More Related Content
Similar to ความรู้ เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป
Similar to ความรู้ เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป (20)
More from Siriyagon Pusod
More from Siriyagon Pusod (18)
ความรู้ เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป
- 3. ความหมาย
ความหมายของกฎหมาย กฎหมายคือข้อบังคับของรัฐาธิปัตย์ ที่บญญัติข้ ึนเพื่อใช้
ั
ควบคุมพฤติกรรมของพลเมือง หากใครฝ่ าฝื น จะถูกลงโทษ
รัฐาธิปัตย์ คือ ผูมีอานาจสูงสุ ดในรัฐ (ของประเ่่ ทศไทยรัฐาธิปัตย์ แบ่้งออกเป็ น
้
3 ฝ่ ายได้แก่ฝ่ายนิติบญญัติ ฝ่ ายบริ หาร และฝ่ ายตุลาการ แต่ละฝ่ ายก็จะมีอานาจ
ั
สู งสุ ด เฉพาะ
ด้านของตนเท่านั้น สรุ ปก็คือรัฐาธิปัตย์ของไทย ก็มีดานบริ หาร บัญญัติและตัดสิ น
้
นันเอง)
่
โทษ สาหรับโทษจะมีโทษทางอาญา กับโทษทางแพ่ง โทษทางอาญามี ๕ ขั้น
(สถาน) ได้แก่ประหารชีวต จาคุก กักขัง ปรับ ริ บทรัพย์สิน สาหรับโทษทางแพ่ง
ิ
ก็คือการชดใช้
ค่าเสี ยหายให้แก่ผเู้ สี ยหาย ซึ่ งเรี ยกว่า "ค่าสิ นไหมทดแทน" ซึ่งมีหลายลักษณะจะ
ได้กล่าวในลาดับต่อไป
- 4. ลักษณะของกฎหมาย
่
• 1. กฎหมายต้ องมีลกษณะเป็ นเกณฑ์ กฎหมายต้องมีลกษณะเป็ นกฎเกณฑ์ ที่วาต้องเป็ น
ั
ั
"กฎเกณฑ์" (NORM) นั้นหมายความว่ากฎหมายต้องเป็ นข้อบังคับที่เป็ นมาตราฐาน
่
(STANDARD) ที่ใช้วดและใช้กาหนดความประพฤติของสมาชิกของสังคมได้วา
ั
ถูกหรื อผิด ให้กระทาการได้หรื อห้ามกระทาการ ในกรณี ให้กระทาการ เช่นผูมีเงินได้ตอง
้
้
เสี ยภาษีให้รัฐบาล หรื อชายที่มีอายุครบ 20 ปี บริ บูรณ์ตองไปรับการเกณฑ์ทหาร ใน
้
กรณี ที่หามมิให้กระทาการ เช่น ห้ามทาร้ายผูอื่นหรื อเอาทรัพย์ของผูอื่นไปโดยเขาไม่
้
้
้
อนุญาต ซึ่งหากผูใดฝ่ าฝื นไม่ยอมปฏิบติตามกฎเกณฑ์ที่กาหนดไว้ถือเป็ นสิ่ งที่ผดและจะ
้
ั
ิ
ถูกลงโทษ
ดังนั้น สิ่ งใดที่ไม่มีลษณะเป็ นกฎเกณฑ์ที่เป็ นข้อบังคับมาตรฐานความประพฤติของมนุษย์
ั
ในสังคม สิ่ งนั้นก็ไม่ใช่กฎหมาย ตัวอย่างเช่น ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็ น
นายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวกและให้นุ่งผ้าซิ่ นแทนผ้า
โจงกระเบน ประกาศนี้แจ้งให้ประชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบติอย่างไร
ั
มิใช่บงคับ หรื อ ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยปลูกต้นไม้เนื่องในโอกาส
ั
พิเศษ หรื อคาเชิญชวนของนายกรัฐมนตรี ที่ขอให้คนไทยช่วยกันประหยัด เป็ นต้น สิ่ ง
เหล่านี้ไม่ใช่ขอกาหนดที่มีลกษณะบ่งบอกว่าสิ่ งใดผิดสิ่ งใดถูกจึงไม่ใช่กฎหมาย
้
ั
- 5. • 2. กฎหมายต้ องกาหนดความประพฤติของบุคคลกฎหมายต้องกาหนดถึงความ
ประพฤติของบุคคล ความประพฤติ(BEHAVIOR) ในที่น้ ีได้แก่การ
เคลื่อนไหวหรื อไม่เคลื่อนไหวร่ างกายภายใต้การควบคุมของจิตใจ รวมไปถึง
กระทาการหรื องดเว้นกระทาอย่างใดที่ตองอาศัยร่ างกายเคลื่อนไหว
้
่่
ตัวอย่างเช่น นายดา อยากให้นายแดงตายจึงใช้ปืนยิงนายแดงโดยรู้อยูวาการยิงนาย
่
แดงเช่นนี้ จะทาให้นายแดงตาย เราเรี ยกการกระทานี้วานายดามีเจตนาฆ่านายแดง
การที่นาย ดายกปื นยิงนายแดงเป็ นการเคลื่อนไหวร่ างกายภายใต้การบังคับของ
จิตใจ แต่นายฟ้ าเดินอยู่ เกิดเป็ นโรคลมบ้าหมู เกิดอาการชักกระตุกของฝ่ ามือ ฟาด
ไปโดนหน้านายเหลือง แม้มีการเคลื่อนไหวร่ างกาย แต่เป็ นการเคลื่อนไหว
นอกเหนือการควบคุมของจิตใจ ฉะนั้น กรณี น้ ีกฎหมายจึงไม่เข้ามาควบคุมการ
เคลื่อนไหวเช่นนี้ เมื่อกฎหมายต้องกาหนดถึงความประพฤติของมนุษย์ ถ้าเป็ นสัตว์
กระทาให้มนุษย์เสี ยหายกฎหมายไม่ลงโทษสัตว์ แต่อาจลงโทษมนุษย์ผเู้ ป็ นเจ้าของ
สัตว์น้ น
ั
- 6. • 3. กฎหมายต้ องมีสภาพบังคับกฎหมายเป็ นกฎเกณฑ์ที่กาหนดความ
ประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จาต้องปฏิบติตามกฎเกณฑ์ จึงจาเป็ นต้องมี
ั
สภาพบังคับในกรณี ที่มีการฝ่ าฝื นกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับ ไม่
เรี ยกว่าเป็ นกฎหมาย
สภาพบังคับ(SANCTION) ของกฎหมายคือโทษต่างๆในกฎหมาย
ถ้าเป็ นสภาพบังคับอาญา ได้แก่ประหารชีวิต จาคุก กักขัง ปรับ ริ บทรัพย์สิน
ส่ วนสภาพบังคับของกฎหมายแพ่ง ได้แก่การกาหนดให้การกระทาที่ฝ่าฝื น
กฎหมายนั้นตกเป็ นโมฆะหรื อโมฆียะ
- 7. • 4. กฎหมายต้ องมีกระบวนการบังคับที่เป็ นกิจจะลักษณะกฎหมายมีสภาพบังคับ
แต่ท้ งนี้สภาพบังคับของกฎหมายนั้นจะต้องมีกระบวนการที่แน่นอนโดยเจ้าหน้าที่
ั
ของรัฐ ในอดีตการบังคับการให้เป็ นไปตามกฎหมายบางครั้งใช้ระบบตาต่อตา ฟัน
ต่อฟัน ทาร้ายเขาตาบอด คนถูกทาร้ายมีสิทธิทาให้ตาของคนที่ทาร้ายตาบอดได้
เช่นเดียวกัน แต่ในการปกครองสมัยใหม่น้ ีเป็ นการปกครองแบบรวมศูนย์อานาจไว้
กล่าวคือรัฐเป็ นศูนย์รวมอานาจ ทั้งการออกกฎหมายก็จะออกมาจากรัฐการบังคับ
ใช้กฎหมายก็ตองกระทาโดยรัฐหรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มี
้
การบังคับกฎหมายโดยประชาชน เพราะจะทาให้คนที่แข็งแรงกว่าใช้กาลังบังคับ
คนที่อ่อนแอกว่า ซึ่ งจะทาให้สงคมวุนวาย และเนื่องจากกฎหมายมีกระบวนการ
ั ่
บังคับที่เป็ นกิจจะลักษณะเช่นนี้จึงทา ให้กฎหมายมีลกษณะเป็ นกฎเกณฑ์ควบคุม
ั
ความประพฤติของมนุษย์ซ่ ึ งแตกต่างจากศีลธรรม ศาสนา หรื อจารี ตประเพณี
่
กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่รวมศูนย์อยูที่รัฐนี้กระทาโดยผ่านองค์กรต่างๆ
เช่น ตารวจ อัยการ ศาลราชทัณฑ์ เป็ นต้น
- 8. ทีมาของกฎหมาย
่
• ที่มาของกฎหมาย (SOURCE OF LAW) หมายถึงรู ปแบบที่กฎหมาย
แสดงออกมาในทางนิติศาสตร์ นอกจากฎหมายที่บญญัติข้ ึนแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์แบบ
ั
แผนความประพฤติของคนในสังคมบางอย่างที่มิได้บญญัติข้ ึน แต่มีผลบังคับเป็ น
ั
กฎหมายได้ เช่น กฎหมายประเพณี
ที่มาของกฎหมายของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไป ในระบบกฎหมายไทย
เมื่อพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติ
ว่า "เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วนิจฉัยคดีน้ นตามจารี ตประเพณี
ิ
ั
ท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารี ตประเพณี เช่นว่านั้นให้วนิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใก้
ิ
ลเคียงอย่างยิง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีดวย ให้วนิจฉัยตามหลักกฎหมาย
้
ิ
่
ทัวไป" จะเห็นว่าที่มาของกฎหมายประเทศไทยสามารถแยกได้ 2 ประเภท คือ
่
กฎหมายที่บญญัติข้ ึน และกฎหมายที่มิได้บญญัติข้ ึน
ั
ั
- 9. • 1. กฎหมายที่บัญญัตขึน (ENACTED LAW) หรื อที่เรี ยกว่า
ิ ้
กฎหมายลายลักษณ์อกษรเป็ นที่มาที่สาคัญที่สุด และจะต้องใช้ก่อนที่มาของ
ั
กฎหมายประเภทอื่น กฎหมายลายลักษณ์อกษรเป็ น กฎหมายที่เกิดขึ้นโดย
ั
กระบวนการนิติบญญัติ ซึ่ งผูบญญัติกฎหมายต้องมีอานาจโดยชอบธรรมใน
ั
้ ั
การตรากฎหมาย การบัญญัติกฎหมาย ได้กระทาถูกต้องตามวิธีการหรื อ
กระบวนการ จะต้องมีการประกาศให้ประชาชนได้รับรู ้ นอกจากนี้ยงไม่มี
ั
กฎหมายอื่นมาเปลี่ยนแปลงยกเลิก เราสามารถแบ่งประเภทของกฎหมายลาย
่
ลักษณ์อกษรโดยแบ่งแยกตามอานาจผูบญญัติ กฎหมายโดยพิจารณาดูวา
ั
้ ั
กฎหมายนั้นบัญญัติโดยฝ่ ายนิติบญญัติ ฝ่ ายบริ หาร หรื อองค์การปกครอง
ั
ส่ วนท้องถิ่น
- 10. • 1.1 กฎหมายที่บญญัติข้ ึนโดยฝ่ ายนิ ติบญญัติ(รัฐสภา)
ั
ั
หรื อ กฎหมายนิ ติบญญัติได้แก่ก. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ั
(ORGANIC LAW)
หมายถึงที่อธิ บายขยายความเพื่อประกอบเนื้อความในรัฐธรรมนูญ ให้
สมบูรณ์ละเอียดชัดเจนขึ้นทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขและเงื่อนเวลาตามที่
รัฐธรรมนูญกาหนด ขั้นตอนในการตราและพิจารณาพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญกาหนด ขั้นตอนในการตราและพิจารณา
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญก็เหมือนกับพระราชบัญญัติทวไป จะมี
ั่
ลักษณะพิเศษแตกต่างจากพระราชบัญญัติทวไป ดังนี้
ั่
- 11. • ประการแรก
การเรี ยกชื่อกฎหมายต้องเรี ยกว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ...
พศ. … จะเรี ยก พระราชบัญญัติ เหมือนกฎหมายธรรมดาทัวไปมิได้
่
ประการที่สอง
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแม้จะมีเนื้อหาเข้าข่ายเป็ นกฎหมายเกี่ยวด้วย
การเงิน ซึ่งปกติแล้วสมาชิกสภาผูแทนราษฎรจะเสนอได้ ต่อเมื่อมีคารับรองของ
้
นายกรัฐมนตรี แต่ในกรณี ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ
เลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบ
้
รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง และพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่ งมีเนื้อหาเกี่ยวด้วยการเงินสมาชิกสภาผูแทน
้
ราษฎรเสนอได้โดยไม่ตองมีคารับรองของนายกรัฐมนตรี
้
- 12. • ประการทีสาม
่
ร่ างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดที่มีการเสนอต่อสภาผูแทนราษฎร หากปรากฎ
้
ว่าสภาผูแทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบ และคะแนนเสี ยงที่ไม่ให้ความ เห็นชอบมี
้
จานวนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจานวนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คณะรัฐมนตรี
้
อาจขอให้รัฐสภาประชุมร่ วมกันเพื่อมีมติอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ซึ่ งปกติแล้วถ้าสภา
ผูแทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบของร่ างพระราชบัญญัติใด ร่ างพระราชบัญญัติน้ นจะตก
้
ั
ไปทันที
ประการที่สี่
การควบคุมร่ างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมิให้ขดกับรัฐธรรมนูญนั้น สมาชิก
ั
รัฐสภาจานวนเพียงไม่นอยกว่า 20 คนก็เสนอได้ แต่สาหรับร่ างพระราชบัญญัติทวไป
้
ั่
สมาชิกรัฐสภาไม่นอยกว่า 1 ใน 10 สามารถเสนอเรื่ องให้ประธานสภาส่ งไปให้ศาล
้
รัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ทั้งนี้เหตุที่ทาให้การควบคุมร่ างพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญกระทาได้ง่าย ก็เพราะรัฐธรรมนูญต้องการให้ตรวจสอบและควบคุมดูแล
ความถูกต้อง สามารถกระทาได้ง่ายและคล่องตัวกว่าการตรวจสอบร่ างพระราชบัญญัติ
ทัวไป
่
- 13. • ข. พระราชบัญญัติ
คือกฎหมายที่พระมหากษัตริ ยตราขึ้นโดยคาแนะนาและยินยอมของรัฐสภา เนื้อหา
์
ของพระราชบัญญัติน้ นจะกาหนดเนื้อหาในเรื่ องใดก็ได้ แต่ตองไม่ขดหรื อ แย้งกับ
ั
้
ั
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรื อหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทัวไป เรี ยกว่า ประเพณี
่
การปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้เนื้อหาของ
พระราชบัญญัติยงมีลกษณะกาหนดกฎเกณฑ์เป็ นการทัวไปในการก่อตั้ง
ั ั
่
เปลี่ยนแปลง กาหนดขอบเขตแห่งสิ ทธิและหน้าที่ของบุคคล ตลอดจนจากัดสิ ทธิ
เสรี ภาพ ของบุคคลได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้อานาจไว้
สาหรับกระบวนการในการตราพระราชบัญญัติน้ น มีสาระสาคัญและขั้นตอน
ั
ดังต่อไปนี้
ร่ างพระราชบัญญัติมี 2 ประเภท คือ ร่ างพระราชบัญญัติทวไป และร่ าง
ั่
พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
- 14. • การเสนอร่ างพระราชบัญญัติกระทาได้ 3 ทางคือ
(1) โดยคณะรัฐมนตรี
(2) โดยสมาชิกสภาผูแทนราษฎร ซึ่ งต้องให้พรรคการเมือง ที่
้
สมาชิกสภาผูแทนราษฎรสังกัดนั้นมีมติให้เสนอให้ และต้องมีสมาชิดสภา
้
ผูแทนราษฎร ไม่นอยกว่า 20 คนรับรอง แต่ถาเป็ นร่ าง พระราชบัญญัติ
้
้
้
เกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ ต้องมีคารับรองของนายกรัฐมนตรี
(3) โดยผูมีสิทธิ เลือกตั้งไม่นอยกว่า 50,000 คน เข้าชื่อร้องขอต่อ
้
้
ประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กาหนดไว้ในหมวด 3
สิ ทธิและเสรี ภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่ งรัฐ
- 15. • ผูมีอานาจพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติคือรัฐสภา ซึ่ งเป็ นองค์กรที่ใช้อานาจ
้
นิติบญญัติ
ั
การพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติโดยสภาผูแทนราษฎร สภาผูแทนราษฎรจะ
้
้
พิจารณาร่ างพระราชบัญญัติ 3 วาระ ตามลาดับดังนี้
่
วาระที่ 1 สภาจะพิจารณาและลงมติวาจะรับหลักการหรื อไม่รับหลักการ
แห่งพระราชบัญญัติน้ น ถ้าสภาไม่รับหลักการ ร่ างพระราชบัญญัติน้ นก็ตก
ั
ั
ไป แต่หากสภารับหลักการ สภาก็จะพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติในลาดับ
ต่อไป
- 16. • วาระที่ 2 เป็ นการพิจารณาในรายละเอียดปกติจะพิจารณาโดยกรรมาธการที่สภา
ตั้งขึ้น สมาชิกสภาผูแทนราษฎรคนใดเห็นว่าข้อความหรื อถ้อยคาใดในร่ าง
้
พระราชบัญญัติน้ นควรแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้เสนอคาแปรญัตติต่อประธาน
ั
คณะกรรมธิการ ภายในเวลาที่กาหนดไว้ เมื่อคณะกรรมาธิการ พิจารณาเสร็ จแล้วก็
จะเสนอสภาพิจารณาต่อไป โดยเริ่ มตั้งแต่ชื่อร่ าง คาปรารภ แล้วพิจารณาเรี ยงลาดับ
มาตรา จะมีการอภิปรายได้เฉพาะที่มึการแก้ไขหรื อที่มีการสงวนคาแปรญัตติหรื อ
สงวนความเห็นไว้เท่านั้น
วาระที่ 3 เมื่อสภาพิจารณาวาระที่ 2 เสร็ จแล้ว สภาจะลงมติในวาระที่ 3 ว่า
เห็นชอบหรื อไม่เห็นชอบเท่านั้น โดยไม่มีการอภิปราย หากสภาไม่เห็นชอบร่ าง
พระราชบัญญัติ ร่ างพระราชบัญญัติน้ นก็ตกไป แต่หากสภาเห็นชอบ ประธานสภา
ั
ผูแทนราษฎร ก็จะเสนอร่ างพระราชบัญญัติน้ นต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
้
ั
- 17. • การพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติโดยวุฒิสภา วุฒิสภาจะพิจารณาร่ าง
พระราชบัญญัติที่สภาผูแทนราษฎรส่ งมาให้ 3 วาระเช่นเดียวกัน
้
กรณี ที่วฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผูแทนราษฎรโดยไม่มีการแก้ไข ก็ถือว่า
ุ
้
ร่ างพระราชบัญญัติน้ นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว นายกรัฐมนตรี
ั
จะนาร่ างพระราชบัญญัติน้ นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อกระมหากษัตริ ยทรงลง
ั
์
พระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงคับ
ั
เป็ นกฎหมายได้
- 18. • กรณี ที่วฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผูแทนราษฎร ถ้าวุฒิสภาลงมติในวาระที่ 1
ุ
้
หรื อวาระที่ 2 ไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผูแทนราษฎร ก็ให้ยบยั้งร่ างพระราชบัญญัติ
้
ั
นั้นไว้ก่อน และส่ งร่ างพระราชบัญญัติน้ นคืนไปยังสภาผูแทนราษฎร สภา
ั
้
ผูแทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อเวลา 180 วัน ได้ล่วงพ้นไปนับแต่
้
วันที่วฒิสภาส่ งร่ างพระราชบัญญัติน้ นคืนไปยังสภาผูแทนราษฎร แต่ถาร่ าง
ุ
ั
้
้
พระราชบัญญัติที่ตองยับยั้งไว้เป็ นร่ างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน สภา
้
ผูแทนราษฎรอาจยกร่ างพระราชบัญญัติน้ นขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทนที และถ้าสภา
้
ั
ั
ผูแทนราษฎรลงมติยนยันร่ างพระราชบัญญัติเดิมด้วยคะแนนเสี ยง มากกว่ากึ่งหนึ่ง
้
ื
ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีของสภาผูแทนราษฎรแล้ว ให้ถือร่ าง
้
พระราชบัญญัติน้ นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้นายกรัฐมนตรี นาขึ้น
ั
ทูลเกล้าฯ ถวายเพือพระมหากษัตริ ยทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศใน
่
์
ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้
ั
- 19. • กรณี วฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม ถ้าวุฒิสภาได้แก้ไขเพิ่มเติมร่ าง พระราชบัญญัติที่
ุ
สภาผูแทนราษฎรได้ให้เห็นชอบแล้ว ก็ให้ส่งร่ างพระราชบัญญัติแก้ไข
้
เพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผูแทนราษฎร ถ้าสภาผูแทนราษฎรเห็นว่าเป็ นการแก้ไข
้
้
มาก ในกรณี เช่นนี้ให้สภาทั้งสองแต่งตั้งบุคคลที่เป็ นหรื อมิได้เป็ นสมาชิก
แห่งสภานั้นๆ มีจานวนเท่ากันตามที่สภาผูแทนราษฎรกาหนดประกอบป็
้
นคณะกรรมธิ การร่ วมกันเพื่อพิจารณาร่ างพระราชบัญญัติน้ น และให้
ั
คณะกรรมาธิ การร่ วมกันรายงานและเสนอร่ างพระราชบัญญัติที่ได้ร่วมกัน
พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง ถ้าสภาทั้งสองต่างเห็นชอบด้วยแสดงว่า
พระราชบัญญัติน้ นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้นายกรัฐมนตรี นาขึ้น
ั
ทูลเกล้าถวายเพื่อ พระมหากษัตริ ยทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้
์
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้
ั
- 20. • แต่ถาสภาใดสภาหนึ่ งไม่เห็นด้วยกับร่ างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมธิการ
้
ร่ วมกันพิจารณาเสร็ จแล้ว ก็ให้ยบยั้งร่ างพระราชบัญญัติน้ นไว้ก่อน สภา
ั
ั
ผูแทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ต่อเมื่อเวลา 180 วันได้ล่วงพ้นไป
้
นับแต่วนที่สภาใดสภาหนึ่ งไม่เห็นชอบด้วย ถ้าร่ างพระราชบัญญัติที่ตอง
ั
้
ยับยั้งไว้เป็ นร่ างพระราชที่เกี่ยวด้วยการเงิน สภาผูแทนราษฎรอาจยกร่ าง
้
พระราชบัญญัติน้ นขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทนที ถ้าสภาผูแทนราษฎรลงมติ
ั
ั
้
ยืนยันร่ างเดิม หรื อร่ างที่คณะกรรมธิการร่ วมกันพิจารณาด้วยเสี ยงมากกว่ากึ่ง
่
หนึ่ งของจานวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยูของสภาผูแทนราษฎรแล้วก็ให้ถือ
้
ร่ างพระราชบัญญัติน้ นได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ให้นายกรัฐมนตรี นา
ั
ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริ ยทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้
์
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้
ั
- 21. • กรณี ที่พระมหากษัตริ ยไม่ทรงเห็นชอบด้วย ร่ างพระราชบัญญัติใดที่
์
พระมหากษัตริ ยไม่ทรงเห็นชอบด้วย และพระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้อง
์
ปรึ กษาร่ างพระราชบัญญัติน้ นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยนยันตามเดิมคะแนนเสี ยงไม่
ั
ื
่
น้อยกว่า 2 ใน 3 ของ จานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยูของทั้งสองสภาแล้ว ให้
นายกรัฐมนตรี นาร่ างพระราชบัญญัติน้ นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ
ั
พระมหากษัตริ ยมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายในสามสิ บวัน
์
ให้นายกรัฐมนตรี นาพระราชบัญญัติน้ นประกาศในราชกิจนุเบกษาให้ใช้ บังคับ
ั
เป็ นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษตริ ยทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
์
ผูมีอานาจตราพระราชบัญญัติได้แก่พระมหากษัตริ ย ์
้
การใช้บงคับเป็ นกฎหมาย กฎหมายนั้นจะมีผลต่อเมื่อประกาศให้ประชาชนทราบ
ั
แล้วในราชกิจนุเบกษา (ROYAL THAI GOVERNMENT
GAZETTE)
- 22. • 1.2 กฎหมายที่บญญัติโดยฝ่ ายบริ หาร(คณะรัฐมนตรี )
ั
ก. พระราชกาหนด
พระราชกาหนดเป็ นรู ปแบบหนึ่งของกฎหมายที่ฝ่ายบริ หารคือ พระมหากษตริ ยโดย
์
คาแนะนาและยินยอมของคณะรัฐมนตรี ตราขึ้นโดยอานาจที่รัฐธรรมนูญให้ไว้
พระราชกาหนดมีอยู่ 2 ประเภท คือพระราชกาหนดทัวไป เป็ นกรณี ที่ตราพระราช
่
กาหนดเพื่อประโยชย์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัย
สาธารณะ ความจาเป็ นรี บด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และพระราชกาหนดเกี่ยวกับภาษี
และเงินตรา เป็ นกรณี ที่ตราพระราชกาหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรื อเงินตรา ซึ่ งต้องได้รับ
การพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดินในระหว่างสมัยประชุมสภา
ผูมีอานาจพิจารณาร่ างพระราชกาหนด คือ คณะรัฐมนตรี
้
ผูมีอานาจตราพระราชกาหนด คือ พระมหากษัตริ ย ์
้
การใช้บงคับเป็ นกฎหมายต่อเมื่อได้ประกาศในราชกจิจานุเบกษาแล้ว
ั
การอนุมติพระราชกาหนด โดยหลักแล้วอานาจใน การตรากฎหมายเป็ นอานาจของฝ่ าย
ั
นิติบญญัติตามหลักการการใช้อานาจอธิปไตย แต่บางกรณี มีความจาเป็ นรี บด่วนที่ไม่อาจ
ั
ตรากฎหมายโดยรัฐสภาได้ รัฐธรรมนูญจึงแบ่งอานาจนิติบญญัติไปให้ฝ่ายบริ หารใช้
ั
ชัวคราว ดังนั้นเมื่อเป็ นเรื่ อง ชัวคราว เพื่อจะให้เป็ น ถาวร รัฐธรรมนูญจึงกาหนด ให้ตองมี
้
่
่
การเสนอพระราชกาหนดที่ตราออกมาเป็ นกฎหมายแล้วให้รัฐสภา อนุมติอีกครั้งหนึ่ง
ั
- 23. • ข. พระราชกฤษฎีกา
คือ กฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริ ยโดยคาแนะนาของคณะรัฐมนตรี
์
ตามรัฐธรรมนูญการตราพระราชกฤษฎีกาจะเกิดขึ้นใน 3 กรณี คือ
(1) รัฐธรรมนูญกาหนดให้ตราพระราชกฤษฎีกา ในกิจการที่สาคัญอันเกี่ยวกับฝ่ ายบิร
หารและฝ่ ายนิติบญญัติ เช่น พระราชกฤษฎีกา เรี ยกประชุมรัฐสภา พระราชกฤษฎีกา ยุบ
ั
สภาผูแทนราษฎรหรื อพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎร
้
้
(2) โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ั
พศ.2540 เป็ นการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อใช้กบฝ่ ายบริ หาร ไม่ใช้บงคับแก่
ั
ประชาชนทัวไป อนึ่ง กรณี น้ ีจะไม่มีบทมาตราใดในรัฐธรรมนูญให้อานาจไว้โดยเฉพาะ
่
เช่น พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการ พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการเบิกค่าเช่า
บ้านของข้าราชการ
(3) โดยอาศัยอานาจตามกฎหมายแม่บท(พระราชบัญญัติหรื อพระราชกาหนด) ที่ให้
อานาจตราพระราชกฤษฎีกาได้
ผูมีอานาจเสนอร่ างพระราชกฤษฎีกาคือบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรื อได้รักษาการตามกฎหมาย
้
แม่บทที่บญญัติให้ออกพระราชกฤษฎีกานั้นๆ
ั
ผูมีอานาจตราพระราชกฤษฎีกา คือ พระมหากษัตริ ย ์
้
การใช้บงคับเป็ นกฎหมาย ต่อเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ั
- 24. • ค. กฎกระทรวง
เป็ นกฎหมายที่รัฐมนตรี ผรักษาการตามกฎหมายแม่บทออก เพื่อดาเนิ นการ
ู้
ให้เป็ นไปตามกฎหมายแม่บท เช่น เรื่ องค่าธรรมเนียม เรื่ องหลักเกณฑ์และ
วิธีการในการขออนุญาตเรื่ องต่างๆ ที่กฎหมายแม่บทกาหนดให้ออกเป็ น
กฎกระทรวง มักมีความสาคัญน้อยกว่าพระราชกฤษฎีกา
ผูมีอานาจเสนอร่ างกฎกระทรวงได้แก่รัฐมนตรี ผรักษาการ ตามกฎหมาย
้
ู้
แม่บทซึ่ งให้อานาจออกกฎกระทรวงนั้นๆ
- 25. • 1.3 กฎหมายที่บญญัติโดยองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น
ั
องค์กรปกครองบริ หารส่ วนท้องถิ่นของประเทศไทย ปั จจุบน 5 รู ปแบบ คือ
ั
องค์การบริ หารส่ วนจังหวัด องค์การบริ หารส่ วนตาบล เทศบาล
กรุ งเทพมหานคร เมืองพัทยา ต่างก็มีกฎหมายจัดตั้งองค์กรแต่ละประเภทให้
อานาจองค์กรปกครองส่ วนท้อง ถิ่นในการออกข้อบัญญัติเพื่อเป็ นเครื่ องมือ
ในการจัดทาบริ การสาธารณะ
ข้อบัญญัติทองถิ่นมี 3ประเภท คือ ข้อบัญญัติทองถิ่นประเภททัวไป
้
้
่
ข้อบัญญัติทองถิ่นประเภทชัวคราว และข้อบัญญัติทองถิ่นประเภทการคลัง
้
้
่
- 26. • 1. ข้อบัญญัติทองถิ่นประเภททัวไป และข้อบัญญัติทองถิ่นประเภทชัวคราว
้
้
่
่
1.1 ข้อบัญญัติจงหวัด
ั
เป็ นกฎหมายที่องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดตราขึ้นเพื่อใช้บงคับในเขตจังหวัด นอกเขต
ั
เทศบาล และเขตองค์การบริ หารส่ วนตาบล
ข้อบัญญัติจงหวัดจะตราขึ้นได้ในกรณี ดงต่อไปนี้
ั
ั
(1) เพื่อปฎิบติการให้เป็ นไปตามหน้าที่ขององค์การ บริ หารส่ วนจังหวัดที่กาหนดไว้ใน
ั
พระราชบัญญัติองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด พศ.2540 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด(ฉบับที่ 2) พศ.2542
(2) เมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้องค์การบริ หารส่ วน จังหวัดตราข้อบัญญัติหรื อให้มีอานาจ
ตราข้อบัญญัติ
(3) การดาเนินกิจการขององค์การบริ หารส่ วน จังหวัดที่มีลกษณะเป็ นการพาณิ ชย์
ั
ในข้อบัญญัติจะกาหนดโทษผูละเมิดข้อบัญญัติไว้ดวยก็ได้ แต่หามมิให้กาหนดโทษจาคุก
้
้
้
เกิน 6 เดือน และหรื อปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็ นอย่างอื่น
ผูเ้ สนอร่ างข้อบัญญัติ ได้แก่นายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด สมาชิกสภาองค์การบริ หาร
ส่ วนจังหวัด หรื อราษฎรผูมีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์การบริ หารส่ วน จังหวัดตาม
้
่
พระราชบัญญัติวาด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติทองถิ่น พศ.2542
้
- 27. ็
• ร่ างข้อบัญญัติเกี่ยวกับการเงินจะเสนอได้กต่อเมื่อมีคารับรอง ของนายกองค์การบริ หาร
ส่ วนจังหวัด
ผูพิจารณา ได้แก่ สภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
้
ผูอนุมติ ได้แก่ผวาราชการจังหวัด
้ ั
ู้ ่
ผูตรา ได้แก่ นายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
้
การประกาศใช้ ให้องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดและกระทรวงมหาด ไทยจัดให้มี
ข้อบัญญัติที่ประกาศใช้บงคับแล้วไว้ ณ ที่ทาการขององค์การบริ หารส่ วนจังหวัดและ
ั
กรมการปกครอง เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
ในกรณี ฉุกเฉิ นซึ่งจะเรี ยกประชุมสภาจังหวัดให้ทนท่วงทีไม่ได้ นายกองค์การบริ หารส่ วน
ั
จังหวัดจะออกข้อบัญญัติชวคราวได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการสามัญ
ั่
ประจาสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด และเมื่อได้ประกาศไว้โดยเปิ ดเผย ณ ที่ทาการของ
องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดแล้วให้ใช้บงคับได้ ในการประชุมสภาองค์การบริ หารส่ วน
ั
จังหวัดคราวต่อไป ให้นาข้อบัญญัติชวคราวนั้นเสนอ ต่อสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
ั่
เพื่ออนุมติ และเมื่อสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดอนุมติแล้ว ให้ใช้ขอบัญญัติชวคราว
ั
ั
้
ั่
เป็ นข้อบัญญัติต่อไป แต่ถาสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดไม่อนุมติ ให้ขอบัญญัติ
้
ั
้
ชัวคราวนั้นเป็ นอันตกไป
่
- 28. • 1.2 ข้อบัญญัติตาบล
คือ กฎหมายที่องค์การบริ หารส่ วนตาบลออกเพื่อใช้บงคับในตาบล ทั้งนี้อาศัย
ั
อานาจตามพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริ หารส่ วนตาบล พศ.2537
ผูเ้ สนอร่ างข้อบัญญัติตาบล ได้แก่ นายกองค์การบริ หารส่ วนตาบล หรื อสมาชิก
สภาองค์การบริ หารส่ วนตาบล หรื อราษฎรในเขตองค์การบริ หารส่ วนตาบล ตาม
่
พระราชบัญญัติวาด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติทองถิ่น พศ.2542
้
ในข้อบัญญัติจะกาหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรี ยกเก็บและกาหนดโทษด้วยก็ได้ แต่มิ
ให้กาหนดโทษปรับเกินห้าร้อยบาท
ผูพิจารณาได้แก่สภาองค์การบริ หารส่ วนตาบล
้
ผูอนุมติ ได้แก่นายอาเภอ
้ ั
ผูตรา ได้แก่นายกองค์การบริ หารส่ วนตาบล
้
การประกาศใช้ ณ ที่ทาการองค์การบริ หารส่ วนตาบล
- 29. • 1.3 เทศบัญญัติ
คือ กฎหมายที่เทศบาลออกเพื่อใช้บงคับในเขตเทศบาล ทั้งนี้อาศัยอานาจตาม
ั
พระราชบัญญัติเทศบาล พศ.2496
ผูเ้ สนอร่ างเทศบัญญัติ ได้แก่ นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล หรื อราษฎรผูมีสิทธิ
้
่
เลือกตั้งในเขตเทศบาลตามพระราชบัญญัติวาด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติทองถิ่น
้
พศ.2542
็
ร่ างเทศบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน จะเสนอได้กต่อเมื่อมี คารับรองของนายกเทศมนตรี
ผูพิจารณา ได้แก่สภาเทศบาล
้
ผูอนุมติ ได้แก่ผวาราชการจังหวัด
้ ั
ู้ ่
ผูตรา ได้แก่ นายกเทศมนตรี
้
ในกรณี ฉุกเฉิ นซึ่งจะเรี ยกประชุมสภาเทศบาลให้ทนท่วงทีมิได้ ให้คณะเทศมนตรี มี
ั
อานาจออกเทศบัญญัติเพื่อพิจารณาอนุมติในการประชุมสภาเทศ บาลคราวต่อไปถ้าสภา
ั
เทศบาลอนุมติ เทศบัญญัติชวคราวนั้นก็เป็ นเทศบัญญัติต่อไป ถ้าสภาเทศบาลไม่อนุมติ
ั
ั่
ั
เทศบัญญัติชวคราวก็เป็ นอันตกไปแต่ท้ งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงกิจการที่ได้เป็ นไป
ั่
ั
ระหว่างใช้เทศบัญญัติชวคราวนั้น
ั่
การประกาศใช้ ณ ที่ทาการสานักงานเทศบาล
- 30. • 1.4 ข้อบัญญัติกรุ งเทพมหานคร
คือ กฎหมายที่กรุ งเทพมหานครออกเพื่อใช้บงคับในเขตกรุ งเทพมหานคร เหตุที่จะตรา
ั
ข้อบัญญัติกรุ งเทพมหานครเป็ นไปตาม มาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หาร
กรุ งเทพมหานคร พศ.2528
ผูเ้ สนอร่ างข้อบัญญัติกรุ งเทพมหานคร ได้แก่ ผูวาราชการกรุ งเทพมหานคร หรื อสมาชิก
้่
่
สภากรุ งเทพมหานคร หรื อ ราษฎรผูมีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลตาม พระราชบัญญัติวา
้
ด้วยการเช้าชื่อเสนอข้อบัญญัติทองถิ่น พศ.2542 โดยกรณี สมาชิกสภา
้
กรุ งเทพมหานครจะเสนอได้ตองมีสมาชิกสภากรุ งเทพ มหานครลงนามรับรองไม่นอย
้
้
กว่าหนึ่งในห้าของจานวนสมาชิกสภากรุ งเทพมหานครทั้งหมด
ข้อบัญญัติกรุ งเทพมหานครนั้นจะกาหนดโทษผูละเมิดข้อบัญญัติไว้ดวยก็ได้ แตได้หาม
้
้
้
กาหนดโทษจาคุกเกิน 6 เดือน หรื อปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ผูพิจารณา ได้แก่ สภากรุ งเทพมหานคร
้
ผูตรา ได้แก่ ผูวาราชการกรุ งเทพมหานคร
้
้่
ในระหว่างที่ไม่มีสภากรุ งเทพมหานครหรื อในกรณี ฉุกเฉิน ที่มีความจาเป็ นรับด่วนในอัน
จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะให้ทนท่วงทีไม่ได้ ผูวาราชการจังหวัดกรุ งเทพมหานคร
ั
้่
่
โดยอนุมติรัฐมนตรี วาการกระทรวงมหาดไทย จะออกข้อกาหนดกรุ งเทพมหานครใช้
ั
บังคับข้อบัญญัติ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงคับได้
ั
การประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
- 31. • 1.5 ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
คือ กฎหมายที่เมืองพัทยาออกบังคับใช้ในเมืองพัทยา ตามมาตรา 70 แห่ง
พระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการเมืองพัทยา พศ.2542
ข้อบัญญัติเมืองพัทยาจะกาหนดโทษจาคุกหรื อปรับ หรื อทั้งจาทั้งปรับผูละเมิด
้
ข้อบัญญัติไว้ดวยก็ได้ แต่จะกาหนดโทษจาคุกเกิน 6 เดือน และโทษปรับเกิน
้
10,000 บาท
ผูเ้ สนอร่ างข้อบัญญัติได้แก่นายกเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยาหรื อราษฎรผูมี
้
่
สิ ทธิเลือกตั้งในเขตเมืองพัทยา ตามพระราชบัญญัติวาด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
พศ.2542 และหากเป็ นร่ างข้อบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน สมาชิกสภาเมืองพัทยาจะ
็
เสนอได้กต่อเมื่อมีคารับรองของนายกเมืองพัทยา
ผูพิจารณา ได้แก่สภาเมืองพัทยา
้
ผูอนุมติ ได้แก่ผวาราชการจังหวัดชลบุรี
้ ั
ู้ ่
ผูตรา ได้แก่นายกเมืองพัทยา
้
การประกาศใช้ ณ ศาลาว่าการเมืองพัทยา
- 32. • 2. ข้ อบัญญัติประเภทการคลังกฎหมายจัดตั้งองค์กร ปกครองส่ วนท้องถิ่น
แต่ละรู ปแบบต่างก็กาหนดถึงอานาจในการออกข้อบัญญัติทางด้าน การคลัง
ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นของแต่ละแห่งไว้หลายกรณี ดวยกันเช่น การ
้
จัดทางบประมาณรายจ่ายประจาปี การดาเนินการพาณิ ชย์ ได้แก่การจัดตั้ง
สถานีบริ การน้ ามัน กิจการโรงแรม ที่พกตากอากาศ เพื่อหารายได้เข้ามาสู่
ั
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นของตนเองได้นอกเหนือ จากรายได้หลักของ
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ยังรวมถึงรายได้จากการเก็บภาษีอากร
ค่าธรรมเนียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าบริ การบางประเภท การจัดหา
ผลประโยชน์จากทรัพย์สิน การจาหน่ายพันธบัตร และเงินกูเ้ ป็ นต้น
- 33. • 3. กฎหมายส่ วนที่มิได้ บัญญัติขนหรื อที่แต่เดิมเคยเรี ยกว่ากฎหมาย
ึ้
ประเพณี หรื อบางทีเรี ยกว่ากฎหมายที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อกษร ได้แก่จารี ต
ั
ประเพณี หลักกฎหมายทัวไป
่
3.1 กฎหมายจารี ตประเพณี
ตามประวัติศาสตร์ น้ นจารี ตประเพณี ถูกใช้บงคับเป็ นกฎหมายตั้งแต่แรก
ั
ั
ก่อนที่สังคมจะรวมเป็ นรัฐและมีตวอักษรขึ้นใช้ จารี ตประเพณี เป็ นกฎหมาย
ั
ที่สาคัญยิง การบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อกษรพึ่งเกิดมาในภายหลัง บาง
ั
่
ประเทศมีการบันทึกกฎหมายจารี ตประเพณี เป็ นลายลักษณ์อกษร เพื่อ
ั
ประโยชน์ในการสื บทอดและขจัดข้อสงสัย
- 34. •
็
อย่างไรก็ดีแม้ปัจจุบนกฎหมายลายลักษณ์อกษรจะมีความ สาคัญที่สุดแต่กจะ
ั
ั
ขาดกฎหมายจารี ตประเพณี ไม่ได้ เพราะระบบกฎหมายใดๆ ก็ตามจะมีแต่
กฎหมายลายลักษณ์อกษรล้วนๆ โดยไม่มีกฎหมายจารี ตประเพณี เลยไม่ได้
ั
เพราะแม้กฎหมายลายลักษณ์อกษรจะพยายามบัญญัติให้กว้างขวางเพียงใด ก็
ั
ตามก็ไม่สามารถครอบคลุมเนื้อหาได้ทุกเรื่ อง จึงยังต้องอาศัยกฎหมายจารี ต
ประเพณี เป็ นบทประกอบให้สมบูรณ์ดวยอยูเ่ สมอ ตัวอย่างเช่น ในประมวล
้
กฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา 4 วรรคสอง บัญญัติเป็ นหลักการที่ใช้
ทัวไปว่า ในการใช้กฎหมายเมื่อไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อกษรที่จะยกมาปรับ
ั
่
คดีได้จะต้องใช้จารี ตประเพณี
- 35. • กฎหมายจารี ตประเพณี ซ่ ึ งเป็ นกฎหมายที่ไม่ได้เป็ นลายลักษณ์อกษร แต่เป็ น
ั
กฎหมายที่ราษฎรรู ้สึกกันทัวไปว่าเป็ นกฎหมายและรัฐได้ใช้ขอ บังคับเช่นว่า
้
่
นี้เสมือนกฎหมายในรู ปลักษณะเดียวกันตลอดมา ตัวอย่างเช่น การชกมวย
ถ้านักมวยชกมวยภายใต้กติกาชกมวย แม้จะทาให้คู่ต่อสู ้อีกฝ่ ายหนึ่ งถึงแก่
ความตาย ก็ไม่มีใครรู ้สึกว่าผูชกมวยมีความผิดฐานฆ่าคนตาย นอกจากนี้
้
แพทย์ที่ตดแขนขาคนไข้ โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมไม่มีความรู ้สึกว่า
ั
แพทย์ทาผิดฐานทาร้าย ร่ างกายจนรับอันตรายสาหัสและไม่เคยปรากฎว่าได้
มีการฟ้ องร้อง นักมวยหรื อแพทย์ตามตัวอย่างดังกล่าวเลย ซึ่ งความจริ งนั้นไม่
มีกฎหมายใดอนุญาตให้นกมวยหรื อแพทย์ทาได้ แต่มีกฎหมายจารี ตประเพณี
ั
อนุญาตให้ทาได้ เหตุที่ทาให้กฎมายจารี ตประเพณี ใช้บงคับได้ในประเทศนั้น
ั
มีความเห็นอธิ บายไว้แตกต่างกัน ความเห็นที่สาคัญๆได้แก่
- 36. • ก. กฎหมายจารี ตประเพณี ใช้บงคับได้ เพราะราษฎรมีเจตจานงที่จะให้ใช้บงคับ
ั
ั
่
เป็ นกฎหมาย ความเห็นนี้ยอมจะใช้ได้และมีเหตุผลสนับสนุนในเฉพาะประเทศที่มี
การปกครองระบบประชาธิปไตย ซึ่ งถือว่าเจตจานงของราษฎรที่เป็ นเจ้าของอานาจ
อธิไตยย่อมเป็ นสิ่ งสาคัญที่สุดเท่านั้น ซึ่งถือว่าเจตจานงของราษฎรที่เป็ นเจ้าของ
อานาจอธิปไตยย่อมเป็ นสิ่ งสาคัญที่สุดเท่านั้น กล่าวคือเมื่อราษฎรมีเจตจานงให้ใช้
ข้อบังคับใดเป็ นกฎหมาย ข้อบังคับนั้นกฎใช้เป็ นกฎหมายได้ในฐานะเป็ นกฎหมาย
จารี ตประเพณี
ข. กฎหมายจารี ตประเพณี ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้ เพราะผูมีอานาจบัญญัติ
ั
้
่
กฎหมายยอมรับกฎหมายจารี ตประเพณี โดยดุษณี ภาพ ความเห็นนี้ยอมใช้ได้
สาหรับรัฐที่มีระบอบการปกครองทุกระบอบ กล่าวคือในรัฐที่มีระบอบการ
ปกครองสมบูรณาญาสิ ทธิราชย์ ซึ่งอานาจอธิปไตยเป็ นของพระมหากษัตริ ย ์
่
กฎหมายจารี ตประเพณี ยอมใช้ได้เพราะพระมหากษัตริ ย ์ ทรงยอมให้ใช้เป็ น
กฎหมาย ในประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย กฎหมายจารี ตประเพณี
ย่อมใช้เป็ นกฎหมายได้ เพราะรัฐสภาและประมุขแห่งรัฐยอมให้ใช้กฎหมายจารี ต
ประเพณี เป็ นกฎหมายได้
- 37. • ค. กฎหมายจารี ตประเพณี ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้ เพราะราษฎรได้มี
ั
ความเห็นจริ งว่าข้อบังคับนั้นๆ เป็ นกฎหมาย ทั้งนี้คือว่าการที่ได้ใช้ขอบังคับ
้
่
นั้นเป็ นกฎหมายเป็ นเวลานานนั้นเป็ นแต่เพียงข้อพิสูจน์วา ได้เกิดมีความจริ ง
่
ของราษฎรว่าข้อบังคับนั้นเป็ นกฎหมายเท่านั้น ความสาคัญอยูที่ความเห็น
่
จริ งของราษฎร ความเห็นอันนี้ยอมใชได้และมีเหตุผลสนับสนุนเฉพาะใน
ประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่ งอานาจสู งสุ ดเป็ นของ
ราษฎรทั้งหลายเท่านั้น
ง. กฎหมายจารี ตประเพณี ใช้บงคับเป็ นกฎหมายได้ เพราะได้มีการใช้
ั
กฎหมายจารี ตประเพณี เป็ นกฎหมายจริ งๆ ในประเทศในรู ปลักษณะเดียวกัน
และต่อเนื่องกันมาช้านาน ความเห็นนี้ใช้ได้และมีเหตุผล สนับสนุนสาหรับ
รัฐที่มีการปกครองทุกระบอบเพราะจะเป็ นรัฐที่มีการปกครองระบอบใดก็
ตาม ถ้าใช้กฎหมายจารี ตประเพณี เป็ นกฎหมายจริ งๆ ในรู ปลักษณะเดียวกัน
และต่อเนื่องกันมาช้านานแล้วกฎหมายจารี ตประเพณี น้ นก็ใช้บงคับได้ ซึ่ ง
ั
ั
เรื่ องนี้จะต้องเข้าลักษณะ 3 ประการดังต่อไปนี้
- 38. • (1) ได้ใช้กฎหมายจารี ตประเพณี น้ นในรู ปลักษณะเดียวกัน เช่นการชกมวย
ั
ที่เป็ นไปตามกติกาชกมวย ไม่เป็ นความผิด
(2) ได้ใช้กฎหมายนั้นติดต่อกันเรื่ อยมา ในรู ปลักษณะเดียวกันมาช้านาน
(3) ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อกษรที่บญญัติ ภายหลังบัญญัติแย้งหรื อขัดกับ
ั
ั
กฎหมายจารี ตประเพณี เช่นว่านั้น
อย่างไรก็ดี เหตุที่กฎหมายจารี ต ประเพณี น้ นใช้บงคับได้ในประเทศน่าจะ
ั
ั
่
ได้แก่ความเห็นข้อ ค. และ ข้อ ง. ประกอบกัน กล่าวคือ เพราะเหตุวา
ราษฎรได้เห็นจริ งว่าข้อบังคับนั้นๆ เป็ นกฎหมายจารี ตประเพณี และได้มีการ
ใช้กฎหมายจารี ตประเพณี น้ นเป็ นกฎหมายจริ งๆ ในประเทศในรู ปลักษณะ
ั
เดียวกันและต่อเนื่องกันมาช้านาน ซึ่ งสามารถ สรุ ปลักษณะสาคัญของ
กฎหมายจารี ตประเพณี ดงนี้
ั
1. เป็ นจารี ตประเพณี ที่ประชาชนได้ปฏิบติกนมานานและสม่าเสมอ
ั ั
2. ประชาชนมีความรู ้สึกว่าจารี ตประเพณี เหล่านั้นเป็ นสิ่ งที่ถกต้องและ
ู
จะต้องปฏิบติตาม
ั
- 39. • 3.2 หลักกฎหมายทัวไป
่
หลักกฎหมายทัวไป หมายถึงหลักกฎหมายทัวไป ตาม ปพพ. มาตรา 4
่
่
วรรคสอง มีปัญหาว่าเราจะหาหลักกฎหมายทัวไปซึ่ งเป็ นกฎหมายที่ไม่เป็ น
่
ลาย ลักษณ์อกษรนี้ได้จากที่ไหน เรื่ องนี้มีความเห็นที่แตกต่างกัน 2 ประการ
ั
ดังนี้
่ ั่
่
ความเห็นที่หนึ่ ง เห็นว่าหลักกฎหมายที่มีอยูทวไป ไม่จากัดว่าอยูที่ใดขอให้
็
เป็ นหลักกฎหมายที่เอามาตัดสิ นได้กแล้วกัน เช่น สุ ภาษิตกฎหมาย ตัวอย่าง
สุ ภาษิตกฎหมายที่ศาลนามาเป็ นที่มาของกฎหมายเช่น "กรรมเป็ นเครื่ องชี้
เจตนา" "ความยินยอมไม่ทาให้เป็ นละเมิด" "ผูรับโดนไม่มีสิทธิ ดีกว่าผู ้
้
โอน" "ในระหว่างผูสุจริ ตด้วยกัน ผูประมาทเลินเล่อย่อมเป็ นผูเ้ สี ยเปรี ยบ"
้
้
เป็ นต้น
- 40. • ข้อวิจารณ์ ความเห็นที่หนึ่งนี้เป็ นความเห็นที่ไม่มีขอบเขต ทาให้หลักเกณฑ์ที่นามา
ปรับคดีเป็ นสิ่ งที่ไม่แน่นอน ซึ่งขัดต่อวิสยของวิชานิติศาสตร์ ที่พยายามทาให้
ั
่
กฎหมายมีความแน่นอนเพื่อเป็ นเครื่ องชี้วาอะไรผิดอะไรถูก อีกประการหนึ่ง
ความเห็นนี้เปิ ดโอกาสให้นาเอาหลักกฎหมายหรื อบทบัญญัติของ ระบบกฎหมาย
อื่นมาใช้และหลักกฎหมายหรื อบทบัญญัติน้ นๆ อาจมีลกษณะขัดแย้งกับหลักหรื อ
ั
ั
เจตนารมณ์ของกฎหมายก็ได้ หากเป็ นเช่นนั้นก็ จะก่อให้เกิดความสับสนในระบบ
กฎหมายนั้นได้ความเห็นนี้จึงไม่น่าจะเป็ นความเห็นที่ถูกต้อง เช่น นาหลักผูรับ
้
ั
โอนไม่มีสิทธิดีกว่าผูโอนมาใช้กบกฎหมาย ทั้งที่ตวบทบัญญัติ มาตรา 1303
้
ั
่
บัญญัติวา "ถ้าบุคคลหลายคนเรี ยกเอาสังหาริ มทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลัก
่
กรรมสิ ทธิ์ไซร้ ท่านว่าทรัพย์สินตกอยูในครอบครองของบุคคลใด บุคคลนั้นมี
่
สิ ทธิยงกว่าบุคคลอื่นๆ แต่ตองได้ทรัพย์น้ นมาโดยมีคาตอบแทน และได้การ
ิ่
้
ั
ครอบครองโดยสุ จริ ต" ซึ่ งเป็ นบทบัญญัติคุมครองผูรับโอนที่เสี ยหายและสุ จริ ต
้
้
และบัญญัติไปในทาง ตรงกันข้ามกับหลักผูรับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผูโอน
้
้
- 41. ่
• ความเห็นที่สอง เห็นว่าหลักกฎหมายทัวไป หมายถึง หลักกฎหมายที่มีอยูในระบบ
่
กฎหมายของประเทศนั้นโดยค้นหาได้จาก กฎหมายที่เป็ นลายลักษณ์อกษรของประเทศ
ั
นั้นเอง เช่นประมวลกฎหมาอาญา ประมวลกฎหมายแพ่ง หรื อกฎหมายลายลักษณ์อกษร
ั
่
อื่นที่มีหลักใหญ่พอที่จะทาเป็ นหลักอ้างอิงได้ บทบัญญัติที่มีอยูมากมายโดยปกติเกิดจาก
หลักทัวไปเพียงไม่กี่หลัก หากได้ศึกษาประวัติความเป็ นมาของหลักกฎหมายและ
่
การศึกษาพิเคราะห์ตวบทหลายๆมาตราให้ดีจริ งๆ ก็จะพบหลักใหญ่ที่อยูเ่ บื้องหลัง
ั
บทบัญญัติเหล่านั้น หลักใหญ่น้ ีเป็ นหลักกฎหมายทัวไปที่นามาปรับคดีได้
่
ตัวอย่างในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์เรื่ องนิติกรรมสัญญา มีหลักว่า "บุคคลต้อง
ปฏิบติตามสัญญา" ภาษาลาติน เรี ยกว่า "PACTA SUNT SERVANDA"
ั
่
หลักอันนี้เกิดจากหลักทางศีลธรรมที่วา "เมื่อพูดให้สญญาแล้วต้องรักษาคาพูด เป็ นหลัก
ั
กฎหมายทัวไปที่อยูเ่ บื้องหลังมาตราต่างๆ ปพพ. เรื่ องนิติกรรมสัญญา หรื อหลักปฎิเสธ
่
ไม่ตองผูกพันตามสัญญา เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ภาษาลาติน เรี ยกว่า
้
"CLAUSULA REBUS SIC STANIBIS" และถ้าหากศึกษา ปพพ.
มาตรา 1303 1329 1330 1331 1332 ก็จะพบว่ามาตราเหล่านี้มีหลัก
่
ร่ วมกันอยูคือ "หลักคุมครองบุคคลที่สามผูกระทาการโดยสุ จริ ต" ดังนี้
้
้
- 42. • มาตรา 1303 "ถ้าบุคคลหลายคนเรี ยกเอาสังหาริ ม ทรัพย์เดียวกันโดย
่
อาศัยหลักกรรมสิ ทธิ์ ต่างกันไซร้ ท่านว่าทรัพย์สินตกอยูในครอบครองของ
บุคคลใดบุคคลนั้นมีสิทธิ ยงกว่าบุคคลอื่นๆ แต่ตองได้ทรัพย์น้ นมาโดยมี
ิ่
้
ั
่
ค่าตอบแทนและได้การครอบครองโดยสุ จริ ต นั้นท่านว่ามิเสี ยไปถึงแม้วาผู ้
โอนทรัพย์สินให้จะได้รับทรัพย์สินนั้นมาโดยนิ ติกรรมอันเป็ นโมฆียะ และ
นิติกรรมนั้นได้ถกบอกล้างภายหลัง"
ู
มาตรา1330 "สิ ทธิ ของบุคคลผูซ้ื อทรัพย์สินโดยสุ จริ ต ในการขาย
้
ทอดตลาดตามคาสั่งศาล หรื อ คาสังเจ้าพนักงานรักษkทรัพย์ในคดีลมละลาย
้
่
่
นั้นท่านว่ามิเสี ยไป ถึงเเม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้วาทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจาเลย
หรื อลูกหนี้โดยคาพิพากษาหรื อผูลมละลาย"
้้
มาตรา 1331 "สิ ทธิ ของบุคคลผูได้เงินตรามาโดยสุ จริ ตนั้น ท่านว่ามิเสี ย
้
่
ไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้วาเงินนั้นมิใช่ของบุคคลซึ่ งได้โอนให้มา"
- 43. • มาตรา 1332 "บุคคลซื้อทรัพย์สินมาโดยสุ จริ ตในการขายทอดตลาดหรื อใน
ท้องตลาด หรื อจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จาต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริ งเว้น
แต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซ้ือมา"
หรื อถ้าพิเคราะห์มาตรา 1337 1341 1342 1343 1349 1352
1355 ก็จะพบหลักความเป็ นเพื่อนบ้านที่ดีเป็ นต้น
มีปัญหาว่าถ้าหาหลักกฎหมายทัวไปในตัวบทกฎหมายลายลักษณ์อกษรมาปรับคดี
ั
่
่่
ไม่ได้ ศาลจะหากฎหมายจากที่ไหนมาตัดสิ น เพราะมีหลักอยูวาศาลจะปฎิเสธ ไม่
พิจารณาโดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายหรื อกฎหมายไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ในกรณี เช่นนี้ตอง
้
ค้นหาหลักกฎหมายทัวไปจากหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ
่
(NATURAL JUSTICE) ซึ่ งได้แก่ความเป็ นธรรมหรื อความรู้สึกชอบ
่
ชัวดีที่มีอยูในจิตใจของมนุษย์ (REASON OF MAN) และจากหลัก
่
เหตุผลของเรื่ อง (NATURE OF THINGS)
- 44. ขอบเขตที่กฎหมายบังคับใช้
่
• 1. กฎหมายใช้ เมือใดหลักในเรื่ องเวลาที่กฎหมายใช้บงคับมีวา เมื่อได้
่
ั
ประกาศใช้กฎหมายแล้วกฎหมายนั้นเองย่อมจะระบุเวลาที่จะใช้บงคับแห่ ง
ั
่
กฎหมายนั้นไว้ ดังจะเห็นได้วาโดยปกติพระราชบัญญัติจะใช้บงคับตั้งแต่วน
ั
ั
ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็ นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมี
โอกาสทราบข้อความของกฎหมายล่วงหน้าหนึ่ งวัน แต่พระราชบัญญติหรื อ
กฎหมายอย่างอื่นอาจกาหนดวันใช้เป็ นอย่างอื่นได้ เช่น ในกรณี รีบด้วยให้ใช้
ตั้งแต่วนประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรื อให้ใช้ยอนหลังขึ้นไป หรื อให้ใช้
ั
้
ในอนาคตโดย
(1) กาหนดวันใช้ไว้แน่นอน หรื อ
(2) กาหนดให้ใช้เมื่อระยะเวลาหนึ่ งล่วงพ้นไป
- 45. • เช่นเมื่อพ้นสามสิ บวันนับแต่วนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็ นต้นไป
ั
ในกรณี ที่กฎหมายไม่ได้ กาหนดวันใช้บงคับลงไว้ดงที่กล่าวมาข้างบนนี้ ก็ตองเป็ นไป
ั
ั
้
่
ตามหลักที่วา "กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง" หลักกฎหมายไม่มีผลย้อน หลังนี้หมายความ
ว่ากฎหมายจะใช้บงคับแก่กรณี ที่เกิดขึ้นในอนาคต นับตั้งแต่วนที่ประกาศใช้กฎหมายเป็ น
ั
ั
ต้นไปเท่านั้น และกฎหมายจะไม่บงคับแก่การกระทา หรื อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ั
วันใช้บงคับแห่งกฎหมาย เช่น ในวันที่ 1 เมษายน การกระทาอันหนึ่งเช่นการชุมนุม
ั
่
สาธารณะไม่มีกฎหมายบัญญัติวาเป็ นความผิด ถ้ากฎหมายที่ประกาศใช้ในวันที่ 5
เมษายน จะกาหนดว่าการชุมนุมเป็ นความผิดเว้นแต่จะได้รับอนุญาต การชุมนุม
สาธารณะในวันที่ 1 เมษายนก็หาเป็ นความผิดไม่ เพราะกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง แต่ถา
้
กฎหมายจะย้อนหลังไปใช้บงคับแก่การกระทาก่อนวันที่ 2 เมษา ยน ซึ่งเป็ นวัน
ั
่
ประกาศใช้กฎหมายนั้น ก็จะเห็นได้วาเป็ นกรณี ที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลย้อนหลังซึ่ง
จะต้องกาหนดการมีผลย้อนหลังนี้ไว้ในกฎหมายให้ชดเจน ทั้งนี้คือว่าการที่กฎหมายจะมี
ั
ผลย้อนหลังนั้นเป็ นข้อยกเว้น และ จะยกเว้นได้ภายใด้ภายใต้เงื่อนไขสองประการ
ดังต่อไปนี้
- 46. • ก. ต้องระ บุลงใว้ชดเจนในกฎหมายนั้นเองว่าให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง
ั
ข. การ บัญญัติให้ยอนหลังนั้นต้องไม่แย้งหรื อขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย เช่น
้
มาตรา 32 แห่ งรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พศ.2540 บัญญัติ
ว่า "บุคคลจะไม่ตองรับโทษอาญา เว้นแต่จะได้กระทาการอันกฎหมายที่ใช้
้
่
อยูใน เวลาที่กระทานั้นบัญญัติไว้เป็ นความผิด และกาหนดโทษไว้และโทษ
่
ที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กาหนดไว้ใน กฎหมายที่ใช้อยูในเวลา
ที่กระทาความผิดมิได้" ทั้งนี้ เป็ นการวางหลัก 2 ประการคือ
(1) ไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย และ
(2) ออกกฎหมายย้อนหลังเพิ่มโทษบุคคลให้สูงขึ้น ซึ่ งเป็ นการห้าม
ก. ออกกฎหมายย้อนหลังเป็ นการลงโทษบุคคล และ
ข. ออกกฎหมายย้อนหลังเพิ่มโทษบุคคลให้สูงขึ้น เพราะเป็ นการลงโทษ
่
บุคคลสู งกว่าที่กฎหมายซึ่ งใช้อยูในเวลาที่กระทาความผิดได้กาหนดไว้
- 47. ่
• 2. กฎหมายใช้ ทไหนหลักมีวากฎหมายไทยย่อมใช้บงคับเฉพาะแต่ใน
ี่
ั
ราชอาณาจักร ซึ่ งหมายความถึงให้ใช้บงคับแก่การกระทาหรื อเหตุการณ์ที่
ั
เกิดขึ้นภายในราชอาณาจักร ซึ่ งการแสดง "หลักดินแดน" ดังปรากฎใน
่ ้
มาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่ งบัญญัติวา "ผูใดกระทาความผิดใน
ราชอาณาจักร ต้องรับโทษตามกฎหมาย.."
ราชอาณาจักร หรื อคาว่า "ดินแดน" มิได้มีความหมายเฉพาะส่ วนที่เป็ น
แผ่นดินเท่านั้น ราชอาณาจักร ยังหมายถึง
่
1. พื้นดินและพื้นน้ า เช่น ภูเขา แม่น้ า ลาคลอง หนอง บึง ซึ่ งอยูในอาณาเขต
ประเทศไทย
2. ทะเลอันเป็ นอ่าวไทย ตามพระราชบัญญัติกาหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทย
ตอนใน พศ.2502
3. ทะเลอันห่างจากฝั่งที่เป็ นดินแดนของประเทศไทยไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล
ตามประกาศกาหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตของประเทศไทย
- 48. • 4. อากาศเหนือ 1,2,3
ในบางกรณี กฎหมายอาจกาหนดขยายเขตอานาจของรัฐให้รวมถึงการกระทา
อย่างหนึ่ งอย่างใด ที่เกี่ยวข้องระหว่างภายในและภายนอกราชอาณาจักรอัน
อาจมีผลกระทบกระเทีอนความสงบสุ ขภายในราชอาณาจักรได้ กฎหมายก็
ให้ถือว่าการกระทาความผิดดังกล่าวเป็ นการกระทาความผิดใน
ราชอาณาจักรดัวย ได้แก่
1. ความผิดที่กระทาในเรื อไทยหรื ออากาศยานไทย (ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 4 วรรคสอง)
2. ความผิดที่คาบเกี่ยวกันในหลายพื้นที่ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5
มาตรา 6) ได้แก่กรณี
- 49. - ความผิดที่ได้กระทาแม้แต่ส่วนหนึ่ งส่ วนใดได้กระทาในราชอาณาจักร
- ผลแห่งการกระทาเกิดในราชอาณาจักร
- การตระเตรี ยมหรื อพยายามกระทาการนอกราชอาณาจักร ซึ่ งผลจะเกิดขึ้น
ในราชอาณาจักร
- กรณี ผกระทาหลายคนนอกราชอาณาจักร ในความผิดที่ได้กระทาใน
ู้
ราชอาณาจักรหรื อ ที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทาในราชอาณาจักร
ข้อยกเว้นหลักดินแดน