More Related Content More from ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์
More from ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ (20) หลักความเป็นธรรมของกฎหมาย3. 4-3
หน่วยที่ 4
หลักความเป็นธรรมทางกฎหมาย และกฎหมายทรัสต์
เค้าโครงเนื้อหา
ตอนที่ 4.1 หลักความเป็นธรรมทางกฎหมายหรือเอ็คควิตี้
4.1.1 ที่มาและพัฒนาการของเอ็คควิตี้
4.1.2 หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ที่สำคัญ
ตอนที่ 4.2 กฎหมายทรัสต์
4.2.1 ที่มาและความหมายของทรัสต์
4.2.2 หลักกฎหมายทรัสต์
4.2.3 ทรัสต์ในระบบกฎหมายไทย
แนวคิด
1. หลักความเป็นธรรมทางกฎหมายหรือ “เอ็คควิตี้” (Equity) เป็นหลักกฎหมายที่พัฒนา
ในอังกฤษและเวลส์ในยุคกลาง มีที่มาจากคำตัดสินของขุนนางตำแหน่งชานเซลเลอร์เพื่อ
เยียวยาคู่ความในกรณีที่กฎหมายคอมมอนลอว์ไม่สามารถให้การเยียวยาได้เท่าที่ควร ต่อ
มาพัฒนาเป็นหลักเอ็คควิตี้ (Equity) และถูกนำไปใช้ในศาลพิเศษ เรียกว่า “ศาลชาน-
เซอรี” (Court of Chancery) ปัจจุบัน ยังคงมีแนวความคิดและหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ เช่น
วิธีการเยียวยาทางเอ็คควิตี้ (equitable remedies) หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ (equitable
doctrines) ต่างๆ ซึ่งรวมถึงการจัดการทรัพย์สินโดยการจัดตั้งทรัสต์ (Trusts)
2. ทรัสต์ (Trusts) คือ กองทรัพย์สินซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้ง (Settlor) มีทรัสตี
(Trustee) เป็นเจ้าของทรัพย์ตามกฎหมาย และมีหน้าที่จัดการกองทรัพย์สินให้เป็นไป
ตามวัตถุประสงค์ของทรัสต์เพื่อให้ผลประโยชน์ตกแก่ผู้รับประโยชน์ (Benificiary) โดยที่
ทรัสต์เป็นหลักกฎหมายเอ็คควิตี้สาขาหนึ่ง ดังนั้น การจะเข้าใจหลักกฎหมายทรัสต์ได้ดี
จึงควรทำความเข้าใจหลักพื้นฐานและพัฒนาการของเอ็คควิตี้ด้วย
3. นอกจากประเทศอังกฤษและประเทศในกลุ่มที่ใช้กฎหมายคอมมอนลอว์แล้ว ปัจจุบันหลาย
ประเทศในระบบกฎหมายอื่น รวมถึงประเทศไทย นำหลักกฎหมายและระบบการจัดตั้ง
ทรัสต์ไปใช้ในการจัดการทรัพย์สิน โดยอาจมีขอบเขตของกฎหมายและวัตถุประสงค์ใน
การจัดตั้งทรัสต์แตกต่างกันไป
4. 4-4
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักความเป็นธรรมทางกฎหมายหรือเอ็คควิตี้ได้
2. อธิบายและวิเคราะห์เกี่ยวกับกฎหมายทรัสต์ได้
กิจกรรม
1. กิจกรรมการเรียน
1) ศึกษาแผนผังแนวคิดหน่วยที่ 4
2) อ่านแผนการสอนประจำหน่วยที่ 4
3) ทำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 4
4) ศึกษาเนื้อหาสาระ
5) ปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
6) ตรวจสอบกิจกรรมจากแนวตอบ
7) ทำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 4
2. งานที่กำหนดให้ทำ
1) ทำแบบฝึกหัดทุกข้อที่กำหนดให้ทำ
2) อ่านเอกสารเพิ่มเติมจากบรรณานุกรม
แหล่งวิทยาการ
1. สื่อการศึกษา
1) แนวการศึกษาหน่วยที่ 4
2) หนังสือประกอบการสอน
2.1) กิตติศักดิ์ปรกติ(2551)ความเป็นมาและหลักการใช้นิติวิธีในระบบซีวิลลอว์
และคอมมอนลอว์ พิมพ์ครั้งที่ 3 วิญญูชน กรุงเทพมหานคร
2.2) ประชุมโฉมฉายศาสตราจารย์เกียรติคุณดร.(2552)กฎหมายเอกชนเปรียบ
เทียบเบื้องต้น:จารีตโรมันและแองโกลแซกซอนพิมพ์ครั้งที่2โครงการตำรา
และเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5. 4-5
2.3) สุนัยมโนมัยอุดม(2552) ระบบกฎหมายอังกฤษ(EnglishLegalSystem)
พิมพ์ครั้งที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติม โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2.4) GarrySlapperandDavidKelly,(2006)EnglishLaw,2nded.,London,
Routledge-Cavendish.
2. เอกสารอ้างอิงในแนวการศึกษาหน่วยที่ 4
การประเมินผลการเรียน
1. ประเมินผลจากการสัมมนาเสริมและงานที่กำหนดให้ทำในแผนกิจกรรม
2. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจำภาคการศึกษา
7. 4-7
ตอนที่ 4.1
หลักความเป็นธรรมทางกฎหมายหรือเอ็คควิตี้
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่ 14.1 แล้วจึงศึกษาสาระสังเขป พร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
หัวเรื่อง
เรื่องที่ 4.1.1 ที่มาและพัฒนาการของเอ็คควิตี้
เรื่องที่ 4.1.2 หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ที่สำคัญ
แนวคิด
1. หลักความเป็นธรรมทางกฎหมายหรือ “เอ็คควิตี้” (Equity) เป็นหลักกฎหมายที่พัฒนา
ในอังกฤษและเวลส์ในยุคกลาง มีที่มาจากคำตัดสินของขุนนางตำแหน่งชานเซลเลอร์เพื่อ
เยียวยาคู่ความในกรณีที่กฎหมายคอมมอนลอว์ไม่สามารถให้การเยียวยาได้เท่าที่ควร ต่อมา
พัฒนาเป็นหลักเอ็คควิตี้ (Equity) และถูกนำไปใช้ในศาลพิเศษ เรียกว่า “ศาลชานเซอรี”
(Court of Chancery)
2. เอ็คควิตี้มีพัฒนาการมาตามลำดับ โดยระยะแรกเป็นการเสริมเพิ่มเติมหลักคอมมอนลอว์
ต่อมานำมาใช้ร่วมกับคอมมอนลอว์ในศาลต่างๆ ปัจจุบันยังคงมีแนวความคิดและหลัก
กฎหมายที่ใช้อยู่ เช่น วิธีการเยียวยาทางเอ็คควิตี้ (equitable remedies) อาทิ การปฏิบัติ
การบางอย่างโดยเฉพาะ (specific performance) คำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชัน
(injunction) และหลักกฎหมายเอ็คควิตี้ (equitable doctrines) ที่สำคัญ เช่น อำนาจ
ครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม (undue influence) การเก็บ
รักษาความลับ (confidentiality) ตลอดจนการจัดการทรัพย์สินโดยการจัดตั้งทรัสต์
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายที่มาและพัฒนาการของเอ็คควิตี้ได้
2. อธิบายและวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักกฎหมายเอ็คควิตี้ที่สำคัญได้
8. 4-8
เรื่องที่ 4.1.1 ที่มาและพัฒนาการของเอ็คควิตี้
สาระสังเขป
1. ที่มาของเอ็คควิตี้ (Equity)
หลักความเป็นธรรมทางกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “เอ็คควิตี้” (Equity)1 เป็นหลักกฎหมายที่พัฒนา
ในอังกฤษและเวลส์ในยุคกลางเพื่อเยียวยาคู่ความในกรณีที่กฎหมายคอมมอนลอว์ไม่สามารถให้การเยียวยา
ได้เท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น เดิมการฟ้องคดีส่วนมากจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการออกหมาย (writ) อนุญาตให้ฟ้อง
ซึ่งมักเป็นการใช้ภาษาทางกฎหมายที่ซับซ้อน หากมีการใช้ภาษาผิดไปก็ทำให้การฟ้องเสียไปทั้งหมด จึงต้อง
ไปฟ้องใหม่ที่ศาลพิเศษของพระเจ้าแผ่นดินอีกประการหนึ่งการเยียวยาในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์มีแต่
การได้รับค่าสินไหมทดแทนศาลไม่อาจกำหนดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยเช่นการโอนทรัพย์ให้ตลอดจน
การงดเว้นของจำเลย เช่น การไม่ก่อความรำคาญ ให้ได้
ผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความพึงพอใจจึงเลือกไปร้องขอต่อกษัตริย์ให้ช่วยเมื่อเกิดความไม่ยุติธรรมซึ่ง
กษัตริย์ก็มีหน้าที่ต้องช่วยเพราะศาลคอมมอนลอว์ซึ่งเกิดจากการใช้อำนาจปกครองของกษัตริย์ปกติมีขุนนาง
ตำแหน่งลอร์ดชานเซลเลอร์(LordChancellor)คอยดูแลคำร้องที่ยื่นต่อกษัตริย์คำตัดสินของชานเซลเลอร์
เพื่อสร้างความเป็นธรรมดังกล่าวนานปีเข้าก็พัฒนาเป็นหลักเอ็คควิตี้ (Equity) กฎใหม่ในทางเอ็คควิตี้นี้ ถูก
นำไปใช้ในศาลพิเศษแห่งหนึ่ง คือ ศาลของชานเซลเลอร์ (The Chancellor’s Court) ซึ่งบางที่เรียกว่า “ศาล
ชานเซอรี” (Court of Chancery)
2. การพัฒนาหลักเอ็คควิตี้ในศาลชานเซอรี
การใช้หลักเอ็คควิตี้ในศาลชานเซอรี ในช่วงศตวรรษที่ 18 แม้จะเป็นดุลพินิจของชานเซลเลอร์ที่จะ
นำมาใช้เพื่อเยียวยาแก้ไขความไม่เป็นธรรม แต่ก็เริ่มเป็นระบบมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และมีลักษณะไปใน
ทางที่เสริมหรือเพิ่มเติมกฎหมายคอมมอนลอว์มากกว่าจะเป็นการแก้ไขตัวกฎหมายคอมมอนลอว์ ตัวอย่าง
กฎหมายคอมมอนลอว์ที่มีกฎหมายเอ็คควิตี้เข้ามาเสริมมาก ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สิน รองลงมา
คือ กฎหมายละเมิด
1 “Equity” เป็นหลักกฎหมายที่เดิมแยกออกจากคอมมอนลอว์ มีขึ้นเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของคอมมอนลอว์ แต่ปัจจุบัน
นับว่ารวมอยู่ในคอมมอนลอว์ เพราะมีการรวมศาลเอ็คควิตี้เข้ากับศาลคอมมอนลอว์ หลักเอ็คควิตี้จึงกลายเป็นหลักที่ประกอบเป็นส่วน
หนึ่งของคอมมอนลอว์ หลักเอ็คควิตี้เคยมีผู้เรียกชื่ออย่างอื่น คือ “หลักความเป็นธรรม” และบางท่านใช้ทับศัพท์ว่า “Equity” อย่างไร
ก็ดี เนื่องจากตำราที่ใช้อ้างอิงในแนวการสอนนี้ใช้ทับศัพท์คำอ่านภาษาอังกฤษว่า “เอ็คควิตี้” เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ในเนื้อหาจึงขอใช้
วิธีการทับศัพท์คำอ่านภาษาอังกฤษว่า “เอ็คควิตี้” เช่นเดียวกับในตำราที่ใช้อ้างอิง
9. 4-9
ในส่วนของอำนาจศาลชานเซอรีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งไม่มีในกฎหมายคอมมอนลอว์ที่สำคัญได้แก่
ทรัสต์ การแยกทรัพย์สินของหญิงที่สมรสแล้ว การจำนอง และการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญา
3. การปฏิรูปกฎหมายคอมมอนลอว์และเอ็คควิตี้
ระหว่างปีค.ศ.1830และ1860ได้มีการปฏิรูปวิธีพิจารณาในศาลคอมมอนลอว์และเอ็คควิตี้ให้เป็น
แนวเดียวกันและเป็นพื้นฐานในการปฏิรูปทางศาลให้การพิจารณาโดยใช้กฎหมายคอมมอนลอว์และเอ็คควิตี้
อยู่ในศาลเดียวกันในเวลาต่อมาก่อนปีค.ศ.1875ศาลคอมมอนลอว์สามารถรับฟังข้อต่อสู้ทางเอ็คควิตี้และ
พิพากษาให้การเยียวยาตามกฎหมายเอ็คควิตี้ และให้ศาลเอ็คควิตี้พิจารณาคดีตามกฎหมายคอมมอนลอว์
ซึ่งรวมถึงการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วย
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติ The Judicature Acts, 1873–1875 ให้จัดตั้งศาลสูง (High
Court) ขึ้นศาลเดียวมีอำนาจพิจารณาคดีต่างๆ ทั้งตามกฎหมายคอมมอนลอว์และเอ็คควิตี้ ในศาลสูงนี้ได้
แบ่งงานของศาลออกเป็น 5 แผนก หนึ่งในนั้น คือ แผนกชานเซอรี (Chancery Division) ซึ่งนอกจากจะ
มีอำนาจพิจารณาคดีตามที่กฎหมายต่างๆ กำหนดไว้แล้ว ยังมีอำนาจพิจารณาคดีเช่นเดียวกับศาลแผนก
อื่น ในคดีที่อาจฟ้องร้องตามกฎหมายคอมมอนลอว์แต่โจทก์ประสงค์จะขอเยียวยาตามกฎหมายเอ็คควิตี้
ได้แก่ การขอหมายอินจังชัน (injunction) (หรือคำสั่งให้ร่วมมือ) และขอให้กระทำการบางอย่าง (specific
performance)
การรวมคดีคอมมอนลอว์และเอ็คควิตี้มาพิจารณาในคดีเดียวกันนี้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
มากนัก เพราะการมีกฎหมายเอ็คควิตี้ก็เพื่อเสริมกฎหมายคอมมอนลอว์ให้สมบูรณ์ มิได้มีวัตถุประสงค์
เป็นการขัดกับกฎหมายคอมมอนลอว์แต่อย่างใด ตัวอย่างคดีที่เกี่ยวกับทรัสต์ ตามคอมมอนลอว์ นาย ก.
ถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่นาย ก. อาจถือครองที่ดินดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของนาย ข. ได้ อย่างไรก็ดี
อาจมีกรณีที่ขัดแย้งกันบ้างแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเช่นกรณีการขอให้ออกหมายอินจังชัน(injunction)ซึ่ง
ไม่เป็นที่ยอมรับในกฎหมายคอมมอนลอว์
4. การใช้หลักเอ็คควิตี้ในปัจจุบัน
ในประเทศอังกฤษปัจจุบัน ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่งตามลำดับชั้นศาล ได้แก่
1) ศาลสูงสุด ได้แก่ สภาขุนนาง (House of Lords)
2) ศาลสูงชั้นกลาง ตามพระราชบัญญัติ The Supreme Court of Judicature Act 1873, 1875
บัญญัติให้จัดตั้งศาลสูงขึ้น คือ Supreme Court of Judicature ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ศาลสูง (The
High Court of Justice) และศาลอุทธรณ์ (The Court of Appeal)
3) ศาลชั้นล่างได้แก่ศาลเคาน์ตีคอร์ท(CountyCourts)และศาลมาจิสเตรทส์คอร์ท(Magistrates
Courts)
ในศาลแต่ละระดับดังกล่าวยังคงมีการพิจารณาเกี่ยวกับคดีเอ็คควิตี้หรือใช้หลักกฎหมายเอ็คควิตี้
ที่เกี่ยวข้องอยู่ แล้วแต่กรณี เพื่อสร้างความเป็นธรรมเคียงคู่กับหลักกฎหมายคอมมอนลอว์ ซึ่งรัฐสภาได้
10. 4-10
ออกกฎหมายรับรองหลักกฎหมายทั้งสอง แต่หลักเอ็คควิตี้ที่จะบังคับได้นั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของหลักกฎหมายตามคำพิพากษา (precedent) ไป มิได้เป็นหลักที่เกิดจากเหตุผลทางจริยธรรมล้วนๆ อีก
ในขณะที่นักวิชาการบางท่าน (Worthington) เห็นว่า ในปัจจุบันได้เข้าสู่ช่วงที่เอ็คควิตี้และคอมมอนลอว์
ได้บูรณาการกันแล้วโดยสมบูรณ์ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้น คือ โดยหลักหากหลักเอ็คควิตี้และคอมมอนลอว์
ขัดแย้งกัน พระราชบัญญัติ The Judicature Acts, 1873 (หรือปัจจุบัน คือ มาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติ
The Supreme Court Act 1981) บัญญัติว่า ในกรณีดังกล่าวให้ใช้หลักเอ็คควิตี้ อย่างไรก็ดี ในบางกรณีที่
หากใช้หลักเอ็คควิตี้อาจไม่เกิดความเป็นธรรม ศาลก็อาจใช้หลักคอมมอนลอว์ได้เช่นกัน2
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดในหนังสือความเป็นมาและหลักการใช้นิติวิธี ในระบบซีวิลลอว์และ
คอมมอนลอว์ บทที่ 3 โดยกิตติศักดิ์ ปรกติ ; หนังสือระบบกฎหมายอังกฤษ (English Legal System)
บทที่ 8 บทที่ 13 บทที่ 14 และบทที่ 16 โดยสุนัย มโนมัยอุดม ; และหนังสือ English Law, “Chapter 10:
The Law of Equity and Trust” by Garry Slapper and David Kelly)
กิจกรรม 4.1.1
อำนาจของศาลชานเซอรีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งไม่มีในกฎหมายคอมมอนลอว์ ที่สำคัญได้แก่
เรื่องใดบ้าง
2 ตัวอย่างเช่น บ้านที่ภรรยาอยู่อาศัยเป็นของสามี (นายเอ) ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกับบุคคลอื่น ต่อมาต้องถูกบังคับให้โอนบ้าน
ให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นการสั่งให้ปฏิบัติการบางอย่างโดยเฉพาะ (specific performance) ตามหลักเอ็คควิตี้ (เนื่องจากการเยียวยาตามหลัก
คอมมอนลอว์ คือ การชดใช้ค่าเสียหาย (damages) จะไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ซื้อบ้าน ที่ประสงค์จะได้บ้านมากกว่าจะได้เงิน) แต่
ในขณะนั้นภรรยาของนายเอ กำลังป่วยและอยู่ในความยากลำบากเพราะสามีติดคุก หากศาลบังคับให้มีการขายบ้านตามหลักเอ็คควิตี้
ก็จะเป็นการสร้างความทุกข์ยาก (hardship) ให้แก่ภรรยาของนายเอเป็นอย่างมาก ซึ่งในคดีดังกล่าว ศาลเห็นว่า “การสร้างความทุกข์
ยากให้แก่บุคคลถือเป็นความอยุติธรรม – hardship amounting to injustice” ศาลจึงไม่บังคับการเยียวยาตามหลักเอ็คควิตี้ คือ
การให้โอนบ้านให้แก่ผู้ซื้อ แต่ให้ใช้การเยียวยาตามหลักคอมมอนลอว์ คือ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย แทน (สรุปความจากคดี Patel v.
Ali [1984] Ch 283 อ้างถึงใน John Duddington, “Chapter 1 : Nature of Equity”, Essentials of Equity and Trusts Law,
Harlow, Pearson Education, 2006, pp. 3-5)
12. 4-12
เรื่องที่ 4.1.2 หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ที่สำคัญ
สาระสังเขป
ในปัจจุบัน ยังคงมีการใช้หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ในกฎหมายของประเทศอังกฤษและประเทศที่ใช้
กฎหมายคอมมอนลอว์ โดยเฉพาะในเรื่องทรัสต์3 และหลักกฎหมายเอ็คควิตี้ (equitable doctrines) ใน
เรื่องอื่น เช่น สัญญา ละเมิด นอกจากนั้น ยังมีวิธีการเยียวยาทางเอ็คควิตี้ (equitable remedies) ที่นำมา
ใช้เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่คู่ความ
สำหรับรายละเอียดของกฎหมายทรัสต์ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่จะขอนำไปกล่าวในตอนที่4.2ในส่วนนี้จะ
กล่าวเฉพาะหลักกฎหมายเอ็คควิตี้อื่นที่สำคัญและยังคงมีบทบาทในปัจจุบันได้แก่อำนาจครอบงำผิดคลอง
ธรรม4 หรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม5 (undueinfluence)และการเก็บรักษาความลับ(confidentiality)
ตลอดจนการเยียวยาทางเอ็คควิตี้(equitableremedies)เช่นการปฏิบัติการบางอย่างโดยเฉพาะ(specific
performance)คำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชัน(injunction)การแก้ให้ถูกต้อง(rectification)และการ
เลิกสัญญาแล้วกลับคืนสู่ฐานะเดิม (rescission)
1. หลักกฎหมายเอ็คควิตี้ (Equitable Doctrines)
ในการนำเอ็คควิตี้มาใช้มีการพัฒนาหลักทฤษฎีกฎหมายทางเอ็คควิตี้ขึ้นหลายประการเช่นหลักการ
ไถ่ถอนจำนองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ดินและอื่นๆ6 ในที่นี้จะนำทฤษฎีทางเอ็คควิตี้ซึ่งได้รับการพัฒนา
ขึ้นและยังคงมีบทบาทสำคัญมาจนถึงปัจจุบันมาเป็นตัวอย่าง2เรื่องได้แก่อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือ
การใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม (undue influence) และการเก็บรักษาความลับ (confidentiality)
3 ในประเทศที่อยู่ในระบบประมวลกฎหมาย (civil law) บางประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และในระบบกฎหมายอื่น เช่น
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน มีการนำหลักกฎหมายเอ็คควิตี้ เช่น ทรัสต์ ไปใช้โดยออกเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเช่น
กัน (http://en.wikipedia.org/wiki/Trust_law_in_Civil_law_jurisdictions)
4 ตามคำแปลที่ปรากฏใน “ศัพท์นิติศาสตร์ อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน” (2541)
5 ตามคำแปลที่นักวิชาการ เช่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พินัย ณ นคร ใช้ในบทความ
6 ทฤษฎีทางเอ็คควิตี้อื่นๆ เช่น หลัก “conversion” ได้แก่ การถือว่าเงินที่จะใช้ในการซื้อที่ดินถือเป็นที่ดิน หรือที่ดินที่ประสงค์
จะขายแต่ยังมิได้ขายถือเป็นเงินจากการขายที่ดินนั้น หรือหลัก “election” ได้แก่ สิทธิในการเลือก เช่น เมื่อนาย ก. ได้รับแจกันโบราณ
ติดมากับโต๊ะโบราณที่นาย ข. ได้มอบให้ ซึ่งเกิดจากความผิดพลาด ในขณะที่นาย ข. ก็ตกลงมอบแจกันโบราณนั้นให้แก่ นาย ค. แล้ว
นาย ก. ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกได้ว่าจะมอบแจกันให้กับนาย ค. หรือเก็บแจกันนั้นไว้โดยมอบโต๊ะไปแทน หรือหลัก “satisfaction” ได้แก่
การที่บุคคลมีหนี้ตามกฎหมายที่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในการชำระหนี้ได้กระทำการต่างออกไป หากผู้กระทำมีเจตนาที่จะ
ชำระหนี้ ก็ถือว่าได้มีการปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว เป็นต้น (ผู้สนใจศึกษารายละเอียดได้ใน John Duddington, “Chapter 1 : Nature
of Equity”, Essentials of Equity and Trusts Law, Harlow, Pearson Education, 2006, pp. 3-5)
13. 4-13
1.1 อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม (Undue Influence) อำนาจ
ครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม (undue influence) เป็นหลักเอ็คควิตี้ที่มาขยาย
ขอบเขตของการข่มขู่ตามหลักคอมมอนลอว์ เนื่องจากในระยะแรกหลักเรื่องการข่มขู่ใช้ได้เฉพาะการข่มขู่ว่า
จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงสร้างหลัก อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม
หรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรมขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างของกฎหมาย
อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม เป็นเรื่องที่ยากจะนิยามความ
หมายให้ชัดเจนได้ แต่โดยเนื้อหาสาระแล้วมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองบุคคลที่อ่อนแอมิให้ถูกหาประโยชน์
จากบุคคลอื่น ในการพิจารณาว่ามีการครอบงำอย่างผิดคลองธรรมหรือไม่ จะดูที่ลักษณะของการเข้าสร้าง
ความผูกพัน หรือเจตนาในการเข้าสร้างความผูกพัน มากกว่าจะดูว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นรู้ตัวว่าตนได้กระทำ
การอย่างใดหรือไม่ หรือที่กล่าวว่า อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมใน
ทางขั้นตอนของการกระทำ มากกว่าจะเกี่ยวกับความเป็นธรรมในทางเนื้อหาสาระ
ตัวอย่างเช่น นางเอฟ เศรษฐีนีสูงอายุซึ่งคุ้นเคยและเชื่อถือคำแนะนำของนายที เจ้าหน้าที่บัญชีของ
เธอเป็นอย่างมากได้พูดคุยกับนายทีว่าเธอประสงค์จะที่จะทำพินัยกรรมแต่ไม่ทราบว่าจะยกทรัพย์สินให้กับผู้
ใดในการสนทนากันหลายครั้งนายทีค่อยๆเกลี้ยกล่อมชักจูงจนเธอยกทรัพย์สินจำนวนมากให้เขาในกรณี
นี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการข่มขู่หรือกระทำการอันเป็นความผิดแต่อย่างใดอย่างไรก็ดีจะมองเห็นว่านาย
ที อยู่ในฐานะที่มีอิทธิพลบางประการต่อนางเอฟ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการยากที่จะวินิจฉัยได้ในทันทีเหมือน
กับการพิจารณาว่ามีการข่มขู่หรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นโดยใช้ระยะเวลา
ในคดีRoyalBankofScotlandv.Etridge(1997)7 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจะวินิจฉัยว่ามีการใช้อำนาจ
ครอบงำผิดคลองธรรม ต่อเมื่อบุคคลฝ่ายหนึ่งได้กระทำการที่ไม่เป็นธรรมเพื่อแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ
ที่จะชี้แนวทางให้อีกบุคคลหนึ่งกระทำการ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหล่านั้น
(... undue influence ‘is brought into play whenever one party has acted unconscionably in
exploiting the power to direct of another which is derived from the relationship between
them’...)
อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรมอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
ได้แก่
ประเภทที่ 1 อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรมตามความ
เป็นจริงหรือโดยชัดแจ้ง (actual (or express) undue influence) คือ มีการขู่เข็ญกันจริงๆ เช่น การที่บิดาถูก
ธนาคารเรียกร้องให้จำนองทรัพย์สิน มิเช่นนั้นธนาคารนั้นจะฟ้องคดีบุตรชายในฐานปลอมลายมือชื่อบิดา ซึ่ง
บิดาก็จำต้องยินยอมเพื่อป้องกันมิให้บุตรชายของตนต้องถูกธนาคารฟ้องคดี และ
ประเภทที่ 2 อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรมโดย
ข้อสันนิษฐาน (presumed undue influence) ซึ่งประเภทที่ 2 ยังแยกย่อยเป็นอีก 2 ประเภท คือ อำนาจครอบงำ
7 Royal Bank of Scotland v. Etridge [1997] All ER 628.
14. 4-14
ผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลซึ่งเกิดจากหน้าที่ในการดูแลหรือรักษาผลประโยชน์ เช่น กรณีผู้ปกครองกับ
เด็กแพทย์กับคนไข้ทนายความกับลูกความทรัสตีกับผู้รับประโยชน์และอีกประเภทหนึ่งคืออำนาจครอบงำ
ผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรมที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจหรือการเก็บรักษาความลับของ
อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์พิเศษ เช่น ภรรยากับสามี
คู่สัญญาที่ทำขึ้นโดยเหตุที่มีการใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือการใช้อิทธิพลอันไม่เป็นธรรม
มีผลตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่เสียหายจึงอาจบอกล้างสัญญาหรือให้สัตยาบันได้8
1.2 การเก็บรักษาความลับ (Confidentiality)
การเก็บรักษาความลับ (confidentiality) เป็นหลักการที่เกิดจากเอ็คควิตี้เพื่อคุ้มครองความลับ
มิให้ถูกเปิดเผยซึ่งในปัจจุบันสามารถพบได้ในกฎหมายอื่นๆโดยเฉพาะหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับทั้งที่
เป็นการกำหนดโดยชัดแจ้งและปริยายตามข้อตกลงของสัญญา นอกจากนั้นยังมีได้ในกรณีที่ไม่มีข้อสัญญา
ด้วย ดังที่กล่าวในคดี Stephen v. Avery (1988) ว่า หลักการพื้นฐานของการแทรกแซงทางเอ็คควิตี้เพื่อ
คุ้มครองการเก็บรักษาความลับ ได้แก่ การที่ถือว่า “เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในการที่บุคคลซึ่งได้ล่วงรู้ข้อมูล
(อันเป็นความลับ) ของบุคคลอื่น...แล้วต่อมาจะเปิดเผยข้อมูลนั้น”
ดังนั้น การไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับอาจถือเป็นการละเมิด และนอกจากนี้ยัง
เป็นการละเมิดต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคล (right of personal privacy) ด้วย โดยในเรื่องนี้ถือว่า
เป็นการแตกหน่อของหน้าที่ในการเก็บรักษาความลับซึ่งปัจจุบันได้รับการรับรองอยู่ในอนุสัญญายุโรปว่าด้วย
สิทธิมนุษยชน (European Convention on Human Rights) และนำมาบัญญัติเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย
ของสหราชอาณาจักรโดยพระราชบัญญัติ The Human Rights Act, 1998
ผู้ถูกละเมิดจากการเปิดเผยความลับ สามารถได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ (แม้ว่าในระยะแรก
ศาลในประเทศคอมมอนลอว์บางประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ จะไม่พิพากษาให้โดยอ้างว่า การเรียกค่าสินไหม
ทดแทนเป็นหลักตามกฎหมายคอมมอนลอว์ จึงไม่สามารถนำมาใช้ในกรณีการละเมิดสิทธิในทางเอ็คควิตี้
ได้ แต่ต่อมาคำพิพากษาดังกล่าวถูกพิพากษากลับ จึงถือว่าในปัจจุบันสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก
การเปิดเผยความลับได้ โดยมีมาตรการเช่นเดียวกับที่มีอยู่ในคอมมอนลอว์)9
2. การเยียวยาทางเอ็คควิตี้ (Equitable Remedies)
การเยียวยาทางเอ็คควิตี้ไม่ถือเป็นสิทธิของคู่ความ แต่มีลักษณะเป็นดุลพินิจของศาลเพื่อความ
เป็นธรรม ดังนั้นจึงมีหลักว่าศาลจะไม่สั่งเยียวยาให้หากผู้ร้องขอมิได้ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ซึ่งในเรื่องนี้
8 ผู้สนใจศึกษารายละเอียดได้ในบทความของ ดร.พินัย ณ นคร (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พินัย ณ นคร “หลักกฎหมาย
สัญญาของประเทศอังกฤษ” หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์นุกูล ณ นคร กรกฎาคม 2541 หน้า 229 – 234)
9 ผู้สนใจศึกษาในรายละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือที่เกี่ยวกับหลักกฎหมายเอ็คควิตี้ เช่น John Duddington,
“Chapter 2 : Equitable Remedies, Chapter 3 : Equitable Doctrines”, Essentials of Equity and Trusts Law, Harlow,
Pearson Education, 2006, pp. 21–59.
15. 4-15
มีสุภาษิตที่นำมาใช้หลายสำนวน อาทิ “ผู้ที่มาขอให้ใช้เอ็คควิตี้ ต้องมาโดยมีมือที่สะอาด” (He who comes
to equity must come with clean hand) เป็นต้น การเยียวยาทางเอ็คควิตี้ที่ส่วนใหญ่ใช้กัน ได้แก่
2.1 การปฏิบัติการบางอย่างโดยเฉพาะ (Specific performance)
ตามปกติ คู่สัญญาอาจเลือกไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่สัญญา
อีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นปฏิบัติการบางอย่างโดยเฉพาะ (an order for specific
performance) เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้ คู่สัญญาฝ่ายนั้นจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ของตน
ให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งตามหลักแล้วการเยียวยาทางเอ็คควิตี้จะกระทำได้ต่อเมื่อการเยียวยาทางคอมมอนลอว์
ไม่เพียงพอเท่านั้น และเป็นกรณีที่ไม่มีข้อยกเว้นมิให้ออกคำสั่งประเภทนี้ได้ โดยทั่วไปมักจะไม่ใช้วิธีการ
เยียวยานี้กับสัญญาที่เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าที่สามารถใช้วิธีเปลี่ยนให้ใหม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ใน
คดีที่เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ซึ่งวัตถุแห่งสัญญาเป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวหรือหาได้ยาก นอกจากนี้ จะไม่
ใช้การเยียวยาวิธีนี้กับสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างบริการ (แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางกรณี)
2.2 คำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชัน (Injunction)
คำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชันได้แก่การที่ศาลใช้อำนาจออกคำสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทำ
การหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งนี้ตามมาตรา37แห่งพระราชบัญญัติสุพรีมคอร์ทค.ศ.1981
(TheSupremeCourtAct,1981)โดยเป็นกรณีที่ศาลจะออกให้เป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้(aninterim
or a permanent basis) การไม่ปฏิบัติคามคำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชันนี้ ถือเป็นการละเมิดอำนาจ
ศาล ตัวอย่างของคำสั่งประเภทนี้ ได้แก่ “freezing order” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Mareva injunctions”
ซึ่งเป็นคำสั่งชั่วคราวที่ห้ามจำเลยเคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกนอกเขตอำนาจศาลอังกฤษก่อนจะมีการพิจารณา
คดี คำสั่งอื่นที่เป็นที่รู้จักกัน คือ หมายค้น (เดิมรู้จักกันในชื่อ “Anton Piller order”) ซึ่งห้ามซ่อนเร้นหรือ
จำหน่ายเอกสารที่อาจนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีตลอดจนเป็นการให้อำนาจในการเข้าค้นอาคารสถานที่
ที่อาจเก็บเอกสารดังกล่าวด้วย
2.3 ค่าเสียหายทางเอ็คควิตี้ (Equitable Damages)
เดิมการเยียวยาโดยการชดใช้ค่าเสียหายหรือการจ่ายค่าสินไหมทดแทน มีเฉพาะตามหลัก
คอมมอนลอว์ ต่อมาตามพระราชบัญญัติ Lord Cairns’ Act (Chancery Amendment Act) 1858 ใน
มาตรา 2 บัญญัติให้อำนาจศาลชานเซอรีในการกำหนดค่าเสียหายได้ทั้งที่เป็นการเพิ่มเติมจากการออก
คำสั่งให้ร่วมมือหรือหมายอินจังชันและคำสั่งให้บุคคลปฏิบัติการบางอย่างโดยเฉพาะ หรือเป็นการให้จ่าย
ค่าเสียหายแทนการเยียวยาทั้งสองประการดังกล่าวก็ได้ (ปัจจุบัน ปรากฏหลักกฎหมายนี้ในมาตรา 50 แห่ง
พระราชบัญญัติสุพรีมคอร์ท ค.ศ. 1981 (The Supreme Court Act, 1981)) โดยเจตนารมณ์ของกฎหมาย
มาตรานี้ คือ เพื่อให้อำนาจแก่ศาลในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่สามารถเรียกค่าเสียหายตามหลักคอมมอนลอว์ได้
วิธีการเยียวยานี้ได้นำมาใช้กับกรณีความรับผิดของทรัสตีในความรับผิดที่ต้องรับเป็นส่วนตัวด้วย
2.4 การแก้ให้ถูกต้อง (Rectification)
วิธีการเยียวยานี้ เป็นการออกให้เพื่อแก้ไขเอกสารสัญญา ซึ่งตามปกติแล้ว ถือเป็นข้อสันนิษฐานว่า
เอกสารสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรจะแสดงถึงข้อตกลงที่ถูกต้องของคู่สัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้
16. 4-16
มีการลงนามในเอกสารนั้นแล้ว อย่างไรก็ดี ในบางกรณีหากศาลเห็นว่า ข้อความในเอกสารนั้นไม่แสดงถึง
ข้อตกลงที่แท้จริง ศาลก็อาจสั่งให้มีการแก้ไขข้อความนั้นได้ หลักนี้เป็นข้อยกเว้นของหลัก parole evidence
rule คือ หลักที่ว่าเมื่อได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ห้ามมิให้คู่สัญญานำพยานบุคคลมาสืบเพื่อ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือให้มีผลแตกต่างไปจากข้อสัญญาในเอกสารที่ทำขึ้น(ซึ่งเป็นหลักทำนองเดียวกับมาตรา
94 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของไทย)
2.5 การเลิกสัญญาแล้วกลับคืนสู่ฐานะเดิม (Rescission)
วิธีการเยียวยานี้เป็นการเพิกถอนข้อตกลงตามสัญญาแล้วให้คู่สัญญากลับสู่ฐานะเดิมก่อนมีการเข้า
ทำสัญญา สิทธิในการเลิกสัญญาจะมีได้ด้วยเหตุ เช่น การฉ้อฉล การสำคัญผิดในลักษณะต่างๆ หรือการถูก
ครอบงำโดยผิดคลองธรรมอย่างไรก็ดีสิทธินี้เป็นอันสิ้นไปด้วยหลายสาเหตุเช่นหากคู่สัญญาไม่อยู่ในฐานะ
ที่อาจคืนสู่ฐานะเดิมได้ การให้สัตยาบัน หรือการหน่วงเวลาหรือการแทรกแซงโดยบุคคลภายนอก
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดใน English Law, “Chapter 10 : The Law of Equity and Trusts”,
by Garry Slapper and David Kelly)
กิจกรรม 4.1.2
การเยียวยาทางเอ็คควิตี้ (equitable remedies) ที่ยังคงนำมาใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ วิธีการ
ใดบ้าง
บันทึกคำตอบกิจกรรม 4.1.2
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่ 4 ตอนที่ 4.1 กิจกรรม 4.1.2)
17. 4-17
ตอนที่ 4.2
กฎหมายทรัสต์
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่ 4.2 แล้วจึงศึกษาสาระสังเขป พร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละเรื่อง
หัวเรื่อง
เรื่องที่ 4.2.1 ที่มาและความหมายของทรัสต์
เรื่องที่ 4.2.2 หลักกฎหมายทรัสต์
เรื่องที่ 4.2.3 ทรัสต์ในระบบกฎหมายไทย
แนวคิด
1. ทรัสต์ (Trusts) เป็นหลักกฎหมายเอ็คควิตี้สาขาหนึ่งซึ่งพัฒนาจากแนวความคิดในสมัย
กลาง ในส่วนของความหมาย ทรัสต์ คือ กองทรัพย์สินซึ่งมีผู้ก่อตั้ง (Settlor) ตั้งขึ้นโดย
เอกสารเป็นหนังสือซึ่งอาจจะเป็นพินัยกรรมก็ได้ มีทรัสตี (Trustee) เป็นเจ้าของทรัพย์
ตามกฎหมายและมีหน้าที่จัดการกองทรัพย์สินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทรัสต์
เพื่อให้ผลประโยชน์ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวทรัพย์สินที่ใช้จัดตั้งตกแก่ผู้รับประโยชน์
(Benificiary)
2. ทรัสต์ มีหลายประเภท ที่สำคัญคือ ทรัสต์โดยชัดแจ้ง (Express Trusts) ทรัสต์โดยเป็นผล
ตามมา (Resulting Trusts) ทรัสต์ที่เกิดจากการตีความแบบขยายความ (Constructive
Trusts) และทรัสต์เพื่อการกุศล (Charitable Trusts) หลักกฎหมายทรัสต์ของอังกฤษ
วางหลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับทรัสต์ เช่น การก่อตั้งทรัสต์ การแต่งตั้ง การพ้นจากการทำ
หน้าที่ และการถอดถอนทรัสตี หน้าที่และอำนาจของทรัสตี การเปลี่ยนแปลงทรัสต์ ตลอด
จนหลักเกณฑ์ในกรณีที่มีการละเมิดทรัสต์
3. ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในประเทศไทยมีการจัดตั้งทรัสต์อยู่บ้างตาม
หลักกฎหมายของประเทศอังกฤษ แต่เมื่อมีการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1686 ได้บัญญัติห้ามการจัดตั้งทรัสต์ตามกฎหมายไทย อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน
ได้เล็งเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของการจัดตั้งทรัสต์เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ
เช่น การดำเนินธุรกรรมในตลาดทุน จึงได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรม
ในตลาดทุนขึ้นในปี พ.ศ. 2550 แต่โดยหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว
ยังคงห้ามการจัดตั้งทรัสต์ของบุคคลโดยทั่วไปอยู่
19. 4-19
เรื่องที่ 4.2.1 ที่มาและความหมายของทรัสต์
สาระสังเขป
1. ที่มาและความหมายของทรัสต์
ทรัสต์(Trusts)คือกองทรัพย์สินซึ่งมีผู้ก่อตั้ง(Settlor)ตั้งขึ้นโดยเอกสารเป็นหนังสือซึ่งอาจจะเป็น
พินัยกรรมก็ได้มีทรัสตี(Trustee)เป็นเจ้าของทรัพย์ตามกฎหมายและมีหน้าที่จัดการกองทรัพย์สินให้เป็นไป
ตามวัตถุประสงค์ของทรัสต์เพื่อให้ผลประโยชน์ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวทรัพย์สินที่ใช้จัดตั้งตกแก่ผู้รับประโยชน์
(Benificiary)ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นตามจริงซึ่งเป็นหลักกฎหมายเอ็คควิตี้(Equity)ในประเทศอังกฤษและ
ประเทศคอมมอนลอว์อื่นโดยแต่เดิมหลักเอ็คควิตี้ซึ่งคำนึงถึงความเป็นธรรมนี้แยกต่างหากจากคอมมอนลอว์
โดยเกิดภายหลังคอมมอนลอว์ เป็นหลักที่มีขึ้นจากคำพิพากษาศาลชานเซอรี เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ
คอมมอนลอว์ต่อมาได้รวมกับกฎหมายคอมมอนลอว์จึงเหลือเป็นหลักกฎหมายชนิดหนึ่งในระบบกฎหมาย
คอมมอนลอว์ดังนั้นการจะเข้าใจเรื่องกฎหมายทรัสต์ต้องเข้าใจหลักพื้นฐานของเรื่องเอ็คควิตี้และพัฒนาการ
ของหลักกฎหมายดังกล่าว ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในตอนที่ 4.1
ตัวอย่างความสัมพันธ์ตามหลักกฎหมายทรัสต์ (Trusts) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลผู้ถือ
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ คือ ทรัสตี (Trustee) เพื่อประโยชน์ของอีกบุคคลหนึ่ง คือ ผู้รับประโยชน์ (Benificiary)
ปกติเกิดจากการที่ก.เจ้าของเดิมผู้ก่อตั้งทรัสต์(Settlor)โอนทรัพย์ให้แก่ข.(Trustee)เพื่อถือไว้แทนทรัสต์
ซึ่งเป็นนิติบุคคล โดยให้ ข. จัดการทรัพย์นั้น และ ข. ก็มีอำนาจจัดการได้เพราะ ข. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่
ทั้งนี้ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์ไปตกได้แก่ ค. ผู้รับประโยชน์ (Benificiary)
ตามประวัติแล้วทรัสต์พัฒนาจากความคิดเรื่อง “ยูส” (use) (หรือนักวิชาการบางท่านใช้คำว่า
“ยูสเซส”(uses)10 เกิดในสมัยกลางเมื่อบุคคลโอนทรัพย์สินชนิดใดแก่บุคคลอีกคนหนึ่งโดยมีความเข้าใจกัน
ว่าบุคคลผู้รับโอนนั้นจะต้องถือทรัพย์นั้นไว้เพื่อประโยชน์ของผู้โอน หรือเพื่อบุคคลที่สาม (cestui que use
หรือ “ผู้รับประโยชน์”) บุคคลที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลทรัพย์ (a feoffee to use หรือ “ทรัสตี”) อยู่ใน
สถานะที่ได้รับความไว้วางใจ ซึ่งอาจนำไปใช้โดยไม่ชอบได้ง่าย ผลตามมาก็คือสิทธิต่างๆ ของผู้รับประโยชน์
ต้องได้รับการคุ้มครอง ศาลคอมมอนลอว์ธรรมดาทั้งหลายไม่รับรู้เรื่องผู้รับประโยชน์เช่นนั้น จึงไม่ได้ทำ
ประการใดเพื่อจัดให้มีการคุ้มครองในระยะแรกศาลชานเซอรีได้กระทำตนเป็นศาลแห่งมโนธรรมได้สอดเข้า
มาเพื่อบังคับให้ทรัสตีต้องบริหารทรัพย์สินชิ้นนั้นเพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์ตามข้อกำหนดของการให้
10 เช่นที่ใช้ในตำราของท่านอาจารย์สุนัย มโนมัยอุดม (สุนัย มโนมัยอุดม ระบบกฎหมายอังกฤษ (English Legal System)
พิมพ์ครั้งที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติม โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2552 หน้า 87)
20. 4-20
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มีคำพิพากษาของศาลชานเซอรีสะสมมากมายหลายฉบับ ผู้รับประโยชน์ก็เริ่มมีผล
ประโยชน์พิเศษในตัวทรัพย์ที่อาจถูกบังคับให้เป็นไปตามนั้นโดยศาลชานเซอรี ผลประโยชน์ที่เป็นที่รู้จักกัน
ในนามของผลประโยชน์ตามเอ็คควิตี้ ในที่สุด “ผู้รับประโยชน์” ที่เคยเรียกกันว่า “cestui que use” ก็ได้
รับการเรียกเสียใหม่ว่า “cestui que trust” และคำว่า “ผู้ครอบครองเพื่อการใช้” หรือ “feoffee to use” ก็
กลายเป็น “ทรัสตี”
นิยามสมัยใหม่ของทรัสต์เกิดขึ้นและรวมอยู่ในข้อ 2 (Article 2) ของอนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับ
ทรัสต์ (Hague Convention on the Recognition of Trusts)11 ซึ่งได้รับการตราไว้ในพระราชบัญญัติการ
ยอมรับทรัสต์ 1987 (Recognition of Trusts Act 1987) ซึ่งมีความบัญญัติว่า
“คำว่า ทรัสต์ หมายถึง ความสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นในระหว่างมีชีวิต หรือเมื่อถึงแก่กรรม
โดยบุคคลผู้ก่อตั้ง เมื่อกองทรัพย์สินได้รับการมอบให้อยู่ใต้การควบคุมของทรัสตีเพื่อประโยชน์ของผู้รับ
ประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ระบุให้เป็นการเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด
ทรัสต์มีลักษณะดังต่อไปนี้
(เอ) กองทรัพย์สินประกอบเป็นกองทุนต่างหาก และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของตัว
ทรัสตีเอง
(บี) กรรมสิทธิ์ในกองทรัพย์สินแห่งทรัสต์อยู่ในนามของทรัสตีหรือในนามบุคคลอื่นที่ทำการแทน
ทรัสตี
(ซี) ทรัสตีมีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการใช้หรือจำหน่ายกองทรัพย์สินให้เป็นไปตามข้อกำหนด
แห่งทรัสต์ และหน้าที่พิเศษที่เขามีตามกฎหมาย และทรัสตีต้องรับผิดชอบตามอำนาจและหน้าที่ข้างต้นทั้ง
หลายเหล่านั้น
ข้อสงวนที่ผู้ก่อตั้งกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและอำนาจบางประการและความจริงที่ว่าตัวทรัสตีเองมี
สิทธิต่างๆ ในฐานะผู้รับประโยชน์ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับการมีอยู่ของทรัสต์”
กล่าวโดยทั่วไปทรัสต์ทำให้บุคคลได้ประโยชน์จากตัวทรัพย์เมื่อบุคคลนั้นไม่สามารถหรือไม่ประสงค์
ที่จะถือกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายด้วยตนเองไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามกลุ่มหรือการรวมตัวกันของบุคคลเช่น
สมาคมที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล อาจได้ประโยชน์ในตัวทรัพย์ที่ถือไว้ในทรัสต์ (โดยทรัสตี) แม้กฎหมาย
จะไม่ยอมรับสถานภาพบุคคลตามกฎหมาย(ในสถานะปัจเจกชน)ของกลุ่มบุคคลนั้นหนึ่งในประเด็นหลักๆ
ในการเข้าใจเรื่องกฎหมายทรัสต์ก็คือการรับรู้ถึงความสำคัญที่ว่ากรรมสิทธิ์สองลักษณะ(ตามกฎหมายและ
ตามเอ็คควิตี้)อาจแยกกันได้เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ทรัสต์ก็ได้รับการสร้างขึ้นกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายได้ไปโดย
ทรัสตี แต่ผลประโยชน์หรือกรรมสิทธิ์ทางเอ็คควิตี้ ได้ไปโดยเจ้าของตามหลักเอ็คควิตี้
11 ชื่อเต็มคือ “Convention on the law applicable to Trusts and on their Recognition” ตกลงกันในปี ค.ศ. 1985
และมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1992
21. 4-21
2. ประเภทของทรัสต์12
ทรัสต์ อาจแบ่งออกตามลักษณะของการก่อตั้งหรือการจัดการได้เป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ทรัสต์โดยชัดแจ้ง (Express Trusts)
2. ทรัสต์โดยลับ (Secret Trusts)
3. ทรัสต์โดยเป็นผลตามมา (Resulting Trusts)
4. ทรัสต์ที่เกิดจากการตีความแบบขยายความ (Constructive Trusts)
5. ทรัสต์ตามความมุ่งหมาย (Purpose Trusts)
6. ทรัสต์เพื่อการกุศล (Charitable Trusts)
(โปรดอ่านเนื้อหาสาระโดยละเอียดใน English Law, “Chapter 10 : The Law of Equity and Trusts” ,
by Garry Slapper and David Kelly)
กิจกรรม 4.2.1
แนวความคิดเรื่อง “ทรัสต์” พัฒนามาจากความคิดเรื่องใด
บันทึกคำตอบกิจกรรม 4.2.1
(โปรดตรวจคำตอบจากแนวตอบในแนวการศึกษาหน่วยที่ 4 ตอนที่ 4.2 กิจกรรม 4.2.1)
12 การแบ่งประเภทของทรัสต์ในลักษณะอื่นๆ ศึกษาได้ใน บัญญัติ สุชีวะ “ทรัสต์” บทความออนไลน์จาก http://www.
panyathai.or.th