"โต้ง" วาทิตย์ ขุราษี

1. วาทิตย์ขุราศี (โต้ง สามเสือ)
..ฅนดล(ดน)ตรี..
ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดนตรีมีบทบาทและ
อิทธิพลต่อการดาเนินชีวิตของมนุษย์โลกอยู่ไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการศึกษา การทาธุรกิจ การเมือง
หรือแม้กระทั่งในทางศาสนา ดนตรีไม่ได้ใช้เป็นสิ่งเพื่อ
ความบันเทิงหรือเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น เราจะเห็นได้
ว่าบางคนใช้ดนตรีเพื่อประกอบอาชีพ ใช้ดนตรีเพื่อปลุก
ปลอบให้กาลังใจตัวเอง ใช้ดนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือใช้
ดนตรีเพื่อการลงโทษก็มี ฉะนั้นดนตรีจะเกิดขึ้นได้ย่อม
จะต้องมีผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา เราเรียกคนเหล่านั้นว่า
“นักดนตรี” ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งคนที่ชีวิตนี้ขาดการฟังเพลง
ไม่ได้ มีคนอยู่หนึ่งคนที่ใช้ดนตรีสร้างชีวิตและใช้ทั้งชีวิต
ของเขาสร้างสรรค์งานเพลงงานดนตรีขึ้นมา
ชื่อวาทิตย์ขุราษี คนทั่วไปหลาย ๆ คนอาจจะไม่
รู้จัก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ “โต้ง สามเสือ” ก็อาจจะคุ้นๆ
ขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าหากไปถามชื่อเดียวกันนี้กับบรรดานักดนตรี นักศึกษาเอกดนตรี ครูอาจารย์ที่สอนดนตรี
ทั้งหลาย หรือกระทั่งนักท่องราตรีในเมืองมหาสารคาม ก็แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “โต้ง สามเสือ” เขาเป็นบุคคลที่
เรียกได้ว่าคร่าหวอดในวงการดนตรี ทาทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เป็นส่วนหนึ่งในความสาเร็จของวงดนตรี
ฝึกหัดหลาย ๆ วงในภาคอีสาน โต้ง สามเสือ มีบ้านเกิดอยู่ที่อาเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด แต่ปัจจุบันอาศัย
เรียนและทางานในจังหวัดมหาสารคามจนหลายคนคิดว่าเขาเป็นคนมหาสารคามแต่กาเนิดซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่
นอกจากนี้เขายังถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความฝันและเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาได้ลงมือทาตามความฝันของ
เขาจนประสบความสาเร็จ สิ่งนี้ที่อยู่ในตัวเขาทาให้ข้าพเจ้าสนใจเป็นอย่างมาก มันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจหรือ
จุดไฟฝันในใจของใครหลาย ๆ คนให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ข้าพเจ้าและทีมงานเดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่ง สภาพเป็นบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัดในเขตตัวเมือง
มหาสารคาม ซึ่งคนที่แนะนาข้าพเจ้าเรียกมันว่า “ถ้าเสือ” ที่ที่ซึ่งข้าพเจ้าจะได้พบกับเสืออย่างนั้นหรือ? คาตอบ
คือใช่ แต่ทว่าเสือที่ว่านั้นเป็นเสือแห่งวงการดนตรี ที่นี่คือบ้านและห้องอัดเสียงในเวลาเดียวกัน เมื่อเดินเข้าไปใน
บริเวณบ้านสิ่งแรกที่พบเห็นคือเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด มีทั้งที่เก็บเป็นระเบียบและวางกองระเกะระกะ ตาม
ผนังมีโปสเตอร์วงดนตรีมากมาย แต่จะเป็นวงดนตรีร็อคเสียส่วนใหญ่ เจ้าของบ้านหรือจะเรียกว่าเสือเจ้าของถ้า

2. เสือแห่งนี้ให้การต้อนรับเราอย่างดี ในทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเสือขนาดนี้จะมีบุคลิกน่าเกรงขาม ตอนนี้
ข้าพเจ้าไม่นึกเลยว่าเสือที่เขาว่านี้จะอยู่ง่ายกินง่ายใช้ชีวิตสมถะแถมยังเป็นกันเองจนข้าพเจ้าคาดไม่ถึง
ปัจจุบันทาอะไรอยู่?
เป็นคาถามแรกที่ข้าพเจ้าถาม “โต้ง สามเสือ” เขาบอกว่าปัจจุบันกาลังเรียนปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจดนตรี
และเทคโนโลยีดนตรี ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ทางานเบื้องหลังไปด้วยคือการบันทึกเสียง ทาซาวด์
ประกอบการแสดง ทาห้องอัดที่บ้านและเล่นดนตรี
กับวงสามเสือ ที่ชื่อสามเสือเพราะสมาชิกในวงมี
สามคน และแล้วข้าพเจ้าก็ได้ทราบที่มาของคาว่า
เสือที่เขาเรียกกัน เพราะอยู่วงสามเสือนี่เอง วง
สามเสือเล่นงานกลางคืนประจาและรับงานจ้างต่าง
ๆ พวกเขายังสนุกกับการหาประสบการณ์ทางดนตรี
ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาและมีความสุขกับมันเสมอ
เริ่มต้นชอบดนตรีตั้งแต่เมื่อไร?
“ถ้าจาไม่ผิดน่าจะตอนอนุบาล 2 ตอนนั้นพ่อกับแม่
ขายของอยู่ตลาดข้าง ๆ ร้านจะมีตู้เพลง ตอนเย็นเลิกเรียนจะต้องเหลือเงินกลับบ้านทุกครั้งเพื่อไปหยอดตู้เพลง ฟัง
เต้น ร้องอยู่นั่นแหละ บางทีพ่อค้าแม่ค้าร้านข้าง ๆ ก็เอาขนมมาให้ พอตอน ป.6 จาได้ว่าวงบางแก้วดังมาก ก็เลย
เอาไม้แบดมินตันมาทาเป็นกีตาร์แบบวงบางแก้วเล่นกันกับน้องชาย พอดีพี่ตอนนั้นเขยเขาเล่นกีตาร์เป็นเลยขอให้
เขาหัดให้ เริ่มจริงจังเอาก็ตอน ม.4 เพราะเรียนวิชาดนตรีกับอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์ให้มาแปลชื่อตัวเอง ก็เลยไป
แปลในอินเทอร์เน็ตว่าชื่อ วาทิตย์ แปลว่าอะไร มันดันแปลว่า ผู้บรรเลงดนตรีน่ะสิ จากนั้นก็เริ่มคิดว่าเราเกิดมาเพื่อ
เล่นดนตรี สร้างสรรค์งานดนตรีจริง ๆ หรือ? แล้วก็เริ่มค้นหาตัวเองมาเรื่อย ๆ โดยการเดินสายประกวดดนตรีตาม
เวทีต่าง ๆ สมัยมัธยม ตกรอบบ้าง เข้ารอบบ้าง ถึงได้แชมป์เลยก็มีครับ...” โต้ง สามเสือเล่าต่อว่าตอนนั้นได้รางวัล
10,000 บาทพร้อมถ้วยพระราชทางจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทุกคนในวงตัดสินใจ
เอาเงินส่วนนี้ไปทาป้ายไฟให้ร้านที่พวกเขาซ้อมดนตรีทุกวันเป็นเงิน 3,000 บาทอีก 7,000 ซื้อสแนร์ให้มือกลอง
ส่วนถ้วยรางวัลได้มอบให้กับทางโรงเรียน ซึ่งก่อนการประกวดทางโรงเรียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนวง
พวกเขาเลย พวกเขาได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวหน้าเสาธง ด้วยความที่โต้งเองนั้นมีความร็อคในตัวสูง เขาได้พูด
ประโยคหนึ่งที่ทาให้บรรยากาศการมอบถ้วยรางวัลให้กับโรงเรียนครั้งนี้เป็นที่น่าจดจา เขาบอกว่า “ขอบคุณทาง
โรงเรียนที่ไม่ช่วยสนับสนุนพวกผมเลย แต่ไม่เป็นไรครับผมรักโรงเรียน...” เพียงเท่านี้อาจารย์หมวดศิลปะรีบลาก
พวกเขาลงจากหน้าเสาธงแทบจะทันที “ตอนนั้นเรียนมัธยมปลาย ผมก็พูดไปตามจริง โดยไม่ได้คิดน่ะครับ...” เขา
พูดต่อพลางหัวเราะร่วน

3. ดนตรีพิเศษกว่าศาสตร์แขนงอื่นอย่างไร?
“ผมคิดว่าดนตรีมันพิเศษเพราะมันรวมศาสตร์ทุกแขนงเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ จิตวิทยา
บุคลิกภาพ อย่างทฤษฎีดนตรีการหาขั้นคู่หรืออะไรพวกนี้มันอิงหลักคณิตศาสตร์หมดเลยเรื่องเสียงนี่ก็เหมือนกัน
พวกค่าความถี่ของเสียงต่าง ๆ จิตวิทยาก็สาหรับการประพันธ์เพลง คือสมมุติจะทาเพลงมาสักหนึ่งเพลงเราจะต้อง
ใช้หลักจิตวิทยาแล้วว่าทาอย่างไรให้คนฟังจาเพลงของได้ เราจะต้องมาพิจารณาว่าต้องเล่นโน้ตซ้ากันหลาย ๆ ครั้ง
หาโน้ตสวย ๆ มาใส่ หาสักประโยคเด็ด ๆ หรือหาซาวด์ที่แปลกใหม่เข้ามาไว้ในเพลงของเราเพื่อให้ติดหูคนฟังได้ง่าย
แล้วก็เรื่องบุคลิกภาพ เราจะเล่นดนตรีอย่างไรให้เราไม่เคอะเขิน การวอร์มกล้ามเนื้ออะไรพวกนี้มันเกี่ยวข้องกัน
หมด...” ในข้อนี้เขาตอบในชนิดที่ข้าพเจ้าและทีมงานอ้าปากค้างในคาตอบ ด้วยไม่รู้เรื่องในทฤษฏีต่าง ๆ ที่เขายก
มาเป็นตัวอย่างให้เราฟัง ประเด็นนี้คงจะไม่เป็นปัญหาสาหรับคนที่รู้ทฤษฎีดนตรีพื้นฐานแต่ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจใน
เรื่องทฤษฏีข้าพเจ้าก็พอสรุปใจความได้ว่า ดนตรีคือศาสตร์ที่รวบรวมศาสตร์ความรู้จากแทบจะทุกแขนงเข้ามาไว้ใน
ศาสตร์นี้ศาสตร์เดียว เพราะฉะนั้นการเรียนดนตรีนั่นหมายถึงเราจะได้เรียนรู้ศาสตร์วิชาอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย สิ่งนี้
แหละที่ทาให้ดนตรีมีความพิเศษกว่าศาสตร์แขนงอื่น
อะไรที่ทาให้รู้สึกว่าดนตรีคือสิ่งที่ใช่หรือไม่ใช่สาหรับเรา?
สาหรับข้อนี้แล้ว โต้งไม่ต้องคิดนานเลยสาหรับคาถาม “ย้อนไปตอน ม.4 ที่บอกว่าไปแปลชื่อของตัวเองว่าแปลว่าผู้
บรรเลงดนตรี ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ชีวิตก็ยังอยู่กับดนตรีตลอดเวลา ดนตรีสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ผม ทั้งยัง
สร้างแรงบันดาลใจ ชีวิตนี้ให้ทาอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับดนตรี แค่นี้ก็คุ้มค่าที่เกิดมาแล้ว” นี่คือคาตอบของเขา สั้น ๆ
แต่ให้ความหมายได้ดีมากทีเดียว
อิทธิพลของดนตรีกับสังคมไทย
“ผมคิดว่าไม่เพียงแค่สังคมไทย แต่มันรวมถึงสังคมโลกด้วย สิ่งแรกคือดนตรีจะส่งผลต่อทรรศนะคติของมนุษย์
อย่างเช่นวงคาราบาว วงคาราวาน ก็เกิดจากการชุมนุมเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลา พวกเขาใช้ดนตรีเพื่อทาให้คนลุกฮือ
ขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตยโดยใช้เพลง เพลงดังกล่าวต้องมีเนื้อหาในการโน้มน้าวใจคน เปลี่ยนทรรศนะคติของ
คนให้คล้อยตาม หรืออย่างในต่างประเทศเขาก็ใช้เพลง enter sandman ของวง metallica เปิดเพื่อลงโทษ
นักโทษในเรือนจา สองคือดนตรีจะส่งผลในเรื่องแฟชั่น ดนตรีมีอิทธิพลต่อคนทุกรุ่น แม้กระทั่งกับศาสนา
ยกตัวอย่างเช่น เพลงธรรมมะ บทสวดในโบสถ์”
ดนตรีแต่ละประเภท มีผลกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน?
“มีผลมากครับ...” โต้ง สามเสือตอบและได้บอกต่อว่า ดนตรีแต่ละประเภทมีผลต่อชีวิตเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับ
เนื้อหาของเพลงด้วย เช่นเพลงอกหักของวงบอดี้สแลม ก็ไม่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อซ้าเติมคนอกหักและก็ไม่ได้มีแค่คนอก
หักเท่านั้นที่ฟัง เพลงแต่ละประเภทมีข้อดีต่างกัน มันอยู่กับช่วงเวลาและอารมณ์ของคนด้วย อย่างเมื่อเช้ารู้สึก
อยากฟัง Nikelback อารมณ์วันนี้ก็จะดาร์ก ๆ หน่อย มีช่วงหนึ่งที่อยากฟังเพลงคลาสสิค ช่วงนั้นก็จะใจเย็นเป็น
พิเศษ

4. มีข้อความที่ว่า “คนที่ไม่มีดนตรีในหัวใจคือคนที่ไร้รสนิยม” มีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อความนี้?
“ไม่เห็นด้วย เพราะในชีวิตทุกคนย่อมได้ฟังเพลง อย่างน้อยก็ต้องได้ยิน” คนที่ไม่มีดนตรีในหัวใจอาจหมายถึงพวก
ที่ไม่หามาฟังเองหรือเปล่า? ข้าพเจ้าถามต่อ“ยังไงก็ต้องมีสักเพลง อย่างน้อยก็เพลงชาติแหละ เพลงกล่อมเด็ก
เพลงที่ครูพาร้องที่โรงเรียนอะไรพวกนี้ จริง ๆ เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเพลงมันแทรกอยู่ทุกที่ขึ้นอยู่กับว่าจะให้
ความสาคัญกับมันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง อย่างคนที่ไม่มีดนตรีในหัวใจ ผมว่าไม่ใช่ มันเป็นเพราะว่าเขาเลือกที่จะ
ให้ความสาคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าแค่นั้นเอง” โต้งยังบอกกับเราอีกว่าเท่าที่รู้จักกับผู้คนจากหลาย ๆ ที่หลาย ๆ
ช่วงเวลามายังไม่เคยเจอใครที่ไม่มีเสียงดนตรีในหัวใจเลย ฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่าดนตรีหรือเสียงเพลงเป็นพื้นฐานใน
จิตใจมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่จะมองเห็นความสาคัญของมันหรือไม่เท่านั้นเอง
ความฝันสูงสุดในชีวิตของการเล่นดนตรี
หนึ่งสิ่งในชีวิตของคนดนตรีคืออยากมีเพลงสักเพลงหนึ่งที่ทุกคนรู้จัก ไม่ถึงกับเป็นอัลบั้มก็ได้ ได้ไปเล่นดนตรี ไป
เจอกลุ่มคน วัฒนธรรมใหม่ๆ “ผมคิดว่าถ้าเราเข้าใจดนตรี ดนตรีจะพาเราไปได้ทุกที่” อันนี้คืองานเบื้องหน้า ถ้า
เป็นเบื้องหลังก็อยากจะไปทาเพลงกับศิลปินระดับประเทศหรือระดับโลก เขียนเพลงเรียบเรียงเพลง “คือยังไงก็จะ
อยู่กับดนตรีครับ”
วางอนาคตในวงการดนตรีไว้อย่างไร
ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาบริหารธุรกิจดนตรีและเทคโนโลยีดนตรี ถ้าจบแล้ว
อาจจะได้มาสอนที่สาขาดนตรีศึกษาราชภัฏมหาสารคาม แต่ถ้าถามตัวเองยังไม่อยากสอนเพราะคิดว่าตัวเองยังมี
ความรู้ไม่มากพอที่จะไปสอนคนอื่นเขาได้ขนาดนั้น ตอนนี้และในอนาคตก็ยังอยากทาเพลงอยากเล่นดนตรีอยู่ มี
ห้องอัดเสียงอยู่ในบ้าน รับทาเพลงโฆษณา ซาวด์ประกอบการแสดง “ยังไงก็จะอยู่กับดนตรีจนตาย” เขายังตั้ง
ปณิธานแน่วแน่ว่ายังไงเสียชีวิตนี้ไม่เสียดายหากได้อยู่กับดนตรีที่เขารัก
อุดมการณ์กับงานดนตรี
แรก ๆ ที่เริ่มเล่นดนตรีโต้งบอกกับเราว่าไม่มีเลยอุดมการณ์ พอถึงช่วงที่เริ่มค้นหาตัวเองเขาจึงถือคติที่ว่า จงมี
รอยเท้าเป็นของตัวเอง ค้นหาลายเซ็นของตัวเองให้เจอ ไม่ตามใคร พอช่วงเรียนมหาวิทยาลัยชีวิตของเขาและ
ดนตรีดูเหมือนจะเป็นสิ่งแยกกันไม่ออก เขาจึงคิดเสมอว่า “ไม่มีชีวิตไม่มีดนตรี ไม่มีดนตรีไม่มีชีวิต” ปัจจุบัน โต้ง
สามเสือ เรียกได้ว่าถวายชีวิตและจิตวิญญาณให้กับสิ่งที่เรียกว่าดนตรี เขาทุ่มเทพลังกาย พลังใจ พลังสมอง
สร้างสรรค์งานดนตรีให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เขามีอุดมการณ์หนึ่งอย่างคือ สร้างดนตรีด้วยชีวิต สร้างชีวิต
ด้วยดนตรี “ไหนๆ เราก็เอาดีทางด้านนี้แล้วเราต้องสร้างดนตรีให้คนยอมรับให้ได้ นี่คือสร้างดนตรีด้วยชีวิต แล้ว
เราต้องมีความสุขทุกครั้งที่ทามัน นี่คือสร้างชีวิตด้วยดนตรี”

5. และนี่คือตัวตนทั้งหมดของเขา วาทิตย์ขุราศี หรือ “โต้ง สามเสือ” มนุษย์ผู้เสพและสร้างงานดนตรีมาทั้งชีวิต
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้แน่นอนว่าทางที่เดิน
นั้นย่อมจะไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบของดอกไม้
พรรณงาม ระหว่างจะต้องพบเจอกับ
อุปสรรคนานัปการ แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่
เปรียบได้ว่าเป็นอาวุธป้องกันตัว สิ่งนั้นคือ
อุดมการณ์และความมุ่งมั่น ความฝันนั้น
คือจุดหมายปลายทาง แต่หากเมื่อใดที่
ความท้อแท้เข้าครอบงาได้เมื่อนั้นเราจะไม่
มีวันไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน
“อย่าฝันอย่างเดียว ลงมือทาด้วย ถึงมัน
จะไม่สาเร็จอย่างน้อยเราก็ได้ทา คนที่มีความฝันไม่ใช่คนที่น่าหัวเราะ คนที่น่าหัวเราะคือคนที่ไม่มีความผัน”
และนั่นคือเขาเอง “โต้ง สามเสือ”