ้าเปนสิ่งสําคัญสําหรับการดํารงชีพของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไมวาจะเปนพืชหรือสัตว
เนื่องจากนํ้าเปนสารประกอบที่มีคุณสมบัติเกี่ยวของกับกิจกรรมภายในรางกายของสิ่งมีชีวิต
เชน กระบวนการสรางอาหารโดยการสังเคราะหแสง (photosynthesis) ของพืช กระบวนการ
เมแทบอลิซึม (metabolism) และการขับถายของเสีย (excretion) ของสัตว นอกจากนี้ นํ้า
ยังเปนตัวกลางที่สําคัญตอการดํารงชีวิตของสัตวนํ้าโดยปริมาณนํ้าที่หมุนเวียนอยูในโลกทั้งหมด
ยากที่จะคาดคะเนไดเทาที่ไดมีการประเมินคาดวามีปริมาณ1,385,984,640ลูกบาศกกิโลเมตร
คิดเปนนํ้าทะเลประมาณรอยละ 97.54 ที่เหลืออีกรอยละ 2.46 แยกเปนนํ้าที่อยูในธารนํ้าแข็ง
และนํ้าแข็งขั้วโลกรอยละ 1.81 และเปนนํ้าใตดินรอยละ 0.63 สวนที่เหลือรอยละ 0.016
หรือประมาณ 22,000 ลูกบาศกกิโลเมตร ซึ่งไดแก นํ้าที่พบในแมนํ้า ลําธาร บึง และทะเลสาบ
- 3. บทที่ 1 บทนํา | 3
(ตารางที่ 1.1 และรูปที่ 1.1) ดังนั้น นํ้าจืดที่หมุนเวียนใชในระบบนิเวศทั่วไปจึงมีปริมาณ
นอยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณนํ้าทั้งหมดที่มีอยูในโลก และสวนสุดทายคือนํ้าใน
บรรยากาศมีประมาณรอยละ 0.001 (Braganza, 2007: 182)
ตารางที่ 1.1 ปริมาณนํ้าในอุทกภาค
มหาสมุทร
นํ้าแข็ง
นํ้าใตดิน
ทะเลสาบ ลําธาร และแมนํ้าแบงเปน
– นํ้าเค็ม
– นํ้าจืด
บรรยากาศ
รวมทั้งสิ้น
97.54
1.81
0.63
0.007
0.009
0.001
99.997
-
73.9
25.7
-
0.36
0.04
100.00
-
-
98.4
-
1.4
0.2
100.00
แหลงสะสม คารอยละ
ของนํ้าทั้งหมด
คารอยละ
ของนํ้าจืด
คารอยละของนํ้าจืด
ที่ไมเปนนํ้าแข็ง
ที่มา : Braganza, 2007, p. 182
รูปที่ 1.1 รอยละการใชประโยชนจากแหลงนํ้าจืด
ที่มา : Cunningham, Cunningham, & Saigo, 2007, p. 375
- 4. 4 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
ตารางที่ 1.2 เปรียบเทียบปริมาณนํ้าจืดในบริเวณพื้นที่ตาง ๆ ของโลก
ปริมาณนํ้าจืดทั้งอยูในรูปนํ้าแข็ง นํ้าใตดิน และนํ้าผิวดิน ที่อยูในบริเวณพื้นที่ตาง ๆ
ของโลกนั้นมีปริมาณที่แตกตางกันขึ้นอยูกับลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศ (ตารางที่ 1.2)
จะเห็นไดวาแหลงนํ้าจืดแมมีปริมาณนอยแตมีความสําคัญยิ่งตอมนุษย ทั้งเปนแหลงอุปโภค
บริโภค แหลงทําการเกษตร และอุตสาหกรรม หรืออาจกลาวไดวานํ้าจืดเปนสวนหนึ่งของการ
ดําเนินชีวิตของมนุษย แตถามีปริมาณนํ้ามากเกินไป (เกิดอุทกภัย) หรือนอยเกินไป (เกิดความ
แหงแลง) ก็จะสงผลในดานลบตอมนุษยดวยเชนกัน นอกจากนี้ กิจกรรมของมนุษยในปจจุบัน
กอใหเกิดขยะและนํ้าทิ้งลงสูแหลงนํ้าจํานวนมาก สงผลทําใหคุณภาพนํ้าในแหลงนํ้าจืดลดลง
แหลงนํ้าเนาเสีย จนมนุษยไมสามารถนํามาใชประโยชนได ในอนาคตคาดการณวาความตองการ
นํ้าจืดของมนุษยจะมีแนวโนมสูงขึ้น ซึ่งอาจสงผลใหเกิดวิกฤติการขาดแคลนนํ้าจืดในโลกของ
เราได (รูปที่ 1.2)
ทวีปอเมริกาเหนือ
ทวีปอเมริกาใต
ทวีปยุโรป
ทวีปแอฟริกา
ทวีปเอเชีย
ทวีปออสเตรเลีย
ทวีปแอนตารกติกา (ขั้วโลกใต)
มหาสมุทรอารกติก (ขั้วโลกเหนือ)
90,000
900
18,216
0.2
60,984
180
30,109,800
2,600,000
27,003
ไมทราบแนชัด
2,529
31,776
30,622
221
-
-
4,300,000
3,000,000
1,600,000
5,500,000
7,800,000
1,200,000
-
-
ปริมาณนํ้า (ลูกบาศกกิโลเมตร)
นํ้าใตดินแหลงนํ้าผิวดินนํ้าแข็งและธารนํ้าแข็ง
ที่มา : Diop, M'mayi, & Lisbjerg, 2002, p. 7
- 5. บทที่ 1 บทนํา | 5
รูปที่ 1.2 แนวโนมวิกฤติการนํ้าจืดของโลกในอนาคต
ที่มา : Wetzel, 2001, p. 2
นํ้าที่ปรากฏอยูตามแหลงตางๆทั่วโลกเรานี้จะมีการถายเทหมุนเวียนกันตามธรรมชาติ
ซึ่งเราเรียกวา วัฏจักรของนํ้า (water cycle หรือ hydrologic cycle) ซึ่งวัฏจักรของนํ้า
จัดเปนหนึ่งในกระบวนการพื้นฐานที่มีในธรรมชาติ โดยความรอนจากแสงอาทิตยหรือจาก
ปจจัยอื่น ๆ จะทําใหนํ้าที่อยูในมหาสมุทร แมนํ้า ทะเลสาบ ดิน ระเหยสูอากาศกลายเปนไอ
(evaporation) กลไกนี้เกิดขึ้นเนื่องจากโมเลกุลของนํ้าซึ่งจะเคลื่อนยายอยูเสมอ ถาอุณหภูมิ
มากกวา -237.3 องศาเซลเซียส เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นโมเลกุลของนํ้าจะเคลื่อนตัวทําใหสามารถ
หลุดลอยเขาสูบรรยากาศไดมากขึ้น นอกจากนี้ ไอนํ้าในโลกของเราอาจเกิดจากการคายนํ้าของ
พืช (transpiration) ไดอีกทางหนึ่งดวย
เมื่อไอนํ้าลอยตัวสูบรรยากาศจะเย็นตัวลง และเปลี่ยนสภาพจากไอนํ้ากลายเปน
ของเหลวหรือนํ้าแข็ง (condensation) ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนสภาพของไอนํ้าเปนของเหลวนี้
เกิดจากการที่ไอนํ้าเคลื่อนตัวมาปะทะกันทําใหเพิ่มขนาดและนํ้าหนัก จนกระทั่งถูกแรงดึงดูด
ของโลกดึงใหตกลงสูพื้นดินในรูปของฝน สวนกระบวนการเปลี่ยนสภาพของไอนํ้าเปนของแข็ง
เกิดจากเมฆมีความเย็นจัดจนกระทั่งละอองนํ้าบางสวนแปลสภาพเปนเกล็ดนํ้าแข็งแตเนื่องจาก
ความดันอากาศรอบ ๆ ละอองนํ้ามีมากกวาบริเวณรอบ ๆ เกล็ดนํ้าแข็ง จึงทําใหเกิดแรงดัน
เอาละอองนํ้าเขามารวมตัวกับเกล็ดนํ้าแข็ง เมื่อละอองนํ้าที่เคลือบเกล็ดนํ้าแข็งมีการระเหยไป
ความรอนที่ถูกใชไปสงผลใหละอองนํ้าที่เคลือบบนเกล็ดนํ้าแข็งกลายเปนนํ้าแข็ง สงผลใหเกล็ด
นํ้าแข็งมีขนาดใหญมากขึ้น ปรากฏการณนี้จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนนํ้าแข็งมีนํ้าหนักมากพอที่
แรงดึงดูดของโลกดึงใหตกลงสูพื้นดินในรูปของหิมะ
- 6. 6 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
เมื่อนํ้าฝนหรือหิมะตกลงบนผิวโลกแลว เราจะพบวา นํ้าบางสวนจะซึมหายลงไป
ในดิน (infiltration) ซึ่งอาจจะถูกพืชดูดไปใชตอ ขณะที่บางสวนจะซึมหายลงไปจนถึงแหลงนํ้า
ใตดิน หรืออาจจะไหลลงสูลําธาร แมนํ้า หรือมหาสมุทร นอกจากนี้ นํ้าบางสวนจะระเหยกลาย
เปนไอกลับคืนสูสภาพอากาศอีกครั้งปริมาณการหมุนเวียนของนํ้านี้ไดมีผูคํานวณไววามีประมาณ
14,200ลูกบาศกกิโลเมตรตอปปริมาณนํ้าที่หมุนเวียนโดยสวนใหญจะเกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทร
โดยหยาดนํ้าฟา(ฝนหิมะหรือลูกเห็บ)ที่มีอยูในมหาสมุทรมีปริมาณ385,000ลูกบาศกกิโลเมตร
ซึ่งมีมากกวาปริมาณนํ้าที่มีอยูเหนือแผนดินที่มีเพียง110,000ลูกบาศกกิโลเมตร(Cunningham,
Cunningham, & Saigo, 2007: 67) (รูปที่ 1.3) สําหรับฝนที่เกิดในประเทศไทย เกิดจาก
การพัดพาเอาไอนํ้าปริมาณมากจากทะเลและมหาสมุทรเขามาตามรองของลมมรสุมที่พัดผาน
แผนดินใหญ เมื่อไอนํ้ามาพบกับความเย็นของอากาศเหนือผิวดิน กับฝุนละอองที่ปนเปอนใน
อากาศ ทําใหเกิดฝนที่มีขนาด 0.02 นิ้ว ขึ้นไป และอาจมีขนาดใหญถึง 6.4 มิลลิเมตร (นาถลดา
สาลีนุกุล, 2544 : 35)
รูปที่ 1.3 วัฏจักรนํ้า
- 7. บทที่ 1 บทนํา | 7
แหลงนํ้าผิวดิน (surface water) เปนสวนหนึ่งของวัฏจักรนํ้า โดยเกิดจากหยาด
นํ้าฟาที่ตกลงมา และมีการสะสมตัวกันอยูบริเวณพื้นดิน ซึ่งหยาดนํ้าฟาที่ตกลงมาในระยะแรก
พบวานํ้ามักจะซึมลงไปในดินกอนจนกระทั่งดินอิ่มตัวแลวจึงมีนํ้าแชขังกลายเปนลุมนํ้า หรือ
แหลงนํ้า โดยนํ้าผิวดินภายในโลกของเราจะไหลจากที่สูงลงมาที่ตํ่า หรือจะไปรวมกันลงสู
มหาสมุทรนั่นเอง โดยนํ้าบางสวนอาจจะถูกกักชั่วคราวตามบึงหรือทะเลสาบ และนํ้าบางสวน
กลับกลายเปนไอกอนจะไหลกลับลงสูมหาสมุทร เราสามารถแบงประเภทของแหลงนํ้าผิวดิน
ไดตามระดับความเค็มในนํ้า ไดแก นํ้าเค็ม นํ้ากรอย และนํ้าจืด โดยแหลงนํ้าจืดนั้นยังแบงออก
ไดตามลักษณะของกระแสนํ้าไดออกเปน 2 ชนิด คือ แหลงนํ้านิ่งและแหลงนํ้าไหล
นํ้าจากหยาดนํ้าฟาที่ตกลงมาสูพื้นผิวโลกเมื่อถูกกักเก็บในแหลงนํ้าผิวดินนํ้าบางสวน
จะไหลซึมลงสูใตดินกลายเปนนํ้าใตดินซึ่งแบงออกเปนนํ้าในดิน (soil water) และนํ้าบาดาล
(ground water) โดยนํ้าผิวดินที่ไหลซึมลงสูใตดินสวนแรกจะไหลซึมอยูตามชองวางระหวาง
เม็ดดิน เรียกวา นํ้าในดิน ซึ่งนํ้าในดินสามารถแบงออกไดเปน 4 ชนิด คือ
1) นํ้าที่เปนองคประกอบทางเคมี (chemical combined water) เปนความชื้น
ที่แทรกอยูในอนุภาคของเม็ดดิน และสามารถทําปฏิกิริยากับแรธาตุที่อยูในดินได นํ้าประเภทนี้
รากพืชไมสามารถดูดไปใชประโยชนไดเนื่องจากมีนอย และแรงยึดเกาะติดกับแรแข็งแรงมาก
2) นํ้าซึมหรือนํ้าอิสระ (gravitational water หรือ free water) คือนํ้าที่ซึมอยู
ระหวางเม็ดดิน แตไมไดอยูภายใตแรงดึงดูดของอนุภาคดินจึงมีอิสระที่จะไหลไปตามแรงดึงดูด
ของโลก รากพืชจึงดึงดูดไปใชประโยชนไดเพียงบางสวน และยังทําใหเกิดการชะพาธาตุอาหาร
พืชลงไปยังดินชั้นลาง
3) นํ้าเยื่อ (hygroscopic water) เปนนํ้าที่อนุภาคดินดูดจับเอาไวที่ผิวภายนอก
ในลักษณะที่เปนเยื่อบาง ๆ ดวยแรงที่สูงไมตํ่ากวา 31 บรรยากาศ นํ้าเยื่อเปนสวนที่รากพืช
ยังไมสามารถดูดไปใชประโยชนไดเชนกัน
4) นํ้าซับ (capillary water) เปนนํ้าที่อนุภาคดินดูดยืดไวที่ผิวภายนอกอยูถัด
จากนํ้าเยื่อ เปนนํ้าที่ซึมซับอยูตามผิวอนุภาคของเม็ดดิน บางครั้งจะซึมอยูเต็มชองวางของเม็ดดิน
โดยทั่วไปดินจะดูดยืดนํ้าสวนนี้ไวดวยแรงประมาณ 0.3-31 บรรยากาศ และแรงดึงดูดของโลก
ไมสามารถทําใหนํ้าสวนนี้เคลื่อนที่ลงไปได (Waugh, 2002: 267) โดยนํ้าซับเปนนํ้าที่
รากพืชสามารถนํามาใชในการเจริญเติบโตไดถานํ้าซับในดินมีปริมาณนอยจนถึงจุดหนึ่งจะสงผล
ใหพืชเหี่ยวเฉาอยางถาวร หรือเรียกวา จุดเหี่ยวถาวร (permanent wilting point)
- 8. 8 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.4 คุณลักษณะของนํ้าในดิน
ขณะที่นํ้าบาดาล (ground water) คือนํ้าที่อยูบริเวณตํ่าลงมาจากนํ้าในดิน โดย
ระดับบนสุดของนํ้าบาดาลจะเปนระดับนํ้าใตดิน (water table) ซึ่งจะเปนพื้นผิว หรือแนว
ระดับนํ้าใตผิวดินที่อยูระหวางเขตอิ่มนํ้ากับเขตอิ่มอากาศ(บริเวณที่มีอากาศถายเทได)ณระดับ
นํ้าใตดินนี้แรงดันนํ้าในชั้นหินหรือในชั้นตะกอนจะเทากับแรงดันของบรรยากาศและในตําแหนง
ที่ลึกลงไปจากระดับนํ้าใตดิน แรงดันของนํ้าจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากนํ้าหนักของนํ้าที่กดทับอยู
ระดับนํ้าใตดินนี้จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไปตามฤดูกาล โดยในฤดูแลงระดับนํ้าใตดินจะอยูลึกกวา
ระดับปกติ ระดับนํ้าใตดินสวนใหญจะเอียงเทหรือวางตัวสอดคลองไปตามลักษณะภูมิประเทศ
และจะไปบรรจบกับระดับนํ้าในแมนํ้าหรือทะเลสาบ ซึ่งปกติแลวระดับนํ้าในแหลงนํ้าผิวดินจะ
มีคาเทากับระดับนํ้าใตดิน โดยปจจัยที่มีผลตอปริมาณนํ้าในแหลงนํ้าผิวดินมีหลายปจจัย เชน
ชนิดของหิน รอยแตก ริ้วขนาน (foliation) ชนิดของดิน ความสูงตํ่าของพื้นที่ ชนิด และ
ปริมาณพืช ปริมาณและความถี่ของหยาดนํ้าฟาที่ตกลงมา และสภาพภูมิอากาศที่มีผลตออัตรา
การระเหยของนํ้า
การใชประโยชนที่ดินของมนุษยบางอยางมีผลกระทบตอการระเหย นํ้าไหลลน
และอัตราการซึมลงดินของนํ้าในวัฏจักรนํ้า เชน กรณีการใชนํ้าระบายความรอนในโรงงาน
อุตสาหกรรม หรือการใชนํ้าสําหรับการเกษตร ทําใหอัตราการระเหยของนํ้าสูงขึ้น การระเหย
ของนํ้าอยางรวดเร็วนี้มีผลกระทบตอสภาพบรรยากาศหรือทําใหภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงบริเวณ
เขตชุมชนเมืองซึ่งมีถนนและทางระบายนํ้าจํานวนมาก นํ้าที่ไหลบนสิ่งเหลานี้มีสวนทําให
ปริมาณนํ้าไหลลนเพิ่มมากขึ้น และสิ่งเหลานี้ยังกีดขวางการซึมลงดินของนํ้า หรือทําใหนํ้าซึมลง
- 9. บทที่ 1 บทนํา | 9
ใตดินไดนอยลง การซึมลงดินของนํ้ามีผลกระทบตอกิจกรรมการใชประโยชนจากนํ้าของมนุษย
อยางมาก เชน ความตองการใชนํ้าบาดาลของชุมชนเมืองมีปริมาณสูง แตการซึมลงไปทดแทน
ของนํ้าใตดินมีนอยลง ยอมทําใหความตองการใชนํ้ากับปริมาณนํ้าบาดาลที่มีอยูไมสมดุลกัน
อาจทําใหเกิดการขาดแคลนนํ้าได
แหลงนํ้านิ่ง
แหลงนํ้านิ่งเปนแหลงนํ้าปด (closed water body) ที่อาจมีทางติดตอกับแมนํ้า
ลําธาร หรือบริเวณที่มีนํ้าทวมถึง ซึ่งในแหลงนํ้านิ่งบางแหงอาจไดรับนํ้าจากนํ้าฝนแตเพียงอยาง
เดียวเทานั้น แตบางแหงก็สามารถไดรับนํ้าจากการไหลลงมาโดยลําธาร หรือจากการทวมของ
แมนํ้า แหลงนํ้านิ่งจะไมมีการขึ้นลงของนํ้าซึ่งนํ้าจะสามารถเคลื่อนที่ไดสวนใหญเกิดจากกระแสลม
จากการประเมินของ Lehnera, & Döll (2004: 1-22) พบวา แหลงนํ้านิ่งที่เปนหนอง บึง
พื้นที่ชุมนํ้าและทะเลสาบที่พบสวนใหญในโลกจะมีขนาดพื้นที่อยูระหวาง1-10ตารางกิโลเมตร
โดยมีจํานวนถึง 155,230 แหง กินพื้นที่รวม 412,900 ตารางกิโลเมตร แตเมื่อเปรียบเทียบ
กับขนาดพื้นที่รวมแลวจะพบวาทะเลสาบขนาดใหญที่มีพื้นที่มากกวา 100 ตารางกิโลเมตร
ที่มีจํานวนเพียง 1,452 แหง จะมีความจุนํ้าจํานวนมหาศาล เนื่องจากมีพื้นที่รวมถึง 1,573,400
ตารางกิโลเมตร จากพื้นที่รวมของทะเลสาบที่มีอยูในโลกทั้งหมด 2,428,100 ตารางกิโลเมตร
(รูปที่ 1.5) โดยแหลงนํ้านิ่งที่เปนนํ้าจืดที่มีขนาดใหญที่สุดในโลก ไดแก ทะเลสาบสุพีเรีย
(Superior) อยูระหวางประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ขณะที่ทะเลสาบไบคาล (Baikal)
ของประเทศรัสเซีย เปนทะเลสาบนํ้าจืดที่ลึกที่สุดซึ่งมีปริมาณนํ้าถึงรอยละ 20 ของแหลงนํ้า
ผิวดินของโลก (Day, 2009: 80) ในทวีปเอเชียพบวา ทะเลสาบโตนเลสาบ (Tonle Sap) ใน
ประเทศกัมพูชาเปนทะเลสาบนํ้าจืดที่มีขนาดใหญที่สุดขณะที่ในประเทศไทยพบวาแหลงนํ้านิ่งที่
เปนนํ้าจืดที่มีขนาดใหญที่สุดไดแกบึงบอระเพ็ดที่ตั้งอยูในเขตจังหวัดนครสวรรคซึ่งแหลงนํ้านิ่ง
ที่มีขนาดรองลงมาไดแกทะเลสาบหนองหานในจังหวัดสกลนครและบึงละหานในจังหวัดชัยภูมิ
ตามลําดับ (ตารางที่ 1.3)
- 10. 10 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.5 จํานวนทะเลสาบขนาดตาง ๆ ที่มีอยูในโลก
ที่มา : Lehnera & Döll, 2004, pp. 12, 15
ตารางที่ 1.3 แหลงนํ้านิ่งที่เปนนํ้าจืดขนาดใหญของโลก
ดัดแปลงจาก Manjunath, 2009, p. 22; Baran, 2005, p. 9; Netpae and Phalaraksh,
2009, p. 196
สุพีเรีย
ฮูรอน
มิชิแกน
เกรตแบร
เกรตสเลฟ
อิรี
ออนแทรีโอ
ตีตีกากา
แทนกันยีกา
มาลาวี
ไบคาล
ลาโดกา
โตนเลสาบ
บึงบอระเพ็ด
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาเหนือ
อเมริกาใต
แอฟริกา
แอฟริกา
ยุโรป
ยุโรป
เอเชีย
เอเชีย
สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
สหรัฐอเมริกา
แคนาดา
แคนาดา
สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
เปรูและโบลิเวีย
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
แทนซาเนีย แซมเบีย และบุรุนดี
มาลาวี แทนซาเนีย และโมซัมบิก
รัสเซีย
รัสเซีย
กัมพูชา
ไทย
82,414
59,600
58,016
31,790
27,200
25,745
19,529
8,372
32,900
29,604
31,500
17,891
15,800
212.38
405
229
281
396
617
64
244
284
1,470
695
1,741
230
10
5
ทะเลสาบ ทวีป ประเทศ พื้นที่
(ตารางกิโลเมตร)
ลึกสูงสุด
(เมตร)
- 11. บทที่ 1 บทนํา | 11
1. การเกิดของทะเลสาบและแหลงนํ้านิ่ง
ทะเลสาบและแหลงนํ้านิ่งในโลกของเรากําเนิดขึ้นมาไดมาจากหลายสาเหตุ ซึ่ง
สวนใหญเกี่ยวของกับปรากฏการณที่เกิดขึ้นทางธรณีวิทยา เราสามารถแบงสาเหตุการกําเนิด
ไดหลายสาเหตุดังตอไปนี้
1) ทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก (tectonic basin)
ทะเลสาบชนิดนี้เกิดจากการที่เปลือกโลกสวนที่อยูใตโลกเกิดการโคงงอ กดกระแทก แตกหัก
เนื่องจากแผนดินไหว หรือการยุบตัวของผิวโลก ทําใหเกิดรอยเลื่อนหรือรอยเหลื่อม (faulting)
ในเวลาตอมาเมื่อมีนํ้าขังจะกอใหเกิดเปนทะเลสาบ (รูปที่ 1.6 ก.) โดยทะเลสาบที่มีตนกําเนิด
แบบนี้จะมีความลาดชันสูง และมีความลึกมาก เชน ทะเลสาบทาโฮ (Tahoe) ที่อยูในประเทศ
สหรัฐอเมริกา และทะเลสาบไบคาลของประเทศรัสเซีย (รูปที่ 1.6 ข.)
รูปที่ 1.6 ทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก โดย
ก. ลักษณะการเกิดรอยเลื่อนที่กอใหเกิดทะเลสาบ
ข. ทะเลสาบไบคาล ประเทศรัสเซีย
ที่มา : Wetzel, 2001, p. 24; Dando, & Gritzner, 2007, p. 29
2) ทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของปลองภูเขาไฟ (lakes formed by
volcanicactivity) เกิดไดจากการที่ลาวาจากภูเขาไฟไปกั้นทางนํ้าทําใหเกิดแหลงนํ้า(รูปที่1.7ก.)
หรืออาจเกิดจากบริเวณขอบปลองภูเขาไฟมีลักษณะเหมือนเปนเขื่อนกั้นนํ้า เมื่อฝนตกลงมาจึง
มีนํ้าขังเกิดเปนแหลงนํ้า (รูปที่ 1.7 ข.) ทะเลสาบที่มีตนกําเนิดแบบนี้จะไมมีทางไหลเขาของนํ้า
นํ้าที่มีในทะเลสาบ จะไดมาจากฝนตกหรือหิมะละลาย โดยทะเลสาบที่อยูในปลองของภูเขาไฟ
- 12. 12 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.7 ทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของปลองภูเขาไฟ โดย
ก. ทะเลสาบที่เกิดจากการกั้นทางนํ้าของลาวาภูเขาไฟ
ข. ทะเลสาบที่ตั้งอยูบนปลองภูเขาไฟ (ทะเลสาบเคลิมูตู ประเทศอินโดนีเซีย)
ที่มา : Wetzel, 2001, p. 25; Pirajno, 2009, p. 14
3) ทะเลสาบที่เกิดจากธารนํ้าแข็ง (lakes formed by glacial) เกิดจาก
การแตกหักและการละลายของธารนํ้าแข็งในยุคนํ้าแข็งสมัยไพลสโตซีน (pleistocene) สงผล
ใหธารนํ้าแข็งมีการเคลื่อนตัวโดยนํ้าที่ละลายจากธารนํ้าแข็งจะกลายเปนแองนํ้าหรือลําธาร
(รูปที่ 1.8 ก.) และเมื่อเกิดการละลายของธารนํ้าแข็งมากขึ้น นํ้าที่ละลายจะตกลงมาเปนนํ้าตก
พัดเอาเศษกรวดหินเคลื่อนไปกับกระแสนํ้ามารวมตัวกันเปนสันกั้นรองรับนํ้า (รูปที่ 1.8 ข.) และ
ทายที่สุดเมื่อนํ้าแข็งจากธารนํ้าแข็งละลายหมดก็จะกอเกิดทะเลสาบในที่สุด (รูปที่ 1.8 ค.) โดย
ทะเลสาบเกิดจากปฏิกิริยาของนํ้าแข็งสวนใหญมีลักษณะเปนกลุมทะเลสาบ(kettle)เปนทะเลสาบ
เล็ก ๆ จํานวนมากอยูใกลกัน เชน ทะเลสาบสุพีเรีย ทะเลสาบมิชิแกน (Michigan) และ
ทะเลสาบฮูรอน (Huron) ทะเลสาบอิรี (Erie) และทะเลสาบออนแทรีโอ (Ontario) บริเวณ
รอยตอประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ที่ยังมีพลังจะพบวานํ้าในทะเลสาบจะมีสภาพเปนกรด เต็มไปดวยแกสภูเขาไฟ และมีสีเขียวเขม
ขณะที่ทะเลสาบที่ตั้งอยูในปลองภูเขาไฟที่เย็นตัวลง หรือภูเขาไฟที่ดับสนิทแลว นํ้าในทะเลสาบ
มักจะมีนํ้าที่ใส ถาไมมีการปนเปอนจากสภาวะแวดลอมภายนอก ตัวอยางของทะเลสาบที่มี
ตนกําเนิดแบบนี้เชนทะเลสาบเคลิมูตู(Kelimutu)ประเทศอินโดนีเซียและทะเลสาบพินาตูโบ
(Pinatubo) ฟลิปปนส
- 13. บทที่ 1 บทนํา | 13
รูปที่ 1.8 ทะเลสาบเกิดจากปฏิกิริยาของนํ้าแข็ง โดย
ก. การเคลื่อนตัวของธารนํ้าแข็ง
ข. การเกิดสันกั้นนํ้า
ค. การเกิดทะเลสาบ
ที่มา : Carlson, 2007, p. 5
4) ทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของการกัดเซาะของพื้นที่ที่ละลายนํ้าได
(solution lakes) ในพื้นที่หินปูนที่มีนํ้าไหลผาน นํ้าจะเขาไปทําปฏิกิริยาทางเคมีทําใหหินปูน
ละลายเปนโพรงผุกรอน ละลายหินปูนออกมา เมื่อระยะเวลาผานไปจะเกิดการยุบตัวกลายเปน
แหลงนํ้าในที่สุด ทะเลสาบที่มีตนกําเนิดแบบนี้ในประเทศไทยสามารถพบได เชน หนองหาร
จังหวัดสกลนคร หนองหานกุมภวาป จังหวัดอุดรธานี และหนองบอ จังหวัดมหาสารคาม
ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของแผนเปลือกโลก อันเนื่องมาจากการถูกชะลางของชั้นหินเกลือใตดิน
(NaCl) จนเกิดโพรงขนาดใหญ สงผลใหเกิดการพังทลายยุบตัวลงเปนหนองนํ้าในเวลาตอมา
(เพียงตา สาตรักษ และคณะ, 2547 : 49)
- 14. 14 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.9 ทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของการกัดเซาะของพื้นที่ที่ละลายนํ้าได
ก. การยุบตัวของพื้นดินเนื่องจากการละลายของชั้นหินปูนใตดิน
ข. การพังทลายของพื้นดินเนื่องจากชองวางใตดินรวมกับการละลายของชั้น
หินปูนใตดิน
ที่มา : Kasenow, 2001, pp. 45-46
5) ทะเลสาบที่เกิดจากลม (lakes formed by wind) ในพื้นที่บางแหงของ
ประเทศที่มีลมพัดแรงเชนประเทศนิวซีแลนดและออสเตรเลียเมื่อมีลมพัดทรายหรือตะกอนดิน
ออกไปจากบริเวณที่เคยมีอยูไปทับถมเปนเนินปดกั้นทางเดินจะสงผลใหเกิดเปนแหลงสะสมนํ้า
หรือทะเลสาบเนินทราย (dune lake) ขึ้นได โดยสวนใหญแหลงนํ้าประเภทนี้จะมีขนาดใหญ
แตระดับนํ้าภายในทะเลสาบจะตื้น และพบไดมากอยูตามแนวชายฝง โดยปริมาณนํ้าจากแหลง
นํ้าสวนใหญจะสูญเสียไปจากการระเหย ตัวอยางของแหลงนํ้าเกิดจากลม เชน ทะเลสาบคูลอง
(Coorong) ประเทศออสเตรเลีย (รูปที่ 1.10)
- 15. บทที่ 1 บทนํา | 15
รูปที่ 1.10 ทะเลสาบที่เกิดจากลม (ทะเลสาบคูลอง ประเทศออสเตรเลีย)
ที่มา : Prosser, 2011, pp. 129-130
6) ทะเลสาบที่เกิดจากแมนํ้า (lakes formed by rivers) ทะเลสาบที่มี
ตนกําเนิดแบบนี้เกิดบริเวณลํานํ้าของแมนํ้า ลําคลองที่ความคดเคี้ยวมาก หรือบริเวณที่ลํานํ้า
ขนาดเล็กที่เชื่อมตอกับลํานํ้าที่มีขนาดใหญกวา โดยการเกิดทะเลสาบเริ่มตนจากการที่ลําธาร
หรือแมนํ้าถูกกัดเซาะสงผลใหเกิดอนุภาคตาง ๆ แขวนลอยอยูในนํ้าจํานวนมาก เมื่อกระแสนํ้า
ของแหลงนํ้าเกิดชาลงจะทําใหสารแขวนลอยเหลานี้ตกตะกอน เปลี่ยนเสนทางนํ้าของลํานํ้าที่
โคงตวัด (meander) จากการไหลตามแนวโคงเดิมเปนตัดตรง ทําใหลํานํ้าโคงเดิมถูกตัดขาด
เกิดเปนบึง หรือทะเลสาบรูปแอก (oxbow lake) เชน บึงสีไฟ ในจังหวัดพิจิตร ที่เกิดจากการ
เปลี่ยนทางนํ้าของแมนํ้านาน
- 16. 16 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.11 กระบวนการเกิดทะเลสาบรูปแอก (แมนํ้ามอนแทนา ประเทศสหรัฐอเมริกา)
ที่มา : Thompson & Turk, 2006, p. 269
7) ทะเลสาบที่เกิดจากแผนดินถลม(lakesformedbylandslides)จะเกิด
ขึ้นในบริเวณหุบเขาที่มีดินปนทรายมาก เมื่อฝนตกชุกทําใหมีการพังทลายของดินทรายและหิน
จากเนินเขามากั้นทางเดินนํ้า และกลายเปนแหลงนํ้าในที่สุด เชน ทะเลสาบซาเรซ (Sarez) ใน
ประเทศทาจิกิสถานเปนทะเลสาบที่เกิดจากแผนดินถลมเปนผลสืบเนื่องจากการเกิดแผนดินไหว
ครั้งใหญ สงผลใหเกิดเขื่อนดินธรรมชาติกั้นแมนํ้ามูรกาบ (Murgab) จนเกิดเปนทะเลสาบ
ในที่สุด (รูปที่ 1.12)
รูปที่ 1.12 ทะเลสาบที่เกิดจากแผนดินถลม (ทะเลสาบซาเรซ ประเทศทาจิกิสถาน)
ที่มา : Sassa et al., 2013, p. 194
ทะเลสาบ
ซาเรซ
ทะเลสาบซาเรซ
เขื่อนธรรมชาติ
แผนดินถลมแผนดินถลมแผนดินถลม
- 17. บทที่ 1 บทนํา | 17
8) แหลงนํ้าที่เกิดจากการกระแทกของลูกอุกกาบาต (lakes formed by
meteor impact) จะพบมากในภูมิภาคแถบอบอุน โดยเกิดจากการกระแทกของลูกอุกกาบาต
ทําใหเกิดการยุบตัวของแผนดิน และกลายเปนแหลงนํ้าในที่สุด เชน ทะเลสาบโบซัมทวี
(Bosumtwe) ประเทศกานาที่เปนทะเลสาบที่เกิดจากการชนของอุกกาบาตเมื่อประมาณ 1.07
ลานปกอน (รูปที่ 1.13 ก.) และทะเลสาบคาราคูล (Karakul) ประเทศทาจิกิสถานที่เกิดจาก
หลุมอุกกาบาตเมื่อประมาณ 25 ลานปที่แลว (รูปที่ 1.13 ข.)
9) ทะเลสาบที่เกิดจากตะกอนที่ทับถมกันตามชายฝง (lake developed
from shoreline action) เมื่อกระแสนํ้าพัดพาทรายมาตกตะกอนทับถมกันบริเวณปากอาวที่
ไมเสมอกันเปนเวลานาน ๆ ทําใหเหมือนเปนทํานบปดกั้นนํ้าในอาว และกลายเปนแหลงนํ้า
ในที่สุด (รูปที่ 1.14 ก.) ตัวอยางของทะเลสาบที่มีตนกําเนิดแบบนี้ เชน ทะเลสาบการริสัน
(Garrison)ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกิดจากการที่กระแสนํ้าชายฝงทะเลโอเลกอน พัดทราย
มาที่ชายฝงจนเกิดเนินทรายกั้นบริเวณปากนํ้า (รูปที่ 1.14 ข.)
รูปที่ 1.13 ทะเลสาบที่เกิดจากการกระแทกของลูกอุกกาบาต โดย
ก. ทะเลสาบโบซัมทวี ประเทศกานา
ข. ทะเลสาบคาราคูล ประเทศทาจิกิสถาน
ที่มา : Schluter, 2008, p. 119 และ Nicholson, 2011, p. 1
- 18. 18 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.14 ทะเลสาบที่เกิดจากตะกอนที่ทับถมกันตามชายฝง
ก. ลักษณะเนินทรายที่เกิดจากตะกอนทับถมตามชายฝง
ข. ทะเลสาบการริสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มา : Wetzel, 2001, p. 33 และ Bennett, 2008
10) ทะเลสาบที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต (biogenic lakes) เชน บอนํ้าที่เกิดจาก
ตัวบีเวอรนํากิ่งไมและหินมาสรางที่อยูอาศัย และเก็บอาหารมาขวางกั้นทางเดินนํ้าทําใหเกิด
แหลงนํ้าในที่สุด (รูป 1.15 ก.) รวมทั้งการสรางเขื่อนและอางเก็บนํ้าของมนุษยทําใหพื้นที่
เหนือเขื่อนหรือในอางเก็บนํ้าเปนแหลงนํ้า เชน เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก (รูป 1.15 ข.) และ
เขื่อนอุบลรัตน จังหวัดขอนแกน นอกจากนี้ การสรางเครื่องมือในการเปลี่ยนทิศทางนํ้า และทํา
ประตูนํ้าของมนุษยก็สามารถทําใหเกิดแหลงนํ้าได เชน บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค ที่เกิด
จากการสรางประตูนํ้าผันนํ้ามาจากแมนํ้านานลงสูคลองบอระเพ็ด
11) ทะเลสาบที่ไมสามารถจําแนกสาเหตุการเกิดได (lake of unknown origin)
คือแหลงนํ้าที่ไมสามารถจําแนกสาเหตุการเกิดซึ่งนอกเหนือจาก 10 สาเหตุเบื้องตนได
- 19. บทที่ 1 บทนํา | 19
รูปที่ 1.15 แหลงนํ้าที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต โดย
ก. เขื่อนที่เกิดจากตัวบีเวอร
ข. เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
ที่มา : Miller, & Spoolman, 2011, p. 99
นอกจากนี้ ทะเลสาบหรือแหลงนํ้านิ่งในธรรมชาติหลายแหงในโลกสามารถเกิดขึ้น
ไดจากหลายสาเหตุรวมกัน ทั้งอาจเกิดจากสิ่งมีชีวิต รวมกับสาเหตุอื่น ๆ ที่ไมมีชีวิต เชน มนุษย
ใชเทคโนโลยีไปเรงปฏิกิริยาที่จะเกิดแหลงนํ้าโดยสาเหตุทางธรรมชาติใหเร็วขึ้น หรือทะเลสาบ
หรือแหลงนํ้านิ่งอาจเกิดจากสาเหตุที่ไมมีชีวิตรวมกันมากกวา 1 สาเหตุ เชน ทะเลสาบสงขลา
เปนทะเลสาบที่มีทั้งนํ้าจืด นํ้ากรอย และนํ้าเค็ม อยูในเขตจังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา และ
จังหวัดนครศรีธรรมราช ทะเลสาบสงขลาเปนทะเลสาบที่มีสาเหตุการเกิดมาจาก 2 สาเหตุ โดย
สาเหตุแรกเกิดจากลมมรสุมพัดเอาทรายทะเลมาทับถมทําใหเกิดสันทราย และสาเหตุที่สองคือ
ดินตะกอนของคลองนางเรียมคลองปากประคลองลําปาคลองทาเดื่อคลองอูตะเภาและแมนํ้า
จากจังหวัดสตูลสงผลใหพื้นที่เปลี่ยนจากเกาะกลางนํ้ากลายเปนแหลมกั้นนํ้าในทะเลสาบเปนตน
2. นํ้าในแหลงนํ้านิ่ง
โดยทั่วไปแลวแหลงนํ้านิ่งจะมีลักษณะเปนแหลงนํ้าขังมีปริมาณนํ้าที่มากนอย
แตกตางกันไปในการศึกษาแหลงนํ้านิ่งจะสามารถแบงการศึกษาออกเปนบริเวณตางๆในแตละ
ระดับความลึกที่แสงสองผานลงไปในแหลงนํ้าเปนตัวจําแนก ซึ่งแบงไดออกเปน 4 ระดับ คือ
เขตชายฝง เขตกลางสระ เขตกนสระ และเขตพื้นทองนํ้า (รูปที่ 1.16)
- 20. 20 | ชลธีวิทยา (LIMNOLOGY)
รูปที่ 1.16 ระดับนํ้าตาง ๆ ในแหลงนํ้านิ่ง
ที่มา : Cullen, 2009, p. 110
1) เขตชายฝง(littoralzone)เปนบริเวณที่มีนํ้าตื้นแสงสวางสามารถสองทะลุ
จนถึงพื้นดานลาง อุณหภูมิจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ รวมทั้งมีกระแสลมพัดเขาสูชายฝง
สงผลใหชายฝงเกิดการพังทลาย และมีตะกอนดิน ซากพืช ซากสัตวจํานวนมากทับถม เปนเขต
ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยูมากโดยเฉพาะอยางยิ่งบริเวณนํ้าตื้นใกลขอบหรือริมทะเลสาบ ซึ่งพืชและ
สัตวที่พบจะแตกตางกันขึ้นอยูกับระดับความลึกของแหลงนํ้า
เขตชายฝงสามารถแบงยอยออกเปนอีก 2 เขต คือ
1.1) บริเวณที่อยูระหวางนํ้าขึ้นสูงสุดและนํ้าลงตํ่าสุด(eulittoralzone)
คือเขตที่ติดอยูกับชายฝง ประกอบดวยพืชและสัตวที่สามารถทนตอความแหงแลงไดดี เชน
สาหรายและหอยบางชนิดหรือเปนสัตวพวกที่สามารถขุดรูลงไปอยูในตะกอนที่ชื้นแฉะตลอดเวลา
เขตนี้จะเปนเขตที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล คลื่นลม และ
เปนเขตที่เกิดการกัดกรอน (erosion) ไดงายในบางพื้นที่ที่เปนกอนหิน สิ่งมีชีวิตที่จะอยูได
ตองสามารถเกาะกับกอนหินไดอยางหนาแนน หรือไมเชนนั้นก็ตองสามารถขุดรูเขาไปอาศัยใน
กอนหินได
1.2) เขตใตระดับนํ้าขึ้นนํ้าลง (sub littoral zone) เปนเขตที่อยูถัด
จากบริเวณที่อยูระหวางนํ้าขึ้นสูงสุดและนํ้าลงตํ่าสุดลงไป โดยแสงสามารถสองผานเขาถึงได
นอยกวาเมื่อเทียบกับเขตแรก ซึ่งเปนเขตของพืชที่มีราก (rooted vegetation) ในสวนลึกสุด
ของเขตนี้จะมีพืชพวกสาหรายไฟ (Chara sp.) ดีปลีนํ้า (Potamogeton sp.) และพืชชนิดอื่น