More Related Content
More from leemeanshun minzstar (20)
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปออสเตรเลีย
- 1. ทวีปออสเตรเลีย (Australia)
พ.ศ.2149 กัปตัน WillemJanszoonชาวดัตช์ได้ค้นพบออสเตรเลียในปีพ.ศ. 2313เจมส์ คุก
เดินทางมาสารวจออสเตรเลียและทาแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย
และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์
ประเทศออสเตรเลียทวีปออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่เรียกว่าโอเซียเนีย(Oceania)หมายถึง
ทวีปออสเตรเลียกับหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิกรวมทั้งหมู่เกาะประเทศนิวซีแลนด์
ทวีปออสเตรเลียและโอเซียเนียเป็นที่ตั้งของประเทศออสเตรเลียประเทศนิวซีแลนด์ทวีปออสเตรเลียได้รับสมญานามว่า
ทวีปเกาะส่วนหมู่เกาะแปซิฟิกซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศอื่นๆต่อเนื่องไปถึงทวีปแอนตาร์กติกเรียกว่าโอเชียเนียหมายถึง
เกาะและหมู่เกาะในภาคกลางและภาคใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกรวมทั้งหมู่เกาะไมโครนีเซียเมลานีเซียโปลีนีเซียออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์และหมู่เกาะมลายู
ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกมีพื้นที่7.6ล้านตร.กม.มีประชากร17.5 ล้านคน
ที่ตั้งของทวีปออสเตรเลียอยู่ในซีกโลกใต้ทั้งหมดตั้งแต่ละติจูดที่ 10องศา41 ลิปดาใต้ ถึง43 องศา 39 ลิปดาใต้ และลองจิจูด
113 องศา 9 ลิปดาตะวันออกถึง153 องศา 39 ลิปดาตะวันออก
ที่ตั้ง อาณาเขต
ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่อยู่ในซีกโลกใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกดังนี้
ทิศเหนือดินแดนที่อยู่เหนือสุด คือแหลมยอร์กในคาบสมุทรเคปยอร์กมีช่องแคบทอร์เรส ติดต่อกับทะเลติมอร์ ทะเลอาราฟูรา
อ่าวคาเฟนทาเรีย
ทิศตะวันออกบริเวณที่อยู่ด้านตะวันออกสุดของทวีปคือแหลมไบรอนติดกับทะเลคอรัลและทะเลเทสมัน
ทิศใต้ ส่วนที่อยู่ใต้สุดของออสเตรเลียคือแหลมวิลสันมีช่องแคบบาสส์กั้นระหว่างเกาะแทสมาเนียติดกับมหาสมุทรอินเดีย
อ่าวเกรดออสเตรเลีย
ทิศตะวันตกส่วนที่อยู่ด้านตะวันตกสุดคือแหลมสตีปติดกับมหาสมุทรอินเดีย
ขนาดพื้นที่
ออสเตรเลียเป็นประเทศเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตกประมาณ 3,900กิโลเมตร
- 2. มีความกว้างจากเหนือไปใต้ประมาณ 3,200กิโลเมตรระกอบด้วยรัฐต่างๆ6รัฐกับเขตการปกครองอิสระอีก2เขต เรียกว่า
เทอร์ริทอรี (Territory)
1. รัฐควีนส์แลนด์เมืองบริสเบน
2. รัฐนิวเซาท์เวลส์เมืองซิดนีย์
3. รัฐวิกตอเรียเมืองเมลเบิร์น
4. รัฐออสเตรเลียใต้ เมืองแอดิเลด
5. รัฐออสเตรเลียตะวันตกเมืองเพิร์ท
6. รัฐแทสเมเนียเมืองโฮบาร์ด
ขนาด ประเทศออสเตรเลียมีพื้นที่ทั้งหมด7,686,848ตารางกิโลเมตรถือเป็นประเทศที่เป็นเกาะที่มีขาดพื้นที่มากที่สุดในโลก
ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะกรีนแลนด์ประมาณ 3.5เท่าหรือมีขนาดพื้นที่เล็กกว่าประเทศรัสเซีย
ซึ่งรัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลกประมาณ 2.2เท่าหรือมีขนาดพื้นที่มากว่าประเทศไทยประมาณ 15เท่า
เขตปกครองอิสระ 2 เขต คือ
เทร์ริทอรีเหนือเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนมีประชากรอาศัยอยู่น้อยจัดให้เป็นที่อยู่ของคนพื้นเมืองดั้งเดิมมีเมืองดาร์วิน
ออสเตรเลียแคพิทอลเทร์ริทอรี เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงคือแคนเบอร์ราเป็นเขตพิเศษไม่อยู่ในรัฐใด
ภูมิภาคและประเทศต่างๆ ของทวีปออสเตรเลีย
ออสเตรเลียได้แก่ ออสเตรเลียนิวซีแลนด์
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกได้แก่ ปาปัวนิวกินีหมู่เกาะเซโลมอนฟิจิวานูอาตูคิริบาสซามัวตะวันตกตองกาตูวาลูนาอูรู
ไมโครนีเซีย
ลักษณะภูมิประเทศออสเตรเลีย สามารถแบ่งได้2แบบคือ
แบบที่1
ลักษณะภูมิประเทศของทวีปออสเตรเลียมีเขตที่สูงทางด้านตะวันออก มีฝนตกชุกที่สุดของทวีป
มีเทือกเขาเกรตดิไวดิงอยู่ทางด้านตะวันออก มีลักษณะเป็นสันปันน้าที่แบ่งฝนที่ตกลงให้ไหลสู่ลาธาร เขตที่ราบต่าตอนกลาง
พื้นที่ราบเรียบมีลาน้าหลายสายไหลมาอยู่บริเวณนี้
และเขตที่ราบสูงทางด้านตะวันตกตอนกลางของเขตนี้เป็นทะเลบริเวณทางใต้และทางตะวันออกเฉียงเหนือใช้เป็นเขตปศุสัตว์แ
ละเพาะปลูก
แบบที่2
ภูมิประเทศของออสเตรเลียแบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ คือ
เขตเทือกเขาสูงทางด้านตะวันออกวางขนานตัวกับชายฝั่งทะเลตั้งแต่แหลมยอร์กไปจนถึงช่องแคบบาสส์เทือกเขาที่สาคัญ
เทือกเขาเกรตดิไวดิงเทือกเขาวิกตอเรียแอลป์ มียอดเขาสูงสุดชื่อคอสสิอัสโกสูง 2,216เมตร
ชายฝั่งมีแนวปะการังขนาดใหญ่ที่สุดในโลกชื่อเกรตแบริเออร์ รีฟ
เขตที่ราบสูงภาคตะวันตกเป็นเขตที่มีโครงสร้างเก่าแก่ของทวีปยกขอบสูงทางด้านตะวันตกลาดเอียงมาทางทิศตะวันออก
มีทิวเขาหลายแนวได้แก่ ทิวเขาแมกโดนัลทิวเขามัสเกรฟทิวเขาแฮมเมอร์สเลย์เขตนี้แห้งแล้งมีทะเลทรายกิบสัน
ทะเลทรายเกรตวิกตอเรียฯลฯ
เขตที่ราบภาคกลางประกอบด้วยที่ราบรอบอ่าวคาร์เปนตาเรียที่ราบแอ่งเกรตอาร์ติเชียนที่ราบรอบทะเลสาบแอร์
เป็นทะเลสาบน้าเค็มที่ราบลุ่มแม่น้าเมอร์เรย์-ดาร์ลิงเป็นแม่น้าที่มีความสาคัญทางด้านการชลประทานมากที่สุด
มีต้นน้าจากเทือกเขาเกรตดิไวดิงที่ราบเขตนี้อุดมสมบูรณ์ เป็นเขตเกษตรกรรมที่สาคัญที่ราบนัลลาบอร์
ชายฝั่งอ่าวเกรตออสเตรเลียนไบท์
- 3. เขตที่ราบภาคกลางเป็นเขตที่มีการนาน้าบาดาลออกมาใช้ประโยชน์มากที่สุดประกอบด้วยที่ราบใหญ่ 4แห่งได้แก่
1. ที่ราบนัลลาบอร์ (NullaborPlain)โดยคาว่า“นัลลาบอร์”เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่า
ไม่มีต้นไม้อยู่เลยนอกจากนี้ภายในที่ราบผืนนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีแม่น้าสายใดไหลผ่าน
ยิ่งเมื่อพิจารณาปริมาณน้าฝนทั้งปีซึ่งมีเพียง100-250
มิลลิเมตรเท่านั้นมาประกอบด้วยแล้วแสดงให้เห็นว่าที่ราบบริเวณนี้มีความแห้งแล้งทุรกันดารค่อนข้างมาก
และการที่ที่ราบนัลลาบอร์อยู่ติดต่อกับอ่าวเกรตออสเตรเลียนอาจจะเรียกที่ราบผืนนี้ว่า “ที่ราบย่านอ่าวเกรตออสเตรเลียน”
2. ที่ราบลุ่มน้าดาร์ลิง-เมอร์เรย์(MurrayandDarllingBasin)
เป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดและมีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดถือเป็นเขตเกษตรกรรมที่สาคัญของประเทศออสเตรเลีย
แม่น้าสายยาวที่สุดในทวีปคือแม่น้าดาร์ลิงเป็นที่ราบผืนใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ประมาณ 1ล้านตารางกิโลเมตรมีแม่น้าดาร์ลิง
แม่น้าเมอร์เรย์และสาขาเป็นแม่น้าสายสาคัญที่ไหลหล่อเลี้ยงที่ราบผืนนี้ให้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่สาคัญของ
ประเทศ
3. ที่ราบรอบทะเลสาบแอร์ (Lake Ayre Basin ) ทะเลสาบแอร์เป็นทะเลสาบน้าเค็มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทวีป
เมื่อพิจารณาโดยรวมถือเป็นเขตที่ค่อนข้างแห้งแล้งปรากฏทะเลทรายอยู่ 2แห่งภายในพื้นที่ของที่ราบแห่งนี้ได้แก่
ทะเลทรายซิมป์ สันและทะเลทรายสจ๊วต
4. ที่ราบรอบอ่าวคาร์เปนตาเรีย(GulfofCarpentariaPlain)
อยู่ทางเหนือของประเทศมีลักษณะเป็นที่ราบชายฝั่งแคบๆ
โดยมีแนวเขาเซลวินวางตัวขวางแยกออกจากที่ราบรอบทะเลสาบแอร์
ที่ราบผืนนิ้วางตัวขนานไปกับแนวชายฝั่งโดยจะมีระดับสูงมากขึ้นเมื่อมีระยะทางลึกเข้ามาในแผ่นดิน
ลักษณะภูมิอากาศของออสเตรเลียขึ้นอยู่กับ ปัจจัยควบคุมภูมิอากาศ ดังนี้
4.1 ตาแหน่งที่ตั้งออสเตรเลียมีที่ตั้งตามพิกัดภูมิศาสตร์ระหว่างละติจูด 10องศา 41 ลิปดา-43 องศา 39
ลิปดาใต้และมีเส้นทรอปิกออฟแคบริคอร์น(ละติจูด23องศา 30 ลิปดาใต้)
ลากผ่านเกือบกึ่งกลางของประเทศทาให้มีลัหษณะภูมิอากาศแบบร้อนและอบอุ่นเท่านั้น
โดยไม่มีภูมิอากาศที่หนาวเย็นแบบขั้วโลกปรากฏอยู่เลย
4.2 ทิศทางลมประจาได้แก่
4.2.1 ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้
พัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าสูงฝั่งตะวันออกทาให้มีฝนตกตามแนวชายฝั่งและเป็นลมที่พัดทั้งปี
จึงทาให้เขตนี้มีฝนตกชุกตลอดปี
4.2.2 ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือเป็นลมที่พัดในช่วงฤดูร้อนจากทะเลติมอร์และทะเลอาราฟูรา
ทาให้มีฝนตกตามแนวชายฝั่งตอนเหนือ
4.2.3 ลมตะวันตกเฉียงใต้ พัดจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้
ทาให้ปรากฏฝนตกชุกในบริเวณนี้ช่วงฤดูหนาว
4.3 การวางตัวของเทือกเขาทางด้านตะวันออกมีเทือกเขาเกรตดิไวดิงวางตัวยาวขนานไปกับชายฝั่งในแนวเหนือ-ใต้
ทาให้ขวางทิศทางลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ จึงทาให้เกิดฝนตกหนักบริเวณหน้าเขาและมีฝนน้อยด้านหลังเขา
4.4 ความใกล้-ไกลทะเลพิจารณาความกว้างในแนวเหนือ-ใต้มีระยะทางถึงประมาณ2,500กิโลเมตร
และมีความกว้างในแนวตะวันออกตะวันตกถึงประมาณ 4,000กิโลเมตร
เงื่อนไขทางแผ่นดินดังกล่าวทาให้พื้นที่ด้านในเกิดภาวะอากาศแล้งและดินแห้ง
รวมทั้งมีทะเลทรายปรากฏอยู่หลายแห่งเนื่องจากมีเส้นรุ้งม้าผ่าน(ละติจูด 30องศาได้)ทาให้มีลมพัดจากแผ่นดินสู่ทะเล
- 4. 4.5 กระแสน้าในมหาสมุทร
มีกระแสน้าเย็นออสเตรเลียตะวันตกซึ่งเป็นกระแสน้าเย็นแถบขั้วโลกใต้ไหลเลียบชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียขึ้นมาด้านเห
นือ ทาให้ชายฝั่งแถบนี้มีอุณหภูมิและความชื้นลดต่าลงกว่าปกติ
ขณะที่ชายฝั่งด้านเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีกระแสน้าอุ่นศูนย์สูตรใต้
และด้านชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีกระเสน้าอุ่นออสเตรเลียตะวันออกไหลเลียบชายฝั่งทาให้มีอุณหภูมิและความชื้นเพิ่มขึ้น
ปัจจัยสาคัญที่ทาให้ทวีปออสเตรเลียมีภูมิอากาศต่างๆกันคือตั้งอยู่ในโซนร้อนใต้และอบอุ่นใต้ มีลมประจาพัดผ่าน
ลักษณะภูมิประเทศและมีกระแสน้าอุ่นและกระแสน้าเย็นไหลผ่าน
ลักษณะภูมิอากาศของประเทศออสเตรเลียจาแนกได้เป็น6เขต ดังนี้
1. ภูมิอากาศแบบร้อนชื้นฝนชุกหรือ ภูมิอากาศแบบชื้นและร้อน-มีฝนตกหนักฤดูร้อน(Tropical-wetsummers)ได้แก่
พื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลักษณะอากาศในช่วงฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงกว่า 27องศาเซลเซียส
เนื่องจากอยู่ในเขตละติจูดต่ากว่าเส้น
ทรอปิกออฟแคปริคอร์นมีฝนตกหนักคือมากกว่า 1,000มิลลิเมตร
เนื่องจากจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือที่มีความชื้นสูงเนื่องจากอยู่ติดชายฝั่งทะเล
ลักษณะภูมิอากาศทาให้ปรากฏพืชพรรณเป็นป่าไม้เขตร้อนและทุ่งหญ้าสะวันนา
2. ภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนชื้นหรือ ภูมิอากาศแบบกึ่งร้อน-มีฝนตกหนักฤดูร้อน(Subtropical-wetsummers)ได้แก่
พื้นที่ด้านตะวันออกของประเทศลักษณะอากาศในช่วงฤดูร้อนมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงเฉลี่ยสูงกว่า 21องศาเซลเซียส
เนื่องจากอยู่ในละติจูดเหนือเส้น
ทรอปิกออฟแคบริคอร์นเล็กน้อยมีฝนตกหนักมากกว่า1,000มิลลิเมตรเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะภูมิอากาศทาให้ปรากฏพืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าไม้เขตร้อนและเขตอบอุ่น
3. ภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น หรือ ภูมิอากาศแบบอบอุ่น-ฝนตกสม่าเสมอ(Temperate-uniformrainfall)ได้แก่
พื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศและตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแทสเมเนียในฤดูร้อนอุณหภูมิจะต่ากว่า18
องศาเซลเซียสถือเป็นอากาศอบอุ่นมีปริมาณฝนระหว่าง500-1,000มิลลิเมตรถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง
ลักษณะภูมิอากาศทาให้ปรากฏพืชพรรณเป็นป่าไม้เขตอบอุ่น
4. ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนหรือลักษณะอากาศแบบอบอุ่น-ฝนตกฤดูหนาว(Temperate-westwinters)ได้แก่
พื้นที่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ ด้านใต้ค่อนไปทางตะวันออกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะแทสเมเนีย
ลักษณะอากาศในฤดูหนาวมีอากาศอบอุ่นถึงหนาวโดยมีอุณหภูมิต่ากว่า9องศาเซลเซียสเนื่องจากอยู่ในละติจูดสูง
มีปริมาณฝนเฉลี่ยมากกว่า500มิลลิเมตรเนื่องจากได้รับอิทธิพลของลม
ตะวันตกเฉียงใต้
5. ภูมิอากาศแบบทะเลทรายหรือภูมิอากาศกึ่งร้อน-แห้งแล้ง(Subtropical-arid)ได้แก่
พื้นที่ตอนกลางและพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศเป็นลักษณะอากาศที่ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าอากาศลักษณะอื่นๆ
ฤดูร้อนอุณหภูมิสูงกว่า33องศาเซลเซียสฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยต่ากว่า 18องศาเซลเซียส
ขณะที่ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีน้อยกว่า 250มิลลิเมตรซึงลักษณะดังกล่าวจัดเป็น“ภูมิอากาศแบบทะเลทราย”
ลักษณะของภูมิอากาศทาให้ปรากฏพืชพรรณธรรมชาติแบบทะเลทราย
6. ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายหรือภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนถึงอบอุ่น-แห้งแล้ง(Subtropical/Warm
temperate-arid)ได้แก่
พื้นที่ตอนใต้ของประเทศที่เชื่อมต่อกับเขตทะเลทรายในฤดูร้อนอากาศจะร้อนมากโดยมีอุณหภูมิสูงกว่า30องศาเซลเซียส
- 5. ฤดูหนาวอากาศอบอุ่นถึงหนาวโดยมีอุณหภูมิต่ากว่า 12องศาเซลเซียสขณะที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง250-500
มิลลิเมตรลักษณะอากาศทาให้ปรากฏพืชพรรณธรรมชาติเป็นทุ่งหญ้าสั้นๆหรือทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายทุ่งหญ้าสเตปป์
ลักษณะเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา ประชากร สังคมและ วัฒนธรรมของทวีปออสเตรเลีย
ภาษา
ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการทั้งออสเตรเลีย
ศาสนา
ชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์โรมันคาทอลิกและแองกลิกัน
ชาวพื้นเมืองนับถือผีสางเทวดา
ออสเตรเลียไม่มีศาสนาประจาชาติจากการสารวจสามะโนครัวประชากรประมาณ12.6ล้านคน(64%)
ประกาศตัวเป็นคริสเตียนในจานวนนี้5.1ล้านคน(26%) เป็นคาทอลิกและ 3.7 ล้านคน(19%) เป็นแองกลิกันประชากร3.7
ล้านคนถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม่นับถือศาสนาซึ่งรวมถึงแนวความเชื่อแบบมนุษยนิยมอเทวนิยมอไญยนิยมและเหตุผลนิยม
ประชากรเกือบหนึ่งล้านคน(5%)นับถือศาสนาอื่นๆซึ่งรวมศาสนาพุทธศาสนาอิสลามศาสนาฮินดูและศาสนาเชน
อย่างไรก็ตามมีประชากรเพียง1.5ล้านคน(7.5%) ที่เข้าโบสถ์เป็นประจาทุกสัปดาห์
ประชากร
เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของออสเตรเลียชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นพวกผิวดาเรียก
อะบอริจินส์เป็นพวกที่อพยพมาจากหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันตกปัจจุบันมี
ชาวผิวขาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษอาศัยอยู่จานวนมากรัฐบาลได้จัดที่อยู่ในเขตนอร์ทเทิร์นเทริทอรี่ รัฐควีนสแลนด์
และรัฐออสเตรเลียตะวันตกพวกผิวเหลืองเป็นพวกที่อพยพมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2ได้แก่ ชาวจีนญี่ปุ่นพวกผิวขาว
ส่วนใหญ่เป็นพวกที่อพยพมาจากประเทศอังกฤษมีการประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรคือปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์การประมง
และอุตสาหกรรม
ประชากรและเชื้อชาติ
ประชากรประมาณ12.6ล้านคน เชื่อกันว่าชาวอะบอริจินบนทวีปออสเตรเลียล่องเรือมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และมาถึงทวีปออสเตรเลียในระหว่างยุคน้าแข็งครั้งสุดท้ายอย่างน้อยเป็นเวลา 50,000ปีมาช่วง
เวลาที่ชาวยุโรปค้นพบทวีปออสเตรเลียและเข้ามาตั้งถิ่นฐานนั้นมีชาวอะบอริจินถึงหนึ่งล้านคนอาศัยอยู่ทั่วทั้งทวีปมาก่อนแล้ว
โดยยังชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่าชาวอะบอริจินเหล่านั้นกระจัดกระจายกันอยู่ใน 300เผ่ามีภาษาพูดแตกต่างกันถึง
250 ภาษาและอีก 700 ภาษาถิ่น ชาวอะบอริจินแต่ละเผ่ามีความผูกพันทางจิตใจกับผืนแผ่นดินเฉพาะแห่ง
แต่ก็เดินทางอย่างกว้างขวางเพื่อทาการค้าหาแหล่งน้าและพืชผลตามฤดูกาล
และเพื่อเข้าร่วมชุมนุมในพิธีกรรมและพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อังกฤษแผ่อานาจมาถึงทวีปออสเตรเลียและใช้เป็นที่อาศัยของนักโทษในศตวรรษที่17
นักสารวจชาวยุโรปจานวนหนึ่งได้ล่องเรือเลียบชายฝั่งของออสเตรเลียซึ่งในขณะนั้นเรียกกันว่านิวฮอลแลนด์ อย่างไรก็ตาม
เมื่อถึงปี 1770 กัปตัน JamesCook ได้อ้างสิทธิครอบครองชายฝั่งตะวันออกนี้เพื่อประเทศอังกฤษ
ดินแดนห่างไกลที่ค้นพบใหม่นี้ถูกใช้เป็นอาณานิคมสาหรับการลงโทษผู้กระทาผิดวันที่26มกราคม1788
กองเรือที่หนึ่งซึ่งมีจานวน11 ลาได้ขนผู้โดยสารมาถึงท่าเรือซิดนีย์จานวน1,500คนโดยครึ่งหนึ่งเป็นนักโทษ
จวบจนกระทั่งการขนส่งนักโทษสิ้นสุดลงในปี 1868มีนักโทษชายหญิงเดินทางมาถึงออสเตรเลียจานวน160,000คน
การค้นพบทองคาในรัฐเซาท์ออสเตรเลียและตอนกลางของรัฐวิกตอเรียในปี 1851
ดึงดูดชายหนุ่มหลายพันคนและหญิงสาวจานวนหนึ่งที่รักการผจญภัยจากดินแดนอาณานิคมต่างๆให้หลั่งไหลเข้ามา
- 9. ทาให้เริ่มมีการทาแผนที่ชายฝั่งตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1642นักเดินเรือชาวฮอลันดาชื่อ อเบล
แทสมัน ได้เดินเรือจากมหาสมุทรอินเดียอ้อมไปทางใต้ของออสเตรลียจนพบเกาะซึ่งเขาเรียกชื่อว่า เกาะแวนดีเมนVan
Diemen'sLandต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเกาะแทสมาเนียเพื่อเป็นเกียรติแก่ อเบลแทสมัน
และเรียกดินแดนที่ค้นพบนี้ว่า“นิวฮอลแลนด์”New
Holland แต่ขณะนั้นยังไม่มีความตั้งใจที่จะประกาศยึดครองดินแดนดังกล่าวต่อมาในปีเดียวกันนักสารวจชาวสเปน
ชื่อ หลุยส์วาเอซเดอทอเรส LuisVaez de Torres
ได้เดินเรือผ่านช่องแคบระหว่างออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี จึงเรียกบริเวณนี้ว่า“ช่องแคบทอเรส”
จากนั้นในปี ค.ศ.1688 วิลเลียมแดมเปียร์ WilliamDampierเป็นนักเดินเรือชาวอังกฤษคนแรกที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน
บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียโดยเขียนชื่อไว้บนสังกะสีตอกติดไว้บนต้นไม้
เพราะพบคนพื้นเมืองแสดงอาการเป็นศัตรูและสภาพภูมิอากาศแห้งแล้งจึงไม่สนใจต่อมาในปี ค.ศ.1770 กัปตันเจมส์
คุก JamesCook ชาวอังกฤษได้ล่องเรือมาสารวจและได้จัดทาแผนที่ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย
เห็นสภาพภูมิอากาศคล้ายแคว้นเวลส์ของสหราชอาณาจักรจึงได้ตั้งชื่อดินแดนแถบนั้นว่า “นิวเซาท์เวลส์” NewSouthWales
พร้อมกันนั้นได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรแล้วยึดครองออสเตรเลียเป็นอาณานิคม
กัปตันเจมส์ คุกJamesCook
สาเหตุที่รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจส่งนักโทษมาตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลียเนื่องจาก
อังกฤษได้สูญเสียอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือและต้องการระบายนักโทษที่แออัดอยู่ในคุกของประเทศอังกฤษ
โดยกัปตันอาเธอร์ฟิลลิปArthur Philipเป็นผู้ควบคุมนักโทษกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงอ่าวซิดนีย์เมื่อวันที่18 มกราคม ค.ศ.
1788 และได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานถาวรบริเวณอ่าว พอร์ตแจคสัน แล้วตั้งชื่อว่าซิดนีย์โคฟในวันที่26 มกราคม
1788 (ถือเป็นวันชาติออสเตรเลีย)นับเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลียของชาวอังกฤษ
ผู้ตั้งถิ่นฐานในยุคแรกส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษและครอบครัวของทหารแล้ว
อีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ที่ตั้งใจย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ซึ่งรวมถึงชนชาติอื่นๆอาทิ อิตาเลียนกรีกและชาวยุโรปชาติอื่นๆ
ตลอดจนชาวเอเชียอาทิ จีนมาเลเซียอินโดนีเซีย เป็นต้นโดยเริ่มตั้งถิ่นฐานครั้งแรกบริเวณอ่าวโบตานีเมืองซิดนีย์ในปัจจุบัน
ต่อมามีการค้นพบทองคาในปี ค.ศ. 1800 จัดว่าเป็นยุค"ตื่นทอง" Gold rush
- 10. ส่งผลให้ผู้ที่มิใช่นักโทษอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลียมากขึ้นเรื่อยๆโดยกลุ่มคนที่มามีทั้งชาวอังกฤษไอร์แลนด์
เยอรมันจีนนอกจากนี้ยังมีชาวแอฟริกันอพยพเข้ามาและมีการนาอูฐเข้ามาด้วยเพื่อออกสารวจในพื้นที่ภายในทวีป
ปรากฏว่าช่วงระยะเวลาเพียง10ปี ระหว่างค.ศ.1853-1863 ประชากรในอาณานิคมวิตอเรียเพิ่มขึ้นจาก 77,000
คนเป็น 540,000คนผลของการตื่นทองเป็นเหตุให้มีผู้คนอพยพเข้าไปในออสเตรเลียเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะชาวจีน
ได้เดินทางเข้าไปแสวงโชคหางานทาชาวอาณานิคมที่เป็นชาวผิวขาวเริ่มวิตกกังวลและตั้งข้อรังเกียจชาวจีนที่เข้ามาแย่งอาชีพ
รัฐบาลของออสเตรเลียจึงได้ใช้นโยบายออสเตรเลียขาว Whiteaustralianpolicyเพื่อจากัดคนที่ไม่ใช่ผิวขาวเข้าเมือง
โดยพาะชาวจีน
การตั้งถิ่นฐานบนเกาะแทสเมเนียหรือชื่อที่เรียกในขณะนั้นคือแวนไดเมนส์แลนด์VanDiemen'sLandซึ่งต่อมาในปี ค.ศ.
1825 แยกออกมาเป็นอีกรัฐหนึ่งชื่อรัฐแทสเมเนียตามชื่อนักเดินเรือ อเบลแจนซูนทัสมัน Abel Janszoon Tasman
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ1850อุตสาหกรรมขนสัตว์การขุดทองการขาดแคลนแรงงาน
แผ่นดินอันกว้างใหญ่สาหรับการเพาะปลูกการทาเหมืองแร่ และการค้าขายได้ทาให้ออสเตรเลียเป็นดินแดนแห่งโอกาส
และเป็นแรงกระตุ้นให้คนจากพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนออสเตรเลียเพิ่มจานวนมากขึ้น
ในปี ค.ศ.1829 สหราชอาณาจักรได้ประกาศยึดครองดินแดนทางฝั่งตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย
และได้แยกดินแดนทางด้านตะวันตกออกจาก นิวเซาท์เวลส์มาเป็นอีกหลายมลรัฐได้แก่ รัฐออสเตรเลียใต้ ในปี ค.ศ.1836
รัฐนี้เรียกว่าเป็นพื้นที่เสรี FreeProvince คือ เป็นรัฐที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรองรับนักโทษPenalColonyรัฐวิคตอเรียในปี
ค.ศ.1851 และรัฐควีนส์แลนด์ในปี ค.ศ.1859 ในส่วนของเขตการปกครองเทอร์ริทอรีเหนือNorthernTerritory ก่อตั้งเมื่อปี
ค.ศ.1911 โดยเป็นส่วนที่ตัดออกมาจากรัฐออสเตรเลียใต้
ในปี ค.ศ.1848 นับเป็นปีแห่งการยุติการขนส่งนักโทษมายังทวีปออสเตรเลีย
เนื่องจากมีการรณรงค์ยกเลิกมาตรการดังกล่าวโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน
ประเทศออสเตรเลียจึงไม่ใช่ดินแดนอาณานิคมของนักโทษอีกต่อไป
ก่อนที่ชนชาติยุโรปจะย้ายถิ่นฐานมาที่ทวีปออสเตรเลียบนทวีปนี้มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่
ซึ่งจานวนประชากรในขณะนั้นคาดว่าประมาณ 315,000คน
แต่วิถีชีวิตของชนพื้นเมืองเหล่านี้ถูกเปลี่ยนไปเมื่ออังกฤษเข้ามายึดครองและประกาศเป็นพื้นที่อาณานิคม
ซึ่งต่อมาทาให้ชนพื้นเมืองมีจานวนลดน้อยลงโดยในช่วงปี ค.ศ.1930จานวนประชากรลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ20
- 11. ของจานวนประชากรเริ่มแรก
สรุปนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1788 มีชายหญิงประมาณ160,000คนที่อพยพไปออสเตรเลียในฐานะเสมือนนักโทษ
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ชนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้เผชิญความยากลาบาก
จากการรุกรานของผู้อพยพที่อ้างสิทธิในฐานะเจ้าอาณานิคมมีการขับไล่ออกจากพื้นที่และการเข้ายึดทรัพย์ในขณะเดียวกัน
ชนพื้นเมืองต้องอยู่อย่างลาบากเจ็บไข้ได้ป่วยและการเสียชีวิตตลอดจนวิถีชีวิตดั้งเดิมและธรรมเนียมปฏิบัติถูกทาลาย
ใน ค.ศ.1914 ออสเตรเลียได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่1ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างมาก
ผู้ชายออสเตรเลียเกือบ3ล้านคนและอาสาสมัครเกือบ400,000คนต้องเข้าร่วมรบในสงคราม
ผลจากสงครามทาให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 60,000คนและได้รับบาดเจ็บหลายหมื่นคน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2กองกาลังของออสเตรเลียมีส่วนสนับสนุนครั้งสาคัญในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับยุโรป
เอเชียและภาคพื้นแปซิฟิกได้เข้าสู้รบในสงครามและได้รับชัยชนะอย่างน่าภาคภูมิใจ
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกเป็นเวลาที่ประเทศไร้เสถียรภาพเศรษฐกิจตกต่า
และสถาบันทางการเงินของออสเตรเลียหลายแห่งล้ม
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองหรือหลังจากปี ค.ศ.1945ออสเตรเลียได้เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง
กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งและเกิดความต้องการแรงงานอย่างมากผู้หญิงจานวนมากเข้าไปทางานในโรงงาน
ขณะที่ผู้ชายที่กลับจากการออกรบในสงครามสามารถเข้ามาทางานต่อได้
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2
ออสเตรเลียมีนโยบายที่ไม่แบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติในระดับสากลและที่นี่จึงเป็นบ้านสาหรับประชาชนที่มาจากกว่า200
ประเทศ
ในช่วงทศวรรษ1950เศรษฐกิจออสเตรเลียพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกิดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ระดับชาติเช่น
SnowyMountains Schemeซึ่งเป็นแผนกาลังไฟฟ้ าพลังน้าตั้งอยู่ในภูเขาบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย
รวมถึงชานเมืองออสเตรเลียก็เริ่มมีความเจริญแผ่ไปถึงทาให้อัตราผู้เป็นเจ้าของบ้านเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 40ในปี
ค.ศ.1947 เป็นร้อยละ70 ในทศวรรษ1960
การพัฒนาอื่นๆรวมถึงการรักษาความปลอดภัยทางสังคมของรัฐบาลและการเริ่มเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์และในปี
ค.ศ.1956เมืองเมลเบิร์นได้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกทาให้ออสเตรเลียได้ส่องแสงประกายไปในระดับนานาชาติ
ช่วงทศวรรษ1960เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของออสเตรเลียโดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967
ชาวออสเตรเลียได้ลงประชามติระดับชาติ
โดยมีคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นให้รัฐบาลแห่งชาติมีอานาจผ่านกฎหมายที่ทาในนามของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย
เพื่อพัฒนาเงื่อนไขความเป็นอยู่ของชาวอะบอริจินและชาวเกาะทอเรส
สเตรท ซึ่งในปัจจุบันจานวนชนพื้นเมืองมีอยู่มากกว่าร้อยละ2ของประชากรทั้งประเทศ
นอกจากนี้รัฐบาลออสเตรเลียได้ดาเนินบทบาทที่สาคัญ
โดยการพยายามสร้างความสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มชนพื้นเมืองและที่มิใช่ชนพื้นเมืองการดาเนินการที่สาคัญคือ
การออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการของรัฐบาลเมื่อวันที่13กุมภาพันธ์ ค.ศ.2008
ในกรณีที่มีการแยกเด็กชาวพื้นเมืองออกจากครอบครัวดั้งเดิมเพื่อต้องการลบล้างวัฒนธรรม
ประเทศออสเตรเลียในปัจจุบันนับเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจการเมืองสังคม
การศึกษาและวัฒนธรรมที่จะเจริญต่อไป