More Related Content
Similar to jn40kcvr8c6gfn9phvtkttaln141211.pdf
Similar to jn40kcvr8c6gfn9phvtkttaln141211.pdf (19)
More from PawachMetharattanara
More from PawachMetharattanara (20)
jn40kcvr8c6gfn9phvtkttaln141211.pdf
- 1. 1
41211 กฎหมายแพง 1 (Civil Law1)
หนวยที่ 1 การใชการตีความกฎหมายและบททั่วไป
1. วิชานิติศาสตรเปนวิชาที่มีหลักเกณฑพื้นฐานหลายประการ ที่ผูศึกษากฎหมายจําเปนตองศึกษา
หลักเกณฑพื้นฐานทางความคิดเหลานี้ ซึ่งจะชวยทําใหการศึกษากฎหมายเปนไปอยางมีหลักเกณฑ และ
มีความคิดที่เปนระบบ
2. การศึกษากฎหมายก็เพื่อใชกฎหมาย และในการใชกฎหมายนั้นก็จําเปนจะตองมีการตีความ
กฎหมายโดยผูที่ใชกฎหมายดวย
3. หลักเกณฑที่สําคัญประการหนึ่งของกฎหมายก็คือกฎหมายจะกําหนดสิทธิและหนาที่ของบุคคล
และบุคคลผูมีสิทธินั้นก็ตองใชสิทธิใหถูกตอง
4. ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ 1 หลักทั่วไป ไดบัญญัติบทเบ็ดเสร็จทั่วไป ซึ่งเปน
หลักเกณฑทั่วไปที่อาจนําไปใชกับกรณีตางๆ ไวในลักษณะ 1
1.1 การใชและการตีความกฎหมาย
1. การใชกฎหมายมีความหมาย 2 ประการ คือ การบัญญัติกฎหมายตามที่กฎหมายแมบทให
อํานาจไวประการหนึ่ง และการใชกฎหมายกับขอเท็จจริงอีกประการหนึ่ง
2. การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงนั้นผูเกี่ยวของ และไดรับผลจากกฎหมายก็อยูในฐานะที่เปนผูใช
กฎหมายทั้งสิ้น
3. การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงยังอาจแบงเปนการใชโดยตรงและโดยเทียบเคียง
4. การตีความกฎหมายของกฎหมายแตละระบบ หรือแตละประเทศก็มีการตีความที่แตกตางกัน
และกฎหมายแตละประเภทกันก็ยังมีหลักเกณฑในการตีความที่แตกตางกัน
5. กฎหมายที่ใชอยูอาจมีชองวางในการใชกฎหมายเกิดขึ้น จึงตองมีการอุดชองวางของกฎหมาย
ซึ่งกฎหมายนั้นอาจกําหนดวิธีการไวหรือบทกฎหมายมิไดกําหนดวิธีการไว ก็ตองเปนไปตามหลักทั่วไป
1.1.1 การใชกฎหมาย
การใชกฎหมายมี 2 ประเภท คือ การใชกฎหมายโดยตรงและ การใชกฎหมายโดย
เทียบเคียง
การใชกฎหมายกับขอเท็จจริงโดยตรงกับการใชโดยเทียบเคียงเกิดขึ้นพรอมกันได การใช
กฎหมายโดยตรงตองเริ่มจากตัวบทกฎหมายกอน โดยการศึกษากฎหมายในเรื่องนั้นๆ เพื่อใหรูถึง
ความหมายหรือเจตนารมยของกฎหมายกอน แลวจึงมาพิจารณาวาตัวบทกฎหมายนั้นสามารถปรับใชกับ
ขอเท็จจริงไดหรือไม การใชกฎหมายโดยการเทียบเคียง กฎหมายที่บัญญัติไวเปนลายลักษณอักษรแม
พยายามใหรอบคอบเพียงใดบอยครั้งพบวาขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นไมมีกฎหมายลายลักษณอักษรที่บัญญัติไว
โดยตรงที่สามารถยกมาปรับแกคดีได จําเปนตองหากฎหมายมาใชปรับแกคดีใหได โดยพยายามหา
กฎหมายที่ใกลเคียงอยางยิ่งที่พอจะใชปรับแกขอเท็จจริงนั้นๆ
1.1.2 การตีความกฎหมาย
การตีความตามเจตนารมณกับการตีความตามตัวอักษร การตีความในกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ
กฎหมายมีความกํากวมไมชัดเจน หรืออาจแปลความหมายไปไดหลายทางการตีความตามกฎหมายจะแยก
พิจารณาจะตองแยกพิจารณาออกเปน หลักการตีความกฎหมายทั่วไป กับหลักการตีความกฎหมายพิเศษ
หลักเกณฑการตีความกฎหมายทั่วไป เปนการหาความหมายที่แทจริงของกฎหมาย
จําเปนตองพิเคราะหตัวกฎหมายและเหตุผลที่อยูเบื้องหลังของกฎหมาย หรือเจตนารมยของกฎหมาย การ
พิเคราะหกฎหมายมี 2 ดาน คือ
(1) พิเคราะหตัวอักษร
(2) พิเคราะหเจตนารมย หรือเหตุผลหรือความมุงหมายของกฎหมาย
การตีความตามกฎหมายพิเศษ มีหลักการตีความของตนเองโดยเฉพาะ
หลักเกณฑในการหาเจตนารมณของกฎหมาย มีหลักเกณฑบางประการที่จะชวยหา
เจตนารมณบางประการของกฎหมายหลักคือ
1) หลักที่ถือวากฎหมายมีความมุงหมายที่จะใชบังคับไดในบางกรณี กฎหมายอาจแปล
ความไดหลายนัย ทําใหกฎหมายไรผลบังคับ ปญหาวาเจตนารมณของกฎหมายจะใชความหมายใดตอง
ถือวากฎหมายมีเจตนาจะใหมีผลบังคับไดจึงตองถือเอานัยที่มีผลบังคับได
2) กฎหมายที่เปนขอยกเวนไมมีความมุงหมายที่จะใหขยายความออกไป กลาวคือ
กฎหมายที่เปนบทยกเวนจากบททั่วไปหรือกฎหมายที่เปนบทบัญญัติตัดสิทธินั้นหากมีกรณีที่แปลความได
- 2. 2
อยางกวางหรืออยางขยาย กับแปลความอยางแคบ ตองถือหลักแปลความอยางแคบเพราะกฎหมาย
ประเภทนี้ไมมีความมุงหมายใหแปลความอยางขยายความ
การตีความกฎหมายทั่วไปกับการตีความตามกฎหมายเฉพาะ มีหลักเกณฑตางกัน คือการตีความ
กฎหมายโดยทั่วไป คือการหาความหมายที่แทจริงของกฎหมาย ซึ่งจําเปนตองพิเคราะหตัวกฎหมาย และ
เหตุผลที่อยูเบื้องหลังของกฎหมาย หรือเจตนารมณของกฎหมาย การตีความกฎหมายตองพิเคราะห 2
ดานคือ (1) พิเคราะหตัวอักษร และ (2) พิเคราะหเจตนารมย หรือเหตุผลหรือความมุงหมายของกฎหมาย
การแสวงหาเจตนารมณของกฎหมายมีทฤษฎี 2 ทฤษฎี คือ (ก) ทฤษฎีอัตตวิสัย หรือทฤษฎีอําเภอจิต (ข)
ทฤษฎีภววิสัย หรือทฤษฎีอําเภอการณ
การตีความกฎหมายพิเศษ มีหลักเกณฑการตีความของตนเองโดยเฉพาะ จะนําหลักทั่วไปในการ
ตีความมาใชโดยดวยมิได เชนกฎหมายพิเศษไดแก กฎหมายอาญา ซึ่งมีหลักเกณฑพิเศษคือ
(1) กฎหมายอาญาเปนกฎหมายที่กําหนดความผิดและโทษจึงตองตีความเครงคัด
(2) จะตีความโดยขยายความใหเปนการลงโทษหรือเพิ่มโทษผูกระทําผิดใหหนักขึ้นไมได
หลักการตีความตองตีความตามตัวอักษรกอนหากตัวอักษรมีถอยคําชัดเจนก็ใชกฎหมายไปตามนั้น
แตหากตัวอักษรไมชัดเจนหรือมีปญหา จึงมาพิจารณาความมุงหมายหรือเจตนารมยของกฎหมายนั้น ไป
พรอมๆ กัน เปนหลักการตีความ ไมใชถือหลักวาหากตัวอักษรไมมีปญหาแลวก็ตองพิจารณาถึงเจตนารมย
เลยซึ่งเปนเรื่องไมถูกตอง
1.1.3 การอุดชองวางของกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ไดกําหนดวิธีอุดชองวางของกฎหมายไวในมาตรา 4
1.2 สิทธิและการใชสิทธิ
1. สิทธิเปนสถาบันหลักในกฎหมาย เมื่อกฎหมายกําหนดสิทธิแลวจะตองมีบุคคลผูมีหนาที่ที่
จะตองปฏิบัติหรือตองไมปฏิบัติเพื่อใหเปนไปตามสิทธิของผูทรงสิทธินั้น
2. สิทธิอาจแบงออกไดเปนสิทธิตามกําหมายมหาชน และสิทธิตามกฎหมายเอกชน ซึ่งแตละ
ประเภทยังอาจแบงออกยอยๆ ไดอีก
3. การมีสิทธิกับการใชสิทธิมีความแตกตางกัน การใชสิทธิก็ตองเปนไปตามหลักเกณฑของ
กฎหมาย เชน ตองใชสิทธิโดยสุจริต
1.2.1 สิทธิและแนวคิดเรื่องสิทธิ
สิทธิ ตามความเห็นของ ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย คือ ประโยชนที่กฎหมายรับรองและ
คุมครองให สิทธิเปนทั้งอํานาจ และเปนทั้งประโยชน จึงถือไดวา สิทธิ คือ อํานาจที่กฎหมายใหเพื่อให
สําเร็จประโยชนที่กฎหมายคุมครอง
สิทธิคือ อํานาจที่กฎหมายรับรองใหแกบุคคลในอันที่จะกระทําการเกี่ยวของกับทรัพยสิน
หรือบุคคลอื่น เชน อํานาจที่กฎหมายรับรองใหแกบุคคลในอันที่จะเรียกรองใหบุคคลอีกบุคคลหนึ่งกระทํา
การหรืองดการกระทําบางอยางเพื่อประโยชนแกตน เชนเรียกใหชําระหนี้ เรียกใหงดเวนการประกอบ
กิจการแขงขันกับตนหรือการมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งกรรมสิทธิ์ที่แทจริงแลวก็คืออํานาจของผูที่จะเปนเจาของใน
อันที่จะใชสอยแสวงหาประโยชนจากทรัพยสิน ตลอดจนจําหนาย จาย โอน หามผูอื่นเขามาใชสอย
เกี่ยวของสัมพันธกับหนาที่คือ สิทธิและหนาที่เปนของคูกัน เมื่อกฎหมายกําหนดรับรองสิทธิของผูใดแลวก็
เกิดมีหนาที่แกบุคคลซึ่งตองกระทําหรืองดเวนการกระทําบางอยางตามสิทธิที่กฎหมายรับรอง คุมครอง
ใหแกบุคคลนั้น เชน กฎหมายรับรองสิทธิในชีวิต ก็กอใหเกิดหนาที่แกบุคคลอื่นที่จะตองไมไปฆาเขา
กฎหมายรับรองสิทธิในรางกาย ก็กอหนาที่แกบุคคลอื่นที่จะไมไปทํารายเขา กฎหมายรับรองสิทธิในหนี้
ของเจาหนี้ ก็กอใหเกิดสิทธิแกลูกหนี้ที่จะตองชําระหนี้
เสรีภาพ ไดแกภาวะของมนุษยที่ไมอยูภายใตการครอบงําของผูอื่น หรือภาวะที่ปราศจาก
การหนวงเหนี่ยวขัดขวาง เสรีภาพจึงเปนเรื่องของบุคคลที่จะกําหนดตนเองจะกระทําการใดๆ โดยตนเอง
โดยอิสระปราศจากการแทรกแซงขัดขวางจากภายนอก เสรีภาพมีลักษณะตางจากสิทธิหลายประการ
ไดแก
(1) ทั้งสิทธิและเสรีภาพกอใหเกิดหนาที่แกผูอื่นที่จะตองเคารพแตสิทธิ อาจกอใหเกิดหนาที่
แกบุคคลทั่วไปก็ได เชน มีสิทธิในทรัพยสิน กอใหเกิดหนาที่แกบุคคลที่จะตองเคารพในสิทธินี้ไมเขาไป
ขัดขวางการใชสอย ไมถือเอามาเปนของตน แตเสรีภาพกอใหเกิดหนาที่แกบุคคลทั่วไปจะตองเคารพ เชน
เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในรางกายก็กอใหเกิดหนาที่แกบุคคลทั่วไปที่จะตองเคารพ
(2) หนาที่ซึ่งเกิดจากสิทธินั้นอาจเปนหนาที่ ที่ตองกระทําหรืองดเวนการกระทํา เชนสิทธิใน
ทรัพยสิน กอใหเกิดหนาที่งดเวนไมเขาแทรกแซงการใชสอย ไมยุงกับทรัพยสินของเขา ผูเอาทรัพยสิน
ของเขาไปก็มีหนาที่ตองกระทําคือตองสงคืนเขา หนาที่ที่เกิดจากเสรีภาพ กอใหผูอื่นมีหนาที่ตองงดเวน
- 3. 3
กระทําคือไมเขาขัดขวางหรือไมเขาแทรกแซงเสรีภาพของเขา เชน เสรีภาพในการนับถือศาสนา ผูอื่นก็มี
หนาที่ที่จะไมขัดขวางตอการนับถือศาสนาของเขา
(3) เสรีภาพนั้นกลาวกันมากในกฎหมายมหาชน เชนในรัฐธรรมนูญแหงราชอนาจักรไทย
พ.ศ. 2534 มาตรา 24 บัญญัติวา บุคคลยอมมีสิทธิและเสรีภาพภายใตบังคับบทบัญญัติแหงรํฐธรรมนูญ
ชายและหญิงมีสิทธิเทาเทียมกัน การกําจัดสิทธิและเสรีภาพอันเปนการฝาฝนเจตนารมณตามบทบัญญัติ
แหงรัฐธรรมนูญจะกระทํามิได
องคประกอบแหงสิทธิมีสาระสําคัญ 4 ประการคือ
(ก) ผูทรงสิทธิ
(ข) การกระทําหรือละเวนการกระทํา
(ค) วัตถุแหงสิทธิ
(ง) บุคคลซึ่งมีหนาที่
การแบงสิทธิตามกฎหมายเอกชนนั้นเปนสิทธิที่รัฐยอมรับรองและบังคับการให เพราะเปน
สิทธิของเอกชนที่จะใชยันกับเอกชน ไมกอผลมายันตอรัฐไมกระทบถึงอํานาจรัฐมากนัก แบงตาม
หลักเกณฑตางๆ ดังนี้
(ก) การแบงแยกตามสภาพของสิทธิ
- สิทธิสมบูรณ
- สิทธิสัมพัทธ
(ข) การแบงแยกตามวัตถุแหงสิทธิ
- สิทธิเกี่ยวกับบุคคล
- สิทธิเกี่ยวกับครอบครัว
- สิทธิเกี่ยวกับทรัพยสิน
(ค) การแบงแยกตามเนื้อหา
- สิทธิในทางลับ
- สิทธิในทางปฏิเสธ
(ง) การแบงแยกตามขอบเขตที่ถูกกระทบกระทั่งโดยสิทธิอื่นๆ
- สิทธิที่เปนประธาน หมายถึงสิทธิที่เกิดขึ้นและดํารงอยูโดยตัวเองมิไดขึ้นอยูกับสิทธิ
อื่น สิทธิที่เกิดขึ้นและเปนอิสสระไมขึ้นกับสิทธิอื่น
- สิทธิอุปกรณ หมายถึงสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องมาแตสิทธิอื่น การดํารงอยูก็ขึ้นอยูกับสิทธิ
อื่น สิทธิอุปกรณมิไดเปนอิสระของตนเองแตขึ้นอยูกับสิทธิอื่น
1.2.2 การใชสิทธิ
การมีสิทธิกับการใชสิทธิ เหมือนกันและแตกตางกันอยางไร
การมีสิทธิกับการใชสิทธินั้นแตกตางกัน การมีสิทธินั้นเมื่อกฎหมายรับรองก็มีสิทธิ แตอาจ
ถูกจํากัดการใชสิทธิได เชน ผูเยาวแมจะมีสิทธิในทรัพยสินแตอาจถูกจํากัดสิทธิทํานิติกรรมเกี่ยวกับ
ทรัพยสินได
กฎหมายกําหนดแนวทางการใชสิทธิไวอยางไร
กฎหมายกําหนดแนวทางการใชสิทธิเอาไว โดยทั่วไปก็คือตองไมใชสิทธิใหเปนการฝาฝน
กฎหมาย และตองใชสิทธิโดยสุจริต
1.3 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
1. บทบัญญัติที่เปนบทเบ็ดเสร็จทั่วไปนี้เปนหลักเกณฑที่อาจนําไปใชกับกรณีตางๆ ในประมวล
กฎหมายแพงพาณิชยที่ไมมีบทบัญญัติเรื่องนี้โดยเฉพาะ
2. การทําเอกสารที่กฎหมายกําหนดวาตองทําเปนหนังสือนั้น กฎหมายวางหลักเกณฑวาตองลง
ลายมือชื่อ
3. เหตุสุดวิสัยเปนเหตุใดๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ดีจะใหผลพิบัติก็ดีเปนเหตุที่ไมอาจปองกันได แมทั้ง
บุคคลผูใกลจะประสบเหตุนั้น จะไดจัดการระมัดระวังตามสมควร อันจะพึงคาดหมายไดจากบุคคลในฐานะ
และภาวะเชนนั้น
4. ดอกเบี้ยเปนดอกผลนิตินัยอยางหนึ่ง กฎหมายกําหนดเปนหลักเกณฑทั่วไปวา ถาจะตองเสีย
ดอกเบี้ย แตมิไดกําหนดอัตราไวใหใชอัตรารอยละเจ็ดครึ่งตอป
1.3.1 การทําและการตีความเอกสาร
การที่กฎหมายกําหนดวา สัญญาเชาซื้อตองทําเปนหนังสือนั้น คูสัญญาเชาซื้อไมตองเขียน
สัญญานั้นเอง แตตองลงลายมือชื่อหรือลงเครื่องหมายแทนการลงมือชื่อโดยชอบตามมาตรา 9
- 4. 4
สัญญากูมีขอความซึ่งอาจแปลความไดสองนัย ถาแปลความนัยแรกจะเปนคุณแกผูใหกู ถา
แปลตามความนัยที่สองจะเปนคุณแกผูกู เมื่อเปนดังนี้จะตองตีความตามนัยสอง คือ ตองตีความใหเปนคุณ
แกคูกรณี ฝายที่ตองเปนผูเสียในมูลหนี้คือลูกหนี้นั่นเอง ตามมาตรา 11
1.3.2 เหตุสุดวิสัย
เหตุสุดวิสัยกับภัยธรรมชาติ ไมเหมือนกันเพราะเหตุสุดวิสัยอาจเกิดจากภัยธรรมชาติ หรือ
อาจเกิดจากการกระทําของคนก็ได และภัยธรรมชาติก็อาจไมเปนเหตุสุดวิสัยก็ได
การวินิจฉัยวา กรณีใดเปนเหตุสุดวิสัยหรือไม มีจุดสําคัญในประเดนสําคัญที่วาบุคคลผู
ประสบหรือใกลจะตองประสบไมอาจปองกันไดดี แมจะไดใชความระมัดระวังตามสมควรแลว
1.3.3 ขอกําหนดเรื่องดอกเบี้ย
กฎหมายในบทเบ็ดเสร็จทั่วไปกําหนดเกี่ยวกับดอกเบี้ยไวอยางไร
กฎหมายในบทเบ็ดเสร็จทั่วไป กําหนดเกี่ยวกับดอกเบี้ยไว โดยกําหนดตามมาตรา 7
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
แบบประเมินผล หนวยที่ 1 การใชการตีความหมาย และบททั่วไป
1. การตีความกฎหมายพิเศษจะตอง ตีความโดยเครงครัด
2. การอุดชองวางของกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาตรา 4 ไดกําหนดลําดับไวหากไมมี
กฎหมายลายลักษณอักษรใชบังคับแลวจะตองนําหลักเกณฑ จารีตประเพณีแหงทองถิ่น มาใชบังคับ
(มาตรา 4 กฎหมายนั้น ตองใชในบรรดากรณีซึ่งตองดวยบทบัญญัติใดๆ แหงกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุงหมายของ
บทบัญญัตินั้นๆ เมื่อไมมีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได ใหวินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแหงทองถิ่น ถาไมมีจารีตประเพณีเชนวานั้น ใหวินิจฉัย
คดีเทียบบทกฎหมายที่ใกลเคียงอยางยิ่ง และถาบทกฎหมายเชนนั้นก็ไมมีดวย ใหวินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป)
3. คําวา เสรีภาพ ไมใชองคประกอบของสิทธิ
คําวา “สิทธิ” เปนถอยคําที่มีบัญญัติในกฎหมายเปนขอความที่เปนรากฐานของกฎหมาย สิทธิ คือความชอบธรรมที่บุคคลอาจใชยันตอ
ผูอื่น เพื่อคุมครองหรือรักษาผลประโยชน อันเปนสวนอันพึงมีพึงไดของบุคคล สิทธิตามกฎหมายประกอบดวย
(ก) ความชอบธรรม คือความถูกตอง ความรับผิดชอบ โดยความชอบธรรมนั้นจะตองอยูภายใตขอบเขตของกฎหมาย เพราะมีบางกรณี
ที่อาจมิใชความชอบธรรม แตกฎหมายก็ยอมรับวาการกระทําเชนนั้นเปนความชอบธรรม เชน กรณีขาดอายุความ ลูกหนี้ปฏิเสธไมชําระหนี้ได จะ
เรียกวาความชอบธรรมนั้นนั้นไมถูกตอง เพราะลูกหนี้มีหนี้ แตไมยอมชําระหนี้โดยอางสิทธิตามกฎหมาย หรือกรณีครอบครองปรปกษตามมาตรา
1382 กฎหมายยอมใหไดกรรมสิทธิ์ทั้งๆ ที่ผูครอบครองปรปกษไมใชเจาของกรรมสิทธิ์ เชนนี้เปนความชอบธรรมตามกฎหมายแตไมใชเรื่องของ
ความถูกตอง
(ข) ผูทรงสิทธิ สิทธิจะตองมีบุคคลเปนผูถือสิทธิ หรือที่เรียกวา “ผูทรงสิทธิ” ซึ่งมีไดทั้งบุคคลธรรมดาและ นิติบุคคล
(ค) การกระทําหรือละเวนการกระทํา สิทธิเปนสิ่งที่ใชยืนยันกับบุคคลอื่นได การจะเกิดรูวาสิทธิถูกรบกวนเมื่อใดนั้นก็ตองรอใหเกิดการ
กระทําหรือละเวนการกระทําเสียกอน ผูทรงสิทธิจึงอางถึงสิทธิความชอบธรรมที่มีอยูตามกฎหมายได เชน การที่ลูกหนี้ปฏิเสธไมยอมชําระหนี้ การ
กระทําที่เกิดขึ้นจากลูกหนี้คือ การปฏิเสธ ทําใหเจาหนี้มีสิทธิเรียกรองบังคับใหลูกหนี้ชําระหนี้ได ดวยการใชสิทธิฟองคดีตอศาลขอใหบังคับ
(ง) วัตถุแหงหนี้ วัตถุคือสิ่งของวัตถุแหงหนี้จึงหมายถึงสิ่งของที่เปนหนี้ เชน กรรมสิทธิ์ในทรัพยสิน สิ่งของที่เปนวัตถุแหงหนี้ก็คือ
ทรัพยสิน สิทธิในชีวิตรางกาย สิ่งที่เปนวัตถุแหงหนี้ก็คือตัวบุคคล
(จ) บุคคลซึ่งมีหนาที่ กฎหมายคุมครองรับรองใหสิทธิแกบุคคล เมื่อใดเกิดการฝาฝนสิทธิจึงเกิดสภาพบังคับแหงสิทธิเกิดขึ้นตามมา
บุคคลผูถูกฝาฝนความชอบธรรมคือ ผูทรงสิทธิ สวนบุคคลที่ทําการฝาฝน คือบุคคลซึ่งมีหนาที่ และมีหนาที่จะตองปฏิบัติการชําระหนี้ตอผูทรงสิทธิ
เชน สิทธิของเจาหนี้ เจาหนี้คือ ผูทรงสิทธิ ลูกหนี้คือบุคคลซึ่งมีหนาที่ชําระหนี้
4. หลักเกณฑของการใชสิทธิคือ ตองใชโดยสุจริต
(มาตรา 5 ในการใชสิทธิแหงตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนตองกระทําโดยสุจริต)
(มาตรา 6 ใหสันนิษฐานไวกอนวา บุคคลทุกคนกระทําการโดยสุจริต)
5. นาย ก ทําสัญญากูเงินนาย ข 10,000 บาท แตเนื่องจากนาย ก ไมรูหนังสือจึงไดลงลายพิมพนิ้วมือแทน
การลงลายมือมือชื่อ โดยมีนายนิดอายุ 16 ป และ นางสาวนอย อายุ 16 ป ลงลายมือชื่อเปนพยานรับรองการพิมพ
ลายนิ้วมือของนาย ก สัญญากูฉบับนี้ จะมีผลสมบูรณตามกฎหมาย
(มาตรา 9 เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับใหทําเปนหนังสือ บุคคลผูจะตองทําหนังสือ ไมจําเปนตองเขียนเองแตหนังสือนั้นตอง
ลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น
ลายพิมพนิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเชนวานั้นที่ทําลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อ หากมีพยานลง
ลายมือชื่อรับรองไวดวยสองคนแลวใหถือเสมอกับลงลายมือชื่อ
ความในวรรคสอง ไมใชบังคับแกการลงลายพิมพนิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเชนวานั้น ซึ่งทําลงในเอกสารที่
ทําตอหนาพนักงานเจาหนาที่)
6. หลักในการตีความเอกสารคือ ตีความใหเปนคุณแกคูกรณีที่ซึ่งจะเปนผูตองเสียในมูลหนี้
(มาตรา 10 เมื่อขอความขอใดขอหนึ่งในเอกสารอาจตีความไดสองนัย นัยไหนจะทําใหเปนผลบังคับไดใหถือเอาตามนัยนั้นดีกวาที่จะ
ถือเอานัยที่ไรผล)
(มาตรา 11 ในกรณีที่มีขอสงสัยใหตีความไปในทางที่เปนคุณแกคูกรณีฝายหนึ่งซึ่งจะตองเปนผูเสียหายในมูลหนี้นั้น)
7. เหตุสุดวิสัยกอใหเกิดผลในทางกฎหมายคือ เปนเหตุยกเวนความผิดของลูกหนี้
(มาตรา 8 คําวา “เหตุสุดวิสัย” หมายความวาเหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี จะใหผลพิบัติก็ดี เปนเหตุที่ไมอาจปองกันไดแมทั้งบุคคลผู
ประสบหรือใกลจะตองประสบเหตุนั้น จะไดจัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายไดจากบุคคลในฐานะและภาวะเชนนั้น)
8. ในสัญญากูยืมฉบับหนึ่ง กําหนดวาจะตองเสียดอกเบี้ยในเงินกูยืมนั้น แตคูสัญญามิไดกําหนดอัตราดอกเบี้ย
ไว ในกรณีเชนนี้ลูกหนี้จะตองเสียดอกเบี้ยในอัตรา รอยละเจ็ดครึ่งตอป
(มาตรา 7 ถาจะตองเสียดอกเบี้ยแกกันและมิไดกําหนดอัตราดอกเบี้ยไวโดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจง ใหใชอัตรารอย
ละเจ็ดครึ่งตอป)
9. สิทธิที่เกี่ยวกับสถานะของบุคคล เปนสิทธิตามกฎหมายมหาชน
- 5. 5
10. บทกฎหมายที่ใชโดยวิธีเทียบเคียงไมไดคือ บทยกเวน
หนวยที่ 2 บุคคลธรรมดา
1. บุคคลธรรมดาคือมนุษย ซึ่งสามารถมีสิทธิและใชสิทธิได
2. สภาพบุคคลเมื่อเริ่มคลอด แลวอยูรอดเปนทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตายตามธรรมดา หรือตายโดย
ผลของกฎหมายคือสาบสูญ
3. สาบสูญ เปนการสิ้นสภาพบุคคล โดยขอสันนิษฐานของกฎหมาย หากบุคคลไปเสียจากภูมิลําเนา
หรือถิ่นที่อยูโดยไมมีใครทราบแนนอนวายังมีชีวิตอยูหรือตายไปแลว เมื่อครบกําหนดระยะเวลา 5 ป หรือ
2 ป ตามกรณีที่กฎหมายกําหนดและมีผูรองขอ เมื่อศาลมีคําสั่งแสดงความสาบสูญแลวใหถือวาบุคคลนั้น
ตายเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังกลาวแลว
4. กฎหมายบัญญัติใหบุคคลตองมีชื่อตัว และชื่อสกุล เพื่อเปนสิ่งที่เรียกขานบุคคลและกําหนดใหแน
ชัดลงไปอีกวาบุคคลนั้นเปนใคร
5. สถานะของบุคคลเปนสิ่งประกอบสภาพบุคคลที่แสดงฐานะหรือตําแหนงของบุคคล ซึ่งดํารงอยูใน
ประเทศชาติและครอบครัวทําใหทราบสิทธิและหนาที่ของบุคคลที่พึงมีตอประเทศชาติและครอบครัว
6. ภูมิลําเนาเปนสิ่งบงชี้วาบุคคลมีที่อยูประจําที่ไหน ทําใหการกําหนดตัวบุคคลสมบูรณยิ่งขึ้น
ภูมิลําเนาที่บุคคลอาจเลือกถือไดตามใจสมัครและอาจมีหลายแหง
2.1 สภาพบุคคล
1. หลักเกณฑการเริ่มสภาพบุคคลมี 2 ประการประกอบกันคือ การคลอด และการมีชีวิตรอดเปน
ทารก ดังนั้น ทารกในครรภมารดาจึงยังไมมีสภาพบุคคล
2. การคลอดหมายความถึง คลอดเสร็จเรียบรอยบริบูรณ โดยทารกคลอดหมดตัวพนชองคลอด
ไมมีสวนหนึ่งสวนใดของรางการเหลือติดอยู
3. การมีชีวิตรอดอยูเปนทารก หมายถึงการที่ทารกมีชีวิตอยูโดยลําพังตนเองแยกตางหากจาก
มารดา โดยถือการหายใจเปนสาระสําคัญในการวินิจฉัยการเริ่มมีชีวิต
4. ทารกในครรภมารดาหมายถึง ทารกที่อยูในครรภนับแตวันที่ปฏิสนธิเปนทารกจนถึงวันคลอด
การหาวันปฏิสนธินั้นใหคํานวณนับแตวันคลอดยอนหลังขึ้นไป 30 วัน
5. ทารกในครรภมารดาสามารถมีสิทธิตางๆ ไดตอเมื่อมีชีวิตอยูอยูภายหลังคลอด คือ มีสภาพ
บุคคลแลว และมีสิทธิยอนหลังขึ้นไปถึงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานวาเริ่มปฏิสนธิ
6. การนับอายุของบุคคลใหเริ่มนับแตวันเกิด ในกรณีที่บุคคลรูเฉพาะเดือนเกิดแตไมรูวันเกิดให
นับวันที่หนึ่งแหงเดือนนั้นเปนวันเกิด หากไมรูเดือนและวันเกิด ใหนับวันตนปที่บุคคลนั้นเกิดเปนวันเกิด
7. การตายธรรมดาเปนเหตุแหงการสิ้นสภาพบุคคลโดยถือตามคําวินิจฉัยของแพทยวาระบบ
สําคัญของรางกายเพื่อการดํารงชีวิตหยุดทํางานหมด
8. กรณีมี่บุคคลหลายคนประสบเหตุราย รวมกันและตายโดยไมรูลําดับแนนอนแหงการตาย จะ
กําหนดวาใครตายกอนตายหลังตองนําสืบถึงขอเท็จจริงเปนรายๆไป หากพิสูจนไมไดตองถือตามขอ
สันนิษฐานของกฎหมายวาบุคคลหลายคนนั้นตายพรอมกัน
2.1.1 การเริ่มสภาพบุคคล
(1) ประโยชนและความจําเปนที่จะตองรูวามนุษยมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใด สิ้นสุดเมื่อใด
ก็เพื่อวินิจฉัยปญหาในทางกฎหมายบางประการ เชน
(ก) ในทางแพง การรูวาสภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใดก็เพื่อวินิจฉัยถึงสิทธิหนาที่ของบุคคล
นั้นเอง รวมทั้งสิทธิหนาที่และความชอบที่เกี่ยวโยงและผูกพันถึงบุคคลอื่นดวย เพราะสิทธิของบุคคลจะมี
ขึ้นตั้งแตเกิดมารอดมีชีวิตอยู คือ เริ่มมีสภาพบุคคล หรืออาจมียอนขึ้นไปจนถึงวันที่ปฏิสนธิในครรภมารดา
เชนสิทธิในการเปนทายาทรับมรดก ตาม ปพพ. มาตรา 1604 สวนการตายทําใหสิทธิและหนาที่ของ
บุคคลสิ้นสุดลง และทรัพยมรดกของบุคคลนั้นตกทอดแกทายาท การพิจารณากองมรดก ผูตายมีทรัพยสิน
อะไรบาง ผูตายมีสิทธิหนาที่และความรับผิดอยางไร กับพิจารณาหาทายาทรับมรดก กฎหมายใหพิจารณา
ในเวลาที่เจามรดกถึงแกความตาย การรูวันเกิดวันตายของบุคคลจึงมีความสําคัญ
(ข) ในทางอาญา การวินิจฉัยถึงความรับผิดในทางอาญาของผูกระทําผิดฐานฆาคนตาย
ตาม ปอ. มาตรา 288 หรือฐานทําใหแทงลูก ตาม ปอ. มาตรา 301 ถึงมาตรา 305 จําเปนตองวินิจฉัย
เสียกอนวาทารกมีสภาพบุคคลหรือไม ทารกตายกอนคลอดหรือตายระหวางคลอด เปนการคลอดออกมา
โดยไมมีชีวิตไมมีสภาพบุคคล จึงไมเปนบุคคลที่จะถูกฆาได ความผิดฐานทําใหแทงลูก ตาม ปอ. มาตรา
- 6. 6
301 ถึง ปอ. มาตรา 305 มีโทษนอยกวาความผิดฐานฆาคนตายโดยเจตนา เมื่อบุคคลตายแลว สิ้นสภาพ
บุคคล ก็ไมเปนบุคคลที่จะถูกฆาไดอีก
(2) การคลอดเสร็จบริบูรณตามวิชาแพทย แผนปจจุบัน ถือการคลอดเริ่มตนตั้งแตมีการเจ็บ
ทองคลอดและสิ้นสุดของการคลอดถือเอาเมื่อเด็กและทารกคลอดแลว รวมทั้งการหดตัวของมดลูกเปนไป
โดยเรียบรอย ซึ่งเปนเวลา 15 นาที ถึง 2 ชั่วโมง หลังเด็กคลอด ซึ่งไมเหมือนกันกับ การคลอดแลว
ตาม ปพพ. มาตรา 15 นั้น ทารกตองหลุดพนจากชองคลอดของมารดาออกมาหมดตัวกอน โดยไมมีสวน
หนึ่งสวนใดของรางกายติดอยูที่ชองคลอด สวนการคลอดของรกหรือการหดตัวของมดลูก ไมมีความหมาย
ในการพิจารณาการเริ่มสภาพบุคคลตามกฎหมาย เพราะการพนชองคลอดของทารกหมายถึงการแยกตัว
ออกเพื่อมีชีวิตเปนอิสระจากมารดา
นักกฎหมายพิจารณาเฉพาะการคลอดที่เกี่ยวกับตัวทารกเทานั้น ไมรวมถึงอาการของการ
คลอดในสวนตัวมารดา เพราะกฎหมายมุงที่จะคนหาเวลาเริ่มสภาพบุคคลของทารกเพียงประการเดียว
(3) หลักวินิจฉัยการเริ่มมีชีวิตของแพทยและนักกฎหมาย แตกตางกัน และมีผลให
หลักเกณฑการเริ่มสภาพบุคคลเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้
นักกฎหมายถือการหายใจเปนหลักฐานแสดงการเริ่มมีชีวิต สวนแพทยถือวานอกจากการ
หายใจแลวการเตนของหัวใจ การเตนของสายสะดือ การเคลื่อนไหวรางกาย และหลักฐานอื่นๆก็แสดงวา
ทารกมีชีวิตดวย
ผลของความเห็นที่แตกตางนี้ ทําใหการวินิจฉัยจุดเริ่มตนของการเริ่มสภาพบุคคลของนัก
กฎหมายแตกตางกันเปนสองความเห็น คือ
ความเห็นแรก หากยึคดหลักวา การหายใจเปนขอสาระสําคัญของการเริ่มมีชีวิตเพียง
ประการเดียว จะถือวาสภาพบุคคลเริ่มเมื่อทารกเริ่มหายใจ โดยเห็นวาการคลอดและการมีชีวิตรอดอยูเปน
ทารกเปนหลักเกณฑพิจารณาการเริ่มสภาพบุคคลประกอบกัน
ความเห็นที่สอง หากถือตามความเห็นของแพทย เมื่อทารกคลอดหมดตัวพนชองคลอด
โดยมีหลักฐานแสดงการมีชีวิตอยางอื่นแลว ถือวาเริ่มสภาพบุคคล จะหารใจหรือไมไมเปนขอสําคัญ และ
ยึดหลักวาการคลอดแลวเปนหลักของการเริ่มสภาพบุคคล การอยูรอดเปนพฤติการณประกอบการคลอดวา
เปนบุคคลตลอดไป มิใชจุดเริ่มตนของสภาพบุคคล
2.1.2 สิทธิของทารกในครรภมารดา
บทบัญญัติมาตรา 15 วรรคสองที่วา ทารกในครรภมารดาก็สามารถมีสิทธิตางๆได หากวา
ภายหลังเกิดมารอดอยู หมายความวา
โดยหลักแลว บุคคลเทานั้นที่สามารถมีสิทธิหนาที่ตามกฎหมายได แตบทบัญญัติมาตรา 15
วรรคสองนี้เปนขอยกเวน ใหทารกในครรภมารดาแมยังไมมีสภาพบุคคล ก็สามารถมีสิทธิได แตมีเงื่อนไข
วา ภายหลังทารกนั้นตองเกิดมารอดอยู ทารกในครรภมารดา ที่เปนบุตรนอกกฎหมายของบิดา ก็สามารถมี
สิทธิได หากภายหลังเกิดมารอดอยู และโดยมีพฤติการณที่บิดารับรองทารกในครรภวาเปนบุตรของตน
เจตนารมณของกฎหมายมี 2 ประการ คือ (1) เพื่อคุมครองประโยชนของทารกในครรภ
มารดา (2) เพื่อขจัดความไมเสมอภาคในเรื่องสิทธิ
2.1.3 การนับอายุบุคคลกรณีไมแนนอนของการเริ่มสภาพบุคคล
การกําหนดวันเกิดของบุคคลตอไปนี้
(1) รูแตเพียงวา ก เกิด ป พ.ศ. 2480 >Æ เกิดวันที่ 1 เมษายน 2480
(2) รูแตเพียงวา ข เกิด ป พ.ศ. 2493 >Æ เกิดวันที่ 1 มกราคม 2493
(3) รูเพียงวา ค เกิดเดือนมีนาคม 2500 >Æ เกิดวันที่ 1 มีนาคม 2500
(4) ไมรูวา ง เกิดเมื่อใด >Æ เมื่อเปนเชนนี้ใหสอบสวนปเกิดของ ง กอนวาเกิดในปใด ได
ปเกิดแลว นํา ปพพ. มาตรา 16 มาใชหาวันเกิด
2.1.4 การสิ้นสภาพบุคคล (ตาย)
1. หากไมรูลําดับการตายของบุคคลจะเกิดปญหาประการใด
เกิดปญหาเมื่อบุคคลสองคนหรือมากกวา ตางเปนทายาทซึ่งกันและกัน ไปเกิดอุบัตุเหตุ
หรือเหตุรายรวมกันเปนเหตุใหบุคคลเหลานั้นตาย ไมรูใครตายกอนตายหลัง ทําใหเกิดปญหาเรื่องการรับ
มรดก ซึ่งมีหลักเกณฑวา ทรัพยสินของผูตายจะเปนมรดกตกทอดไดก็แตผูที่มีชีวิตอยู ขณะตายมรดกของ
ผูตายกอนจึงตกทอดมายังผูตายทีหลัง แลวผานไปยังทายาทของผูตายทีหลังนั้น เมื่อไมรูแนชัดวาใคร
ตายกอนตายหลังกฎหมายจึงกําหนดสันนิษฐานไววา ตายพรอมกัน ใครจะเปนทายาทไมได และตางไมมี
สิทธิรับมรดกซึ่งกันและกัน
2. คําวา “เหตุอันตรายรวมกัน” นั้นหมายความวา
- 7. 7
เหตุภยันตรายรวมกัน หมายความวาเหตุภยันตรายเดียวกันที่บุคคลประสบดวยกันในคราว
เดียวกัน เชนบุคคลหลายคนโดยสารไปในเครื่องบินลําเดียวกัน แลวเครื่องบินตก หรือโดยสารเครื่องบินไป
คนละลําแลวเครื่องบินสองลําเกิดชนกันก็ได แตถาโดยสารเครื่องบินไปคนละลํา แลวเครื่องบินทั้งสองลํา
ตางก็เกิดอุบัติเหตุตกเหมือนกัน เชนนี้ ไมถือเปนเหตุภยันตรายรวมกัน
3. ก ปวยเปนอัมพาตเดินไมได สวน ข เปนนักกีฬาวายน้ําทีมชาติ โดยสารเรือออกจาก
กรุงเทพฯ ไปสิงคโปรดวยกัน เรือโดนมรสุมจม ตอมามีผูพบศพ ก และ ข ที่ชายฝง เชนนี้ ก และ ข บุคคล
ใดจะตายกอนหลัง
กฎหมายถือวา ก และ ข ตายพรอมกัน แมขอเท็จจริง ก นาจะตายกอน หากเปนการพน
วิสัยที่จะพิสูจนไดวา ใครตายกอนตายหลัง
2.2 สาบสูญ
1. ถาบุคคลใดไปเสียจากภูมิลําเนาและไมมีใครรูวาบุคคลนั้นมีชีวิตอยูหรือไม โดยที่บุคคลนั้น
ไมไดตั้งตัวแทนในการจัดการทรัพยสินไว ผูมีสวนไดเสียหรือพนักงานอัยการสามารถรองขอตอศาลจัดการ
ทรัพยสินของผูไมอยูไปพลางกอนตามที่จําเปนนั้นได
2. ถาผูไมอยูไปจากภูมิลําเนาเกินกวา 1 ปโดยไมมีผูรับขาวหรือพบเห็น เมื่อผูมีสวนไดเสียหรือ
พนักงานอัยการรองขอ ศาลจะตั้งผูจัดการทรัพยสินของผูไมอยูนั้นได
3. ผูไมอยูอาจตั้งตัวแทนรับมอบอํานาจทั่วไป หรือผูรับมอบอํานาจเฉพาะการไวก็ได
4. ผูจัดการทรัพยสินที่ศาลตั้งมีอํานาจหนาที่อยางเดียวกับตัวแทนผูรับมอบอํานาจทั่วไป
5. สาบสูญเปนเหตุแหงการสิ้นสภาพบุคคลโดยกฎหมายใหสันนิษฐานวาบุคคลสาบสูญนั้นถึงแก
ความตาย
6. สาบสูญ คือ สภาพการณที่บุคคลไปจากที่อยู โดยไมรูแนนอนวายังมีชีวิตอยูหรือตายแลว
หากหายไปนาน 5 ป ในกรณีธรรมดา หรือ 2 ป ในกรณีพิเศษ เมื่อผูมีสวนไดเสียหรือพนักงานอัยการรอง
ขอ ศาลจะสั่งใหบุคคลผูไมอยูนั้นเปนคนสาบสูญ
7. บุคคลที่ศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญใหถือวาตายเมื่อครบกําหนดระยะเวลาดังที่กฎหมายกําหนด
นั้น
8. หากพิสูจนไดวาคนสาบสูญยังมีชีวิตอยู หรือตายในเวลาอื่นผิดจากเวลาที่กฎหมายกําหนด
ศาลสั่งถอนคําสั่งใหเปนคนสาบสูญนั้นได เมื่อคนสาบสูญนั้นเอง ผูมีสวนไดเสีย หรือพนักงานอัยการรอง
ขอตอศาล แตการถอนคําสั่งนั้นยอมไมกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณแหงการทั้งหลายอันไดทําไปโดย
สุจริตในระหวางที่ศาลมีคําสั่งใหเปนคนสาบสูญ
2.2.1 ผูไมอยูและผูจัดการทรัพยสินของผูไมอยู
ก. หายไปจากที่อยูตั้งแตวันที่ 1 มกราคม 2500 เขียนจดหมายลงวันที่ 5 มีนาคม
2505 มาถึงญาตพี่นองสงขาวคราวใหทราบ จดหมายถึงวันที่ 10 มีนาคม 2505 ตอมา วันที่ 10
เมษายน 2510 มีผูพบเห็น ก. ที่จังหวัดภูเก็ต แลวไมมีใครทราบขาวคราวของ ก. อีกเลยวาเปน
ตายรายดีอยางไร จนกระทั่งถึงปจจุบันนี้ เชนนี้ สภาพการณการเปนผูไมอยูของ ก. เริ่มและ
สิ้นสุดเมื่อใด
เริ่มเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2510 แตระยะเวลาการเปนผูไมอยู คงมีเรื่อยไปไมสิ้นสุด
เพราะไมมีเหตุสิ้นสุดคือ ก. ไมไดกลับมา ไมปรากฏแนชัดวา ก. ตายแลว และไมมีผูใดรองขอใหศาลสั่งวา
ก. เปนคนสาบสูญ
หลักเกณฑการรองขอเขาจัดการทรัพยสินของผูไมอยูมีประการใดบาง และผู
รองมีสิทธิขอจัดการไดเพียงใด
พิจารณาตาม ปพพ. มาตรา 48 คือ หลักเกณฑ
(1) ผูไมอยูตองมีสภาพการณเปนผูใหญ คือหายไปจากที่อยูไมรูวามีชีวิตอยูหรือตายแลว
(2) ไมไดตั้งตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปแลว และไดบัญญัติไดบัญญัติใหผูมีสวนไดเสีย
และพนักงานอัยการเปนผูรองขอ
2.2.2 การจัดการทรัพยสินของผูไมอยูโดยที่ศาลสั่ง
อํานาจของผูจัดการทรัพยของผูไมอยูที่ศาลตั้งมีประการใดบาง
ผูจัดการทรัพยสินตาม ปพพ. มาตรา 54 ใหผูจัดการมีอํานาจจัดการมีอํานาจจัดการอยาง
ตัวแทนรับมอบอํานาจทั่วไปคือทํากิจการแทนผูไมอยูได ยกเวนตามขอหาม 6 ประการตามมาตรา 801 ซึ่ง
จะตองขออนุญาตศาลกอนจึงจะทําได
- 8. 8
2.2.3 การจัดการทรัพยสินของผูไมอยูโดยบุคคลผูไมอยูตั้ง
ตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปที่ผูไมอยูแตงตั้งไวมีอํานาจจัดการทรัพยสิน
เชนเดียวกับตัวแทนมอบอํานาจทั่วไปตามกฎหมายลักษณะตัวแทนหรือไม
มีอํานาจเชนเดียวกัน เพราะ ปพพ. มาตรา 60 ใหนําบทบัญญัติกฎหมายลักษณะตัวแทน
มาใชบังคับในเรื่องการจัดการทรัพยสินของผูไมอยู เพียงที่ไมขัดแยงกับกฎหมายเรื่องบุคคล เวนแตขอ
หาม 6 ประการ ตาม ปพพ. มาตรตา 801 หากจําเปนตองกระทํา มีกฎหมาย มาตรา 51 บัญญัติใหขอ
อนุญาตศาล เพราะไมมีตัวการจะใหคําอนุญาตได
2.2.4 สาบสูญ
มีหลักสําคัญประการใดบางที่ศาลจะมีคําสั่งใหบุคคลเปนคนสาบสูญ
การที่ศาลจะสั่งใหบุคคลเปนคนสาบสูญไดตามที่มีผูรองขอ ตองพิจารณาไดความ 2
ประการ คือ (1) บุคคลไดหายไปจากที่อยู โดยไมมีใครรูแนชัดวา ยังมีชีวิตอยูหรือตายแลว (2) มีกําหนด
5 ป ในกรณีธรรมดา และ 2 ป ในกรณีพิเศษ
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2515 ก. เดินทางทองเที่ยวทางทะเลกับเพื่อน แลวพัด
ตกเรือจมหายลงไปในน้ํา คนหาศพไมพบจะถือวา ก. จมน้ําตายในวันที่ 10 พฤษภาคม 25015
ไดหรือไมเพราะเหตุใด
จะถือวา ก. จมน้ําตายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2515 ไมไดเพราะไมพบศพ จึงไมมี
หลักฐานแนชัดวา ก. ตายแลว ตองนําบทบัญญัติเรื่องสาบสูญมาใชบังคับ และเมื่อศาลมีคําสั่งแลวจึงถือวา
ก. ตายเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2518
ก. ไปรบในสมรภูมิสงครามเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2500 และหายไประหวาง
สงคราม สงครามสงบลงเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2502 ตอมา ก. เขียนจดหมายลงวันที่ 5 มีนาคม
2503 สงขาวใหญาติพี่นองทราบวาแตงงานแลวกับสาวชาวเวียดนาม จดหมายถึงวันที่ 10
มีนาคม 2503 หลังจากนั้นไมมีใครทราบขาวคราวของ ก. อีกเลย ดังนี้ภรรยาของ ก. จะรอง
ขอให ก. เปนคนสาบสูญไดเร็วที่สุดเมื่อวันที่เทาใด
10 มีนาคม 2508
เจาหนี้มีสิทธิรองขอใหลูกหนี้ของตนเปนคนสาบสูญไดหรือไม เพราะเหตุใด
เจาหนี้ไมมีสิทธิรองขอใหลูกหนี้ของตนเปนคนสาบสูญ เพราะไมใชผูมีสวนไดเสีย
การรองขอใหบุคคลเปนคนสาบสูญ จะรองขอ ณ ศาลใด
ศาลจังหวัดซึ่งบุคคลนั้นเคยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลกอนที่จะจากไป
2.2.5 ผลของการสาบสูญ
คําสั่งศาลใหบุคคลเปนคนสาบสูญ มีผลกระทบถึงการสมรสหรือไม เพียงใด
สาบสูญไมเปนเหตุใหขาดการสมรส แตเปนเหตุใหฟองหยาไดเทานั้น
2.2.6 การถอนคําสั่งแสดงความสาบสูญ
กรณีใดบางที่จะรองขอใหศาลถอนคําสั่งสาบสูญได และผลของกฎหมายของ
การถอนคําสั่งแสดงสาบสูญนั้นมีประการใดบาง
กรณีที่รองขอใหศาลถอนคําสั่งแสดงสาบสูญ มี 2 ประการคือ (1) ผูสาบสูญยังมีชีวิตอยู
(2) ผูสาบสูญตายในเวลาอื่นผิดไปจากเวลา 5 ป หรือ 2 ป ตามที่กฎหมายสันนิษฐานไว
2.3 ชื่อและสถานะของบุคคล
1. ชื่อคือสิ่งที่ใชเรียกขานเพื่อจําแนกตัวบุคคลทั้งนี้เพื่อประโยชนแกการใชสิทธิและปฏิบัติหนาที่
2. กฎหมายบัญญัติใหบุคคลทุกคนตองมีชื่อตัวและชื่อสกุล แตบุคคลอาจมีชื่ออื่นๆ ไดอีก เชน
ชื่อรอง ชื่อฉายา ชื่อแฝงและชื่อบรรดาศักดิ์
3. ชื่ออื่นๆนั้น บุคคลอาจตั้งขึ้นเองหรือผูอื่นตั้งให แตชื่อสกุลเปนชื่อที่บุตรไดรับสืบเนื่องมาจาก
บิดา หรือภริยาไดรับสืบเนื่องมาจากสามี ถาเด็กไมปรากฏบิดามารดา ไมอาจไดชื่อสกุลจากบิดามารดาได
ก็ตองตั้งชื่อสกุลใหใหม
4. บุคคลอาจเปลี่ยนชื่อตัวและชื่อรองไดตามใจสมัคร แตชื่อสกุลนั้น บุคคลหนึ่งบุคคลใดในวงศ
สกุลหามีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงตามใจชอบไดไม จะเปลี่ยนไดก็แตโดยตั้งชื่อสกุลขึ้นใหม หรือเปลี่ยนแปลง
- 9. 9
โดยผลของกฎหมายประการอื่น เปนตนวา หญิงเปลี่ยนไปใชนามสกุลของสามี ฯลฯ กรณีเหลานี้เปนเรื่อง
เฉพาะตัวของบุคคลนั้น การเปลี่ยนชื่อสกุลใหมไมมีผลใชชื่อสกุลเดิมตองเปลี่ยนแปลงไปดวย
5. กฎหมายใหความคุมครองทั้งชื่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในกรณีที่มีผูโตแยงการใชชื่อ
และกรณีผูอื่นใชชื่อโดยไมมีอํานาจ โดยเจาของชื่อมีสิทธิใหระงับความเสียหาย หากไมเปนผล มีสิทธิรอง
ขอใหศาลสั่งหาม และยังมีสิทธิเรียกคาเสียหายไดดวย
6. สถานะของบุคคลเปนสิ่งประกอบสภาพบุคคลที่ชี้บงฐานะหรือตําแหนงของบุคคล ในการใช
สิทธิและปฏิบัติหนาที่ เชน เปนชายหญิง ผูเยาว ผูบรรลุนิติภาวะ บิดามารดา บุตร หรือสามี ภรรยาเปนตน
7. บุคคลไดสถานะตั้งแตเกิด เพราะมีสิทธิหนาที่ตั้งแตเริ่มสภาพบุคคลหรืออาจกอใหเกิดขึ้น
ภายหลัง เนื่องจากเปลี่ยนแปลงสถานะใหม เชน การสมรส การหยา เปนตน
8. สถานะของบุคคลบางประการตองจดทะเบียนการกอหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อใหมีผลสมบูรณ
ตามกฎหมาย
9. สถานะของบุคคลที่กฎหมายบังคับใหจดทะเบียนตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499
ไดแก การเกิด การตาย และตาม ปพพ. คือ การจดทะเบียนครอบครัว ไดแก การสมรส การหยา การ
รับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม และการเลิกรับบุตลบุญธรรม
2.3.1 ประเภทของชื่อบุคคล
ชื่อบุคคลมีกี่ประเภท แตละประเภทไดแกชื่ออะไรบาง
มี 3 ประเภท คือ (1) ชื่อที่กฎหมายบังคับใหมีประจําตัวบุคคล ไดแก ชื่อตัวและชื่อสกุล
(2) ชื่อที่บุคคลอาจตั้งขึ้นไดอีก ไดแกชื่อรอง ชื่อฉายา และชื่อแฝง (3) ชื่อบรรดาศักดิ์ ไดแกชื่อตามราช
ทินนามที่พระมหากษัตริยตั้งให
การไดมาซึ่งชื่อตัวและชื่อสกุลแตกตางกันหรือไม
แตกตางกัน คือ ชื่อตัว ไดมาตั้งแตเกิดโดยตั้งขึ้นใหม ชื่อสกุล ไดสืบสกุลตอเนื่องมาจาก
บิดา หรือตั้งใหม หรือกรณีไดชื่อสกุลจากสามี
จําเปนหรือไมที่เด็กไมปรากฏบิดามารดาจะตองมีชื่อสกุลหากจําเปน วิธีการใดจะ
หาชื่อสกุลใหเด็ก
มีความจําเปน เพราะกฎหมายบังคับ เมื่อไมมีชื่อสกุลของบิดามารดา ก็ตองตั้งชื่อสกุลขึ้น
ใหมใหเด็กนั้น
ชื่อบุคคลมีลักษณะสําคัญประการใด
ชื่อสกุลมีลักษณะสําคัญคือ (1) จําเปนตองมีประจําตัวบุคคล (2) ตองแนนอนคงที่ (3)
ไมอาจไดมาหรือสูญเสียไปโดยอายุความ (4) ไมอาจจําหนายใหกันได
2.3.2 การเปลี่ยนชื่อบุคคลและการคุมครองชื่อบุคคล
กรณีที่เปนเหตุแหงการโตแยงชื่อมีประการใดบาง และกฎหมายใหความคุมครอง
อยางไร
การโตแยงเรื่องชื่อมี 2 กรณี คือ (1) มีผูโตแยงการใชชื่อของเรา (2) ผูอื่นเอาชื่อเราไป
ใชโดยไมมีอํานาจ และกฎหมายใหความคุมครอง 3 ประการ คือ (ก) ใหระงับความเสียหาย (ข) ขอใหศาล
สั่งหาม (ค) เรียกคาเสียหายได
2.3.3 สถานะและการจดทะเบียนสถานะบุคคล
สถานะของบุคคลคืออะไร ไดมาจากไหน และเหตุใดบุคคลตองมีสถานะ
สถานะของบุคคลคือ ฐานะหรือตําแหนงซึ่งบุคคลดํารงอยูในประเทศชาติและครอบครัว
บุคคลไดสถานะตั้งแตเกิดมีสภาพบุคคล และอาจไดมาโดยการกอขึ้นเองอีก เพราะเปลี่ยนสถานะใหม เหตุ
ที่ตองมีสถานะเปนสิ่งที่บอกใหทราบถึงความแตกตางและความสามารถของบุคคล ในการใชสิทธิและ
ปฏิบัติหนาที่
2.4 ภูมิลําเนา
1. ภูมิลําเนาเปนที่กฎหมายกําหนดใหมีประกอบตัวบุคคล เพื่อชี้บงใหเปนที่รูกันทั่วไปวาเขามีที่
อยูเปนประจําที่ไหน ดังนั้นจึงอาจใหความหมายไดอีกนัยหนึ่งวา ภูมิลําเนาคือที่อยูตามกฎหมายของบุคคล
- 10. 10
2. การรูภูมิลําเนามีประโยชนเมื่อบุคคลตองการติดตอสัมพันธกัน โดยเฉพาะในทางกฎหมายที่
เกี่ยวกับการฟองคดี การสงคําคูความหรือเอกสาร การชําระหนี้หรือสาบสูญ ทั้งยังเปนประโยชนตอรัฐใน
การจัดระเบียบการปกครอง และบังคับใหเปนไปตามกฎหมายอีกดวย
3. กฎหมายบัญญัติเปนหลักทั่วไปกําหนดใหที่อยูซึ่งเปนแหลงสําคัญเปนภูมิลําเนาของบุคคล
แตหลักทั่วไปนี้ไมอาจครอบคลุมไป กําหนดภูมิลําเนาของบุคคลไดทุกประเภท จึงมีบทบัญญัติขยายความ
หลักเกณฑทั่วไป หรือลดหยอนหลักเกณฑทั่วไปลงมา เพื่อคนหาภูมิลําเนาของบุคคลทุกคนใหจนได
กลาวคือ บุคคลมีที่อยูหลายแหง ใหถือแหงสําคัญเปนภูมิลําเนา ถาสําคัญเทากัน แตละแหงเปนภูมิลําเนา
ถาไมมีที่อยูแหลงสําคัญเลย ใหถือที่อยูเปนภูมิลําเนา และทายที่สุดถาไมมีที่อยูแนนอนเลย ใหถือวาที่นั้น
เปนภูมิลําเนา
4. จากหลักเกณฑที่วาบุคคลมีที่อยูหลายแหง ใหถือแหงสําคัญเปนภูมิลําเนานั้น หมายความวา
บุคคลอาจเลือกถือภูมิลําเนาไดโดยใจสมัคร เพราะเขาจะเลือกเอาที่อยูใดเปนแหลงสําคัญก็ได สวน
หลักเกณฑขอที่วา บุคคลมีที่อยูแหลงสําคัญหลายแหง ใหถือวาแตละแหงเปนภูมิลําเนานั้น มีความหมาย
อยูในตัววา บุคคลอาจมีภูมิลําเนาไดหลายแหง
5. แมหลักเกณฑมีวา บุคคลอาจเลือกถือภูมิลําเนาไดตามใจสมัคร แตมีขอยกเวนสําหรับบุคคล
บางประเภทที่กฎหมายกําหนดภูมิลําเนาใหเลย ไดแก ผูเยาวและคนไรความสามารถ กฎหมายใหถือ
ภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูอนุบาล ขาราชการใหมีภูมิลําเนาอยู ณ ที่ทํางานประจํา แต
ขาราชการอาจถือภูมิลําเนาเดิมอีกแหงก็ได คนที่ถูกจําคุก กฎหมายใหถือเอาเรือนจํา หรือทัณฑสถานที่
ถูกจําคุกอยูเปนภูมิลําเนาจนกวาจะไดรับการปลอยตัว สวนสามีและภรรยา กฎหมายใหถือถิ่นที่อยูของสามี
และภรรยาอยูกินดวยกันฉันสามีภริยาเปนภูมิลําเนา
6. นอกจากภูมิลําเนาธรรมดาแลว บุคคลอาจเลือกเอาถิ่นที่ใดที่หนึ่งเปนภูมิลําเนาเฉพาะการเพื่อ
ทํากิจการอยางใดอยางหนึ่งอีกก็ได
7. ภูมิลําเนานั้น อาจเปลี่ยนแปลงไปโดย (1) ยายที่อยู และ (2) มีเจตนาจงใจจะเปลี่ยน
ภูมิลําเนาเปนหลักเกณฑ 2 ประการประกอบกัน หากพฤติการณเขาหลักเกณฑเพียงขอเดียวไมถือวา
ภูมิลําเนาไดเปลี่ยนแปลงไป
2.4.1 ประโยชนของภูมิลําเนา
ภูมิลําเนาของบุคคลมีประโยชนในทางกฎหมายเอกชนอยางไร
มีประโยชนคือ (1) การฟองคดี ทําใหทราบเขตอํานาจศาล (2) การสงคําคูความหรือ
เอกสาร สง ณ ภูมิลําเนา (3) การชําระหนี้ ชําระ ณ ภูมิลําเนาของเจาหนี้ (4) การสาบสูญ ถือหลักการไป
จากภูมิลําเนา
2.4.2 การกําหนดภูมิลําเนา
คําวาบุคคลอาจมีภูมิลําเนาไดหลายแหง นั้น หมายความวาอยางไร
ตาม ปพพ. มาตรา 44 คือผูเยาวใชภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรม กรณีบิดามารดา
ของผูเยาวแยกกันอยูใหถือภูมิลําเนาของบิดาหรือมารดาตนอยูดวย ปพพ. มาตรา 45 ภูมิลําเนาของคนไร
ความสามารถไดแก ภูมิลําเนาของผูอนุบาล
ก. มีบุตรภรรยาและบานพักอยูที่กรุงเทพฯ แตมีอาชีพเปนเซลแมน เดินเรขาย
สินคาไปในที่ตางๆ ไมมีสํานักทําการงานแนนอน เดือนหนึ่งหรือสองเดือนจึงกลับบานและพักอยู
2-3 วัน ก็ออกเดินทางคาขายตอ ดังนี้ ภูมิลําเนาของ ก. จะอยูที่ใด
กรุงเทพฯ
2.4.3 บุคคลที่กฎหมายกําหนดภูมิลําเนาให
ผูเยาวเปนคนไรความสามารถเลือกถือภูมิลําเนาของตนไดตามใจสมัครหรือไม
เพราะเหตุใด
เลือกภูมิลําเนาเองไมได เพราะผูเยาวและคนไรความสามารถเปนผูหยอนความสามารถ
ถูกตัดทอนสิทธิในการทํานิติกรรม หากผูเยาวจะทํานิติกรรม ตองไดรับความยินยอมหรือใหผูแทนโดยชอบ
ธรรมทําแทน สวนคนไรความสามารถทํานิติกรรมไมไดเลย หากทําจะเปนโมฆียะ ตองใหผูอนุบาลทําแทน
ดวยเหตุนี้ กฎหมายจึงกําหนดใหถือภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรมหรือผูอนุบาล ทั้งนี้ เพื่อความ
สะดวกและเหมาะสมในการควบคุมดูแลและใชอํานาจปกครอง
ก. รับราชการประจําอยูในกรุงเทพฯ แตทางราชการสงไปชวยราชการที่จังหวัด
เชียงใหมเปนเวลา 1 ป ดังนี้ ถือวา ก. มีภูมิลําเนาที่ไหนเพราสะเหตุใด