คนไทยที่เกิดก่อนยุค 1970s อาจเคยมีประสบการณ์เห็นความยากลำบากทุรกันดารของเมืองไทย ไม่ใช่ทุกที่ที่จะมีถนนเข้าถึง แต่มาวันนี้เมืองของไทยต่างเชื่อมโยงกับทั้งภายในและต่างประเทศได้สะดวกรวดเร็ว ด้วยโครงสร้างพื้นฐาน ถนนทางหลวงและสนามบินที่ขยายตัวครอบคลุมค่อนประเทศ เราจึงมิอาจปฏิเสธถึงความเจริญและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย ปรากฏการณ์ความเป็นเมืองหรือที่เรียกกันว่า นคราภิวัตน์ (Urbanization) เกิดขึ้นมากมาย ดังตัวอย่างที่ได้หยิบยกมานำเสนอในที่นี้ ได้แก่ เมืองยะลา เมืองสายบุรี เมืองผาปัง เมืองอุดรธานี ซึ่งหลายพื้นที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เป็นหมุดหมายที่ต้องไปเยือน และเป็นเสน่ห์ดึงดูงทั้งนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
มาวันนี้ ภาคส่วนต่างๆ อาจมองว่าเมืองของไทยควรยกระดับเป็น Smart City ตามแนวคิดต่างชาติ ในจินตนาการของเราหลายคนคงนึกถึงแต่การนำเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทันสมัยมาใช้ ต้องมีงบประมาณจำนวนมากมาสนับสนุน และต้องไปดูงาน Smart City ที่เมืองนอก แต่น่าสนใจที่มีนักพัฒนาเมืองอย่าง
Lawrence Morgan เขากลับให้มุมมองว่า เมืองของไทยเป็นต้นแบบ Smart City ของโลกได้ เพราะสิ่งที่เป็นหัวใจของ Smart City คือ คน อันเป็นปัจจัยแรกที่ควรคำนึงถึงไม่ใช่เทคโนโลยี ประเทศไทยของเรามีคนที่มีเมตตา โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน มีความรู้สึกถึงบ้านเมืองเป็นของส่วนรวมที่ต้องช่วยเหลือกัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นทุนทางสังคมของไทยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเงินทุนจำนวนมากเท่าใดก็หาซื้อไม่ได้
ดังนั้น การที่คนไทยทุกคนต่างต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศที่ล้ำหน้าและมีอารยะนั้น ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จึงเห็นว่า เรามิอาจมองข้ามท้องถิ่นและทุนทางสังคมของไทย ซึ่งเราละเลยมานาน หากเราต้องใช้ท้องถิ่นและพื้นที่ที่เป็นเมือง นคร หรือกรุง มาเป็นพลัง ให้กลายเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา ปรากฏการณ์นคราภิวัตน์จึงเป็นโอกาสของการปฏิรูปประเทศ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและการเมือง ในวันนี้และวันข้างหน้า