9789740333197
- 2. 2
จากความถดถอยทาง
เศรษฐกิจการเงินโลก สู่สภาวะ
วิกฤตของเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
อันเนื่องมาจากอุปสงค์ (De-
mand) ที่เหือดหายไปอย่าง
รวดเร็ว อุปทานที่ล้นเกินท�ำให้
วงจรการผลิตภาคอุตสาหกรรม
เผชิญกับสภาวะปั่นป่วนไปทั่วโลก
หากใครได้หยิบนิตยสาร The
Economist ฉบับปลายเดือน
กุมภาพันธ์ 2552 ขึ้นมาดู อาจจะ
รู้สึกอกสั่นขวัญผวาไปกับจั่วหัว
ที่มา : www.economist.com
ที่พาดไว้พร้อมกับภาพประกอบที่ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่งว่า
“ความล่มสลายของอุตสาหกรรมการผลิต” (The Collapse of
manufacturing) โดยนิตยสารฉบับนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า วิกฤตทาง
การเงิน (Financial crisis) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาได้ก่อให้เกิด
วิกฤตการณ์ของภาคอุตสาหกรรมตามมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ปรากฏการณ์ความตกต�่ำของภาคอุตสาหกรรมการผลิตมิได้
กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะประเทศต้นเหตุแห่งปัญหาทางการเงินอย่าง
สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่มันได้แผ่กระจายไปทั่วโลก เช่น ในกรณีของ
ต้นเหตุแห่งปัญหาคือประเทศสหรัฐอเมริกาจ�ำนวนการประกอบรถยนต์
ลดฮวบลงไปถึงร้อยละ 60 ต�่ำกว่าช่วงเดือนมกราคมของเมื่อปีที่แล้ว
ในกรณีประเทศเยอรมนี ช่วงเดือนธันวาคม มีค�ำสั่งซื้อเครื่องมือ-
เครื่องจักร (Machine-tool) ลดลงไปกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับ
- 3. 3
ช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในกรณีของไต้หวัน การส่งออกคอมพิวเตอร์
โน้ตบุ๊กในช่วงเดือนมกราคมตกฮวบลงไป 1 ใน 3 หรือแม้แต่ในกรณี
ของประเทศจีน ผู้ส่งออกของเล่นที่เคยมีประมาณ 9,000 ราย กลับ
ต้องล้มหายตายจากไปกว่าครึ่งหนึ่ง
เมื่อมองภาพรวมใหญ่ ในกรณีของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
ในช่วงไตรมาสสุดท้ายพบว่ายอดการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ
อเมริกาตกลงมาถึงร้อยละ 3.6 และร้อยละ 4.4 ในอังกฤษ (ในขณะที่
หากคิดเป็นรายปี ยอดตกลงมาร้อยละ 13.8 และร้อยละ 16.4 ตาม
ล�ำดับ) บางคนอาจจะชี้นิ้วต�ำหนิไปที่ตลาดหุ้นวอลสตรีทและการ
พยายามพยุงอุ้มบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าปัญหาทั้งหลาย แต่น่าสังเกตว่า
ความรุนแรงของการตกต�่ำล่มสลายของภาคอุตสาหกรรมจะเกิดขึ้น
อย่างมากในบรรดาประเทศที่เศรษฐกิจต้องพึ่งพิงการส่งออกภาค
อุตสาหกรรม เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเยอรมนีในช่วงไตรมาส
ที่ 4 ตกต�่ำลงร้อยละ 6.8 ในไต้หวันหดตัวลงร้อยละ 21.7 ในญี่ปุ่น
หดตัวลงร้อยละ 12 ผลที่ตามมาคือประเทศเหล่านี้จะมีการหดตัวของ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อย่างรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า การผลิตในภาค
อุตสาหกรรมได้หดตัวเหือดหายอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏ
มาก่อนนับจากวิกฤตน�้ำมัน (Oil crisis) เมื่อทศวรรษที่ 1970 ความล่ม
สลายของภาคอุตสาหกรรมได้ส่งผลแพร่กระจายตัวไปถึงประเทศ
อื่น ๆ ดังเช่น ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก บราซิล ตุรกี มาเลเซีย
และรวมถึงประเทศไทยของเรา โรงงานนับพันโรงในทางใต้ของประเทศ
จีนถูกปิดตัวลงไป คนงานจ�ำนวนมากที่กลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงตรุษจีน
นับล้านคนที่กลับแล้วกลับเลยคือไม่ได้กลับมาท�ำงานอีก
- 4. 4
ในขณะที่โลกใบนี้ก�ำลังตื่นเต้นและขวัญผวาไปกับภาวะวิกฤติ
ทางเศรษฐกิจซึ่งก�ำลังลุกลามระบาดไปทั่วโลก จนแม้กระทั่งนักเศรษฐ-
ศาสตร์ชื่อดังบางท่านกล่าวว่าวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้“เกินการควบคุม
แล้ว”แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงเล็กๆที่พยายามออกมาน�ำเสนอแนวคิด
ในการที่จะ “หลุดพ้น” ออกจากสภาพการที่ไม่น่าพึงประสงค์เช่นนี้
ในคราวนี้ ผู้เขียนใคร่ขอน�ำเสนอแนวคิดของนักคิดท่านหนึ่ง
ซึ่ง “ถูกกล่าวถึง” จากสื่อมวลชนในหลายบทบาท เช่น บางคนเรียกว่า
ท่านเป็น “นักเศรษฐศาสตร์” แต่สื่อบางฉบับก็บอกว่าท่านเป็น “นัก
สังคมวิทยา” ฯลฯ ผู้เขียนจึงขอ
เรียกรวมว่าเป็น“นักเศรษฐศาสตร์
สังคมวิทยา” (Sociological
economist) ก็แล้วกัน ท่านผู้นี้
คือศาสตราจารย์ริชาร์ดฟลอริดา
(Richard Florida) ผู้อ�ำนวยการ
สถาบัน The Martin Prosperity
Institute ตั้งอยู่ที่ The Rotman
School of Management แห่ง
มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศ แคนาดา
ศาสตราจารย์ฟลอริดาน�ำเสนอแนวคิดที่ว่า แม้วิกฤติการคราวนี้
จะหนักหนาสาหัสรุนแรงขนาดไหน แต่เรายังมี “ทางออก” เปรียบ
เสมือนกับ “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” นั่นคือ ท่านเสนอว่าเราสามารถ
ที่จะขับเคลื่อนออกจากภาวะวิกฤตนี้ได้ ด้วยแนวคิดว่าด้วย “การ
สร้างสรรค์”และการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า“เศรษฐกิจ
สร้างสรรค์” (Creative economy)
- 5. 5
จากมุมมองของศาสตราจารย์ฟลอริดาที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ
ของสหรัฐอเมริกา ท่านเห็นว่าปัจจุบันสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้ช่วงการ
เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จากยุคแห่ง “กล้ามเนื้อและความแข็งแกร่ง”
(Strength and muscle) สู่ยุคที่ “ความรู้และทักษะ” คือหัวใจส�ำคัญ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในห้วงที่ผ่านมา
มักขึ้นอยู่กับระบบอุตสาหกรรมที่มุ่งใช้หยาดเหงื่อแรงงานและพลัง
ทางกายภาพมากกว่าการใช้พลังสติปัญญา
ความท้าทายในปัจจุบันส�ำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ
อเมริกาคือการต้องขับเคลื่อนจากอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วย “งานที่มี
ลักษณะเป็นกิจวัตร” (Routine-oriented job) ซึ่งงานเหล่านี้มักมี
ลักษณะงานที่ต้องท�ำตามมาตรฐานและเป็นการท�ำงานที่ซ�้ำ ๆ ไปตาม
มาตรฐานที่วางไว้แล้ว ดังนั้น งานพวกนี้จึงมักใช้ความแข็งแกร่งของ
“มือ” และ “ร่างกาย” มากกว่า “หัว” และ “สมอง” เคลื่อนผ่านไปสู่
อุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วย “งานที่ขึ้นอยู่กับการใช้ความคิดสร้างสรรค์”
(Creativity-oriented occupations) ซึ่งคนท�ำงานจะต้องประยุกต์ใช้
ความรู้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และต้องท�ำการตัดสินใจและสื่อสารตอบโต้กับสถานการณ์ได้อย่างดี
จากข้อมูลที่ศาสตราจารย์ฟลอริดาศึกษามาพบว่า สัดส่วนของ
คนที่ท�ำงานเชิงสร้างสรรค์ (Creative job) มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
เรื่อย ๆ และได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา และเชื่อว่า
จะเพิ่มมากขึ้นต่อไปแม้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ เนื่องจากงาน
เชิงสร้างสรรค์จะมีความอ่อนไหวต่อความถดถอยทางเศรษฐกิจ
น้อยกว่างานแบบกิจวัตร ศาสตราจารย์ฟลอริดาเชื่อว่า ภายในทศวรรษ
หน้างานเชิงสร้างสรรค์จะมีสัดส่วนเป็น “ครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมด”
- 6. 6
ที่มีในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แต่ผู้คนยังมักให้คุณค่าหรือ
มองข้ามความส�ำคัญของงานเชิงสร้างสรรค์เหล่านี้ และสิ่งที่น่าเป็นห่วง
คือการตัดลดงบประมาณด้านการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมของ
บรรดาประเทศต่าง ๆ และรวมทั้งบรรดาบริษัทน้อยใหญ่ทั้งหลายด้วย
ในขณะที่เศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมการผลิตแบบเดิมให้ความ
ส�ำคัญกับทักษะเชิงกายภาพ แต่ในเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์จะมีทักษะ
เชิงสร้างสรรค์ที่จ�ำเป็นมาก นั่นคือ
• ทักษะเชิงวิเคราะห์ (Analytical skills) เช่น การรับรู้และ
แก้ปัญหาอย่างมีแบบแผน (Pattern recognition and problem
solving)
• ทักษะความฉลาดทางสังคม (Social intelligence) เช่น
การมีความรู้สึกที่ไวต่อสถานการณ์และความสามารถในการโน้มน้าว
จูงใจซึ่งเป็นฐานส�ำคัญในการสร้างการท�ำงานและการขับเคลื่อนเป็น
ทีม
สาขาวิชาที่ต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์ชั้นสูง (เช่น แพทย์และ
วิศวกรรมชีวภาพ) และสาขาวิชาที่ต้องใช้ความฉลาดทางสังคม (เช่น
จิตเวชและการบริหารจัดการ) ถือเป็นสาขาที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
รายได้ส�ำหรับงานสร้างสรรค์จะมีค่าตอบแทนที่สูงกว่างานแบบ
เดิม ๆ พบว่า กระทั่งผู้ที่เคลื่อนย้ายงานจากงานที่ต้องใช้ทักษะในการ
วิเคราะห์แต่อยู่ในระดับล่าง ขึ้นไปสู่งานเชิงสร้างสรรค์ระดับบน จะมี
มูลค่าเพิ่มขึ้นอีก $18,700 หรือคนที่ย้ายงานจากงานที่ใช้ทักษะทาง
สังคมระดับต�่ำไปสู่ระดับสูง จะมีรายได้เพิ่มถึงอีก $25,100
สิ่งส�ำคัญส�ำหรับองค์กรต่าง ๆ ก็คือ การเพิ่มสาระของความ
สร้างสรรค์ อันได้แก่ การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และทักษะความ
- 7. 7
ฉลาดทางสังคมลงไปในงานทุก ๆ งาน ความท้าทายคือ ธุรกิจต่าง ๆ
จ�ำเป็นต้องมีตัวแบบทางธุรกิจที่ประณีตมากขึ้น เป็นตัวแบบซึ่งกระตุ้น
ส่งเสริมให้บุคลากรได้ใช้ทักษะที่ส�ำคัญเหล่านี้ ซึ่งจะท�ำให้งานมีผลิตภาพ
มากขึ้น ซึ่งนั่นก็น�ำมาสู่ค่าตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย ผลก็คือเกิดวงจรแห่ง
ความรุ่งเรือง (Virtuous circle of prosperity) นั่นคือ เมื่อคนงาน
ได้ใช้ขีดความสามารถ ความสร้างสรรค์มากขึ้น ผลิตภาพก็จะสูงขึ้น
ธุรกิจมีรายได้มากขึ้น นั่นก็ย่อมน�ำมาสู่ค่าจ้างและมาตรฐานการ
ครองชีพที่ดีขึ้น
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในสถานประกอบการบางแห่ง ในขณะที่คน
งานในโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งยังติดอยู่กับรูปแบบการท�ำงานที่
ปฏิบัติต่อบุคลากรแบบ“แรงงานไร้ความคิดจิตใจ”(Mindlesslabour)
แต่ในบางสถานประกอบการส่งเสริมให้คนงานเข้าร่วมท�ำกิจกรรม
คุณภาพ (Quality circles) มีการฝึกอบรมให้บุคลากรรู้จักใช้สถิติมา
วิเคราะห์ หรือมอบบทบาทให้บุคลากรมีอ�ำนาจบทบาทในหน้างาน
มากขึ้น ผลก็คือบริษัทก็จะได้ประโยชน์จากผลิตภาพที่สูงขึ้น บุคลากร
ก็จะมีงานที่มั่นคงยิ่งขึ้นและมีค่าจ้างสูงขึ้น
หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมการบริการ เช่น กรณีของโรงแรม
Four Seasons เป็นตัวอย่างของความพยายามที่จะก�ำหนดต�ำแหน่ง
ของตนเองให้เป็นเครือโรงแรมหรูชั้นน�ำของโลก โดยสามารถเพิ่มสาระ
ในเชิงสร้างสรรค์ลงไปในงานต่าง ๆ ของโรงแรม โรงแรมแห่งนี้ปฏิบัติ
ต่อบุคลากรด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีและช่วยยกระดับความสามารถ
ของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ โรงแรม Four Seasons จึงสามารถให้บริการ
ที่ดีเยี่ยมอยู่ในระดับโรงแรมชั้นน�ำของโลก