รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
หน่วยที่ 5 ชื่อเรื่อง/งาน ทรานซิสเตอร์ เวลา 5 ชั่วโมง สัปดาห์ที่ 5
หัวข้อเรื่อง/งาน
1. โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
2. คุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์
3. วัดทดสอบทรานซิสเตอร์
4. วงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์
5. การไบอัสทรานซิสเตอร์
สาระสาคัญ
ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อถูกค ้นพบครั้งแรกโดยคณะทางานของห ้องปฏิบัติการของ
บริษัท เบลเทเลโฟน (Bell Laboratories) ในปี ค.ศ.1947 นับได ้ว่าเป็นการปลุกโลกของ
วิวัฒนาการการสร ้างอุปกรณ์สารกึ่งตัวนา ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อเรียกด ้วยตัวย่อว่า
BJT (Bipolar Junction Transistor) ทรานซิสเตอร์ (BJT) ถูกนาไปใช ้งานอย่างแพร่หลาย
เช่น วงจรขยายในเครื่องรับวิทยุและเครื่องรับโทรทัศน์ หรือนาไปใช ้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ที่ทาหน้าที่เป็นสวิตซ์(Switching) เช่น เปิด-ปิดรีเลย์(Relay) เพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ
เป็ นต ้นคุณสมบัติของทรานซิสเตอร์คือเอากระแสส่วนน้อยควบคุมการไหลของกระแส
ส่วนมากดังนั้นในการนาทรานซิสเตอร์ไปใช ้งานจาเป็ นต ้องศึกษาทาความเข ้าใจเกี่ยวกับ
คุณสมบัติพื้นฐานของทรานซิสเตอร์ไม่ว่าจะเป็ นโครงสร ้าง สัญลักษณ์ และคุณสมบัติการ
ทางานของทรานซิสเตอร์
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จุดประสงค์การเรียนรู้
เมื่อผู้เรียนเรียนจบในหน่วยแล ้วผู้เรียนสามารถ
1. บอกโครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ได ้
2. อธิบายคุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์ได ้
3. วัดทดสอบทรานซิสเตอร์ได ้
4. อธิบายคุณสมบัติวงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์ได ้
5. อธิบายการไบอัสทรานซิสเตอร์ได ้
6. นักเรียนมีความสนใจใฝ่ รู้ และปฏิบัติงานด ้วยความประณีต
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.1 โครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อหรือ BJT นี้ ประกอบไปด ้วยสารกึ่งตัวนาชนิดพีและเอ็นต่อกัน
โดยการเติมสารเจือปน (Doping) จานวน 3 ชั้น ทาให ้เกิดรอยต่อ(Junction) ขึ้นจานวน 2
รอยต่อ ถ ้าเราจะแบ่งชนิดทรานซิสเตอร์ตามโครงสร ้างเราสามารถแบ่งได ้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่
มีสารชนิดเอ็น 2 ชั้น หรือเรียกว่า ชนิด NPN และชนิดที่มีสารชนิดพี 2 ชั้นเรียกว่า ชนิด PNP
โครงสร ้างของทรานซิสเตอร์ชนิด NPN แสดงในรูปที่ 5.1 (ก) และชนิด PNP แสดงในรูปที่
5.1 (ข)
รูปที่ 5.1โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากรูปที่ 5.1 โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ จากโครงสร ้างของทรานซิสเตอร์
ทาให ้ทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขาดังนี้คือ 1.ขาอิมิตเตอร์ (Emitter : E) 2.ขาเบส
(Base : B) 3. ขาคอลเล็กเตอร์ (Collector : C) โดยแต่ละชั้นของสารกึ่งตัวนาจะมี
ปริมาณหรือขนาดของสารไมเท่ากัน โดยชั้นสารของขาอิมิตเตอร์จะมีขนาดกว ้าง ขาเบสจะมี
ขนาดของชั้นแคบ และขาคอลเลคเตอร์จะแคบแต่จะมีชั้นสารโด๊ปที่ใหญ่ ดังรูปที่ 5.2
ภาพตัดขวางเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์
รูปที่ 5.2 ภาพตัดขวางเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.2 คุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์
เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขา การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับทรานซิสเตอร์ทางาน หรือ
ที่เราเรียกว่าการไบอัส (Bias) นั้นมีความจาเป็ นจะต ้องจัดวงจรไบอัสให ้ถูกต ้องเพื่อให ้
ทรานซิสเตอร์ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพ การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับ
ทรานซิสเตอร์ทางานนั้นมีหลักการจ่ายดังนี้
5.2.1 ขา E และขา B ของทรานซิสเตอร์ต ้องได ้รับการจ่ายไบอัสตรง (Forward Bias)
เสมอ ดังรูปที่ 5.3 การจ่ายไบอัสตรงให ้กับขาอิมิตเตอร์ เทียบกับขาเบส
รูปที่ 5.3การจ่ายไบอัสตรงให ้กับขาอิมิตเตอร์ เทียบกับขาเบส
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.2.2 ขา C ของทรานซิสเตอร์ต ้องได ้รับการจ่ายไบอัสกลับ (Reverse Bias) เสมอ
ดังรูปที่ 5.4การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์
ข . การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์ชนิด PNPก . การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์ชนิด NPN
รูปที่ 5.4 การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากการจัดวงจรการให ้ไบอัสทรานซิสเตอร์ตามรูปที่ 5.3และ 5.4 ทีละส่วน เมื่อนามาจัดวงจร
รวมกันทั้งสองส่วนจะได ้ลักษณะการจัดวงจรไบอัสทรานซิสเตอร์ได ้ดังรูปที่ 5.5 ลักษณะการ
จัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN และ รูปที่ 5.6 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับ
ทรานซิสเตอร์ ชนิด PNP
รูปที่ 5.5 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
รูปที่ 5.6 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด PNP
นอกจากการให ้ไบอัสที่ถูกต ้องแก่ทรานซิสเตอร์แล ้ว การควบคุมการไหลของกระแสในตัว
ทรานซิสเตอร์ก็เป็ นสิ่งสาคัญ เพราะทรานซิสเตอร์เมื่อมีกระแสไหลผ่านตัวมันอาจทาให ้
ทรานซิสเตอร์เกิดความร ้อน ส่งผลให ้ค่าความต ้านทานภายในตัวทรานซิสเตอร์ลดลง ทาให ้
กระแสไหลผ่านตัวมันเพิ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลให ้ทรานซิสเตอร์เสียหายได ้
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.2.3 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP จากรูปที่ 5.7 ทิศทางการไหล
ของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP เป็นการไหลของกระแสโฮล (Hold Current) เพราะ
ทรานซิสเตอร์เป็ นชนิด PNP ซึ่งมีจานวนโฮล (+) มากกว่าจานวนอิเล็กตรอน(-) เมื่อขา
คอลเลคเตอร์ (ขา C) ได ้รับไบอัสกลับทาให ้ทรานซิสเตอร์ที่ขาคอลเลคเตอร์ ได ้รับศักดิ์ไฟ
เป็นลบสูง ทาให ้โฮลซึ่งป็นประจุบวกวิ่งเข ้าหาประจุลบเป็นจานวนมากจึงแทนทิศทางการไหล
ของกระแสโฮลด ้วยลูกศรใหญ่ในตัวทรานซิสเตอร์
รูปที่ 5.7 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.2.4 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN จากรูปที่ 5.8 ทิศทางการไหล
ของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN เป็ นการไหลของกระแสอิเล็กตรอน (Electron
Current) เพราะทรานซิสเตอร์เป็ นชนิด NPN ทาให ้มีจานวนอิเล็กตรอน (-) มากกว่าจานวน
โฮล(+) เมื่อขาคอลเลคเตอร์ (ขา C) ได ้รับไบอัสกลับทาให ้ทรานซิสเตอร์ที่ขาคอลเลคเตอร์
ได ้รับศักดิ์ไฟเป็นบวกสูง ทาให ้อิเล็กตรอนซึ่งเป็ นประจุลบวิ่งเข ้าหาประจุบวกเป็นจานวนมาก
จึงแทนทิศทางการไหลของกระแสอิเล็กตรอนด ้วยลูกศรใหญ่ในตัวทรานซิสเตอร์
รูปที่ 5.8 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากทิศทางการไหลของกระแสในตัวทรานซิสเตอร์ทั้งกระแสโฮล และกระแสอิเล็กตรอน
โดยทิศทางของกระแสโฮลไหลจากขั้วบวกของแหล่งจ่าย VBB ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์
ไปยังขั้วลบของแหล่งจ่าย VCC ซึ่งจะสวนทางกับกระแสอิเล็กตรอนที่วิ่งจากขั้วลบของ
แหล่งจ่าย VBB ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ไปยังขั้วบวกของแหล่งจ่าย VCC ถึงแม ้กระแสทั้ง
สองจะวิ่งสวนทางกันแต่ถือว่ากระแสที่ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ทั้งสองชนิดมีกระแสเท่ากัน
ทรานซิสเตอร์เมื่อทางานจะมีกระแสที่ไหลผ่านอยู่ 3 ค่าคือ
1) กระแสเบส (Base Current : IB ) มีค่าประมาณ 2 ถึง 5 % ของกระแสทั้งหมด
2) กระแสคอลเลคเตอร์ (Collector Current : IC ) มีค่าประมาณ 95 ถึง 98 % ของ
กระแสทั้งหมด
3) กระแสอิมิตเตอร์ (Emitter Current : IE ) มีค่าประมาณ 100 % ของกระแสทั้งหมด
ค่ากระแสทั้ง 3 ค่าที่ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ มีความสัมพันธ์กันสามารถเขียนเป็ นสมการ
ได ้ดังนี้
เมื่อ IE = 100 %
IC = 98 %
และ IB = 2 %
IE = IC + IB
IB = IE - IC
IC = IE - IB
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.3 การวัดทดสอบทรานซิสเตอร์
การวัดด ้วยมิเตอร์แบบเข็ม หลักการวัดเหมือนไดโอด คือ วัดการนากระแสของ ไดโอดแต่ละ
ตัว เนื่องจากทรายซิสเตอร์มี 2 ประเภท คือ NPN ,PNP ตามตัวอย่างเป็นแบบ NPN
5.31.การหาขา B และ ชนิด ทรานซิสเตอร์
5.3.1.1 เริ่มจากการตั้งย่านการวัดที่ x10
5.3.1.2 นาสายมิเตอร์จับขาใดขาหนึ่งของทรานซิสเตอร์ ไว ้
5.3.1.3 สายมิเตอร์อีกเส ้น จับวัดสองขาที่เหลือ ที่ละขา พร ้อมกับสังเกตค่าความ
ต ้านทาน ที่วัดได ้ว่า ต่าหรือสูง เราพอประมาณค่าความต ้านทาน เสมือนเราวัดไดโอดที่ดีว่า
ประมาณเท่าไรได ้ เราสนใจความต ้านทานต่า 2 ครั้ง หากไม่ได ้ลองเปลี่ยน จับขาอื่นๆที่
เหลือ
5.3.1.4 ถ ้า สายวัดสีแดงจับขา 1 และสายวัดสีดาจับ ขา 2,3 มี ความต ้านทานต่า
แสดงว่า ขา1 เป็นขา B ขา 2,3 เป็น C หรือ E (ต ้องหาอีกครั้ง) และทรานซิสเตอร์ เป็นชนิด
PNP
5.3.1.5 ถ ้า สายวัดสีดาจับที่ ขา 1 และ สายแดง จับที่ขา 2,3 มีความต ้านทานต่า
แสดงว่า ขา 1 เป็นขา B ขา 2,3 เป็น C หรือ E (ต ้องหาอีครั้งหนึ่ง) และทรานซิสเตอร์เป็น
ชนิด PNP การหาขา C และ E ที่เหลือหลังจากเรารู้ขา B และ ชนิดทรานซิสเตอร์แล ้ว
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.3.2.การหาขา E และ ขา C ของทรานซิสเตอร์
5.3.2.1 ใช ้สายวัดสีดาจับที่ขา 2 สีแดง จับที่ขา 3 และจับขา B Short กับสายสี
ดาที่จับขา2 หรือใช ้ปากคีบก็ได ้ สังเกตความต ้านทานเปลี่ยนเป็น ลดลงเป็นความต ้านทาน
ต่าหรือไม่ ถ ้า ความต ้านทาน สูงเหมือนเดิม ขาที่สายสีดาจับอยู่ ขา 2 เป็นขา E ส่วนขา 3
ที่เหลือเป็น ขา C ให ้กลับสายมิเตอร์ ใหม่แล ้วทาซ้า ถ ้า ความต ้านทาน ต่า แสดงว่าขา 2 ที่
สีดาจับอยู่เป็นขา C ขาที่เหลือเป็นขา E
5.3.2.2 หากการวัดไม่เป็ นตามที่กล่าวมา อาจเป็ นไปได ้ว่าโครงสร ้าง
ทรานซิสเตอร์ เป็นแบบพิเศษ เช่น มี R คร่อม C-E หรือ คร่อม BC หรือเป็นทรานซิสเตอร์
แบบ Darlington ต ้องดู datasheet ประกอบด ้วย หรือ อาจเป็ นอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่
ทรานซิสเตอร์ ให ้ดูวงจรหรือ datasheet ประกอบ
5.3.2.3การทริก ขา B ด ้วยไฟ DC สาหรับทรานซิสเตอร์ขนาดเล็ก ตั้งมิเตอร์ที่
X10 ถ ้าตั้ง X1 ทาให ้ทรานซิสเตอร์เสียได ้ หรือ power transistor ควรตั้งที่ X1 หากตั้ง
X10 ทรานซิสเตอร์ไม่ทางาน และวัดไม่ได ้ผล ที่แน่นอน
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.3.3 การวัดหาขาทรานซิสเตอร์ที่ตัวถังเป็นโลหะ
ขาที่เชื่อมต่อกับตัวถังเป็นขา C นั้นคือตั้งมิเตอร์ที่ X10 นาสายวัดบวกหรือลบก็ได ้จับตัวถังที่
เป็นโลหะและนาสายที่เหลือไปจับขาทรานซิสเตอร์ขาไหนจับแล ้วค่าความต ้านทานขึ้น 0
โอห์มแสดงว่าเป็นขาเดียวกับตัวถัง ขานั้นเป็นขา C ขาที่เหลือเป็นขา B กับ E
รูปที่ 5.9 ทรานซิสเตอร์ตัวถังโลหะ
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.4 วงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์
เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขาดังนั้นในการจัดวงจรใช ้งานจะต ้องมีขาใดขาหนึ่ง
เป็ นขาร่วม (Common) ระหว่างอินพุตกับเอาต์พุต ซึ่งในการจัดวงจรขาร่วม หรือคอมมอน
ของทรานซิสเตอร์ สามารถแบ่งได ้3แบบ คือ
5.4.1 วงจรเบสร่วม หรือคอมมอนเบส (Common Base : CB)
วงจรเบสร่วม หรือคอมมอนเบส เป็นวงจรที่ใช ้ขา เบส หรือขา B เป็นขาร่วมระหว่างอินพุตกับ
เอาต์พุต ดังรูปที่5.10 วงจรคอมมอนเบสเบื้องต ้น
ก.วงจรคอมมอนเบสชนิด NPN
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
ข.วงจรคอมมอนเบสชนิด PNP
รูปที่ 5.10 วงจรคอมมอนเบส
จากวงจรคอมมอนเบส จะเห็นว่าสัญญาณเข ้าทางขาอิมิตเตอร์ (E) และสัญญาณจะถูก
ส่งออกทางขาคอลเลคเตอร์ (C) ซึ่งเป็ นขาเอาต์พุตคุณสมบัติของวงจรคอมมอนเบส
สามารถสรุปได ้ดังนี้
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน
อินพุตของวงจรต่ามาก เนื่องจากขา E ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา B ผลทาให ้
กระแส IE ไหลได ้มาก ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zi) มีค่าต่ามาก
2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน
ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าสูงมาก เนื่องจากขา C ได ้รับการไบอัสกลับเมื่อเทียบกับขา B
ผลทาให ้กระแส IC ไหลได ้น้อย ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zo) มีค่าสูง
มาก
3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะเหมือนกันนั้นคือถ ้าสัญญาณป้อนเข ้า
มาทางอินพุตเป็ นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็ นบวกเช่นกันเรารียกว่าสัญญาณ
อินเฟสกัน (In phase)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือ
ตัวอัลฟ่ า ( ) ซึ่งในวงจรคอมมอนเบสเราสามารถหาอัตราการขยายทางกระแสได ้จาก
กระแสทางด ้านเอาต์พุต (Io) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii)
สมการที่ 5.1
ในวงจรคอมมอนเบส ค่ากระแส IE = 1 หรือ 100 % ส่วนกระแส IC = 0.95 ถึง 0.98
หรือ 95 ถึง 98 % ดังนั้นในวงจรคอมมอนเบสจะเห็นได ้ว่าอัตราขยายทางด ้านกระแสมีค่า
ไม่เกิน 1เท่า
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ
แอมปลิไฟเออร์ (Voltage Amplifier: AV) คือเป็ นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้าน
เอาต์พุต (VO) ต่อแรงดันอินพุต (Vi)
สมการที่ 5.2
6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain: PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณ
ระหว่างอัตราการขยายกระแส( ) กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV)
สมการที่ 5.3
7. วงจรคอมมอนเบสมักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรขยายแรงดัน (Voltage Amplifier)
วงจรกาเนิดความถี่ หรือวงจรออสซิเลเตอร์ (Oscillator) และวงจรแมตช์ชิ่ง (Matching)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.4.2 วงจรคอลเลคเตอร์ร่วม หรือคอมมอนคอลเลคเตอร์ (Common Collector: CC)
วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวงจรอิมิตเตอร์ตาม (Emitter
Follower) เป็นวงจรที่ใช ้ขา C เป็นขาร่วมระหว่างอินพุต กับเอาต์พุต ดังรูปที่ 5.11 วงจร
คอมมอนคอนเลคเตอร์เบื้องต ้น
ก.วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ชนิด NPN
ข.วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ชนิด PNP
รูปที่ 5.11 วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์เบื้องต ้น
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากรูปวงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์จะเห็นว่าสัญญาณอินพุตถูกป้อนเข ้ามาทางขา B และ
เอาต์พุตออกทางขา E ซึ่งสามารถสรุปคุณสมบัติของวงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ได ้ดังนี้
1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน
อินพุตของวงจรสูงมาก เนื่องจากขา B ได ้รับการไบอัสกลับเมื่อเทียบกับขา C
2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน
ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าต่า เนื่องจากขา E ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา C
ผลทาให ้กระแส IE ไหลได ้มาก ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zo) มีค่าต่า
3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะเหมือนกันนั้นคือถ ้าสัญญาณป้อนเข ้า
มาทางอินพุตเป็นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็นบวก เช่นกันเรารียกว่า
สัญญาณอินเฟสกัน (In phase)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือตัว
แกรมม่า (Gramma : ) ซึ่งในวงจรคอมมอนเบสเราสามารถหาอัตราการขยายทาง
กระแสได ้จากกระแสทางด ้านเอาต์พุต (IO) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii)


สมการที่ 5.4
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ แอมปลิ
ไฟเออร์ (Voltage Amplifier : AV) คือเป็นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้านเอาต์พุต (VO)
ต่อแรงดันอินพุต (Vi)
สมการที่ 5.5
6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain : PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณระหว่าง
อัตราการขยายกระแส กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV)
สมการที่ 5.6
7. วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์มักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรบัฟเฟอร์(Buffer Circuit)
และวงจรแมตช์ชิ่ง(Matching)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.4.3 วงจรอิมิตเตอร์ร่วม หรือคอมมอนอิมิตเตอร์ (Common Emitter : CE)
วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ เป็นวงจรที่ใช ้ขาอิมิตเตอร์หรือขา E เป็นขารวมระหว่างอินพุต กับ
เอาต์พุต ดังรูปที่ 5.12 วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เบื้องต ้น
ก.วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เตอร์ชนิด NPN
ข.วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เตอร์ชนิด PNP
รูปที่ 5.12 วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เบื้องต ้น
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรจะเห็นว่าสัญญาณอินพุตเข ้าทางขา B และสัญญาณเอาต์พุตออกทางขา C โดยมี
ขา E เป็ นขาร่วมระหว่างอินพุต กับเอาต์พุตซึ่งสามารถสรุปคุณสมบัติของวงจรคอมมอน
อิมิตเตอร์ได ้ดังนี้
1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน
อินพุตของวงจรมีค่าต่า เนื่องจากขา B ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา E
2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน
ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าสูง เนื่องจากขา C ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา E
3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะต่างกัน 180 องศา นั้นคือถ ้าสัญญาณ
ป้อนเข ้ามาทางอินพุตเป็ นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็ นลบ ถ ้าสัญญาณ
ป้อนเข ้ามาทางอินพุตเป็นลบ สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็นบวกเราเรียกว่าสัญญาณ
กลับเฟสกัน (Out of Phase)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือเบต ้า
(Bata: ) แทนซึ่งในวงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ เราสามารถหาอัตราการขยายทางกระแสได ้
จากกระแสทางด ้านเอาต์พุต (IO) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii)


สมการที่ 5.7
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ แอมปลิ
ไฟเออร์ (Voltage Amplifier: AV) คือเป็นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้านเอาต์พุต (VO)
ต่อแรงดันอินพุต (Vi)
6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain : PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณ
ระหว่างอัตราการขยายกระแส ( ) กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV)
สมการที่ 5.8
สมการที่ 5.9
7. วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์มักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรขยายเสียง (Amplifier
Circuit) และวงจรขยายสัญญาณ
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.5 การไบอัสทรานซิสเตอร์
การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับทรานซิสเตอร์ทางาน หรือที่เราเรียกว่าการไบอัส (Bias) นั้นมีความ
จาเป็นจะต ้องจัดวงจรไบอัสให ้ถูกต ้องเพื่อให ้ทรานซิสเตอร์ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ และ
เสถียรภาพ การจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์นั้นมีด ้วยกันดังนี้
5.5.1 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias) วงจรไบอัสคงที่ เป็นการจ่ายไฟให ้กับ
ทรานซิสเตอร์ตลอดเวลา และคงที่ทาให ้มีอุณหภูมิสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่
ทรานซิสเตอร์ทางาน ดังรูปที่ 5.13 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias)
รูปที่ 5.13 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรเป็นการจ่ายไบอัสคงที่ให ้กับทรานซิสเตอร์ชนิด NPN โดยมีตัวต ้านทาน RB เป็ น
ตัวกาหนดกระแสไบอัสให ้กับขา B ของทรานซิสเตอร์ (IB) ซึ่งได ้รับไบอัสตรง (Forward
Bias) จากแหล่งจ่าย VCC ส่วนขา Cจะได ้รับแรงดันไบอัสกลับ (Reverse Bias) จาก
แหล่งจ่าย VCC การทางานของวงจร เมื่อ RB เป็นตัวต ้านทานค่าคงที่จึงกาหนดกระแสและ
แรงดันไบอัสขา B คงที่ (Fixed Bias) แต่ค่าความต ้านทานระหว่างรอยต่อของ
ทรานซิสเตอร์จะยิ่งลดลง แต่การไบอัสที่ขา B ยังคงที่ ส่งผลให ้IB มีกระแสเพิ่มขึ้น ผลทา
ให ้กระแส IC เพิ่มขึ้นด ้วยทรานซิสเตอร์จะทางานเช่นนี้ตลอดเวลา ทาให ้ทรานซิสเตอร์มร
อุณหภูมิสูงขึ้น ข ้อดีของวงจรไบอัสคงที่ คือ ประกอบวงจรง่ายเพราะใช ้อุปกรณ์น้อย ข ้อเสีย
อุณหภูมิไม่คงที่ ทาให ้อัตราขยายไม่แน่นอน
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
เราสามารถคานวณหาค่า กระแส IB กระแส IC และกระแส IE ที่ไหลผ่านวงจรไบอัสแบบ
คงที่ได ้ดังนี้ การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแส
ดังรูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
รูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรรูปที่ 5.14 จะเห็นว่ากระแสเบส (IB) จะกาหนดค่ากระแส
ด ้วยความต ้านทาน RB ซึ่งคานวณได ้จากสมการที่5.10
สมการที่ 5.10
การคานวณหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) จากคุณสมบัติของ 
สมการที่ 5.11
จากสมการที่ 5.10 จะเห็นว่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) จะเปลี่ยนแปลงตามค่าของกระแส
เบส (IB) การหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า สามารถหาได ้จาก
วงจรรูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า


รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
รูปที่ 5.15 ทิศทางการไหลของกระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากรูปที่ 5.15 เราสามารถหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC)สูงสุด(IC (Maximum) )หรือ(IC (Max) )
ได ้จาก
สมการที่5.12
จากสมการที่ 5.12 ในความเป็นจริงแล ้วไม่ควรออกแบบวงจรไบอัส
แบบค่าคงที่ให ้มีกระแส IC สูงสุด เนื่องจากค่ากระแส IC สูงสุดนั้นเป็น
กระแสอิ่มตัวของทรานซิสเตอร์ (Saturation Current : IC(Sat) ) ซึ่ง
กระแสอิ่มตัวนี้จะส่งผลให ้เกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณ ดังนั้นในการ
ออกแบบวงจรต ้องให ้กระแส IC ต่ากว่ากระแส IC(Sat) ก็จะทาให ้วงจรมี
ประสิทธิภาพสูงสุดของวงจร
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากการคานวณหาค่ากระแส (IB) และค่ากระแส (IC) เราสามารถหาค่ากระแส (IE) ได ้จาก
ความสัมพันธ์ของกระแสทั้งสองดังรูปที่ 5.16 ความสัมพันธ์ของกระแส (IB) และค่ากระแส
(IC)
รูปที่ 5.16 ความสัมพันธ์ของกระแส (IB) และค่ากระแส (IC)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากสมการ IB +IC = IE สามารถคานวณหากระแส (IE ) ได ้จากความสัมพันธ์ของ
ได ้ดังนี้ จาก

สมการที่ 5.13
เมื่อ
แทน BC II β ลงในสมการที่ 5.13 จะได ้ว่า
ดังนั้นสามารถหากระแส (IE) ได ้จาก สมการที่ 5.14
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
ตัวอย่างการคานวณที่ 1 จากวงจรรูปที่ 5.17 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE
รูปที่ 5.17 ตัวอย่างวงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.5.2 วงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias)
วงจรไบอัสตัวเอง หรือเซลฟ์ ไบอัส เป็ นการต่อตัวต ้านทานค่าคงที่ค่าหนึ่ง ต่อกับแรงดันจาก
ขาคอลเลคเตอร์ (VC) ดังรูปที่ 5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias)
รูปที่ 5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรรูปที่5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias) เมื่อมีกระแส IB ไหลผ่าน
ทรานซิสเตอร์ก็จะเริ่มทางาน มีกระแส IC ไหลผ่านทรานซิสเตอร์จะเกิดความร ้อนขึ้นในตัว
ทาให ้บริเวณรอยต่อ ขา C และขา B มีค่าความต ้านทานลดลง ทาให ้แรงดัน VC ลดลงทาให ้
แรงดันไบอัสที่ขา B ไม่คงที่ โดยเปลี่ยนแปลงค่าตามแรงดัน VC แต่เป็นข ้อดีของวงจรไบอัส
แบบนี้เพราะจะเป็ นการช่วยปรับอุณหภูมิให ้กับทรานซิสเตอร์ ทาให ้ลดการผิดเพี้ยนของ
สัญญาณ ส่วนข ้อเสียก็คือมีอัตราการขยายต่า เพราะมีการป้อนกลับแบบลบมายังด ้านอินพุต
ผ่านทางตัวต ้านทาน RB เราเรียกเนกทีฟ ฟีดแบค (Negative Feedback)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแสดังรูปที่ 5.19 ทิศ
ทางการไหลของกระแสเบส (IB)
รูปที่ 5.19 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
สมการที่ 5.15
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
ตัวอย่างการคานวณที่ 2 จากวงจรรูปที่ 5.20 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE
รูปที่ 5.20 ตัวอย่างวงจรใช ้งานไบอัสตัวเอง
สามารถหาค่า IB ได ้จากสมการที่ 5.15
หาค่า IC ได ้จากสมการที่ 5.11
หาค่า IE ไดจากสมการ 5.13
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.5.3 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias)
วงจรไบอัสแบบเสถียร บางครั้งอาจจะเรียกว่าวงจรอิมิตเตอร์ไบอัส (Emitter Stabilize Bias)
วงจรมีลักษณะเช่นเดียวกับวงจรไบอัสแบบคงที่เพียงแต่เพิ่มตัวต ้านทาน RE เพื่อรักษา
เสถียรภาพ (Stabilize) ของวงจรให ้มั่นคงยิ่งขึ้นเมื่ออุณหภูมิของทรานซิสเตอร์เปลี่ยนแปลง
ไป ดังวงจรรูปที่4.21 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias) ข ้อดีของวงจรไบอัสแบบ
เสถียร คืออุณหภูมิคงที่ ทาให ้กระแส IC คงที่ด ้วย เพียงแต่ต ้องต่อตัวต ้านทานเพิ่มขึ้น
รูปที่5.21 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแสดังรูปที่5.21 ทิศ
ทางการไหลของกระแสเบส (IB)
รูปที่ 5.21 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรรูปที่ 5.21 จะเห็นว่ากระแสเบส (IB) สามารถคานวณได ้จากสมการที่ 5.16
สมการที่ 5.16
ส่วนค่ากระแส IC สามารถคานวณได ้จากสมการที่ 5.11
ส่วนกรณีการหาค่ากระแสสูงสุด IC(Max) สามารถพิจารณา
ได ้จากกระแสที่ไหลผ่านขาC ของทรานซิสเตอร์ดังรูปที่ 5.22
ทิศทางการไหลของ IC
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
รูปที่ 5.22 ทิศทางการไหลของกระแส IC
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากรูปที่ 5.22 เราสามารถหาค่ากระแส IC สูงสุดของวงจรหรือกระแสอิ่มตัวของวงจรได ้จาก
สมการที่5.17 ส่วนค่ากระแส IE สามารถหาได ้จาก
สมการที่ 5.17
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
ตัวอย่างการคานวณที่ 3 จากวงจรรูปที่ 5.23 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE
รูปที่ 5.23 ตัวอย่างวงจรใช ้งานไบอัสแบบเสถียร
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
5.5.4 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน (Voltage Divider Bias)
วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันถือได ้ว่าเป็นวงจรไบอัสที่เสถียรภาพที่สุด โดยมีตัวต ้านทาน RB1
และ RB2 ต่อในลักษณะแบ่งแรงดัน (Voltage Divider) โดย RB1 เป็นตัวกาหนดแรงดันตก
คร่อมให ้กับ RB2 ในการจ่ายแรงดันไบอัสให ้กับขา B ของทรานซิสเตอร์ ดังรูปที่ 5.23 วงจร
ไบอัสแบบแบ่งแรงดัน ส่วนตัวต ้านทาน RE ช่วยเสถียรภาพการไบอัสดีขึ้น นั้นคือกระแส
คอลเลคเตอร์ (IC) ไหลได ้อย่างต่อเนื่อง โดยทรานซิสเตอร์ไม่เกิดความเสียหายเนื่องจาก
ความร ้อนภายในตัวทรานซิสเตอร์ วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันนิยมนาไปใช ้งานในวงจรปรี
ไมค์ (Pre-mic) วงจรสวิตชิ่ง(Switching) และวงจรขยายเสียงภาคเดียว (Amplifier)
รูปที่ 5.23 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
จากวงจรที่ 5.23 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน การคานวณหาค่ากระแส และแรงดัน
โดยประมาณควรใช ้หลักการคิดจาก โดยถ ้าหากค่า
มากกว่าหรือเท่ากับ
นั้นหมายถึงค่ากระแส และแรงดันที่ได ้จากการคานวณมีค่าใกล ้เคียงกับวงจรใช ้งานจริง
รูปที่ 5.24 แรงดัน และกระแสของวงจรไบอัส
แบบแบ่งแรงดัน
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
ตัวอย่างที่ 4 การคานวณค่าแรงดัน และกระแสของวงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข
ตามรูปที่ 5.25วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข
รูปที่ 5.25 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข
ขั้นตอนการคานวณ
แสดงว่าค่าแรงดันและกระแสที่คานวณจะ
ใกล ้เคียงกับวงจรใช ้งานจริง ดังนั้นจึงสามารถ
คานวณหาค่าแรงดัน และกระแสต่อไปได ้
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
รหัส 2105-2005 วิชา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม

Transistor

  • 1.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม หน่วยที่ 5 ชื่อเรื่อง/งาน ทรานซิสเตอร์ เวลา 5 ชั่วโมง สัปดาห์ที่ 5 หัวข้อเรื่อง/งาน 1. โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ 2. คุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์ 3. วัดทดสอบทรานซิสเตอร์ 4. วงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์ 5. การไบอัสทรานซิสเตอร์ สาระสาคัญ ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อถูกค ้นพบครั้งแรกโดยคณะทางานของห ้องปฏิบัติการของ บริษัท เบลเทเลโฟน (Bell Laboratories) ในปี ค.ศ.1947 นับได ้ว่าเป็นการปลุกโลกของ วิวัฒนาการการสร ้างอุปกรณ์สารกึ่งตัวนา ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อเรียกด ้วยตัวย่อว่า BJT (Bipolar Junction Transistor) ทรานซิสเตอร์ (BJT) ถูกนาไปใช ้งานอย่างแพร่หลาย เช่น วงจรขยายในเครื่องรับวิทยุและเครื่องรับโทรทัศน์ หรือนาไปใช ้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ทาหน้าที่เป็นสวิตซ์(Switching) เช่น เปิด-ปิดรีเลย์(Relay) เพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เป็ นต ้นคุณสมบัติของทรานซิสเตอร์คือเอากระแสส่วนน้อยควบคุมการไหลของกระแส ส่วนมากดังนั้นในการนาทรานซิสเตอร์ไปใช ้งานจาเป็ นต ้องศึกษาทาความเข ้าใจเกี่ยวกับ คุณสมบัติพื้นฐานของทรานซิสเตอร์ไม่ว่าจะเป็ นโครงสร ้าง สัญลักษณ์ และคุณสมบัติการ ทางานของทรานซิสเตอร์
  • 2.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเรียนจบในหน่วยแล ้วผู้เรียนสามารถ 1. บอกโครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ได ้ 2. อธิบายคุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์ได ้ 3. วัดทดสอบทรานซิสเตอร์ได ้ 4. อธิบายคุณสมบัติวงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์ได ้ 5. อธิบายการไบอัสทรานซิสเตอร์ได ้ 6. นักเรียนมีความสนใจใฝ่ รู้ และปฏิบัติงานด ้วยความประณีต
  • 3.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.1 โครงสร้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์ชนิดสองรอยต่อหรือ BJT นี้ ประกอบไปด ้วยสารกึ่งตัวนาชนิดพีและเอ็นต่อกัน โดยการเติมสารเจือปน (Doping) จานวน 3 ชั้น ทาให ้เกิดรอยต่อ(Junction) ขึ้นจานวน 2 รอยต่อ ถ ้าเราจะแบ่งชนิดทรานซิสเตอร์ตามโครงสร ้างเราสามารถแบ่งได ้ 2 ชนิด คือ ชนิดที่ มีสารชนิดเอ็น 2 ชั้น หรือเรียกว่า ชนิด NPN และชนิดที่มีสารชนิดพี 2 ชั้นเรียกว่า ชนิด PNP โครงสร ้างของทรานซิสเตอร์ชนิด NPN แสดงในรูปที่ 5.1 (ก) และชนิด PNP แสดงในรูปที่ 5.1 (ข) รูปที่ 5.1โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
  • 4.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากรูปที่ 5.1 โครงสร ้างและสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ จากโครงสร ้างของทรานซิสเตอร์ ทาให ้ทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขาดังนี้คือ 1.ขาอิมิตเตอร์ (Emitter : E) 2.ขาเบส (Base : B) 3. ขาคอลเล็กเตอร์ (Collector : C) โดยแต่ละชั้นของสารกึ่งตัวนาจะมี ปริมาณหรือขนาดของสารไมเท่ากัน โดยชั้นสารของขาอิมิตเตอร์จะมีขนาดกว ้าง ขาเบสจะมี ขนาดของชั้นแคบ และขาคอลเลคเตอร์จะแคบแต่จะมีชั้นสารโด๊ปที่ใหญ่ ดังรูปที่ 5.2 ภาพตัดขวางเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ รูปที่ 5.2 ภาพตัดขวางเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์
  • 5.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.2 คุณสมบัติการทางานของทรานซิสเตอร์ เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขา การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับทรานซิสเตอร์ทางาน หรือ ที่เราเรียกว่าการไบอัส (Bias) นั้นมีความจาเป็ นจะต ้องจัดวงจรไบอัสให ้ถูกต ้องเพื่อให ้ ทรานซิสเตอร์ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพ การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับ ทรานซิสเตอร์ทางานนั้นมีหลักการจ่ายดังนี้ 5.2.1 ขา E และขา B ของทรานซิสเตอร์ต ้องได ้รับการจ่ายไบอัสตรง (Forward Bias) เสมอ ดังรูปที่ 5.3 การจ่ายไบอัสตรงให ้กับขาอิมิตเตอร์ เทียบกับขาเบส รูปที่ 5.3การจ่ายไบอัสตรงให ้กับขาอิมิตเตอร์ เทียบกับขาเบส
  • 6.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.2.2 ขา C ของทรานซิสเตอร์ต ้องได ้รับการจ่ายไบอัสกลับ (Reverse Bias) เสมอ ดังรูปที่ 5.4การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์ ข . การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์ชนิด PNPก . การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์ชนิด NPN รูปที่ 5.4 การจ่ายไบอัสกลับให ้กับขาคอลเลคเตอร์
  • 7.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากการจัดวงจรการให ้ไบอัสทรานซิสเตอร์ตามรูปที่ 5.3และ 5.4 ทีละส่วน เมื่อนามาจัดวงจร รวมกันทั้งสองส่วนจะได ้ลักษณะการจัดวงจรไบอัสทรานซิสเตอร์ได ้ดังรูปที่ 5.5 ลักษณะการ จัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN และ รูปที่ 5.6 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับ ทรานซิสเตอร์ ชนิด PNP รูปที่ 5.5 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN
  • 8.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม รูปที่ 5.6 ลักษณะการจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์ ชนิด PNP นอกจากการให ้ไบอัสที่ถูกต ้องแก่ทรานซิสเตอร์แล ้ว การควบคุมการไหลของกระแสในตัว ทรานซิสเตอร์ก็เป็ นสิ่งสาคัญ เพราะทรานซิสเตอร์เมื่อมีกระแสไหลผ่านตัวมันอาจทาให ้ ทรานซิสเตอร์เกิดความร ้อน ส่งผลให ้ค่าความต ้านทานภายในตัวทรานซิสเตอร์ลดลง ทาให ้ กระแสไหลผ่านตัวมันเพิ่มมากขึ้น อาจจะส่งผลให ้ทรานซิสเตอร์เสียหายได ้
  • 9.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.2.3 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP จากรูปที่ 5.7 ทิศทางการไหล ของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP เป็นการไหลของกระแสโฮล (Hold Current) เพราะ ทรานซิสเตอร์เป็ นชนิด PNP ซึ่งมีจานวนโฮล (+) มากกว่าจานวนอิเล็กตรอน(-) เมื่อขา คอลเลคเตอร์ (ขา C) ได ้รับไบอัสกลับทาให ้ทรานซิสเตอร์ที่ขาคอลเลคเตอร์ ได ้รับศักดิ์ไฟ เป็นลบสูง ทาให ้โฮลซึ่งป็นประจุบวกวิ่งเข ้าหาประจุลบเป็นจานวนมากจึงแทนทิศทางการไหล ของกระแสโฮลด ้วยลูกศรใหญ่ในตัวทรานซิสเตอร์ รูปที่ 5.7 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด PNP
  • 10.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.2.4 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN จากรูปที่ 5.8 ทิศทางการไหล ของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN เป็ นการไหลของกระแสอิเล็กตรอน (Electron Current) เพราะทรานซิสเตอร์เป็ นชนิด NPN ทาให ้มีจานวนอิเล็กตรอน (-) มากกว่าจานวน โฮล(+) เมื่อขาคอลเลคเตอร์ (ขา C) ได ้รับไบอัสกลับทาให ้ทรานซิสเตอร์ที่ขาคอลเลคเตอร์ ได ้รับศักดิ์ไฟเป็นบวกสูง ทาให ้อิเล็กตรอนซึ่งเป็ นประจุลบวิ่งเข ้าหาประจุบวกเป็นจานวนมาก จึงแทนทิศทางการไหลของกระแสอิเล็กตรอนด ้วยลูกศรใหญ่ในตัวทรานซิสเตอร์ รูปที่ 5.8 ทิศทางการไหลของกระแสในทรานซิสเตอร์ชนิด NPN
  • 11.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากทิศทางการไหลของกระแสในตัวทรานซิสเตอร์ทั้งกระแสโฮล และกระแสอิเล็กตรอน โดยทิศทางของกระแสโฮลไหลจากขั้วบวกของแหล่งจ่าย VBB ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ ไปยังขั้วลบของแหล่งจ่าย VCC ซึ่งจะสวนทางกับกระแสอิเล็กตรอนที่วิ่งจากขั้วลบของ แหล่งจ่าย VBB ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ไปยังขั้วบวกของแหล่งจ่าย VCC ถึงแม ้กระแสทั้ง สองจะวิ่งสวนทางกันแต่ถือว่ากระแสที่ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ทั้งสองชนิดมีกระแสเท่ากัน ทรานซิสเตอร์เมื่อทางานจะมีกระแสที่ไหลผ่านอยู่ 3 ค่าคือ 1) กระแสเบส (Base Current : IB ) มีค่าประมาณ 2 ถึง 5 % ของกระแสทั้งหมด 2) กระแสคอลเลคเตอร์ (Collector Current : IC ) มีค่าประมาณ 95 ถึง 98 % ของ กระแสทั้งหมด 3) กระแสอิมิตเตอร์ (Emitter Current : IE ) มีค่าประมาณ 100 % ของกระแสทั้งหมด ค่ากระแสทั้ง 3 ค่าที่ไหลผ่านตัวทรานซิสเตอร์ มีความสัมพันธ์กันสามารถเขียนเป็ นสมการ ได ้ดังนี้ เมื่อ IE = 100 % IC = 98 % และ IB = 2 % IE = IC + IB IB = IE - IC IC = IE - IB
  • 12.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.3 การวัดทดสอบทรานซิสเตอร์ การวัดด ้วยมิเตอร์แบบเข็ม หลักการวัดเหมือนไดโอด คือ วัดการนากระแสของ ไดโอดแต่ละ ตัว เนื่องจากทรายซิสเตอร์มี 2 ประเภท คือ NPN ,PNP ตามตัวอย่างเป็นแบบ NPN 5.31.การหาขา B และ ชนิด ทรานซิสเตอร์ 5.3.1.1 เริ่มจากการตั้งย่านการวัดที่ x10 5.3.1.2 นาสายมิเตอร์จับขาใดขาหนึ่งของทรานซิสเตอร์ ไว ้ 5.3.1.3 สายมิเตอร์อีกเส ้น จับวัดสองขาที่เหลือ ที่ละขา พร ้อมกับสังเกตค่าความ ต ้านทาน ที่วัดได ้ว่า ต่าหรือสูง เราพอประมาณค่าความต ้านทาน เสมือนเราวัดไดโอดที่ดีว่า ประมาณเท่าไรได ้ เราสนใจความต ้านทานต่า 2 ครั้ง หากไม่ได ้ลองเปลี่ยน จับขาอื่นๆที่ เหลือ 5.3.1.4 ถ ้า สายวัดสีแดงจับขา 1 และสายวัดสีดาจับ ขา 2,3 มี ความต ้านทานต่า แสดงว่า ขา1 เป็นขา B ขา 2,3 เป็น C หรือ E (ต ้องหาอีกครั้ง) และทรานซิสเตอร์ เป็นชนิด PNP 5.3.1.5 ถ ้า สายวัดสีดาจับที่ ขา 1 และ สายแดง จับที่ขา 2,3 มีความต ้านทานต่า แสดงว่า ขา 1 เป็นขา B ขา 2,3 เป็น C หรือ E (ต ้องหาอีครั้งหนึ่ง) และทรานซิสเตอร์เป็น ชนิด PNP การหาขา C และ E ที่เหลือหลังจากเรารู้ขา B และ ชนิดทรานซิสเตอร์แล ้ว
  • 13.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.3.2.การหาขา E และ ขา C ของทรานซิสเตอร์ 5.3.2.1 ใช ้สายวัดสีดาจับที่ขา 2 สีแดง จับที่ขา 3 และจับขา B Short กับสายสี ดาที่จับขา2 หรือใช ้ปากคีบก็ได ้ สังเกตความต ้านทานเปลี่ยนเป็น ลดลงเป็นความต ้านทาน ต่าหรือไม่ ถ ้า ความต ้านทาน สูงเหมือนเดิม ขาที่สายสีดาจับอยู่ ขา 2 เป็นขา E ส่วนขา 3 ที่เหลือเป็น ขา C ให ้กลับสายมิเตอร์ ใหม่แล ้วทาซ้า ถ ้า ความต ้านทาน ต่า แสดงว่าขา 2 ที่ สีดาจับอยู่เป็นขา C ขาที่เหลือเป็นขา E 5.3.2.2 หากการวัดไม่เป็ นตามที่กล่าวมา อาจเป็ นไปได ้ว่าโครงสร ้าง ทรานซิสเตอร์ เป็นแบบพิเศษ เช่น มี R คร่อม C-E หรือ คร่อม BC หรือเป็นทรานซิสเตอร์ แบบ Darlington ต ้องดู datasheet ประกอบด ้วย หรือ อาจเป็ นอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ ทรานซิสเตอร์ ให ้ดูวงจรหรือ datasheet ประกอบ 5.3.2.3การทริก ขา B ด ้วยไฟ DC สาหรับทรานซิสเตอร์ขนาดเล็ก ตั้งมิเตอร์ที่ X10 ถ ้าตั้ง X1 ทาให ้ทรานซิสเตอร์เสียได ้ หรือ power transistor ควรตั้งที่ X1 หากตั้ง X10 ทรานซิสเตอร์ไม่ทางาน และวัดไม่ได ้ผล ที่แน่นอน
  • 14.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.3.3 การวัดหาขาทรานซิสเตอร์ที่ตัวถังเป็นโลหะ ขาที่เชื่อมต่อกับตัวถังเป็นขา C นั้นคือตั้งมิเตอร์ที่ X10 นาสายวัดบวกหรือลบก็ได ้จับตัวถังที่ เป็นโลหะและนาสายที่เหลือไปจับขาทรานซิสเตอร์ขาไหนจับแล ้วค่าความต ้านทานขึ้น 0 โอห์มแสดงว่าเป็นขาเดียวกับตัวถัง ขานั้นเป็นขา C ขาที่เหลือเป็นขา B กับ E รูปที่ 5.9 ทรานซิสเตอร์ตัวถังโลหะ
  • 15.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.4 วงจรคอมมอนทรานซิสเตอร์ เนื่องจากทรานซิสเตอร์มีขาใช ้งาน 3 ขาดังนั้นในการจัดวงจรใช ้งานจะต ้องมีขาใดขาหนึ่ง เป็ นขาร่วม (Common) ระหว่างอินพุตกับเอาต์พุต ซึ่งในการจัดวงจรขาร่วม หรือคอมมอน ของทรานซิสเตอร์ สามารถแบ่งได ้3แบบ คือ 5.4.1 วงจรเบสร่วม หรือคอมมอนเบส (Common Base : CB) วงจรเบสร่วม หรือคอมมอนเบส เป็นวงจรที่ใช ้ขา เบส หรือขา B เป็นขาร่วมระหว่างอินพุตกับ เอาต์พุต ดังรูปที่5.10 วงจรคอมมอนเบสเบื้องต ้น ก.วงจรคอมมอนเบสชนิด NPN
  • 16.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม ข.วงจรคอมมอนเบสชนิด PNP รูปที่ 5.10 วงจรคอมมอนเบส จากวงจรคอมมอนเบส จะเห็นว่าสัญญาณเข ้าทางขาอิมิตเตอร์ (E) และสัญญาณจะถูก ส่งออกทางขาคอลเลคเตอร์ (C) ซึ่งเป็ นขาเอาต์พุตคุณสมบัติของวงจรคอมมอนเบส สามารถสรุปได ้ดังนี้
  • 17.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน อินพุตของวงจรต่ามาก เนื่องจากขา E ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา B ผลทาให ้ กระแส IE ไหลได ้มาก ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zi) มีค่าต่ามาก 2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าสูงมาก เนื่องจากขา C ได ้รับการไบอัสกลับเมื่อเทียบกับขา B ผลทาให ้กระแส IC ไหลได ้น้อย ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zo) มีค่าสูง มาก 3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะเหมือนกันนั้นคือถ ้าสัญญาณป้อนเข ้า มาทางอินพุตเป็ นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็ นบวกเช่นกันเรารียกว่าสัญญาณ อินเฟสกัน (In phase)
  • 18.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือ ตัวอัลฟ่ า ( ) ซึ่งในวงจรคอมมอนเบสเราสามารถหาอัตราการขยายทางกระแสได ้จาก กระแสทางด ้านเอาต์พุต (Io) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii) สมการที่ 5.1 ในวงจรคอมมอนเบส ค่ากระแส IE = 1 หรือ 100 % ส่วนกระแส IC = 0.95 ถึง 0.98 หรือ 95 ถึง 98 % ดังนั้นในวงจรคอมมอนเบสจะเห็นได ้ว่าอัตราขยายทางด ้านกระแสมีค่า ไม่เกิน 1เท่า
  • 19.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ แอมปลิไฟเออร์ (Voltage Amplifier: AV) คือเป็ นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้าน เอาต์พุต (VO) ต่อแรงดันอินพุต (Vi) สมการที่ 5.2 6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain: PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณ ระหว่างอัตราการขยายกระแส( ) กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV) สมการที่ 5.3 7. วงจรคอมมอนเบสมักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรขยายแรงดัน (Voltage Amplifier) วงจรกาเนิดความถี่ หรือวงจรออสซิเลเตอร์ (Oscillator) และวงจรแมตช์ชิ่ง (Matching)
  • 20.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.4.2 วงจรคอลเลคเตอร์ร่วม หรือคอมมอนคอลเลคเตอร์ (Common Collector: CC) วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวงจรอิมิตเตอร์ตาม (Emitter Follower) เป็นวงจรที่ใช ้ขา C เป็นขาร่วมระหว่างอินพุต กับเอาต์พุต ดังรูปที่ 5.11 วงจร คอมมอนคอนเลคเตอร์เบื้องต ้น ก.วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ชนิด NPN ข.วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ชนิด PNP รูปที่ 5.11 วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์เบื้องต ้น
  • 21.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากรูปวงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์จะเห็นว่าสัญญาณอินพุตถูกป้อนเข ้ามาทางขา B และ เอาต์พุตออกทางขา E ซึ่งสามารถสรุปคุณสมบัติของวงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์ได ้ดังนี้ 1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน อินพุตของวงจรสูงมาก เนื่องจากขา B ได ้รับการไบอัสกลับเมื่อเทียบกับขา C 2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าต่า เนื่องจากขา E ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา C ผลทาให ้กระแส IE ไหลได ้มาก ซึ่งแสดงว่าค่าความต ้านทานทางด ้านอินพุต (Zo) มีค่าต่า 3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะเหมือนกันนั้นคือถ ้าสัญญาณป้อนเข ้า มาทางอินพุตเป็นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็นบวก เช่นกันเรารียกว่า สัญญาณอินเฟสกัน (In phase)
  • 22.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือตัว แกรมม่า (Gramma : ) ซึ่งในวงจรคอมมอนเบสเราสามารถหาอัตราการขยายทาง กระแสได ้จากกระแสทางด ้านเอาต์พุต (IO) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii)   สมการที่ 5.4
  • 23.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ แอมปลิ ไฟเออร์ (Voltage Amplifier : AV) คือเป็นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้านเอาต์พุต (VO) ต่อแรงดันอินพุต (Vi) สมการที่ 5.5 6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain : PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณระหว่าง อัตราการขยายกระแส กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV) สมการที่ 5.6 7. วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์มักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรบัฟเฟอร์(Buffer Circuit) และวงจรแมตช์ชิ่ง(Matching)
  • 24.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.4.3 วงจรอิมิตเตอร์ร่วม หรือคอมมอนอิมิตเตอร์ (Common Emitter : CE) วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ เป็นวงจรที่ใช ้ขาอิมิตเตอร์หรือขา E เป็นขารวมระหว่างอินพุต กับ เอาต์พุต ดังรูปที่ 5.12 วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เบื้องต ้น ก.วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เตอร์ชนิด NPN ข.วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เตอร์ชนิด PNP รูปที่ 5.12 วงจรคอมมอนอิมิตเตอร์เบื้องต ้น
  • 25.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรจะเห็นว่าสัญญาณอินพุตเข ้าทางขา B และสัญญาณเอาต์พุตออกทางขา C โดยมี ขา E เป็ นขาร่วมระหว่างอินพุต กับเอาต์พุตซึ่งสามารถสรุปคุณสมบัติของวงจรคอมมอน อิมิตเตอร์ได ้ดังนี้ 1. อิมพีแดนซ์ทางด ้านอินพุต ( Zi : In put Impedance ) หรือค่าความต ้านทานทางด ้าน อินพุตของวงจรมีค่าต่า เนื่องจากขา B ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา E 2. อิมพีแดนซ์ทางด ้านเอาต์พุต ( Zo : Output Impedance ) หรือค่าความต ้านทาน ทางด ้านเอาต์พุตของวงจรมีค่าสูง เนื่องจากขา C ได ้รับการไบอัสตรงเมื่อเทียบกับขา E 3. เฟส (Phase) ของสัญญาณอินพุต และเอาต์พุตจะต่างกัน 180 องศา นั้นคือถ ้าสัญญาณ ป้อนเข ้ามาทางอินพุตเป็ นบวก สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็ นลบ ถ ้าสัญญาณ ป้อนเข ้ามาทางอินพุตเป็นลบ สัญญาณที่ออกทางเอาต์พุตก็จะเป็นบวกเราเรียกว่าสัญญาณ กลับเฟสกัน (Out of Phase)
  • 26.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 4. อัตราขยายทางด ้านกระแส (Current Gain : ) ซึ่งเขียนแทนด ้วยอักษรกรีก คือเบต ้า (Bata: ) แทนซึ่งในวงจรคอมมอนอิมิตเตอร์ เราสามารถหาอัตราการขยายทางกระแสได ้ จากกระแสทางด ้านเอาต์พุต (IO) ต่อกระแสทางด ้านอินพุต (Ii)   สมการที่ 5.7
  • 27.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5. อัตราการขยายแรงดัน (Voltage Gain: VG) หรือบางครั้งอาจจะใช ้คาว่าโวลท์เตจ แอมปลิ ไฟเออร์ (Voltage Amplifier: AV) คือเป็นค่าอัตราส่วนระหว่างแรงดันทางด ้านเอาต์พุต (VO) ต่อแรงดันอินพุต (Vi) 6. อัตราขยายทางด ้านกาลัง (Power Gain : PG) เป็นอัตราการขยายที่เกิดจากผลคูณ ระหว่างอัตราการขยายกระแส ( ) กับอัตราขยายทางด ้านแรงดัน(AV) สมการที่ 5.8 สมการที่ 5.9 7. วงจรคอมมอนคอลเลคเตอร์มักจะถูกนาไปใช ้งานเกี่ยวกับ วงจรขยายเสียง (Amplifier Circuit) และวงจรขยายสัญญาณ
  • 28.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.5 การไบอัสทรานซิสเตอร์ การจัดวงจรจ่ายไฟให ้กับทรานซิสเตอร์ทางาน หรือที่เราเรียกว่าการไบอัส (Bias) นั้นมีความ จาเป็นจะต ้องจัดวงจรไบอัสให ้ถูกต ้องเพื่อให ้ทรานซิสเตอร์ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ และ เสถียรภาพ การจัดวงจรไบอัสให ้กับทรานซิสเตอร์นั้นมีด ้วยกันดังนี้ 5.5.1 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias) วงจรไบอัสคงที่ เป็นการจ่ายไฟให ้กับ ทรานซิสเตอร์ตลอดเวลา และคงที่ทาให ้มีอุณหภูมิสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ ทรานซิสเตอร์ทางาน ดังรูปที่ 5.13 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias) รูปที่ 5.13 วงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias)
  • 29.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรเป็นการจ่ายไบอัสคงที่ให ้กับทรานซิสเตอร์ชนิด NPN โดยมีตัวต ้านทาน RB เป็ น ตัวกาหนดกระแสไบอัสให ้กับขา B ของทรานซิสเตอร์ (IB) ซึ่งได ้รับไบอัสตรง (Forward Bias) จากแหล่งจ่าย VCC ส่วนขา Cจะได ้รับแรงดันไบอัสกลับ (Reverse Bias) จาก แหล่งจ่าย VCC การทางานของวงจร เมื่อ RB เป็นตัวต ้านทานค่าคงที่จึงกาหนดกระแสและ แรงดันไบอัสขา B คงที่ (Fixed Bias) แต่ค่าความต ้านทานระหว่างรอยต่อของ ทรานซิสเตอร์จะยิ่งลดลง แต่การไบอัสที่ขา B ยังคงที่ ส่งผลให ้IB มีกระแสเพิ่มขึ้น ผลทา ให ้กระแส IC เพิ่มขึ้นด ้วยทรานซิสเตอร์จะทางานเช่นนี้ตลอดเวลา ทาให ้ทรานซิสเตอร์มร อุณหภูมิสูงขึ้น ข ้อดีของวงจรไบอัสคงที่ คือ ประกอบวงจรง่ายเพราะใช ้อุปกรณ์น้อย ข ้อเสีย อุณหภูมิไม่คงที่ ทาให ้อัตราขยายไม่แน่นอน
  • 30.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม เราสามารถคานวณหาค่า กระแส IB กระแส IC และกระแส IE ที่ไหลผ่านวงจรไบอัสแบบ คงที่ได ้ดังนี้ การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแส ดังรูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB) รูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
  • 31.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรรูปที่ 5.14 จะเห็นว่ากระแสเบส (IB) จะกาหนดค่ากระแส ด ้วยความต ้านทาน RB ซึ่งคานวณได ้จากสมการที่5.10 สมการที่ 5.10 การคานวณหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) จากคุณสมบัติของ  สมการที่ 5.11 จากสมการที่ 5.10 จะเห็นว่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) จะเปลี่ยนแปลงตามค่าของกระแส เบส (IB) การหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า สามารถหาได ้จาก วงจรรูปที่ 5.14 ทิศทางการไหลของกระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า  
  • 32.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม รูปที่ 5.15 ทิศทางการไหลของกระแสคอลเลคเตอร์ (IC) สูงสุดกรณีไม่ทราบค่า
  • 33.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากรูปที่ 5.15 เราสามารถหาค่ากระแสคอลเลคเตอร์ (IC)สูงสุด(IC (Maximum) )หรือ(IC (Max) ) ได ้จาก สมการที่5.12 จากสมการที่ 5.12 ในความเป็นจริงแล ้วไม่ควรออกแบบวงจรไบอัส แบบค่าคงที่ให ้มีกระแส IC สูงสุด เนื่องจากค่ากระแส IC สูงสุดนั้นเป็น กระแสอิ่มตัวของทรานซิสเตอร์ (Saturation Current : IC(Sat) ) ซึ่ง กระแสอิ่มตัวนี้จะส่งผลให ้เกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณ ดังนั้นในการ ออกแบบวงจรต ้องให ้กระแส IC ต่ากว่ากระแส IC(Sat) ก็จะทาให ้วงจรมี ประสิทธิภาพสูงสุดของวงจร
  • 34.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากการคานวณหาค่ากระแส (IB) และค่ากระแส (IC) เราสามารถหาค่ากระแส (IE) ได ้จาก ความสัมพันธ์ของกระแสทั้งสองดังรูปที่ 5.16 ความสัมพันธ์ของกระแส (IB) และค่ากระแส (IC) รูปที่ 5.16 ความสัมพันธ์ของกระแส (IB) และค่ากระแส (IC)
  • 35.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากสมการ IB +IC = IE สามารถคานวณหากระแส (IE ) ได ้จากความสัมพันธ์ของ ได ้ดังนี้ จาก  สมการที่ 5.13 เมื่อ แทน BC II β ลงในสมการที่ 5.13 จะได ้ว่า ดังนั้นสามารถหากระแส (IE) ได ้จาก สมการที่ 5.14
  • 36.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม ตัวอย่างการคานวณที่ 1 จากวงจรรูปที่ 5.17 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE รูปที่ 5.17 ตัวอย่างวงจรไบอัสคงที่ (Fixed Bias)
  • 37.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.5.2 วงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias) วงจรไบอัสตัวเอง หรือเซลฟ์ ไบอัส เป็ นการต่อตัวต ้านทานค่าคงที่ค่าหนึ่ง ต่อกับแรงดันจาก ขาคอลเลคเตอร์ (VC) ดังรูปที่ 5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias) รูปที่ 5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias)
  • 38.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรรูปที่5.18 วงจรวงจรไบอัสตัวเอง (Self Bias) เมื่อมีกระแส IB ไหลผ่าน ทรานซิสเตอร์ก็จะเริ่มทางาน มีกระแส IC ไหลผ่านทรานซิสเตอร์จะเกิดความร ้อนขึ้นในตัว ทาให ้บริเวณรอยต่อ ขา C และขา B มีค่าความต ้านทานลดลง ทาให ้แรงดัน VC ลดลงทาให ้ แรงดันไบอัสที่ขา B ไม่คงที่ โดยเปลี่ยนแปลงค่าตามแรงดัน VC แต่เป็นข ้อดีของวงจรไบอัส แบบนี้เพราะจะเป็ นการช่วยปรับอุณหภูมิให ้กับทรานซิสเตอร์ ทาให ้ลดการผิดเพี้ยนของ สัญญาณ ส่วนข ้อเสียก็คือมีอัตราการขยายต่า เพราะมีการป้อนกลับแบบลบมายังด ้านอินพุต ผ่านทางตัวต ้านทาน RB เราเรียกเนกทีฟ ฟีดแบค (Negative Feedback)
  • 39.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแสดังรูปที่ 5.19 ทิศ ทางการไหลของกระแสเบส (IB) รูปที่ 5.19 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB) สมการที่ 5.15
  • 40.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม ตัวอย่างการคานวณที่ 2 จากวงจรรูปที่ 5.20 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE รูปที่ 5.20 ตัวอย่างวงจรใช ้งานไบอัสตัวเอง สามารถหาค่า IB ได ้จากสมการที่ 5.15 หาค่า IC ได ้จากสมการที่ 5.11 หาค่า IE ไดจากสมการ 5.13
  • 41.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.5.3 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias) วงจรไบอัสแบบเสถียร บางครั้งอาจจะเรียกว่าวงจรอิมิตเตอร์ไบอัส (Emitter Stabilize Bias) วงจรมีลักษณะเช่นเดียวกับวงจรไบอัสแบบคงที่เพียงแต่เพิ่มตัวต ้านทาน RE เพื่อรักษา เสถียรภาพ (Stabilize) ของวงจรให ้มั่นคงยิ่งขึ้นเมื่ออุณหภูมิของทรานซิสเตอร์เปลี่ยนแปลง ไป ดังวงจรรูปที่4.21 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias) ข ้อดีของวงจรไบอัสแบบ เสถียร คืออุณหภูมิคงที่ ทาให ้กระแส IC คงที่ด ้วย เพียงแต่ต ้องต่อตัวต ้านทานเพิ่มขึ้น รูปที่5.21 วงจรไบอัสแบบเสถียร (Stabilize Bias)
  • 42.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม การคานวณหาค่ากระแสเบส (IB) โดยพิจารณาทิศทางการไหลของกระแสดังรูปที่5.21 ทิศ ทางการไหลของกระแสเบส (IB) รูปที่ 5.21 ทิศทางการไหลของกระแสเบส (IB)
  • 43.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรรูปที่ 5.21 จะเห็นว่ากระแสเบส (IB) สามารถคานวณได ้จากสมการที่ 5.16 สมการที่ 5.16 ส่วนค่ากระแส IC สามารถคานวณได ้จากสมการที่ 5.11 ส่วนกรณีการหาค่ากระแสสูงสุด IC(Max) สามารถพิจารณา ได ้จากกระแสที่ไหลผ่านขาC ของทรานซิสเตอร์ดังรูปที่ 5.22 ทิศทางการไหลของ IC
  • 44.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม รูปที่ 5.22 ทิศทางการไหลของกระแส IC
  • 45.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากรูปที่ 5.22 เราสามารถหาค่ากระแส IC สูงสุดของวงจรหรือกระแสอิ่มตัวของวงจรได ้จาก สมการที่5.17 ส่วนค่ากระแส IE สามารถหาได ้จาก สมการที่ 5.17
  • 46.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม ตัวอย่างการคานวณที่ 3 จากวงจรรูปที่ 5.23 จงหาค่ากระแส IB , IC และ IE รูปที่ 5.23 ตัวอย่างวงจรใช ้งานไบอัสแบบเสถียร
  • 47.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม 5.5.4 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน (Voltage Divider Bias) วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันถือได ้ว่าเป็นวงจรไบอัสที่เสถียรภาพที่สุด โดยมีตัวต ้านทาน RB1 และ RB2 ต่อในลักษณะแบ่งแรงดัน (Voltage Divider) โดย RB1 เป็นตัวกาหนดแรงดันตก คร่อมให ้กับ RB2 ในการจ่ายแรงดันไบอัสให ้กับขา B ของทรานซิสเตอร์ ดังรูปที่ 5.23 วงจร ไบอัสแบบแบ่งแรงดัน ส่วนตัวต ้านทาน RE ช่วยเสถียรภาพการไบอัสดีขึ้น นั้นคือกระแส คอลเลคเตอร์ (IC) ไหลได ้อย่างต่อเนื่อง โดยทรานซิสเตอร์ไม่เกิดความเสียหายเนื่องจาก ความร ้อนภายในตัวทรานซิสเตอร์ วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันนิยมนาไปใช ้งานในวงจรปรี ไมค์ (Pre-mic) วงจรสวิตชิ่ง(Switching) และวงจรขยายเสียงภาคเดียว (Amplifier) รูปที่ 5.23 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน
  • 48.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม จากวงจรที่ 5.23 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดัน การคานวณหาค่ากระแส และแรงดัน โดยประมาณควรใช ้หลักการคิดจาก โดยถ ้าหากค่า มากกว่าหรือเท่ากับ นั้นหมายถึงค่ากระแส และแรงดันที่ได ้จากการคานวณมีค่าใกล ้เคียงกับวงจรใช ้งานจริง รูปที่ 5.24 แรงดัน และกระแสของวงจรไบอัส แบบแบ่งแรงดัน
  • 49.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม ตัวอย่างที่ 4 การคานวณค่าแรงดัน และกระแสของวงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข ตามรูปที่ 5.25วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข รูปที่ 5.25 วงจรไบอัสแบบแบ่งแรงดันโดยเงื่อนไข ขั้นตอนการคานวณ แสดงว่าค่าแรงดันและกระแสที่คานวณจะ ใกล ้เคียงกับวงจรใช ้งานจริง ดังนั้นจึงสามารถ คานวณหาค่าแรงดัน และกระแสต่อไปได ้
  • 50.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
  • 51.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม
  • 52.
    รหัส 2105-2005 วิชาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร สาขางาน อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ..พุทธศักราช 2556 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม