More Related Content
Similar to 2562 final-project 22 (1) (20)
More from ssuser8b25961 (14)
2562 final-project 22 (1)
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน เมื่อความขี้อาย บานปลายกลายเป็นความกลัว
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ นางสาวจุฑามาศ ฤทธิเดช เลขที่ 22 ชั้น ม.6 ห้อง 4
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวจุฑามาศ ฤทธิเดช เลขที่ 22
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
เมื่อความขี้อาย บานปลายกลายเป็นความกลัว
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Social Phobia
ประเภทโครงงาน โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวจุฑามาศ ฤทธิเดช
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2562
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ปัจจุบันผู้คนส่วนมากเป็นคนที่ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าผู้คน หรือเมื่อได้แสดงออกแล้วก็มักจะมี
อาการประหม่าให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ผู้คนบางส่วนอาจจะละเลยอาการเหล่านี้เพราะว่าพวกเขาจะแสดงอาการประหม่า
เฉพาะแค่ตอนได้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากๆหรือได้ทากิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะและเมื่อได้รับการฝึกฝนบ่อยครั้งก็จะ
หายจากอาการประหม่าและวิตกกังวล แต่ผู้คนบางส่วนอาจจะเกิดอาการวิตกกังวล ประหม่าและอึดอัดทุกครั้งที่ได้อยู่
กับคนแปลกหน้า ซึ่งอาการเหล่านั้นอาจจะเป็นผลบานปลายให้เกิดโรคกลัวการเข้าสังคมหรือ social phobia ซึ่งโรค
นี้ผู้ป่วยบางคนที่กาลังเป็นโรคอาจจะยังไม่ทราบว่าตัวเองกาลังเผชิญหน้ากับโรคนี้อยู่ ทางผู้จัดทาโครงงานจึงเกิด
แนวคิดที่ว่าเราควรต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคกลัวสังคมนี้ ทั้งเรื่องอาการ การรักษา การทาความเข้าใจ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ที่
เผชิญหน้ากับโรคนี้อยู่ได้ทราบและรับมือกับโรคนี้ได้อย่างหายขาด
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.ชี้แจงให้ได้ทราบว่าโรคนี้คืออะไร
2.ชี้แจงให้ได้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงและอาการของโรคนี้
3.ชี้แจงให้ได้ทราบถึงวิธีการรับมือและการรักษาโรคนี้
4.เพื่อศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกลัวการเข้าสังคม
5.เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ให้กับผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่รู้จักกับโรคกลัวการเข้าสังคม
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
โครงงานนี้เป็นโครงงานเพื่อการศึกษาโดยมีขอบเขตเพื่อให้ความรู้ในผู้ที่ต้องการศึกษา ทาความเข้าใจเกี่ยวกับ
โรคกลัวสังคมหรือ social phobia เพื่อให้ผู้ศึกษาทราบถึงสาเหตุและปัจจัยต่างๆที่ทาให้เกิดโรคดังกล่าว แล้วหา
แนวทางในการแก้ปัญหาทั้งการรับมือกับโรคและการรักษาโรคนี้ด้วยวิธีต่างๆ
- 3. 3
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
โรคกลัวสังคม เป็นอาการป่วยประเภทหนึ่งซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดาเนินชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะใน
ด้านหน้าที่การงาน เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนความคิดและมุมมองของตนเอง แต่ปัญหา
ของโรคคือผู้ป่วยหลายรายไม่รู้ว่าตนเองป่วย หรือบางรายไม่เข้าใจและยังสับสนระหว่างความประหม่า
ธรรมดากับโรคกลัวสังคม ทาให้ไม่มีการดูแลตนเองที่ถูกต้อง โรคกลัวสังคม คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า
รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคน
ที่ไม่คุ้นเคย การทากิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนาเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่
ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่
เกิดขึ้นในจิตใจ ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับ
ผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สาหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคมจะมี
อาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการนั่นเอง นักจิตวิทยากล่าวว่า สาเหตุของ
โรคกลัวการเข้าสังคมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูของครอบครัว แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงสาเหตุที่
แท้จริง เพราะบางกรณีโรคนี้ก็เกิดกับคนในครอบครัวเพียงแค่คนเดียว คนอื่น ๆ ไม่มีอาการของโรคเลย ทั้งนี้
อาจจะอธิบายในทางชีววิทยาได้ว่า นอกจากการเลี้ยงดูของครอบครัวแล้ว บางทีสาเหตุของโรคยังอาจ
เกี่ยวข้องกับระบบการทางานของสมอง พันธุกรรม การประมวลผลในการกระทาของตัวเองและการตอบสนอง
ของบุคคลอื่น รวมไปถึงพฤติกรรมฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วย สาหรับการรักษาโรคกลัวการเข้าสังคมสิ่งสาคัญของ
การรักษาโรคคือ ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงความผิดปกติที่กาลังเกิดขึ้นกับตนและพร้อมที่จะเข้ารับการบาบัด โดย
โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการบาบัดอย่างต่อเนื่อง
-การรักษาด้วยยา โดยมากจิตแพทย์จะสั่งยาลดอาการซึมเศร้า (Antidepressants) และยาระงับ
ความวิตกกังวล (Anti-Anxiety) ซึ่งระดับความรุนแรงของยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการในผู้ป่วย
แต่ละราย
-การรักษาด้วยจิตบาบัด เทคนิคที่นิยมใช้และถือว่าได้ผลมากคือการบาบัดแบบปรับเปลี่ยนความคิด
และพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy: CBT) เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการรับรู้
(ความคิด) พฤติกรรมหรือการกระทาของผู้ป่วยเข้ากับอาการกลัวและวิตกกังวล จึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถระบุ
สาเหตุการกลัว รวมทั้งเรียนรู้ที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทาที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลหรือ
ความกลัวขึ้นได้
-การฝึกทักษะอื่นๆ ที่จาเป็น เช่น ทักษะการสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง ความเครียดความวิตก
กังวล ทักษะการพูดต่อหน้าสาธารณะ ทักษะการเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆ เป็นต้น
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
- ศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคกลัวการเข้าสังคม
- รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคกลัวการเข้าสังคม
- เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมด
- จัดทาโครงงาน
- 4. 4
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
- คอมพิวเตอร์
- โทรศัพท์
งบประมาณ
- 100 บาท
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
1.ผู้ที่ได้ศึกษาโครงงานมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้เป็นโรคกลัวสังคมมากยิ่งขึ้น
2.ผู้ที่ได้ศึกษาโครงงานสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาและปรับตัวให้อยู่กับผู้เป็นโรคกลัวสังคมได้
3.สามารถนาโครงงานนี้ไปเผยแพร่เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อื่นได้
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระสุขศึกษา
กลุ่มสาระคอมพิวเตอร์
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
1. https://www.facebook.com/D2JED/posts/527524300714141/
2. https://health.kapook.com/view84729.html
3. https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article