SlideShare a Scribd company logo
1 of 77
Company
LOGO
หน่วยที่ 1
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 4 ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเออร
ปัจจุบันคอมพิวเออรกลายเป็นเครื่องมืออานวยความสะดวก
ให้กับการทางานทุก ๆ ด้านในชีวิอประจาวันของมนุษย ซึ่ง
นอกจากจะช่วยให้การทางานง่ายขึ้น คอมพิวเออรยังสามารถ
สร้างความบันเทิงให้กับผู้ใช้ได้อีกด้วย และสืบเนื่องจาก
อิทธิพลของคอมพิวเออรซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเทคโนโลยี
สารสนเทศในปัจจุบัน ทาให้การเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเออร
เป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่ง
4.1 จุดกาเนิดของเครื่องคอมพิวเออร
 แนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกาเนิดของเครื่องคอมพิวเออรก็คือ
“ความอ้องการความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการทางานของมนุษย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการคานวณ
 เครื่องคอมพิวเออรถูกนามาใช้ในงานธุรกิจทุกประเภททุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นงาน
คานวณ งานเอกสาร งานซื้อ-ขายสินค้า งานสินค้าคงคลัง งานบัญชี ฯลฯ ด้วยเหอุผลของ
การแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การทางานจึงอ้องดาเนินการอย่างรวดเร็วและมี
ประสิทธิภาพ
4.2 ความหมายของคอมพิวเออร
 คอมพิวเออรมาจากภาษาลาอิน คาว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือการคานวณ
 คอมพิวเออร (Computer) หมายถึง อุปกรณอิเล็กทรอนิกสที่ทางานภายใอ้การควบคุม
ของชุดคาสั่งที่อยู่ในหน่วยความจาของคอมพิวเออรเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูล (Data)
เข้าสู่หน่วยประมวลผลเพื่อทาการคานวณและแสดงผลลัพธออกทางอุปกรณแสดงผล โดยที่
ผลลัพธเหล่านี้จัดว่าเป็นข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและเรียบเรียงแล้ว จะเรียกผลลัพธนี้ว่า
“สารสนเทศ (Information)”
 คอมพิวเออร หมายถึง เครื่องมือทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกสที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อออบสนอง
ความอ้องการของมนุษยในการทางานทางด้านการคานวณเป็นหลัก
4.3 ลักษณะสาคัญของคอมพิวเออร
 ทางานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส
 ประมวลผลด้วยความเร็วสูง
 ทางานด้วยความถูกอ้องแม่นยาและเชื่อถือได้
 เก็บข้อมูลด้วยจานวนมาก
 ย้ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
 อิดอ่อสื่อสารระหว่างเครื่องได้
 การทางานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
ลักษณะเด่นของคอมพิวเออรด้านความเร็ว (Speed)
 หมายถึง ความสามารถในการประมวลผล (Processing Speed) ภายในเวลาที่สั้น
ที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเออร สามารถพิจารณาได้จากความสามารถ
ในการประมวลผลซ้า ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งว่า ความถี่ (Frequency) โดยนับความถี่เป็น
จานวนคาสั่ง หรือ จานวนครั้ง หรือจานวนรอบ ในหนึ่งนาที (Cycle/Second) และ
เรียกหน่วยนี้ว่า Hz (Hertz = Cycle/Second) เช่น หากประมวลผลได้
10 คาสั่ง (หรือ 10 ครั้ง หรือ 10 รอบ)ใน 1 วินาที เรียกว่า ความถี่ (ความเร็ว)
10 Hz นั่นเอง
ปัจจุบันมีความเร็วเป็นกิกะเฮิรซ (GHz) เช่น เครื่องคอมพิวเออรรุ่น Pentium 4 มี
ความเร็วในการประมวลผล 2.5 GHz เป็นอ้น
แสดงหน่วยวัดความเร็วในการประมวลผลของคอมพิวเออร
หน่วยความเร็ว สัญลักษณ์ ค่าความเร็ว
มิลลิเซคัน (Milisecond)
(หน่วยในพันของวินาที)
ms 1/103 วินาที หรือ 1/1000
ไมโครเซคัน (Microsecond)
(หน่วยในล้านของวินาที)
s 1/106 วินาที หรือ 1/1000000
นาโนเซคัน (Nanosecond)
(หน่วยในพันล้านของวินาที)
ns 1/109 วินาที หรือ
1/1000000000
พิคโคเซคัน (Picosecond)
(หน่วยในล้านล้านของ
วินาที)
ps 1/1012 วินาที หรือ
1/1000000000000
มนุษยรู้จักวิธีการคานวณ
โดยเริ่มจากการนับนิ้ว
www.themegallery.com
Company
Logo
4.4 วิวัฒนาการของคอมพิวเออร
 ยุคก่อนเครื่องจักรกล (Premechanical)
วิวัฒนาการของเครื่องมือช่วยนับและการคานวณในยุคก่อนเครื่องัักรกล
แผ่นหินอ่อนซาลามิส (Salamis Tablet)
ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ชาวบาบิลอนได้สร้างเครื่องมือสาหรับช่วยนับเป็นแผ่นกระดานหินอ่อน
ขนาดใหญ่ บนเกาะซาลามิส เพื่อช่วยสาหรับการนับค่าตัวเลขที่มีมากขึ้นและสะดวก
กว่าการเอาแท่งไม้หรือก้อนหินหลายๆก้อนมาใช้ตามแบบวิธีเดิม ๆ
แผ่นหินอ่อนซาลามิส มีความยาว 149 ซม. กว้างประมาณ 75 ซม. และหนา 4.5 ซม.
ตัวแผ่นหินัะมีกลุ่มเส้นบรรทัดเรียงกันเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มมีเส้นบรรทัดลากตั้งฉากแบ่งออกไปกลุ่มของสัญลักษณ์
ตัวเลขัะมีเขียนอยู่ตรงส่วนของขอบแผ่นหินรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย ขวาและด้านล่าง เพื่อเอาไว้ช่วยทาเครื่องหมายในการ
นับตัวเลข
4.4 วิวัฒนาการของคอมพิวเออร
 ในปี ค.ศ.1200 ) ประเทศจีนมีการคิดค้นเครื่องมือช่วยนับเพื่อให้ง่ายและรวดเร็วมาก
ขึ้น เรียกว่า “ ลูกคิด (Abacus) ” ซึ่งชาวจีนเรียกอุปกรณชนิดนี้ว่า “suan-
pan” อ่อมาได้มีการนาเอาลูกคิดนี้ไปใช้ในเชิงการค้ามากยิ่งขึ้น และแพร่หลายไปยังหลาย
ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รัสเซีย และยุโรปในเวลาอ่อมา
ลูกคิดที่ประดิษฐขึ้นมาในแอ่ละที่ก็จะมีรูปแบบที่แอกอ่างกัน แอ่โดยหลักการแล้วก็คือ เครื่องมือ
เพื่อเอาไว้สาหรับช่วยในการนับ ทาไดง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลูกคิดถือว่าเป็นเครื่องมือช่วย
ในการนับของมนุษยที่มีมายาวนานและยังนิยมใช้กันแพร่หลายมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ลูกคิดที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวัีน เรียกว่า suan-pan
ปี ค.ศ. 1612 (บางอาราใช้ค.ศ. 1617)
 แท่งคานวณของเนเปียร “ Napier’s Bone ”
John Napier (จอหน เนเปียร) นักคณิอศาสอรชาวสก๊ออแลนด ได้ประดิษฐอุปกรณ
ช่วยคานวณ เป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยแท่งไม้อีเส้นเป็นอารางคานวณหลาย ๆ แท่งเอาไว้ใช้
สาหรับคานวณ แอ่ละแท่งจะมีอัวเลขเขียนกากับไว้เมื่ออ้องการผลลัพธก็จะหยิบแท่งที่ใช้ระบุ
อัวเลขแอ่ละหลักมาอ่านกับแท่งดรรชนี (index) ที่มีอัวเลข 0-9 ก็จะได้คาออบ
John Napier
เครื่องมือช่วยนับที่เรียกว่า Napier’s bone
ปี ค.ศ. 1622 (บางอาราใช้1630)
 John William Augrred (จอหน วิลเลี่ยม ออดเทรด)
ได้นาเอกหลักการของเนเปียรมาพัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า ไม้บรรทัดคานวณ สไลดรูล
(Slide Rule) ขึ้น โดยนาค่าอ่างๆ มาเขียนไว้บนแท่งไม้สองอัน เมื่อใดที่นามาเลื่อนอ่อ
กันก็จะสามารถหาผลลัพธอ่าง ๆ ที่อ้องการได้อัวเลขหรือค่าที่เอามาเขียนนั้นจะกาหนดเป็น
อัอราส่วนระยะทาง(log scale) ซึ่งสามารถวัดหรือหาค่าได้โดยง่าย นับได้ว่าไม้บรรทัด
คานวณนี้เป็นอ้นแบบของการพัฒนาเครื่องคอมพิวเออรแบบอนาล็อกที่อาศัยหลักการวัดซึ่งนิยม
ใช้กันในเวลาอ่อมานั่นเอง
ไม้บรรทัดคานวณยังมีให้เห็นและใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการผลิตให้มีขนาดเล็กลงและ
ใช้งานได้ง่าย โดยมีการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ผลิอจากแผ่นไม้มาเป็นแผ่นเหล็กและพลาสอิกมากยิ่งขึ้น
John William Oughtred
ผู้คิดค้นไม้บรรทัดคานวณหรือ Slide Rule
ที่มีใช้กันมาถึงปัััุบัน
ยุคเครื่องจักรกล (Mechanical)
วิวัฒนาการของเครื่องมือคานวณในยุคเครื่องัักรกล
(Mechanical)
นาฬิกาคานวณ (Calculating Clock)
ในปี ค.ศ.1623 วิลเฮลม ชิคการด (Wilhelm Schickard) แห่งมหาวิทยาลัย
เทอรบิงเจน (University of Tubingen) ประเทศเยอรมันนีได้สร้างนาฬิกา
คานวณขึ้น โดยใช้แนวคิดของเนเปียรมาประยุกอใช้
วิธีการทางานของเครื่องอาศัยตัวเลขต่าง ๆ บรรจุบนทรงกระบอกจานวน 6 ชุด แล้วใช้ฟันเฟือง
เป็นเครื่องหมุนทดเวลาคูณเลข ซึ่งถือได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ประดิษฐเครื่องกลไกสาหรับคานวณได้
เป็นคนแรก
นาฬิกาคานวณ (Calculating Clock)
Wilhelm Schickard (วิลเฮล์ม ชิคการ์ด)
กับนาฬิกาคานวณที่เขาประดิษฐ์ขึ้น
ปี ค.ศ. 1642
 นักคณิอศาสอรชาวฝรั่งเศสชื่อ “ Blaise Pascal ” (เบลส ปาสคาล) ได้
สร้างเครื่องมือช่วยบวกเลข เรียกว่า เครื่องคานวณของปาสคาล (Pascaline
Calcutator) ขึ้น โดยมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม หลักการคานวณอาศัยการหมุนของ
ฟันเฟืองหนึ่งอัน หากถูกหมุน ครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีกอันหนึ่งทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วย
ในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เช่นเดียวกันกับการทดเลข สาหรับผกลการคานวณจะดูได้ที่ช่อง
ด้านบน เครื่องมือนี้สามารถใช้ได้ดีในการคานวณบวกและลบเท่านั้น ส่วนการคูณและหารยังไม่
ดีเท่าไรนัก
Blaise Pascal (เบลส ปาลคาล)
เครื่องคานวณของปาสคาล
(Pascaline Calculator)
เครื่องคานวณของไลบนิซ (Leibniz Wheel)
 ในปี ค.ศ. 1674 กอออฟรีด วิลเฮล์ม ไลบนิซ (Gottfried Wilhelm
Leibniz) นักคณิอศาสอรชาวเยอรมันได้ทาการปรับปรุงเครื่องคานวณของปาสคาลให้มี
ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม โดยมีการปรับฟันเฟืองเสียใหม่ให้มีความสามารถคูณและหารได้ด้วย
โดยอรง
เครื่องชนิดนี้เรียกว่า เครื่องคานวณของไลบนิซ (Leibniz Wheel) หรืออีกชื่อหนึ่ง
คือ Stepped Reckoner
ปี ค.ศ. 1801 (บางอาราใช้1673)
 นักประดิษฐชาวฝรั่งเศส ชื่อ “ Joseph Marie Jacquard ” (โจเซฟ มารี แจค
การด) ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าให้สามารถควบคุมลวดลายหรือแบบอ่าง ๆ ที่อ้องการได้เอง
อัอโนมัอิ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความชานาญในการทอผ้า สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย
เครื่องชนิดนี้เรียกว่า เครื่องทอผ้าของแจคการด(Jacquard’ loom) โดยเพียงแอ่
นาเอาอัวบัอรเจาะรู(Punched Card) ที่เป็นแม่แบบของลวดลายผ้าใส่เข้าไปในอัวนี้
การทอหรือยกลายอามแม่แบบชุดคาสั่ง (รูที่เจาะไว้บนบัอร) ก็จะทาได้เองอัอโนมัอิ ซึ่งเป็น
แนวคิดที่ก่อให้เกิดการสร้างคอมพิวเออรให้ทานได้อามชุดคาสั่งในเวลาอ่อมา
โจเซฟ มารี แจกการ์ด(Joseph Marie Jacquard)
เครื่องทอผ้าที่ประยุกต์ใช้บัตรเัาะรูมาควบคุมลวดลายของผ้า
เครื่องทอผ้าของแจคการด(Jacquard’ loom)
บัตรเัาะรู Punched Card
ปี ค.ศ. 1822
 เครื่อง Different Engine
ปี ค.ศ.1822 ชารลส แบบเบจ (Charles Babbage ) นักวิทยาศาสอรชาว
อังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ เป็นบุคคลที่ได้พยายามเสนอแนวคิดให้เครื่องจักรกลสามารถ
ทางานได้อามคาสั่งและเกิดผลลัพธข้อผิดพลาดน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการคานวณใน
งานที่ซ้าซ้อนมาก ๆ ซึ่งเมื่อคานวณผลลัพธผิดพลาดก็อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้
อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเบื่อหน่ายในการทางานด้วย เพราะอ้องกลับมานั่งคานวณหาค่า
ผลลัพธนั้นใหม่อีกรอบ เขาจึงได้เสนอแนวคิดการสร้างเครื่องคานวณอ้นแบบที่เรียกว่า
Difference Engine เพื่อขอรับเงินสนับสนุนไปยังสมาคมดาราศาสอร ซึ่งทาง
สมาคมก็เห็นด้วยกับแนวคิดที่เขาเสนอ จึงอนุมัอิโครงการดังกล่าว และได้รับเงินอุดหนุนจาก
รัฐบาลอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1823
 การพัฒนาเครื่อง Different Engine ใช่ว่าจะเสร็จโดยสมบูรณ เนื่องจากยังมี
ข้อผิดพลาดของการทางานภายในอัวเครื่องอยู่อีกมาก ประกอบกับเทคโนโลยีของอุปกรณการ
ผลิอในสมัยนั้นยังไม่ดีพอที่จะผลิออามแบบที่แบบเบจเสนอไว้ได้ แนวคิดดังกล่าวจึงถูกพักไว้
และถูกยกเลิกไปในที่สุด เนื่องจากไม่เป็นไปอามที่คาดหวัง เครื่อง Different
Engine ที่ผลิอออกมานั้นจึงทางานได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
Charles Babbage
เครื่อง Difference Engine
ปี ค.ศ. 1843
 Augusta Ada Byron (เลดี้ออกุสอา เอด้า ไบรอน) หรือ Ada
Lovelace เป็นผู้ที่เข้าใจแนวคิด Analytical Engine ของBabbage
และนามาปรับปรุงให้ใช้เลขฐานสองแทนฐานสิบ และเขียนโปรแกรมโดย ใช้บัอรเจาะรู เธอ
ได้รับยกย่องว่าเป็น “โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก” และได้มีการอั้งชื่อเป็นภาษา
เขียนโปรแกรม “Ada” เพื่อเป็นเกียรอิแก่เธอ
www.themegallery.com
ปี ค.ศ. 1880
 Dr. Herman Hoolerith (ดร.เฮอรมาน ฮอลเลอริธ)ได้
 พัฒนาเครื่องประมวลผลข้อมูล ที่สามารถอ่านข้อมูลสามะโนประชากรจากบัอรเจาะรูได้
นอกจากนี้ยังพัฒนากล่องเรียงลาดับข้อมูลและเครื่องจาแนกข้อมูลสามะโนประชากรสามารถทา
ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (จากเดิมที่เคยใช้เวลานานถึง 7 ปี)
 อ่อมา Dr. Hollerith ได้ก่ออั้งบริษัท IBM (International
Business Machines Corporation) ขึ้น และได้พัฒนากลไกทางาน
ของแผงควบคุมและบัอรเจาะรูที่ใช้ประมวลผลข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับความ
นิยมจนกระทั่งปลายปี 1950 เรียกบัอรนี้ว่า “ Hollerith’s Punched
Card ” หรือ “ IBM 80-Column Punched Card ”
www.themegallery.com
Company
Logo
ปี ค.ศ. 1942
 John Atanasoff (จอหน อทานาโซฟ) แห่ง lowa State
University ได้สร้างอิเล็กทรอนิกสดิจิออลคอมพิวเออร ซึ่งทางานโดยใช้หลอด
สุญญากาศในการปฏิบัอิการคานวณ และอั้งชื่อว่า “ ABC (Atanasoff-
Berry Computer) ”
ปี ค.ศ. 1944
 Harward Aiken (ศาสอราจารยโอเวิรด ไอดเคน) แห่ง Harvard
University ได้พัฒนาเครื่องดิจิออลคอมพิวเออรกึ่งกลไกกึ่งไฟฟ้าขนาดใหญ่เครื่องแรก
ชื่อว่า “Aiken’s Automatic Sequence Controlled
Calculator (ASCC)”หรือเรียกสั้น ๆว่าเครื่อง “Mark I ” โดยใช้
แนวความคิดหลาย ๆ อย่างของ Babbage แอ่ใช้ไฟฟ้าแทนเครื่องกล และใช้แนวความคิด
ที่ IBM พัฒนาเครื่องคานวณบัอรเจาะรูในช่วงทศวรรษ 1930 มาเป็นพื้นฐานด้านการ
คานวณ
ปี ค.ศ. 1946
 Dr.John W. Mauchy และ J. Presper Eckert Jr. (จอหน มอชี
และเปรสเปอรเอคเคิรท ) ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเออรที่สามารถปฏิบัอิการได้เป็นเครื่องแรก
ชื่อว่า “ ENIAC (Electronic Numerical Integrator and
Calculator) ” ทางานด้วยหลอดสุญญากาศมากกว่า 18,000 หลอด ENIAC
ถูกใช้ในกองทัพอเมริกาเพื่อคานวณวิถีกระสุนปืนใหญ่ อย่างไรก็อาม ENIAC ไม่สามารถ
จัดเก็บโปรแกรมและใช้ระบบทศนิยมได้ การทางานถูกควบคุมจากแผงควบคุมภายนอก ซึ่ง
จะอ้องเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกครั้งที่มีการคานวณชุดใหม่
ปี ค.ศ. 1949
 John Von Neumann (จอหน วอน นอยแมน) ได้เสนอแนวคิดเพื่อปรับปรุง
ENIAC ให้สามารถเก็บโปรแกรมไว้ภายในเครื่องเป็นครั้งแรก ซึ่งพัฒนาเป็นเครื่อง “
EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic
Computer) ” ในปี 1952
ปี ค.ศ. 1952
 John Mauchy และ J.P. Eckert ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเออรอีกครั้ง ชื่อว่า
“UNIVAC Universal Automatic Computer” เป็นเครื่องที่
สามารถบันทึกข้อมูลลงบนเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) ได้เป็นเครื่องแรก
4.5 ยุคของคอมพิวเออร
 ยุคที่ 1 (First Generation:ค.ศ. 1940 - 1953)
วัสดุที่ใช้ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) และวงจรไฟฟ้า
ขนาด เนื่องจากใช้หลอดสุญญากาศจานวนมาก อัวเครื่อง
คอมพิวเออรจึงมีขนาดใหญ่
ความเร็วในการทางาน เป็นวินาที
ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาเครื่อง (Machine Language)
สื่อที่ใช้ บัอรเจาะรู (Punched Language) และเทปกระดาษ (Paper
Tape)
การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศอลอดเวลา เนื่องจากระหว่าง
การทางานมีความร้อนสูง
ตัวอย่างเครื่อง IBM 650, IBM 701
อัวอย่างเครื่อง IBM 650 1
www.themegallery.com
ยุคที่ 2 (Second Generation :
ค.ศ. 1953 - 1963)
วัสดุที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) มีแกนแม่เหล็ก (Magnetic Core)
เป็นหน่วยความจาหลักภายในเครื่อง
ขนาด เนื่องจากใช้ Transistor ตัวเครื่องจึงมีขนาดเล็กลง ราคาถูก
กว่าเดิม
ความเร็วในการ
ทางาน
เป็น Millisecond (1/1000 วินาที)
ภาษาคอมพิวเตอร์ FORTRAN (1956) , ALGOL (1958) , COBOL (1959)
สื่อที่ใช้ บัอรเจาะรู และเทปแม่เหล็ก
การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศ
ตัวอย่างเครื่อง IBM 7000-Series และ IBM 1400-series
www.themegallery.com
อัวอย่างเครื่อง IBM 1401
ยุคที่ 3 (Third Generation : ค.ศ. 1963 - 1972)
วัสดุที่ใช้ แผงวงัรรวม (Integrated Circuit : IC) เทียบเท่า Transistor หลาย
ร้อยตัว แกนแม่เหล็กถูกแทนที่ด้วยเซมิคอนดักเตอร์
(Semiconductor)
ขนาด เล็ก ใช้พลังงานน้อย ความร้อนลดลง
ความเร็วในการทางาน เป็น Microsecond (1/106 วินาที)
ภาษาคอมพิวเตอร์ COBOL , PL/I นอกจากนี้IBM’ OS ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกด้วย
สื่อที่ใช้ จานแม่เหล็ก (Magnetic Disk) ได้รับความนิยมแทนที่บัตรเจาะรูและเทป
แม่เหล็ก
การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศ
ตัวอย่างเครื่อง IBM 360 , IBM 370
อัวอย่างเครื่อง IBM 360
ยุคที่ 4 (Fourth Generation :
ค.ศ. 1972 - 1984)
วัสดุที่ใช้ แผงวงัร VLSI (Very-Large-Scale Integration) ทาให้มี
เครื่อง Minicomputer, Microcomputer หรือเครื่อง
ขนาดเล็กเกิดขึ้น พัฒนาต่อมาเป็น Microprocessor
โดยใช้ Chip เป็นวัสดุ
ขนาด อั้งโอ๊ะ
ความเร็วในการทางาน เป็น Nanosecond (1/109 วินาที)
ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาระดับสูง เช่น Pascal , C , Basic นอกจากนี้
ระบบปฏิบัติการ UNIX ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วย
สื่อที่ใช้ เทปแม่เหล็กและจานแม่เหล็ก
การเก็บรักษา ไม่จาเป็นอ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศก็ได้
ตัวอย่างเครื่อง IBM 370 , IBM PC (XT AT)
www.themegallery.com
ยุคที่ 5 (Fifth Generation : 1984 - 1900)
 คอมพิวเออรในยุคนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพสูง สามารถเชื่อมอ่อกันได้
ทั่วโลกด้วยเครือข่ายอินเออรเน็อ และยังเป็นยุคที่มีการพัฒนารูปแบบการโอ้ออบและการ
แสดงผลทางจอภาพคอมพิวเออรให้ใช้งานง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ GUI (Graphic
User Interface) กลางปี ค.ศ. 1990 ความนิยมในการนาเครือข่ายอินทราเน็อ
(Intranet) และอินเออรเน็อเข้ามาใช้ในองคกรมากขึ้นทาให้ในด้านเครือข่าย
คอมพิวเออรได้พัฒนาเครือข่ายระยะใกล้(Local Area Network: LAN)
และเครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network: WAN) ขึ้นมาใช้งานอย่าง
รวดเร็ว เครื่องคอมพิวเออรส่วนบุคคลจึงสามารถเชื่อมโยงกันและสื่อสารถึงกันได้ทั่วโลก และ
จากเครื่องคอมพิวเออรก็มีการพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดพกพาไปอาม
สถานที่อ่าง ๆ ได้เช่น โน้อบุ๊ค เป็นต้น
ยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1900 – อนาคอ)
มีการพัฒนาให้คอมพิวเออรสามารถช่วยจัดการงานในด้านอ่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงาน
ด้านบริหาร การอัดสินใจ ทาให้เกิดระบบใหม่ ๆขึ้นมากมาย
เช่น ระบบสนับสนุนการอัดสินใจ (Decision Support System :
DSS) ระบบสานักงานอัอโนมัอิ (Office Automation)
นอกจากนี้ยังพัฒนาให้คอมพิวเออรสามารถเลียนแบบกระบวนการคิดของมนุษย เรียกว่า “
ปัญญาประดิษฐ(Artificial Intelligent: AI) ” ระบบผู้เชี่ยวชาญ
(Expert System) อลอดจนการประมวลผลภาษาธรรมชาอิ (Natural
Language Processing: NLP)ที่จะทาให้คอมพิวเออรโอ้ออบกับมนุษยด้วย
เสียงได้
www.themegallery.com
Company
Logo
4.6 ประเภทของคอมพิวเออร
4.6.1 จาแนกอามวัอถุประสงคการใช้งาน
1. คอมพิวเออรใช้งานทั่วไป เป็นคอมพิวเออรที่สามารถใช้ได้กับงานหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น
งานเอกสาร คานวณ หรืองานกราฟฟิก ได้แก่ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
2. คอมพิวเออรในงานเฉพาะ เป็นคอมพิวเออรที่พัฒนาขึ้นเพื่อประยุกอใช้งานกับงานเฉพาะอย่าง
เช่น งานด้านการแพทย การทหาร กรมอุอุนิยมวิทยา เป็นอ้น
www.themegallery.com
Company
Logo
4.6.2 จาแนกอามลักษณะของข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. Analog Computer เป็นคอมพิวเออรที่รับข้อมูลที่มีค่าไม่อ่อเนื่องกันจึงใช้
หลักการวัดค่าที่รับเข้ามาแล้วแสดงออกทางหน้าปัด เช่น คลื่นสมอง อุณหภูมิ ความดัน เป็น
อ้น
2. Digital Computer เป็นคอมพิวเออรที่รับข้อมูลที่มีความอ่อเนื่องกันในลักษณะ
ของอัวเลข จึงใช้หลักการนับในการรับข้อมูลดังกล่าวแล้วแสดงผลลัพธออกทางจอภาพ
คอมพิวเออรชนิดนี้มีความแม่นยามากกว่า Analog Computer และจะอ้องอาศัย “
สื่อบันทึกข้อมูล ” ในการจัดเก็บข้อมูล คอมพิวเออรที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเป็นแบบ
Digital Computer
3. Hybrid Computer เป็นคอมพิวเออรที่นาลักษณะการทางานของคอมพิวเออร
ทั้ง 2 ชนิดข้างอ้นมารวมกันทาให้สามารถใช้กับงานหลายลักษณะ
4.6.3 จาแนกอามขนาดของเครื่องคอมพิวเออร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
 1. Supercomputer เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดใหญ่ มีความเร็วในการ
ประมวลผลสูงสุด (ประมาณ 100 ล้านคาสั่งอ่อวินาที) มีราคาแพงมาก เนื่องจาก
ประสิทธิภาพของ Chip ที่ใช้ประมวลสูงสุด นิยมใช้ในหน่วยงานสาคัญและเหมาะกับงานที่
อ้องการความละเอียด ถูกอ้องแม่นยาในการคานวณสูง งานที่อ้องการมีการวิเคราะหที่ซับซ้อน
เช่น งานพยากรณอากาศ งานวิทยาศาสอร งานวิจัยพลังงานนิวเคลียร งานทางด้านทหาร ฯลฯ
2. Mainframe Computer
เป็นคอมพิวเออรที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจาก Supercomputer มีความเร็วในการ
ประมวลผลสูง (ประมาณ 10 ล้านคาสั่งอ่อวินาที) เหมาะสมกับองคกรขนาดใหญ่ ที่มีการ
ทางานเข้าสู่ศูนยกลาง และกระจายไปยังสาขาอ่าง ๆ เป็นเครือข่าย มีผู้ใช้ระบบพร้อมกันหลายคน
เช่น งานธนาคาร งานสามะโนประชากรของรัฐบาล งานสายการบิน งานประกันชีวิอ งาน
โรงงานที่มีการใช้ระบบ ERP เป็นอ้น ลักษณะการนาไปใช้งานจึงมีวัอถุประสงคแอกอ่าง
จาก Supercomputer และเช่นเดียวกับ Supercomputer ปัจจุบัน
Mainframe Computer มีขนาดลดลงมาก แอ่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
3. Minicomputer
เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดกลาง มีความเร็วในการประมวลผลสูง เหมาะกับองคกรขนาดกลางถึง
ขนาดใหญ่ที่มีการทางานเป็นระบบเครือข่ายแบบClient/Server มีผู้ใช้งานระบบ
พร้อมกันหลายคน มีข้อมูลจานวนมาก เช่น Minicomputer รุ่น PDP ที่ผลิอโดย
บริษัท Digital Equipment Corporation
4. Microcomputer หรือ Personal Computer (PC)
เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะสาหรับผู้ใช้คนเดียว (Stand-
alone) หรือใช้เชื่อมอ่อกับระบบเครือข่ายอื่น ๆ ได้โดยเฉพาะเครือข่าย LAN และ
Internet เพื่อสื่อสารกับคนทั่วโลก เครื่อง PC เหมาะสาหรับใช้งานทั่วไป เช่น งาน
เอกสาร งานคานวณ งานบัญชี เป็นอ้น
www.themegallery.com
ปัจจุบันมีการพัฒนารูปลักษณของ PC แอกอ่างกันไปหลายแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการ
นาไปใช้งาน เช่น อั้งโอ๊ะ วางบนอัก หรือสามารถหิ้วได้ มีขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นอ้น ลักษณะที่
แอกอ่างกันเกิดจากการจาแนกอาม “ เคส (Case) ” ซึ่งมาจาคาว่า “ Chassis ”
หมายถึง โครงโลหะสาหรับประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเออร เช่น
 Desktop เป็นคอมพิวเออรส่วนบุคคล สามารถอั้งบนโอ๊ะทางานได้แอ่จะมีการแยก
ชิ้นส่วนบางอย่าง ได้แก่ จอภาพ กล่อง Case ลาโพง คียบอรด
 แล็ปท้อป (Laptop Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดแล็ก สามารถหิ้วไป
สถานที่อ่าง ๆ ได้ น้าหนักเบา คียบอรดจะอิดกับจอภาพรวมทั้งเมาสด้วย
 โน้อบุ๊ค (Notebook Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดเล็ก
เช่นเดียวกับ Laptop แอ่อัวเครื่องจะบางและเบากว่า Laptop
 Tablet (Tablet Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดเล็กเท่าแผ่นป้าย
น้าหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก สามารถป้อนข้อมูลทางจอภาพได้ด้วยปากกาชนิดพิเศษ
www.themegallery.com
Company
Logo
 Handheld (Handheld Computer) เป็นคอมพิวเออรขนาดพกพา คือ
มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ คียบอรดและหน้าจอมีขนาดเล็ก บางรุ่นใช้ปากกาพิเศษป้อนข้อมูลทาง
จอภาพ คอมพิวเออรชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้จัดการสารสนเทศส่วนบุคคล เช่น จัด
อารางเวลานัดหมาย ปฏิทินนัดหมาย สมุดโทรศัพท สมุดบันทึก รับส่งอีเมล เป็นอ้น ปัจจุบัน
รู้จักกันในนาม “ Palmtop ” และ “ PDA ”
4.7 ส่วนประกอบของระบบคอมพิวเออร
ระบบคอมพิวเออรประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หน่วยแสดงผลข้อมูล
(Output Unit) และหน่วยความจา (Memory Unit)
แสดงอุปกรณของ Input Unit
4.7.2 หน่วยประมวลผลกลาง
(Central Processing Unit: CPU)
เป็นหน่วยที่ทาหน้าที่ในการประมวลผลคาสั่ง และควบคุมการทางานทั้งหมดของระบบ
คอมพิวเออร ซึ่งหน่วยนี้ถือว่าเป็นหัวใจของระบบคอมพิวเออร โดยคอมพิวเออรจะสามารถ
ทางานได้ถูกอ้องและรวดเร็วเพียงไร ขึ้นอยู่กับ CPU ทั้งสิ้น คอมพิวเออรขนาดใหญ่ เช่น
Mainframe หรือ Supercomputer จะเรียก CPU ว่า “
Processor ” และบางครั้งจะใช้Processor ร่วมกันหลาย ๆ อัว เพื่อให้สามารถ
ประมวลผลการทางานได้รวดเร็วขึ้น สาหรับคอมพิวเออรขนาดเล็ก เช่น PC จะมี CPU
เพียงหนึ่งอัว (Single Chip) เรียกว่า “ Microprocessor ”
CPU จะมีลักษณะเป็น Chip หรือแผงวงจรที่ประกอบไปด้วย Transistor
และอุปกรณอื่น ๆ รวมอยู่จานวนมาก
www.themegallery.com
CPU
CPU ประกอบไปด้วยหน่วยย่อย 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยควบคุม (Control Unit)
และหน่วยคานวณ/อรรกะ (Arithmetic / Logical: ALU)
 หน่วยควบคุม (Control Unit) ทาหน้าที่ควบคุมการทางานของหน่วย
อื่น ๆ ทั้งหมด คอยจัดการเวลาการประมวลผลอามคาสั่งที่รับเข้ามาเป็นจังหวะ
อามสัญญาณนาฬิกา
 หน่วยคานวณ/อรรกะ (Arithmetic / Logical: ALU) ทาหน้าที่
ประมวลผลคาสั่งด้วยวิธีการทางคณิอศาสอร เช่น บวก (+) ลบ (-) คูณ
() หาร(/) เป็นอ้น และเปรียบเทียบค่าของข้อมูล เช่น มากกว่า (>) น้อย
กว่า (<) มากกว่าหรือเท่ากับ (≥) เป็นอ้น
4.7.3 หน่วยความจา (Memory Unit)
ทาหน้าที่จัดเก็บข้อมูลที่รับเข้ามา เพื่อส่งอ่อไปยัง CPU และเมื่อ CPU ประมวลผล
เรียบร้อยแล้ว จะส่งผลลัพธมาเก็บไว้ในหน่วยความจา เพื่อนาไปแสดงผลออกทางหน่วย
แสดงผลหรือจัดเก็บลงหน่วยความจาสารองอ่อไป
หน่วยความจา ถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ หน่วยความจาหลัก (Primary
Storage / Primary Memory) และหน่วยความจาสารอง
(Secondary Storage)
หน่วยความจาหลัก (Primary Storage / Primary Memory) ทา
หน้าที่เก็บข้อมูลหรือคาสั่งที่รับเข้ามาทางInput Unit เพื่อรอให้ CPU เข้าถึงข้อมูล
หรือคาสั่งนั้น (ข้อมูลหรือคาสั่งอยู่ในรูปของเลขฐานสอง) จากนั้นจะทาการคัดลอกมาเพื่อ
ประมวลผล หากมีการคานวณจะถูกส่งไปยัง ALU แล้วส่งผลลัพธกลับมาพักไว้ที่
หน่วยความจาอีกครั้ง เพื่อรอคาสั่งแสดงผลลัพธอ่อไป ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า 1 รอบการ
ปฏิบัอิการ หน่วยความจาหลัก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ROM และRAM
www.themegallery.com
 ROM (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจาที่ไม่สามารถลบทิ้งได้
(Nonvolatile Memory) ทาได้เพียงดึงข้อมูลมาใช้เท่านั้น และข้อมูลนั้นยังถูก
เก็บอยู่ได้โดยไม่อ้องมีไฟฟ้าไปเลี้ยง (ข้อมูลจะไม่หายแม้ไฟจะดับก็อาม)
โดยปกติ ROM จะถูกบันทึกชุดคาสั่งการทางานเหล่านี้มาจากโรงงานของผู้ผลิอแล้ว
(เรียกว่า “ Firmware ”) และผู้ใช้ไม่สามารถลบชุดคาสั่งนี้ออกได้ อย่างไรก็อาม หาก
อ้องการลบจะอ้องผ่านกระบวนการพิเศษ
www.themegallery.com
Company
Logo
 RAM (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจาที่ใช้เก็บข้อมูล
หรือชุดคาสั่งจากโปรแกรมในระหว่างที่เครื่องคอมพิวเออรกาลังทางาน RAM เป็น
หน่วยความจาชั่วคราว (Volatile Memory) ดังนั้น เมื่อไม่มีกระแสไฟหรือเมื่อปิด
เครื่อง ข้อมูลที่อยู่ใน RAM จะหายไป
www.themegallery.com
Company
Logo
 หน่วยความจาสารอง (Secondary Storage) เป็นหน่วยความจาเสริมที่
มีหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่นาเข้าผ่าน Input Unit หรือข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล
แล้ว โดยจัดเก็บให้อยู่ในรูปของไฟล (File) เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานได้ในครั้งอ่อไป
หน่วยจัดเก็บข้อมูลนี้เมื่อไม่มีไฟเลี้ยงก็ยังสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้โดยที่ข้อมูลไม่หาย และ
สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจาหลายเท่า อัวอย่างหน่วยจัดเก็บข้อมูล เช่น
ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk)
ฟล็อปปี้ ดิสก (Floppy Disk)
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เป็นอ้น
www.themegallery.com
Company
Logo
4.7.4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)
 ทาหน้าที่แสดงผลลัพธที่ได้จากการประมวลผลของ CPU โดยอ้องแปลงข้อมูลดิจิออล
ที่ได้จากการประมวลผลเป็นข้อมูลที่มนุษยสามารถเข้าใจได้และก่อนที่จะนาข้อมูลซึ่งได้รับการ
ประมวลผลแล้วไปแสดงผล จะอ้องผ่านหน่วยความจาหลักเช่นเดียวกับหน่วยนาเข้าข้อมูล
ยกอัวอย่างเช่น จอภาพ (Monitor) ลาโพง (Speaker) และเครื่องพิมพ
(Printer) เป็นอ้น
4.8 ปัจจัยร่วมในการใช้งานระบบคอมพิวเออร
เครื่องคอมพิวเออรไม่สามารถทางานเองได้ หากไม่มีผู้ใช้ที่ทาหน้าที่เปิดเครื่องและสั่งงานอ่าง ๆ
ผ่าน Input Unit แอ่ถึงแม้ว่าจะมีผู้ใช้เครื่องคอมพิวเออรแล้วก็อาม หากไม่มี
Software Computer ควบคุมการทางาน เครื่องคอมพิวเออรก็ไม่สามารถทางาน
เองได้เช่นกัน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าปัจจัยร่วมในการใช้งานระบบคอมพิวเออรนั้นประกอบไปด้วย
อุปกรณคอมพิวเออร (Hardware) และ ซอฟอแวร (Software) และบุคลากร
ทางคอมพิวเออร (Peopleware)
www.themegallery.com
Company
Logo
(Hardware)
 ฮารดแวร (Hardware) เป็นอุปกรณคอมพิวเออรหรืออุปกรณอื่น ๆ ที่ใช้งานร่วมกับ
คอมพิวเออร อลอดจนอุปกรณอ่อพ่วงชนิดอ่าง ๆ จาแนกอามส่วนประกอบของระบบ
คอมพิวเออร ซึ่งได้แก่
Input Unit
Central Processing Unit
Output Unit
Memory Unit
www.themegallery.com
Company
Logo
ซอฟอแวร (Software)
 เป็นชุดคาสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้คอมพิวเออรทางานอามคาสั่งบางครั้งเรียกว่า โปรแกรม
คอมพิวเออร ซอฟอแวรแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
www.themegallery.com
Company
Logo
 Peopleware บุคลากรคอมพิวเออร หมายถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน การดูแลและ
ควบคุมระบบคอมพิวเออร อาจเป็นบุคคลเดียวหรือกล่มบุคคลอามการจัดแบ่งโครงสร้างของ
องคกร บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเออร แบ่งได้เป็น
- ผู้ใช้งานคอมพิวเออร (User)
- ผู้ดูแลและซ่อมบารุงเครื่องคอมพิวเออร (Technician)
- โปรแกรมเมอร (Programmer)
- นักวิเคราะหและออกแบบระบบ (System Analysis)
- ผู้บริหารระบบ (System Administrator)
www.themegallery.com
Company
Logo
4.9 รูปแบบการประมวลผลของคอมพิวเออร
4.9.1 การประมวลผลส่วนบุคคล (Personal Computing) คือ การใช้งาน
คอมพิวเออรเครื่องใดเครื่องหนึ่งเพื่อทางานอ่างๆ อามที่อ้องการ โดยไม่มีการใช้โปรแกรม
ร่วมกับเครื่องคอมพิวเออรอื่น หรือไม่มีการอิดอ่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเออรอื่นเลย
4.9.2 การประมวลผลแบบรวมศูนย (Centralized Computing) เป็นระบบ
ที่รวมการทางานทุกอย่างไว้ที่คอมพิวเออรเพียงเครื่องเดียว
การประมวลผลประเภทนี้จะมีข้อเสียคือ หากมีข้อมูลจานวนมาก การประมวลผลจะช้าลง
เนื่องจากมีเพียงเครื่องแม่ข่ายเท่านั้นที่ทาการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลทุกส่วนนั่นเอง จึงได้มี
การแก้ปัญหาด้วยการประมวลผลแบบกระจาย
www.themegallery.com
แสดงการเชื่อมอ่อของการประมวลผลแบบรวมศูนย
4.9.3 การประมวลผลแบบกระจาย (Distributed Computing)
จากข้อจากัดของคอมพิวเออรส่วนบุคคลคือ ไม่สามารถออบสนองความอ้องการของผู้ใช้
ภายในองคกรได้อย่างทั่วถึง และข้อจากัดของการประมวลผลแบบรวมศูนยที่ค่อนข้างล่าช้า
ดังนั้นจึงอ้องมีการจัดสรรทรัพยากร เพื่อกระจายและแจกจ่ายการใช้งานข้อมูลและทรัพยากรอ่าง
ๆ ให้สามารถใช้ร่วมกันได้ให้ทั่วทั้งองคกรและระหว่างหน่วยงานย่อยขององคกร เช่น
ฐานข้อมูล ข่าวสาร เครื่องคอมพิวเออร เครื่องพิมพ เครื่องโทรสาร และเครื่องสแกนเนอร เป็น
อ้น นอกจากนี้การกระจายข้อมูลและทรัพยากรอ่าง ๆ ทาให้การประมวลผลมีความรวดเร็วมาก
ขึ้น
www.themegallery.com
Company
Logo
การเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย Client / Server
www.themegallery.com
การเชื่อมโยงกับอินเออรเน็อด้วย Web Server
ข้อจากัดของคอมพิวเออร
 การวางระบบคอมพิวเออรอ้องใช้เวลานานมาก การที่หน่วยงานใดอัดสินใจนา
คอมพิวเออรมาใช้งาน อ้องวางระบบงานเสียก่อน ว่าจะนาคอมพิวเออรมาช่วยในการทางานด้าน
ใด แล้วยังจะอ้องมีการเรียนโปรแกรมคาสั่ง เพื่อสั่งให้คอมพิวเออรทางานอามที่ได้ออกแบบไว้
ซึ่งขั้นออนในการวางระบบงานจาเป็นอ้องใช้เวลาพอสมควร
 การรบกวนระบบงานปกอิ เมื่อมีคอมพิวเออรเข้ามาใช้ในหน่วยงานที่ไม่เคยใช้เครื่อง
คอมพิวเออรมาก่อน แน่นอนว่าอ้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบงานเดิม เช่น การเปลี่ยนวิธีการ
ทางาน หรือคุณสมบัอิของพนักงาน โดยการส่งพนักงานไปฝึกอบรม การใช้งานคอมพิวเออร
เป็นอ้น การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบอ่อจิอใจของพนักงาน และอาจสร้างความไม่พอใจ และ
ก่อให้เกิดความวุ่นวายหลากประการขึ้นได้ ในระยะแรก ๆ ที่อ้องมีการปรับอัวให้เข้ากับ
ระบบงานใหม่
Company
Logo
 การทางานขึ้นอยู่กับมนุษย คอมพิวเออรเป็นได้แค่เครื่องมือช่วยมนุษยในการทางาน ทั้งนี้เพราะ
เครื่องคอมพิวเออรไม่มีความคิดเป็นของอัวเอง และทางานได้รับคาสั่งจากมนุษยเท่านั้น ไม่ว่า
งานที่สั่งให้ทาจะถูกหรือผิด เครื่องคอมพิวเออรไม่รู้จักคิดหรือปรับปรุงวิธีการทางานให้ดีขึ้น
 คอมพิวเออรมีความหมายว่าอย่างไร จงอธิบาย
 คอมพิวเออรมีลักษณะที่สาคัญอย่างไรบ้าง
 จงบอกประวัอิความเป็นมาของคอมพิวเออรโดยละเอียด
 เราสามารถแบ่งประเภทของคอมพิวเออรได้จากเกณฑอะไรบ้าง และแอ่ละเกณฑมีกี่ประเภท
อะไรบ้าง จงอธิบาย
 ส่วนประกอบของระบบคอมพิวเออรมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
 Hardware ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และแอ่ละส่วนมีหน้าที่อย่างไร จงอธิบาย
 Software มีกี่ประเภทอะไรบ้าง จงอธิบาย
 ระบบปฏิบัอิการที่นักศึกษารู้จักมีอะไรบ้าง และมีลักษณะเป็นอย่างไร จงยกอัวอย่างมา 3 อย่าง
www.themegallery.com
Company
Logo
Company
LOGO

More Related Content

Similar to ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
Sakulrut
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
krupan
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
krupan
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
krupan
 
กำเนิดคอมพิวเตอร์
กำเนิดคอมพิวเตอร์กำเนิดคอมพิวเตอร์
กำเนิดคอมพิวเตอร์
rogozo123
 
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
piyarut084
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
suphawadeebb
 
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำบทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
Supaporn Pakdeemee
 
อานนท์
อานนท์อานนท์
อานนท์
Arnon2516
 
ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1
Boom Sar
 
ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1
Boom Sar
 

Similar to ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (20)

รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
 
รู้จักวิวัฒนาการคอม
รู้จักวิวัฒนาการคอมรู้จักวิวัฒนาการคอม
รู้จักวิวัฒนาการคอม
 
ประวัติคอมพิวเตอร์
ประวัติคอมพิวเตอร์ประวัติคอมพิวเตอร์
ประวัติคอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ใบความรู้ที่  1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ที่ 1 ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
 
กำเนิดคอมพิวเตอร์
กำเนิดคอมพิวเตอร์กำเนิดคอมพิวเตอร์
กำเนิดคอมพิวเตอร์
 
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
 
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
รายงานประวัติคอมพิวเตอร์
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
 
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำบทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
 
อานนท์
อานนท์อานนท์
อานนท์
 
https://athiwatpc.wordpress.com
https://athiwatpc.wordpress.comhttps://athiwatpc.wordpress.com
https://athiwatpc.wordpress.com
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
ประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์
ประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์ประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์
ประวัติความเป็นมาคอมพิวเตอร์
 
ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1
 
ประวัตคอมพิวเตอร์
ประวัตคอมพิวเตอร์ประวัตคอมพิวเตอร์
ประวัตคอมพิวเตอร์
 
ประวัตคอม
ประวัตคอมประวัตคอม
ประวัตคอม
 
ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1ประวัตคอม แพรว-1
ประวัตคอม แพรว-1
 

More from ssuseraa96d2

More from ssuseraa96d2 (20)

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
 
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
ความปลอดภัยและจริยธรรมทางด้านคอมพิวเตอร์
 
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
 
ระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linuxระบบปฏิบัติการ Linux
ระบบปฏิบัติการ Linux
 
ระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOSระบบปฏิบัติการ MS-DOS
ระบบปฏิบัติการ MS-DOS
 
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
 
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูลข้อมูลและการจัดการข้อมูล
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
 
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสารการกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
การกำหนดสไตล์ให้กับเอกสาร
 
การเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสารการเชื่อมโยงเอกสาร
การเชื่อมโยงเอกสาร
 
การสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์มการสร้างฟอร์ม
การสร้างฟอร์ม
 
การสร้างเฟรม
การสร้างเฟรมการสร้างเฟรม
การสร้างเฟรม
 
การสร้างตาราง
การสร้างตารางการสร้างตาราง
การสร้างตาราง
 
การแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพการแทรกรูปภาพ
การแทรกรูปภาพ
 
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการการกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
การกำหนดให้ข้อความอยู่ในรูปของรายการ
 
การตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสารการตกแต่งเอกสาร
การตกแต่งเอกสาร
 
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTMLเริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
เริ่มต้นสร้างเอกสาร HTML
 
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTMLความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา HTML
 
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อื่นๆ
 
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
 

ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

  • 2. หน่วยที่ 4 ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเออร ปัจจุบันคอมพิวเออรกลายเป็นเครื่องมืออานวยความสะดวก ให้กับการทางานทุก ๆ ด้านในชีวิอประจาวันของมนุษย ซึ่ง นอกจากจะช่วยให้การทางานง่ายขึ้น คอมพิวเออรยังสามารถ สร้างความบันเทิงให้กับผู้ใช้ได้อีกด้วย และสืบเนื่องจาก อิทธิพลของคอมพิวเออรซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเทคโนโลยี สารสนเทศในปัจจุบัน ทาให้การเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเออร เป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่ง
  • 3. 4.1 จุดกาเนิดของเครื่องคอมพิวเออร  แนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกาเนิดของเครื่องคอมพิวเออรก็คือ “ความอ้องการความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการทางานของมนุษย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการคานวณ  เครื่องคอมพิวเออรถูกนามาใช้ในงานธุรกิจทุกประเภททุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นงาน คานวณ งานเอกสาร งานซื้อ-ขายสินค้า งานสินค้าคงคลัง งานบัญชี ฯลฯ ด้วยเหอุผลของ การแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การทางานจึงอ้องดาเนินการอย่างรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพ
  • 4. 4.2 ความหมายของคอมพิวเออร  คอมพิวเออรมาจากภาษาลาอิน คาว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือการคานวณ  คอมพิวเออร (Computer) หมายถึง อุปกรณอิเล็กทรอนิกสที่ทางานภายใอ้การควบคุม ของชุดคาสั่งที่อยู่ในหน่วยความจาของคอมพิวเออรเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูล (Data) เข้าสู่หน่วยประมวลผลเพื่อทาการคานวณและแสดงผลลัพธออกทางอุปกรณแสดงผล โดยที่ ผลลัพธเหล่านี้จัดว่าเป็นข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและเรียบเรียงแล้ว จะเรียกผลลัพธนี้ว่า “สารสนเทศ (Information)”  คอมพิวเออร หมายถึง เครื่องมือทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกสที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อออบสนอง ความอ้องการของมนุษยในการทางานทางด้านการคานวณเป็นหลัก
  • 5. 4.3 ลักษณะสาคัญของคอมพิวเออร  ทางานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส  ประมวลผลด้วยความเร็วสูง  ทางานด้วยความถูกอ้องแม่นยาและเชื่อถือได้  เก็บข้อมูลด้วยจานวนมาก  ย้ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว  อิดอ่อสื่อสารระหว่างเครื่องได้  การทางานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
  • 6. ลักษณะเด่นของคอมพิวเออรด้านความเร็ว (Speed)  หมายถึง ความสามารถในการประมวลผล (Processing Speed) ภายในเวลาที่สั้น ที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเออร สามารถพิจารณาได้จากความสามารถ ในการประมวลผลซ้า ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งว่า ความถี่ (Frequency) โดยนับความถี่เป็น จานวนคาสั่ง หรือ จานวนครั้ง หรือจานวนรอบ ในหนึ่งนาที (Cycle/Second) และ เรียกหน่วยนี้ว่า Hz (Hertz = Cycle/Second) เช่น หากประมวลผลได้ 10 คาสั่ง (หรือ 10 ครั้ง หรือ 10 รอบ)ใน 1 วินาที เรียกว่า ความถี่ (ความเร็ว) 10 Hz นั่นเอง ปัจจุบันมีความเร็วเป็นกิกะเฮิรซ (GHz) เช่น เครื่องคอมพิวเออรรุ่น Pentium 4 มี ความเร็วในการประมวลผล 2.5 GHz เป็นอ้น
  • 7. แสดงหน่วยวัดความเร็วในการประมวลผลของคอมพิวเออร หน่วยความเร็ว สัญลักษณ์ ค่าความเร็ว มิลลิเซคัน (Milisecond) (หน่วยในพันของวินาที) ms 1/103 วินาที หรือ 1/1000 ไมโครเซคัน (Microsecond) (หน่วยในล้านของวินาที) s 1/106 วินาที หรือ 1/1000000 นาโนเซคัน (Nanosecond) (หน่วยในพันล้านของวินาที) ns 1/109 วินาที หรือ 1/1000000000 พิคโคเซคัน (Picosecond) (หน่วยในล้านล้านของ วินาที) ps 1/1012 วินาที หรือ 1/1000000000000
  • 9. 4.4 วิวัฒนาการของคอมพิวเออร  ยุคก่อนเครื่องจักรกล (Premechanical) วิวัฒนาการของเครื่องมือช่วยนับและการคานวณในยุคก่อนเครื่องัักรกล
  • 10. แผ่นหินอ่อนซาลามิส (Salamis Tablet) ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ชาวบาบิลอนได้สร้างเครื่องมือสาหรับช่วยนับเป็นแผ่นกระดานหินอ่อน ขนาดใหญ่ บนเกาะซาลามิส เพื่อช่วยสาหรับการนับค่าตัวเลขที่มีมากขึ้นและสะดวก กว่าการเอาแท่งไม้หรือก้อนหินหลายๆก้อนมาใช้ตามแบบวิธีเดิม ๆ แผ่นหินอ่อนซาลามิส มีความยาว 149 ซม. กว้างประมาณ 75 ซม. และหนา 4.5 ซม. ตัวแผ่นหินัะมีกลุ่มเส้นบรรทัดเรียงกันเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มมีเส้นบรรทัดลากตั้งฉากแบ่งออกไปกลุ่มของสัญลักษณ์ ตัวเลขัะมีเขียนอยู่ตรงส่วนของขอบแผ่นหินรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย ขวาและด้านล่าง เพื่อเอาไว้ช่วยทาเครื่องหมายในการ นับตัวเลข
  • 11. 4.4 วิวัฒนาการของคอมพิวเออร  ในปี ค.ศ.1200 ) ประเทศจีนมีการคิดค้นเครื่องมือช่วยนับเพื่อให้ง่ายและรวดเร็วมาก ขึ้น เรียกว่า “ ลูกคิด (Abacus) ” ซึ่งชาวจีนเรียกอุปกรณชนิดนี้ว่า “suan- pan” อ่อมาได้มีการนาเอาลูกคิดนี้ไปใช้ในเชิงการค้ามากยิ่งขึ้น และแพร่หลายไปยังหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รัสเซีย และยุโรปในเวลาอ่อมา ลูกคิดที่ประดิษฐขึ้นมาในแอ่ละที่ก็จะมีรูปแบบที่แอกอ่างกัน แอ่โดยหลักการแล้วก็คือ เครื่องมือ เพื่อเอาไว้สาหรับช่วยในการนับ ทาไดง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลูกคิดถือว่าเป็นเครื่องมือช่วย ในการนับของมนุษยที่มีมายาวนานและยังนิยมใช้กันแพร่หลายมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
  • 13. ปี ค.ศ. 1612 (บางอาราใช้ค.ศ. 1617)  แท่งคานวณของเนเปียร “ Napier’s Bone ” John Napier (จอหน เนเปียร) นักคณิอศาสอรชาวสก๊ออแลนด ได้ประดิษฐอุปกรณ ช่วยคานวณ เป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยแท่งไม้อีเส้นเป็นอารางคานวณหลาย ๆ แท่งเอาไว้ใช้ สาหรับคานวณ แอ่ละแท่งจะมีอัวเลขเขียนกากับไว้เมื่ออ้องการผลลัพธก็จะหยิบแท่งที่ใช้ระบุ อัวเลขแอ่ละหลักมาอ่านกับแท่งดรรชนี (index) ที่มีอัวเลข 0-9 ก็จะได้คาออบ
  • 15.
  • 16. ปี ค.ศ. 1622 (บางอาราใช้1630)  John William Augrred (จอหน วิลเลี่ยม ออดเทรด) ได้นาเอกหลักการของเนเปียรมาพัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า ไม้บรรทัดคานวณ สไลดรูล (Slide Rule) ขึ้น โดยนาค่าอ่างๆ มาเขียนไว้บนแท่งไม้สองอัน เมื่อใดที่นามาเลื่อนอ่อ กันก็จะสามารถหาผลลัพธอ่าง ๆ ที่อ้องการได้อัวเลขหรือค่าที่เอามาเขียนนั้นจะกาหนดเป็น อัอราส่วนระยะทาง(log scale) ซึ่งสามารถวัดหรือหาค่าได้โดยง่าย นับได้ว่าไม้บรรทัด คานวณนี้เป็นอ้นแบบของการพัฒนาเครื่องคอมพิวเออรแบบอนาล็อกที่อาศัยหลักการวัดซึ่งนิยม ใช้กันในเวลาอ่อมานั่นเอง ไม้บรรทัดคานวณยังมีให้เห็นและใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการผลิตให้มีขนาดเล็กลงและ ใช้งานได้ง่าย โดยมีการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ผลิอจากแผ่นไม้มาเป็นแผ่นเหล็กและพลาสอิกมากยิ่งขึ้น
  • 17. John William Oughtred ผู้คิดค้นไม้บรรทัดคานวณหรือ Slide Rule ที่มีใช้กันมาถึงปัััุบัน
  • 19. นาฬิกาคานวณ (Calculating Clock) ในปี ค.ศ.1623 วิลเฮลม ชิคการด (Wilhelm Schickard) แห่งมหาวิทยาลัย เทอรบิงเจน (University of Tubingen) ประเทศเยอรมันนีได้สร้างนาฬิกา คานวณขึ้น โดยใช้แนวคิดของเนเปียรมาประยุกอใช้ วิธีการทางานของเครื่องอาศัยตัวเลขต่าง ๆ บรรจุบนทรงกระบอกจานวน 6 ชุด แล้วใช้ฟันเฟือง เป็นเครื่องหมุนทดเวลาคูณเลข ซึ่งถือได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ประดิษฐเครื่องกลไกสาหรับคานวณได้ เป็นคนแรก
  • 20. นาฬิกาคานวณ (Calculating Clock) Wilhelm Schickard (วิลเฮล์ม ชิคการ์ด) กับนาฬิกาคานวณที่เขาประดิษฐ์ขึ้น
  • 21. ปี ค.ศ. 1642  นักคณิอศาสอรชาวฝรั่งเศสชื่อ “ Blaise Pascal ” (เบลส ปาสคาล) ได้ สร้างเครื่องมือช่วยบวกเลข เรียกว่า เครื่องคานวณของปาสคาล (Pascaline Calcutator) ขึ้น โดยมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม หลักการคานวณอาศัยการหมุนของ ฟันเฟืองหนึ่งอัน หากถูกหมุน ครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีกอันหนึ่งทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วย ในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เช่นเดียวกันกับการทดเลข สาหรับผกลการคานวณจะดูได้ที่ช่อง ด้านบน เครื่องมือนี้สามารถใช้ได้ดีในการคานวณบวกและลบเท่านั้น ส่วนการคูณและหารยังไม่ ดีเท่าไรนัก
  • 22. Blaise Pascal (เบลส ปาลคาล) เครื่องคานวณของปาสคาล (Pascaline Calculator)
  • 23. เครื่องคานวณของไลบนิซ (Leibniz Wheel)  ในปี ค.ศ. 1674 กอออฟรีด วิลเฮล์ม ไลบนิซ (Gottfried Wilhelm Leibniz) นักคณิอศาสอรชาวเยอรมันได้ทาการปรับปรุงเครื่องคานวณของปาสคาลให้มี ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม โดยมีการปรับฟันเฟืองเสียใหม่ให้มีความสามารถคูณและหารได้ด้วย โดยอรง เครื่องชนิดนี้เรียกว่า เครื่องคานวณของไลบนิซ (Leibniz Wheel) หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ Stepped Reckoner
  • 24. ปี ค.ศ. 1801 (บางอาราใช้1673)  นักประดิษฐชาวฝรั่งเศส ชื่อ “ Joseph Marie Jacquard ” (โจเซฟ มารี แจค การด) ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าให้สามารถควบคุมลวดลายหรือแบบอ่าง ๆ ที่อ้องการได้เอง อัอโนมัอิ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความชานาญในการทอผ้า สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย เครื่องชนิดนี้เรียกว่า เครื่องทอผ้าของแจคการด(Jacquard’ loom) โดยเพียงแอ่ นาเอาอัวบัอรเจาะรู(Punched Card) ที่เป็นแม่แบบของลวดลายผ้าใส่เข้าไปในอัวนี้ การทอหรือยกลายอามแม่แบบชุดคาสั่ง (รูที่เจาะไว้บนบัอร) ก็จะทาได้เองอัอโนมัอิ ซึ่งเป็น แนวคิดที่ก่อให้เกิดการสร้างคอมพิวเออรให้ทานได้อามชุดคาสั่งในเวลาอ่อมา
  • 25. โจเซฟ มารี แจกการ์ด(Joseph Marie Jacquard) เครื่องทอผ้าที่ประยุกต์ใช้บัตรเัาะรูมาควบคุมลวดลายของผ้า
  • 27. ปี ค.ศ. 1822  เครื่อง Different Engine ปี ค.ศ.1822 ชารลส แบบเบจ (Charles Babbage ) นักวิทยาศาสอรชาว อังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ เป็นบุคคลที่ได้พยายามเสนอแนวคิดให้เครื่องจักรกลสามารถ ทางานได้อามคาสั่งและเกิดผลลัพธข้อผิดพลาดน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการคานวณใน งานที่ซ้าซ้อนมาก ๆ ซึ่งเมื่อคานวณผลลัพธผิดพลาดก็อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเบื่อหน่ายในการทางานด้วย เพราะอ้องกลับมานั่งคานวณหาค่า ผลลัพธนั้นใหม่อีกรอบ เขาจึงได้เสนอแนวคิดการสร้างเครื่องคานวณอ้นแบบที่เรียกว่า Difference Engine เพื่อขอรับเงินสนับสนุนไปยังสมาคมดาราศาสอร ซึ่งทาง สมาคมก็เห็นด้วยกับแนวคิดที่เขาเสนอ จึงอนุมัอิโครงการดังกล่าว และได้รับเงินอุดหนุนจาก รัฐบาลอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1823
  • 28.  การพัฒนาเครื่อง Different Engine ใช่ว่าจะเสร็จโดยสมบูรณ เนื่องจากยังมี ข้อผิดพลาดของการทางานภายในอัวเครื่องอยู่อีกมาก ประกอบกับเทคโนโลยีของอุปกรณการ ผลิอในสมัยนั้นยังไม่ดีพอที่จะผลิออามแบบที่แบบเบจเสนอไว้ได้ แนวคิดดังกล่าวจึงถูกพักไว้ และถูกยกเลิกไปในที่สุด เนื่องจากไม่เป็นไปอามที่คาดหวัง เครื่อง Different Engine ที่ผลิอออกมานั้นจึงทางานได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
  • 30. ปี ค.ศ. 1843  Augusta Ada Byron (เลดี้ออกุสอา เอด้า ไบรอน) หรือ Ada Lovelace เป็นผู้ที่เข้าใจแนวคิด Analytical Engine ของBabbage และนามาปรับปรุงให้ใช้เลขฐานสองแทนฐานสิบ และเขียนโปรแกรมโดย ใช้บัอรเจาะรู เธอ ได้รับยกย่องว่าเป็น “โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก” และได้มีการอั้งชื่อเป็นภาษา เขียนโปรแกรม “Ada” เพื่อเป็นเกียรอิแก่เธอ www.themegallery.com
  • 31. ปี ค.ศ. 1880  Dr. Herman Hoolerith (ดร.เฮอรมาน ฮอลเลอริธ)ได้  พัฒนาเครื่องประมวลผลข้อมูล ที่สามารถอ่านข้อมูลสามะโนประชากรจากบัอรเจาะรูได้ นอกจากนี้ยังพัฒนากล่องเรียงลาดับข้อมูลและเครื่องจาแนกข้อมูลสามะโนประชากรสามารถทา ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (จากเดิมที่เคยใช้เวลานานถึง 7 ปี)  อ่อมา Dr. Hollerith ได้ก่ออั้งบริษัท IBM (International Business Machines Corporation) ขึ้น และได้พัฒนากลไกทางาน ของแผงควบคุมและบัอรเจาะรูที่ใช้ประมวลผลข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับความ นิยมจนกระทั่งปลายปี 1950 เรียกบัอรนี้ว่า “ Hollerith’s Punched Card ” หรือ “ IBM 80-Column Punched Card ” www.themegallery.com Company Logo
  • 32. ปี ค.ศ. 1942  John Atanasoff (จอหน อทานาโซฟ) แห่ง lowa State University ได้สร้างอิเล็กทรอนิกสดิจิออลคอมพิวเออร ซึ่งทางานโดยใช้หลอด สุญญากาศในการปฏิบัอิการคานวณ และอั้งชื่อว่า “ ABC (Atanasoff- Berry Computer) ”
  • 33. ปี ค.ศ. 1944  Harward Aiken (ศาสอราจารยโอเวิรด ไอดเคน) แห่ง Harvard University ได้พัฒนาเครื่องดิจิออลคอมพิวเออรกึ่งกลไกกึ่งไฟฟ้าขนาดใหญ่เครื่องแรก ชื่อว่า “Aiken’s Automatic Sequence Controlled Calculator (ASCC)”หรือเรียกสั้น ๆว่าเครื่อง “Mark I ” โดยใช้ แนวความคิดหลาย ๆ อย่างของ Babbage แอ่ใช้ไฟฟ้าแทนเครื่องกล และใช้แนวความคิด ที่ IBM พัฒนาเครื่องคานวณบัอรเจาะรูในช่วงทศวรรษ 1930 มาเป็นพื้นฐานด้านการ คานวณ
  • 34. ปี ค.ศ. 1946  Dr.John W. Mauchy และ J. Presper Eckert Jr. (จอหน มอชี และเปรสเปอรเอคเคิรท ) ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเออรที่สามารถปฏิบัอิการได้เป็นเครื่องแรก ชื่อว่า “ ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Calculator) ” ทางานด้วยหลอดสุญญากาศมากกว่า 18,000 หลอด ENIAC ถูกใช้ในกองทัพอเมริกาเพื่อคานวณวิถีกระสุนปืนใหญ่ อย่างไรก็อาม ENIAC ไม่สามารถ จัดเก็บโปรแกรมและใช้ระบบทศนิยมได้ การทางานถูกควบคุมจากแผงควบคุมภายนอก ซึ่ง จะอ้องเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกครั้งที่มีการคานวณชุดใหม่
  • 35. ปี ค.ศ. 1949  John Von Neumann (จอหน วอน นอยแมน) ได้เสนอแนวคิดเพื่อปรับปรุง ENIAC ให้สามารถเก็บโปรแกรมไว้ภายในเครื่องเป็นครั้งแรก ซึ่งพัฒนาเป็นเครื่อง “ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) ” ในปี 1952
  • 36. ปี ค.ศ. 1952  John Mauchy และ J.P. Eckert ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเออรอีกครั้ง ชื่อว่า “UNIVAC Universal Automatic Computer” เป็นเครื่องที่ สามารถบันทึกข้อมูลลงบนเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) ได้เป็นเครื่องแรก
  • 37. 4.5 ยุคของคอมพิวเออร  ยุคที่ 1 (First Generation:ค.ศ. 1940 - 1953) วัสดุที่ใช้ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) และวงจรไฟฟ้า ขนาด เนื่องจากใช้หลอดสุญญากาศจานวนมาก อัวเครื่อง คอมพิวเออรจึงมีขนาดใหญ่ ความเร็วในการทางาน เป็นวินาที ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาเครื่อง (Machine Language) สื่อที่ใช้ บัอรเจาะรู (Punched Language) และเทปกระดาษ (Paper Tape) การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศอลอดเวลา เนื่องจากระหว่าง การทางานมีความร้อนสูง ตัวอย่างเครื่อง IBM 650, IBM 701
  • 39. ยุคที่ 2 (Second Generation : ค.ศ. 1953 - 1963) วัสดุที่ใช้ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) มีแกนแม่เหล็ก (Magnetic Core) เป็นหน่วยความจาหลักภายในเครื่อง ขนาด เนื่องจากใช้ Transistor ตัวเครื่องจึงมีขนาดเล็กลง ราคาถูก กว่าเดิม ความเร็วในการ ทางาน เป็น Millisecond (1/1000 วินาที) ภาษาคอมพิวเตอร์ FORTRAN (1956) , ALGOL (1958) , COBOL (1959) สื่อที่ใช้ บัอรเจาะรู และเทปแม่เหล็ก การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศ ตัวอย่างเครื่อง IBM 7000-Series และ IBM 1400-series www.themegallery.com
  • 41. ยุคที่ 3 (Third Generation : ค.ศ. 1963 - 1972) วัสดุที่ใช้ แผงวงัรรวม (Integrated Circuit : IC) เทียบเท่า Transistor หลาย ร้อยตัว แกนแม่เหล็กถูกแทนที่ด้วยเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ขนาด เล็ก ใช้พลังงานน้อย ความร้อนลดลง ความเร็วในการทางาน เป็น Microsecond (1/106 วินาที) ภาษาคอมพิวเตอร์ COBOL , PL/I นอกจากนี้IBM’ OS ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกด้วย สื่อที่ใช้ จานแม่เหล็ก (Magnetic Disk) ได้รับความนิยมแทนที่บัตรเจาะรูและเทป แม่เหล็ก การเก็บรักษา อ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศ ตัวอย่างเครื่อง IBM 360 , IBM 370
  • 43. ยุคที่ 4 (Fourth Generation : ค.ศ. 1972 - 1984) วัสดุที่ใช้ แผงวงัร VLSI (Very-Large-Scale Integration) ทาให้มี เครื่อง Minicomputer, Microcomputer หรือเครื่อง ขนาดเล็กเกิดขึ้น พัฒนาต่อมาเป็น Microprocessor โดยใช้ Chip เป็นวัสดุ ขนาด อั้งโอ๊ะ ความเร็วในการทางาน เป็น Nanosecond (1/109 วินาที) ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาระดับสูง เช่น Pascal , C , Basic นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการ UNIX ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วย สื่อที่ใช้ เทปแม่เหล็กและจานแม่เหล็ก การเก็บรักษา ไม่จาเป็นอ้องอิดอั้งในห้องปรับอากาศก็ได้ ตัวอย่างเครื่อง IBM 370 , IBM PC (XT AT) www.themegallery.com
  • 44. ยุคที่ 5 (Fifth Generation : 1984 - 1900)  คอมพิวเออรในยุคนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพสูง สามารถเชื่อมอ่อกันได้ ทั่วโลกด้วยเครือข่ายอินเออรเน็อ และยังเป็นยุคที่มีการพัฒนารูปแบบการโอ้ออบและการ แสดงผลทางจอภาพคอมพิวเออรให้ใช้งานง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ GUI (Graphic User Interface) กลางปี ค.ศ. 1990 ความนิยมในการนาเครือข่ายอินทราเน็อ (Intranet) และอินเออรเน็อเข้ามาใช้ในองคกรมากขึ้นทาให้ในด้านเครือข่าย คอมพิวเออรได้พัฒนาเครือข่ายระยะใกล้(Local Area Network: LAN) และเครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network: WAN) ขึ้นมาใช้งานอย่าง รวดเร็ว เครื่องคอมพิวเออรส่วนบุคคลจึงสามารถเชื่อมโยงกันและสื่อสารถึงกันได้ทั่วโลก และ จากเครื่องคอมพิวเออรก็มีการพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดพกพาไปอาม สถานที่อ่าง ๆ ได้เช่น โน้อบุ๊ค เป็นต้น
  • 45. ยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1900 – อนาคอ) มีการพัฒนาให้คอมพิวเออรสามารถช่วยจัดการงานในด้านอ่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงาน ด้านบริหาร การอัดสินใจ ทาให้เกิดระบบใหม่ ๆขึ้นมากมาย เช่น ระบบสนับสนุนการอัดสินใจ (Decision Support System : DSS) ระบบสานักงานอัอโนมัอิ (Office Automation) นอกจากนี้ยังพัฒนาให้คอมพิวเออรสามารถเลียนแบบกระบวนการคิดของมนุษย เรียกว่า “ ปัญญาประดิษฐ(Artificial Intelligent: AI) ” ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) อลอดจนการประมวลผลภาษาธรรมชาอิ (Natural Language Processing: NLP)ที่จะทาให้คอมพิวเออรโอ้ออบกับมนุษยด้วย เสียงได้ www.themegallery.com Company Logo
  • 46. 4.6 ประเภทของคอมพิวเออร 4.6.1 จาแนกอามวัอถุประสงคการใช้งาน 1. คอมพิวเออรใช้งานทั่วไป เป็นคอมพิวเออรที่สามารถใช้ได้กับงานหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น งานเอกสาร คานวณ หรืองานกราฟฟิก ได้แก่ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน 2. คอมพิวเออรในงานเฉพาะ เป็นคอมพิวเออรที่พัฒนาขึ้นเพื่อประยุกอใช้งานกับงานเฉพาะอย่าง เช่น งานด้านการแพทย การทหาร กรมอุอุนิยมวิทยา เป็นอ้น www.themegallery.com Company Logo
  • 47. 4.6.2 จาแนกอามลักษณะของข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท 1. Analog Computer เป็นคอมพิวเออรที่รับข้อมูลที่มีค่าไม่อ่อเนื่องกันจึงใช้ หลักการวัดค่าที่รับเข้ามาแล้วแสดงออกทางหน้าปัด เช่น คลื่นสมอง อุณหภูมิ ความดัน เป็น อ้น 2. Digital Computer เป็นคอมพิวเออรที่รับข้อมูลที่มีความอ่อเนื่องกันในลักษณะ ของอัวเลข จึงใช้หลักการนับในการรับข้อมูลดังกล่าวแล้วแสดงผลลัพธออกทางจอภาพ คอมพิวเออรชนิดนี้มีความแม่นยามากกว่า Analog Computer และจะอ้องอาศัย “ สื่อบันทึกข้อมูล ” ในการจัดเก็บข้อมูล คอมพิวเออรที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเป็นแบบ Digital Computer 3. Hybrid Computer เป็นคอมพิวเออรที่นาลักษณะการทางานของคอมพิวเออร ทั้ง 2 ชนิดข้างอ้นมารวมกันทาให้สามารถใช้กับงานหลายลักษณะ
  • 48. 4.6.3 จาแนกอามขนาดของเครื่องคอมพิวเออร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท  1. Supercomputer เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดใหญ่ มีความเร็วในการ ประมวลผลสูงสุด (ประมาณ 100 ล้านคาสั่งอ่อวินาที) มีราคาแพงมาก เนื่องจาก ประสิทธิภาพของ Chip ที่ใช้ประมวลสูงสุด นิยมใช้ในหน่วยงานสาคัญและเหมาะกับงานที่ อ้องการความละเอียด ถูกอ้องแม่นยาในการคานวณสูง งานที่อ้องการมีการวิเคราะหที่ซับซ้อน เช่น งานพยากรณอากาศ งานวิทยาศาสอร งานวิจัยพลังงานนิวเคลียร งานทางด้านทหาร ฯลฯ
  • 49. 2. Mainframe Computer เป็นคอมพิวเออรที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจาก Supercomputer มีความเร็วในการ ประมวลผลสูง (ประมาณ 10 ล้านคาสั่งอ่อวินาที) เหมาะสมกับองคกรขนาดใหญ่ ที่มีการ ทางานเข้าสู่ศูนยกลาง และกระจายไปยังสาขาอ่าง ๆ เป็นเครือข่าย มีผู้ใช้ระบบพร้อมกันหลายคน เช่น งานธนาคาร งานสามะโนประชากรของรัฐบาล งานสายการบิน งานประกันชีวิอ งาน โรงงานที่มีการใช้ระบบ ERP เป็นอ้น ลักษณะการนาไปใช้งานจึงมีวัอถุประสงคแอกอ่าง จาก Supercomputer และเช่นเดียวกับ Supercomputer ปัจจุบัน Mainframe Computer มีขนาดลดลงมาก แอ่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
  • 50. 3. Minicomputer เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดกลาง มีความเร็วในการประมวลผลสูง เหมาะกับองคกรขนาดกลางถึง ขนาดใหญ่ที่มีการทางานเป็นระบบเครือข่ายแบบClient/Server มีผู้ใช้งานระบบ พร้อมกันหลายคน มีข้อมูลจานวนมาก เช่น Minicomputer รุ่น PDP ที่ผลิอโดย บริษัท Digital Equipment Corporation
  • 51. 4. Microcomputer หรือ Personal Computer (PC) เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะสาหรับผู้ใช้คนเดียว (Stand- alone) หรือใช้เชื่อมอ่อกับระบบเครือข่ายอื่น ๆ ได้โดยเฉพาะเครือข่าย LAN และ Internet เพื่อสื่อสารกับคนทั่วโลก เครื่อง PC เหมาะสาหรับใช้งานทั่วไป เช่น งาน เอกสาร งานคานวณ งานบัญชี เป็นอ้น www.themegallery.com
  • 52. ปัจจุบันมีการพัฒนารูปลักษณของ PC แอกอ่างกันไปหลายแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการ นาไปใช้งาน เช่น อั้งโอ๊ะ วางบนอัก หรือสามารถหิ้วได้ มีขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นอ้น ลักษณะที่ แอกอ่างกันเกิดจากการจาแนกอาม “ เคส (Case) ” ซึ่งมาจาคาว่า “ Chassis ” หมายถึง โครงโลหะสาหรับประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเออร เช่น  Desktop เป็นคอมพิวเออรส่วนบุคคล สามารถอั้งบนโอ๊ะทางานได้แอ่จะมีการแยก ชิ้นส่วนบางอย่าง ได้แก่ จอภาพ กล่อง Case ลาโพง คียบอรด
  • 53.  แล็ปท้อป (Laptop Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรขนาดแล็ก สามารถหิ้วไป สถานที่อ่าง ๆ ได้ น้าหนักเบา คียบอรดจะอิดกับจอภาพรวมทั้งเมาสด้วย  โน้อบุ๊ค (Notebook Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดเล็ก เช่นเดียวกับ Laptop แอ่อัวเครื่องจะบางและเบากว่า Laptop  Tablet (Tablet Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเออรที่มีขนาดเล็กเท่าแผ่นป้าย น้าหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก สามารถป้อนข้อมูลทางจอภาพได้ด้วยปากกาชนิดพิเศษ www.themegallery.com Company Logo
  • 54.  Handheld (Handheld Computer) เป็นคอมพิวเออรขนาดพกพา คือ มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ คียบอรดและหน้าจอมีขนาดเล็ก บางรุ่นใช้ปากกาพิเศษป้อนข้อมูลทาง จอภาพ คอมพิวเออรชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้จัดการสารสนเทศส่วนบุคคล เช่น จัด อารางเวลานัดหมาย ปฏิทินนัดหมาย สมุดโทรศัพท สมุดบันทึก รับส่งอีเมล เป็นอ้น ปัจจุบัน รู้จักกันในนาม “ Palmtop ” และ “ PDA ”
  • 55. 4.7 ส่วนประกอบของระบบคอมพิวเออร ระบบคอมพิวเออรประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) และหน่วยความจา (Memory Unit)
  • 57. 4.7.2 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) เป็นหน่วยที่ทาหน้าที่ในการประมวลผลคาสั่ง และควบคุมการทางานทั้งหมดของระบบ คอมพิวเออร ซึ่งหน่วยนี้ถือว่าเป็นหัวใจของระบบคอมพิวเออร โดยคอมพิวเออรจะสามารถ ทางานได้ถูกอ้องและรวดเร็วเพียงไร ขึ้นอยู่กับ CPU ทั้งสิ้น คอมพิวเออรขนาดใหญ่ เช่น Mainframe หรือ Supercomputer จะเรียก CPU ว่า “ Processor ” และบางครั้งจะใช้Processor ร่วมกันหลาย ๆ อัว เพื่อให้สามารถ ประมวลผลการทางานได้รวดเร็วขึ้น สาหรับคอมพิวเออรขนาดเล็ก เช่น PC จะมี CPU เพียงหนึ่งอัว (Single Chip) เรียกว่า “ Microprocessor ” CPU จะมีลักษณะเป็น Chip หรือแผงวงจรที่ประกอบไปด้วย Transistor และอุปกรณอื่น ๆ รวมอยู่จานวนมาก www.themegallery.com
  • 58. CPU CPU ประกอบไปด้วยหน่วยย่อย 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยคานวณ/อรรกะ (Arithmetic / Logical: ALU)  หน่วยควบคุม (Control Unit) ทาหน้าที่ควบคุมการทางานของหน่วย อื่น ๆ ทั้งหมด คอยจัดการเวลาการประมวลผลอามคาสั่งที่รับเข้ามาเป็นจังหวะ อามสัญญาณนาฬิกา  หน่วยคานวณ/อรรกะ (Arithmetic / Logical: ALU) ทาหน้าที่ ประมวลผลคาสั่งด้วยวิธีการทางคณิอศาสอร เช่น บวก (+) ลบ (-) คูณ () หาร(/) เป็นอ้น และเปรียบเทียบค่าของข้อมูล เช่น มากกว่า (>) น้อย กว่า (<) มากกว่าหรือเท่ากับ (≥) เป็นอ้น
  • 59. 4.7.3 หน่วยความจา (Memory Unit) ทาหน้าที่จัดเก็บข้อมูลที่รับเข้ามา เพื่อส่งอ่อไปยัง CPU และเมื่อ CPU ประมวลผล เรียบร้อยแล้ว จะส่งผลลัพธมาเก็บไว้ในหน่วยความจา เพื่อนาไปแสดงผลออกทางหน่วย แสดงผลหรือจัดเก็บลงหน่วยความจาสารองอ่อไป หน่วยความจา ถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ หน่วยความจาหลัก (Primary Storage / Primary Memory) และหน่วยความจาสารอง (Secondary Storage)
  • 60. หน่วยความจาหลัก (Primary Storage / Primary Memory) ทา หน้าที่เก็บข้อมูลหรือคาสั่งที่รับเข้ามาทางInput Unit เพื่อรอให้ CPU เข้าถึงข้อมูล หรือคาสั่งนั้น (ข้อมูลหรือคาสั่งอยู่ในรูปของเลขฐานสอง) จากนั้นจะทาการคัดลอกมาเพื่อ ประมวลผล หากมีการคานวณจะถูกส่งไปยัง ALU แล้วส่งผลลัพธกลับมาพักไว้ที่ หน่วยความจาอีกครั้ง เพื่อรอคาสั่งแสดงผลลัพธอ่อไป ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า 1 รอบการ ปฏิบัอิการ หน่วยความจาหลัก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ROM และRAM www.themegallery.com
  • 61.  ROM (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจาที่ไม่สามารถลบทิ้งได้ (Nonvolatile Memory) ทาได้เพียงดึงข้อมูลมาใช้เท่านั้น และข้อมูลนั้นยังถูก เก็บอยู่ได้โดยไม่อ้องมีไฟฟ้าไปเลี้ยง (ข้อมูลจะไม่หายแม้ไฟจะดับก็อาม) โดยปกติ ROM จะถูกบันทึกชุดคาสั่งการทางานเหล่านี้มาจากโรงงานของผู้ผลิอแล้ว (เรียกว่า “ Firmware ”) และผู้ใช้ไม่สามารถลบชุดคาสั่งนี้ออกได้ อย่างไรก็อาม หาก อ้องการลบจะอ้องผ่านกระบวนการพิเศษ www.themegallery.com Company Logo
  • 62.  RAM (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจาที่ใช้เก็บข้อมูล หรือชุดคาสั่งจากโปรแกรมในระหว่างที่เครื่องคอมพิวเออรกาลังทางาน RAM เป็น หน่วยความจาชั่วคราว (Volatile Memory) ดังนั้น เมื่อไม่มีกระแสไฟหรือเมื่อปิด เครื่อง ข้อมูลที่อยู่ใน RAM จะหายไป www.themegallery.com Company Logo
  • 63.  หน่วยความจาสารอง (Secondary Storage) เป็นหน่วยความจาเสริมที่ มีหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่นาเข้าผ่าน Input Unit หรือข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล แล้ว โดยจัดเก็บให้อยู่ในรูปของไฟล (File) เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานได้ในครั้งอ่อไป หน่วยจัดเก็บข้อมูลนี้เมื่อไม่มีไฟเลี้ยงก็ยังสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้โดยที่ข้อมูลไม่หาย และ สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจาหลายเท่า อัวอย่างหน่วยจัดเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ฟล็อปปี้ ดิสก (Floppy Disk) เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เป็นอ้น www.themegallery.com Company Logo
  • 64. 4.7.4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)  ทาหน้าที่แสดงผลลัพธที่ได้จากการประมวลผลของ CPU โดยอ้องแปลงข้อมูลดิจิออล ที่ได้จากการประมวลผลเป็นข้อมูลที่มนุษยสามารถเข้าใจได้และก่อนที่จะนาข้อมูลซึ่งได้รับการ ประมวลผลแล้วไปแสดงผล จะอ้องผ่านหน่วยความจาหลักเช่นเดียวกับหน่วยนาเข้าข้อมูล ยกอัวอย่างเช่น จอภาพ (Monitor) ลาโพง (Speaker) และเครื่องพิมพ (Printer) เป็นอ้น
  • 65. 4.8 ปัจจัยร่วมในการใช้งานระบบคอมพิวเออร เครื่องคอมพิวเออรไม่สามารถทางานเองได้ หากไม่มีผู้ใช้ที่ทาหน้าที่เปิดเครื่องและสั่งงานอ่าง ๆ ผ่าน Input Unit แอ่ถึงแม้ว่าจะมีผู้ใช้เครื่องคอมพิวเออรแล้วก็อาม หากไม่มี Software Computer ควบคุมการทางาน เครื่องคอมพิวเออรก็ไม่สามารถทางาน เองได้เช่นกัน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าปัจจัยร่วมในการใช้งานระบบคอมพิวเออรนั้นประกอบไปด้วย อุปกรณคอมพิวเออร (Hardware) และ ซอฟอแวร (Software) และบุคลากร ทางคอมพิวเออร (Peopleware) www.themegallery.com Company Logo
  • 66. (Hardware)  ฮารดแวร (Hardware) เป็นอุปกรณคอมพิวเออรหรืออุปกรณอื่น ๆ ที่ใช้งานร่วมกับ คอมพิวเออร อลอดจนอุปกรณอ่อพ่วงชนิดอ่าง ๆ จาแนกอามส่วนประกอบของระบบ คอมพิวเออร ซึ่งได้แก่ Input Unit Central Processing Unit Output Unit Memory Unit www.themegallery.com Company Logo
  • 67. ซอฟอแวร (Software)  เป็นชุดคาสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้คอมพิวเออรทางานอามคาสั่งบางครั้งเรียกว่า โปรแกรม คอมพิวเออร ซอฟอแวรแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) www.themegallery.com Company Logo
  • 68.  Peopleware บุคลากรคอมพิวเออร หมายถึง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน การดูแลและ ควบคุมระบบคอมพิวเออร อาจเป็นบุคคลเดียวหรือกล่มบุคคลอามการจัดแบ่งโครงสร้างของ องคกร บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเออร แบ่งได้เป็น - ผู้ใช้งานคอมพิวเออร (User) - ผู้ดูแลและซ่อมบารุงเครื่องคอมพิวเออร (Technician) - โปรแกรมเมอร (Programmer) - นักวิเคราะหและออกแบบระบบ (System Analysis) - ผู้บริหารระบบ (System Administrator) www.themegallery.com Company Logo
  • 69. 4.9 รูปแบบการประมวลผลของคอมพิวเออร 4.9.1 การประมวลผลส่วนบุคคล (Personal Computing) คือ การใช้งาน คอมพิวเออรเครื่องใดเครื่องหนึ่งเพื่อทางานอ่างๆ อามที่อ้องการ โดยไม่มีการใช้โปรแกรม ร่วมกับเครื่องคอมพิวเออรอื่น หรือไม่มีการอิดอ่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเออรอื่นเลย 4.9.2 การประมวลผลแบบรวมศูนย (Centralized Computing) เป็นระบบ ที่รวมการทางานทุกอย่างไว้ที่คอมพิวเออรเพียงเครื่องเดียว การประมวลผลประเภทนี้จะมีข้อเสียคือ หากมีข้อมูลจานวนมาก การประมวลผลจะช้าลง เนื่องจากมีเพียงเครื่องแม่ข่ายเท่านั้นที่ทาการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลทุกส่วนนั่นเอง จึงได้มี การแก้ปัญหาด้วยการประมวลผลแบบกระจาย www.themegallery.com
  • 71. 4.9.3 การประมวลผลแบบกระจาย (Distributed Computing) จากข้อจากัดของคอมพิวเออรส่วนบุคคลคือ ไม่สามารถออบสนองความอ้องการของผู้ใช้ ภายในองคกรได้อย่างทั่วถึง และข้อจากัดของการประมวลผลแบบรวมศูนยที่ค่อนข้างล่าช้า ดังนั้นจึงอ้องมีการจัดสรรทรัพยากร เพื่อกระจายและแจกจ่ายการใช้งานข้อมูลและทรัพยากรอ่าง ๆ ให้สามารถใช้ร่วมกันได้ให้ทั่วทั้งองคกรและระหว่างหน่วยงานย่อยขององคกร เช่น ฐานข้อมูล ข่าวสาร เครื่องคอมพิวเออร เครื่องพิมพ เครื่องโทรสาร และเครื่องสแกนเนอร เป็น อ้น นอกจากนี้การกระจายข้อมูลและทรัพยากรอ่าง ๆ ทาให้การประมวลผลมีความรวดเร็วมาก ขึ้น www.themegallery.com Company Logo
  • 74. ข้อจากัดของคอมพิวเออร  การวางระบบคอมพิวเออรอ้องใช้เวลานานมาก การที่หน่วยงานใดอัดสินใจนา คอมพิวเออรมาใช้งาน อ้องวางระบบงานเสียก่อน ว่าจะนาคอมพิวเออรมาช่วยในการทางานด้าน ใด แล้วยังจะอ้องมีการเรียนโปรแกรมคาสั่ง เพื่อสั่งให้คอมพิวเออรทางานอามที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งขั้นออนในการวางระบบงานจาเป็นอ้องใช้เวลาพอสมควร  การรบกวนระบบงานปกอิ เมื่อมีคอมพิวเออรเข้ามาใช้ในหน่วยงานที่ไม่เคยใช้เครื่อง คอมพิวเออรมาก่อน แน่นอนว่าอ้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบงานเดิม เช่น การเปลี่ยนวิธีการ ทางาน หรือคุณสมบัอิของพนักงาน โดยการส่งพนักงานไปฝึกอบรม การใช้งานคอมพิวเออร เป็นอ้น การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบอ่อจิอใจของพนักงาน และอาจสร้างความไม่พอใจ และ ก่อให้เกิดความวุ่นวายหลากประการขึ้นได้ ในระยะแรก ๆ ที่อ้องมีการปรับอัวให้เข้ากับ ระบบงานใหม่ Company Logo
  • 75.  การทางานขึ้นอยู่กับมนุษย คอมพิวเออรเป็นได้แค่เครื่องมือช่วยมนุษยในการทางาน ทั้งนี้เพราะ เครื่องคอมพิวเออรไม่มีความคิดเป็นของอัวเอง และทางานได้รับคาสั่งจากมนุษยเท่านั้น ไม่ว่า งานที่สั่งให้ทาจะถูกหรือผิด เครื่องคอมพิวเออรไม่รู้จักคิดหรือปรับปรุงวิธีการทางานให้ดีขึ้น
  • 76.  คอมพิวเออรมีความหมายว่าอย่างไร จงอธิบาย  คอมพิวเออรมีลักษณะที่สาคัญอย่างไรบ้าง  จงบอกประวัอิความเป็นมาของคอมพิวเออรโดยละเอียด  เราสามารถแบ่งประเภทของคอมพิวเออรได้จากเกณฑอะไรบ้าง และแอ่ละเกณฑมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย  ส่วนประกอบของระบบคอมพิวเออรมีอะไรบ้าง จงอธิบาย  Hardware ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และแอ่ละส่วนมีหน้าที่อย่างไร จงอธิบาย  Software มีกี่ประเภทอะไรบ้าง จงอธิบาย  ระบบปฏิบัอิการที่นักศึกษารู้จักมีอะไรบ้าง และมีลักษณะเป็นอย่างไร จงยกอัวอย่างมา 3 อย่าง www.themegallery.com Company Logo