More Related Content
Similar to 9 อินทรีย์สังวร ( ตามดู ไม่ตามไป )keepcool
Similar to 9 อินทรีย์สังวร ( ตามดู ไม่ตามไป )keepcool (20)
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
9 อินทรีย์สังวร ( ตามดู ไม่ตามไป )keepcool
- 1. “อินทรียสังวร”
(ตามดู ! ไมตามไป.... )
อินทรียภาวนาชั้นเลิศ
อานนท ! อารมณอันเปนที่ชอบใจ – ไมเปนที่ชอบใจ
เปนที่ชอบใจและไมเปนที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแกภิกษุนั้น
ยอมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู.
อานนท ! นี้แล เราเรียกวา อินทรียภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย…
อุปริ . ม. ๑๔/๕๔๒ – ๕๔๕/๘๕๖ – ๘๖๑.
กวา ๖๐ พระสูตร
แหงความสอดรับกันในคำตถาคต
- 2. “ธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก”
ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก
แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือน ๆ กัน) ว่าไม่มี
แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี
ภิกษุทั้งหลาย ! สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี
ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี
และเราก็กล่าวว่าไม่มี
ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ที่เที่ยงแท้
ที่ไม่มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา
บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี
แม้เราก็กล่าวว่าไม่มี
ภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี
และเราก็กล่าวว่ามี
ภิกษุทั้งหลาย ! รูป ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา
บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี
แม้เราก็กล่าวว่ามี
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๙/๒๓๙.
- 4. พุทธวจน
“อินทรียสังวร” (ตามดู! ไม่ตามไป....)
สื่อธรรมะนี้ จัดทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน
เป็นธรรมทาน
ลิขสิทธิ์ในต้นฉบับนี้ได้รับการสงวนไว้
ไม่สงวนสิทธิ์ในการจัดทำจากต้นฉบับเพื่อเผยแผ่ในทุกกรณี
ในการจัดทำหรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ
เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูล
ขอคำปรึกษาด้านข้อมูลในการจัดทำเพื่อความสะดวกและประหยัด
ติดต่อได้ที่ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘๑-๕๑๓-๑๖๑๑
หรือ คุณอารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘๕-๐๕๘-๖๘๘๘
พิมพ์ครั้งที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
ออกแบบปก คณะสงฆ์วัดนาป่าพง
ศิลปกรรม วิชชุ เสริมสวัสดิ์ศรี
ที่ปรึกษาศิลปกรรม จำนงค์ ศรีนวล, ธนา วาสิกศิริ
จัดทำโดย มูลนิธิพุทธโฆษณ์
(เว็บไซต์ www.buddhakos.org)
ดำเนินการพิมพ์โดย บริษัท คิว พริ้นท์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
โทรศัพท์ ๐๒-๘๐๐-๒๒๙๒ โทรสาร ๐-๒๘๐๐-๓๖๔๙
- 5. ลำดับเนื้อหา
ผลเสียของการปล่อยจิตให้เพลินกับอารมณ
ตัวอย่างพุทธวจน ที่ทรงตรัสไม่ให้ปล่อยจิตให้เพลินกับอารมณ
จิตทีเพลินกับอารมณ ละได้ดวยการมีอนทรียสังวร (การสํารวมอินทรีย)
่ ้ ิ
ความสําคัญแห่งอินทรียสังวร
ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร
รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น
ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ
ข้อย้ำเตือนจากพระตถาคต
- 7. สารบัญ
คํานํา ๑
ผลเสียของการปลอยจิตใหเพลินกับอารมณ ๑๕
กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓ ๑๖
ไม อาจที่จะหลุดพ นไปจากทุ กข ๒๐
เพลิน อยู กับอายตนะ เทา กับ เพลิน อยูในทุกข ๒๒
ลั กษณะของการอยูอ ยางมีตัณหาเปนเพื่อน ๒๔
ไม อาจถึง ซึ่ง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๒๙
ตัวอยางพุทธวจน ที่ทรงตรัสไมใหปลอยจิต ๓๑
ใหเพลินกับอารมณ
ละความเพลิน จิตหลุ ดพน ๓๒
ความพอใจ เปน เหตุแ ห ง ทุ กข ๓๓
เมื่อ คิดถึ ง สิ่งใด แสดงวาพอใจในสิ่ง นั้น ๓๔
ภพแม ชั่ วขณะดีดนิ้ว มือ ก็ยัง นา รั ง เกียจ ๓๕
ตัณ หา คือ “เชื้อ แหง การเกิด” ๓๗
เมื่อ มี ความพอใจ ยอ มมีตัณ หา ๓๙
ตัณ หา คือ เครื่อ งนําไปสูภพใหม อั น เปน เหตุเกิดทุกข ๔๑
- 8. สิ้น ความอยาก ก็สิ้น ทุกข ๔๓
มี ค วามเพลิน คือ มีอุปาทาน ผูมีอุ ปาทานย อ มไมป รินิพพาน ๔๕
ในอริ ยมรรคมีอ งค ๘ ๔๙
ทรงตรัสวา “เปน เรื่องเรง ดวนที่ตอ งเรง กระทํา” ๕๑
ต อ งเพียรละความเพลินในทุก ๆ อิริยาบถ ๕๔
ความเพียร ๔ ประเภท (นัยที่ ๑) ๕๖
ความเพียร ๔ ประเภท (นัยที่ ๒) ๕๘
จิตที่เพลินกับอารมณ ละไดดวยการมีอินทรียสังวร ๖๑
(การสํารวมอินทรีย)
เมื่ อ มี สติ ความเพลิ น ยอ มดับ ๖๒
กายคตาสติ มี ค วามสํา คัญ ตอ อิ น ทรียสัง วร ๖๕
- ลักษณะของผูไ มตั้ง จิตในกายคตาสติ ๖๕
- ลักษณะของผูตั้ง จิ ตในกายคตาสติ ๖๗
อิ น ทรียสังวร ปดกั้นการเกิดขึ้น แห งบาปอกุ ศล ๗๐
- 9. ความสําคัญแหงอินทรียสังวร ๗๓
อินทรียสังวร เปนเหตุใหไดมาซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ ๗๔
ผูไมสํารวมอินทรียคือผูประมาท ผูสํารวมอินทรียคือผูไมประมาท ๗๕
ความไมประมาท เปนยอดแหงกุศลธรรม ๗๗
ผูมีอินทรียสังวร จึงสามารถเจริญสติปฏฐานทั้ง ๔ ได ๗๙
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการสํารวม ๘๐
อาสวะบางสวนสามารถละไดดวยการบรรเทา ๘๑
ผลที่ไดเพราะเหตุแหงการปดกั้นอาสวะ ๘๒
ความหมายและลักษณะของการมีอินทรียสังวร ๘๓
ความหมายแหงอินทรีย ๘๔
ลักษณะของผูสํารวมอินทรีย ๘๕
ผูที่ถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย ในธรรมวินัย ๘๖
- 10. รูปแบบการละความเพลินในอารมณโดยวิธีอื่น ๘๙
กระจายซึ่ง ผัสสะ ๙๐
ตามแนวแหง สัมมาสัง กัปปะ ๙๔
ย อ มยุบ ย อมไมกอ ย อ มขวางทิ้ง ยอ มไมถือ เอา ซึ่ง... ขันธ ๕ ๙๙
เห็ น ประจักษ ตามความเปน จริง ๑๐๖
พึ ง เห็ น วา ชีวิตนั้น แสนสั้น ๑๐๘
ผลที่สุดของการละความเพลินในอารมณ ๑๑๑
ผูไ ด ชื่อ วา อินทรียภ าวนาชั้น เลิศ ๑๑๒
ผู เข าไปหาเปนผู ไ ม ห ลุดพน ผูไ มเข าไปหายอมหลุดพน ๑๑๔
เพราะไมเ พลิน จึง ละอนุสัยทั้ง ๓ ได ๑๑๖
ยอ มหลุดพ นไปจากทุกข ๑๒๐
ลักษณะของบุคคลสี่ป ระเภทกก ๑๒๕
ขอย้าเตือนจากพระตถาคต
ํ ๑๒๗
ความไม ป ระมาท ยั ง กุศลธรรมทั้งหลายใหเกิดขึ้น ๑๒๘
พินัยกรรม ของพระสังฆบิดากกกกกกกกกก ๑๒๙
บั น ทึ กทา ยเลม ๑๓๑
- 13. อิ น ทรี ย สั ง วร ๑
คํานํา
มนุษยเปนสัตวที่สื่อสารกันดวยระบบภาษาที่ซับซอน ทั้งโครงสรางและความหมาย
วจี สั ง ขาร ที่ ม นุ ษย ป รุ ง แต ง ขึ้ น นั้ น มีความวิจิตรเทียบเทาดุจความละเอียดของจิต
ทั้งนี้ เพราะ จิตเปนตัวสรางการหมายรูตาง ๆ (จิต เปนเหตุในการเกิ ด ของนามรูป
และนามรูปซึ่งจิตสรางขึ้นนั้น เปนเหตุในการดํารงอยูไดของจิต)
ถอยคําหนึ่ง ๆ ในภาษาหนึ่ง ๆ เมื่อนําไปวางไวในบริบทตาง ๆ กัน ก็มีความหมายตางกัน
ยิ่งไปกวานั้น ถอยคําหนึ่ง ๆ ในบริบทเดียวกัน สามารถถูกเขาใจตางกันในความหมายได
ขึ้นอยูกับการหมายรูเฉพาะของจิตผูรับสาร ซึ่งก็มีอนุสัยในการปรุงแตงแตกตางกันไป
ความหยาบละเอียดในอารมณ อันมีประมาณตาง ๆ แปรผันไปตามการหมายรูน้ัน ๆ
การสื่อความใหเขาใจตรงกัน จึงไมใชเรื่องงาย แมเรื่องราวในระดับชีวิตประจําวัน
แม ใ นระหว า งบุ ค คลที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ใ กล ชิ ด เช น ในครอบครั ว เดี ย วกั น ก็ ต าม
การผิ ด ใจกั น ที่ มี เ หตุ ม าจากการสื่อ ความหมายที่ ไม ต รง ก็ มี ใ ห เ ห็ น เป น เรื่อ งปกติ
กับกรณีของปรากฏการณทางจิต ซึ่งมีมิติละเอียดปราณีตที่สุดในระบบสังขตธรรม
ใครเลา จะมีความสามารถในการบัญญัติระบบคําพูด ที่ใชถายทอดบอกสอนเรื่องจิตนี้
ใหออกมาไดเปนหลักมาตรฐานเดียว และใชสื่อเขาใจตรงกันได โดยไมจํากัดกาลเวลา
- 14. ๒ ตามดู ไม ตามไป
“ดู ก ายดู ใ จ” “ดูจิ ต ” “ตามดูต ามรู ”
ปฏิ เ สธไม ไ ด เ ลยว า วลี ข า งต น นั้ น ถู ก ใช พู ด กั น ทั่ ว ไปเป น ปกติ ใ นหมู นั ก ภาวนา
ปกติ จ นเรี ย กได วา เป น หนึ่ ง ในสิ่ งที่ ถู ก มองข า มเพิ ก เฉย (take for granted) ไป
ราวกับวา ใคร ๆ ก็รูกันหมดแลว เหมือนคําที่ใชกันเปนประจํา เชน กินขาว อาบน้ํา ฯ
หากพิ จ ารณาใหดี จะพบจุด สั ง เกตุ ๒ ข อ
๑. เมื่อถูกถามลงไปในขั้นตอนโดยละเอียด วาอะไรอยางไร เกี่ยวกับ ดูกายดูใจ ดูจิต ฯ
คําตอบที่ได มีความหลากหลายแตกตางกันไป แตมีสิ่งที่เหมือนกันอย า งหนึ่ ง คื อ
ตางก็อางวา มาจากมหาสติปฏฐานสูตร ซึ่งเปนทางเอก เปนคําสอนของพระพุทธเจา
๒. ในแงของความแตกตางดังกลาวนั้น ส ว นมากมั ก จะบอกกั น ว า เป นเรื่ อ งธรรมดา
“แล ว แต จ ริ ต ” จะปฏิ บั ติ กั นอย างไร สุด ท า ยแล วก็ “ไปถึ ง ที่ ห มายเดี ย วกั น ”
เมื่อมาใครครวญดูแลว จะพบความแปลกประหลาดซอนทับอีกชั้นหนึ่ง คือ ทั้ง ๒ ขอนั้น
เปนสิ่งที่ถูก take for granted อีกเชนกัน เสมือนเปนเรื่องที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแลววา
การปฏิบตที่แตกตางกันนั้นเปนเรื่องธรรมดา “แลวแตจริต” และ “ไปถึงที่หมายเดียวกัน”
ั ิ
โดยละเลยการทําความเขาใจที่ถูกตองชัดเจน วาอะไรอยางไรในความแตกตางนั้น
- 15. อิ น ทรี ย สั ง วร ๓
เหตุการณทั้ง ๒ นี้ จะไมมีทางเกิดขึ้นกับอริยสาวก ผูประกอบพรอมดวยโสตาปตติยังคะ ๔
ผูถึงซึ่งศรัทธาอยางไมหวั่นไหว ในการตรัสรูของพระพุทธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ
เปนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงการนับวาเปนคนของพระพุทธเจาโดยไมมขอสงสัยแลว
ี
ยอมที่จ ะรูด ว ย อสาธารณญาณ โดยไม ต อ งอาศั ยป จ จั ย ภายนอกจากใครอื่ น ว า
ธรรมะที่ถูกบัญญัติโดยพระพุทธเจานั้น จะมีคุณลักษณะคลองเกลียวเชื่อมโยงเปนหนึ่ง
“ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย นับ แตร าตรี ที่ต ถาคตได ต รั ส รู อ นุต ตรสั ม มาโพธิ ญาณ
จนกระทั่ ง ถึ ง ราตรี ที่ ต ถาคตปริ นิ พพานด ว ยอนุ ป ทิ เ สสนิ พ พานธาตุ
ตลอดเวลาระหวา งนั้ น ตถาคตไดก ล า วสอน พร่ํา สอน แสดงออกซึ่ งถ อ ยคํา ใด
ถอยคําเหลานั้น ทั้งหมด ยอมเขากันไดโดยประการเดียวทั้งสิ้นไมแยงกันเปนประการอื่นเลย”
–อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.
- 16. ๔ ตามดู ไม ตามไป
กอนพุทธปรินิพพาน ทรงรับสั่งไวกับพระอานนทเถระวา ความสอดคลองเขากันเปนหนึ่งนี้
ใหใชเปนหลักมาตรฐานในการตรวจสอบวาอะไรใช หรือไมใชพระธรรมวินัย (มหาปเทส ๔)
ยิ่งไปกวานั้น ทรงระบุไวดวยวา หากรูแลววาไมใชพระธรรมวินัย ใหเราละทิ้งสิ่งนั้นไปเสีย
ความสามารถในการใชบทพยัญชนะที่มีอรรถะ(ความหมาย) สอดคลองกันเปนหนึ่งเดียวนี้
เปนพุทธวิสัย มิใชสาวกวิสัย ทั้งนี้ เพราะเหตุคือความตางระดับชั้นกันของบารมีท่ีสรางสมมา
พระตถาคต สรางบารมีมาในระดับพุทธภูมิ เพื่อใหไดมา ซึ่งความเปนอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
พระสาวก สรางบารมีในระดับสาวกภูมิ เพื่อใหไดมา ซึ่งโอกาสในการเปนสาวกในธรรมวินัยนี้
ที่ ม าที่ ไ ปของคํา วา ดู จิ ต หรื อ ตามดู ต ามรูฯ ไม ใ ช เ รื่ อ งลึ ก ลับ ซับซอนที่จะสืบคน
ตั ว สู ต รที่ เ ป น พุ ท ธวจน เพื่ อ ใช ต รวจสอบเที ย บเคี ย งตามหลั ก มหาปเทส ก็ มี อ ยู
ใชหรือไมวา ปญหาที่แทจริงทั้งกับในกรณีนี้ และอื่น ๆทํานองเดียวกันนี้ คือ ความขี้เกียจ
ความมักงายของชาวพุทธนั่นเอง ที่ไมอยากเขาไปลงทุนลงแรงศึกษาสืบคนพุทธวจน
แลวไปคาดหวังลม ๆ แลง ๆ วา นาจะมีใครสักคนหนึ่งหรือสองคน ที่มีความสามารถ
พิเศษคิดคนยนยอหลักธรรมที่พระตถาคตบัญญัติไวเปนสวากขาโตแลวนั้น ใหงายสั้นลง
กวาได
การเชื่อเชนนี้ เปนลักษณะความเชื่อของปุถุชนผูมิไดสดับ - มิไดเห็นพระอริยเจา -
ไมฉลาดในธรรมของพระอริยเจา - ไมไดรับการแนะนําในธรรมของพระอริยเจา จึงไมทราบวา
พระสาวกมีภูมิธรรมจํากัดอยูเพียงแคเปนผูเดินตามมรรคที่พระตถาคตบัญญัติไวเทานั้น
(มคฺ ค านุ ค า จ ภิกฺ ข เว เอตรหิ สาวกา วิ ห รนฺ ติ ปจฺฉ า สมนฺ น าคตา)
- 17. อิ น ทรี ย สั ง วร ๕
ผูที่สรางบารมีมาในระดับสาวกภูมิ ไมมีความสามารถในการคิดสรางมรรคขึ้นเอง
ไมเวนแมแต พระอรหันตผูหลุดพนดวยปญญา (ปฺาวิมุตฺเตน ภิกฺขุนาติ) ก็ตาม
พระพุทธเจา (อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ) ในฐานะพระศาสดานั้น มีคุณสมบัติเหนือไปกวา คือ
ทรงเปนผูรูมรรค (มคฺคฺู) รูแจงในมรรค (มคฺควิท) และเปนผูฉลาดในมรรค (มคฺคโกวิโท)
ู
พระพุทธองคจึงทรงรับสั่งปองกันไวลวงหนาแลววา สูตรใด ๆ ก็ตามที่แตงขึ้นใหมในภายหลัง
แมจะมีความสละสลวยวิจิตร เปนของนอกแนว เปนคํากลาวของสาวก ใหเราไมสําคัญตนวา
เปนสิ่งที่ควรเลาเรียนศึกษา ในทางกลับกัน คํากลาวของตถาคต อันมีความหมายลึกซึ้งนั้น
ใหเราสําคัญตนวาเปนสิ่งที่ควรเลาเรียนศึกษาและใหพากันเลาเรียนศึกษาคําของตถาคตนั้น
แลวใหไตถามทวนถามกันและกันในเรื่องนั้น ๆ วาพระพุทธเจาทรงกลาวเรืองนี้ไวอยางไร
่
ขางตนนี้ คือวิธีการเปดธรรมที่ถูกปดดวยพุทธวจน และชาวพุทธที่มีการศึกษาในลักษณะนี้
(ปฏิปุจฺฉาวินตา ปริสา โน อุกฺกาจิตวินีตา) พระพุทธองคทรงเรียกวาเปนพุทธบริษัทอันเลิศ
ี
ในมหาสติปฏฐานสูตรนั้น แบงฐานทีตั้งแหงสติออกเปน ๔ ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
่
โดยแตละฐาน มีรายละเอียดระบุชัดเจนวาปฏิบติอยางไร ขอบเขตแคไหน และจบลงอยางไร
ั
ผูที่ศึกษาพุทธวจนโดยละเอียดรอบคอบ ยอมที่จะเขาใจแงมุมตาง ๆ โดยลึกซึ้งครบถวน และ
ยอมที่จะรูไดวา ความแตกตางในมรรควิธี มีได แตไมใชมีโดยสะเปะสะปะไรเงื่อนไขขอบเขต
- 18. ๖ ตามดู ไม ตามไป
หากแตมีได หลากหลายได ภายใตพทธบัญญัติซึ่งมีลักษณะเชื่อมโยงสอดคลองเปนหนึ่ง
ุ
ผลอานิสงสมุงหมายในที่สุด ก็สามารถเขาถึงได ดวยวิธีอันหลากหลายภายใตความเปนหนึ่งนี้
ในวาระนี้ จะขอยกหมวดของ จิตตานุปสสนา คือการตามเห็นในกรณีของจิต ขึ้นเปนตัวอยาง
ปจจุบัน มีผูที่ดจิต หรือดูอาการของจิต โดยใชคําอธิบายสภาวะของจิตซึ่งบัญญัติขึ้นใหมเอง
ู
แลวหลงเขาใจไปวา การฝกตามดูตามรูสภาวะนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ คือการเจริญสติ คือการดูจิต
หากพิจารณาโดยแยบคายแลว คําเรียกอาการของจิต ที่คิดขึ้นใหมเองทั้งหลายเหลานั้น
เปนเพียงการตั้งชื่อเรียกอารมณอันมีประมาณตาง ๆ และการตามเห็นสภาวะนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ
ก็คือการฝกผูกจิตติดกับอารมณดวยอํานาจแหงความเพลิน (ฝกจิตใหมีสัญโญคะ)
จะดวยเหตุอยางไรก็ตามแต ระบบคําเรียกที่ตางกันตรงนี้ อาจดูเหมือนเปนเรื่องเล็กนอย
แตหากเทียบในระดับความละเอียดของจิตแลว องศาทีเ่ บี่ยงเพียงเล็กนอย ณ จุดตรงนี้
สามารถนําไปสูผลลัพธที่สุดในการปฏิบัติ คืออานิสงสมุงหมาย ที่แตกตางกันโดยสิ้นเชิง
นัยยะหนึ่ง ที่พระพุทธองคทรงบัญญัติใหเราตามเห็นจิต (จิตฺตานุปสฺสนา) แทจริงแลวก็เพื่อ
ใหเห็นเหตุเกิดและเสื่อมไป โดยอาศัยการตามเห็น “อาการของจิต” เพียงแค ๘ คูอาการเทานั้น
- 19. อิ น ทรี ย สั ง วร ๗
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเปนผูมีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู นั้นเปนอยางไรเลา ?
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้
(๑) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น มีร าคะ วา “จิ ต มีร าคะ”
(๒) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั นปราศจากราคะ วา “จิ ต ปราศจากราคะ”
(๓) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น มีโ ทสะ ว า “จิ ต มีโ ทสะ”
(๔) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั นปราศจากโทสะ ว า “จิ ต ปราศจากโทสะ”
(๕) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น มีโ มหะ ว า “จิ ต มีโ มหะ”
(๖) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ปราศจากโมหะ ว า “จิ ต ปราศจากโมหะ”
(๗) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น หดหู ว า “จิ ต หดหู ”
(๘) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ฟุ งซ า น ว า “จิ ต ฟุ ง ซา น”
(๙) รูชัดซึ่งจิตอันถึงความเปนจิตใหญ วา “จิตถึงแลวซึ่งความเปนจิตใหญ”
(๑๐) รูชัดซึ่งจิตอันไมถึงความเปนจิตใหญ วา “จิตไมถึงแลวซึ่งความเปนจิตใหญ”
(๑๑) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ยั งมี จิ ต อื่ น ยิ่ ง กว า วา “จิ ต ยั ง มี จิ ต อื่ นยิ่ ง กว า ”
(๑๒) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ไม มีจิ ต อื่ น ยิ่ ง กว า ว า “จิ ต ไม มี จิ ต อื่ น ยิ่ง กว า ”
(๑๓) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ตั้งมั่ น ว า “จิ ต ตั้ง มั่น ”
(๑๔) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ไม ต้ัง มั่ น ว า “จิ ต ไม ตั้ง มั่ น ”
(๑๕) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น หลุด พ น แล ว ว า “จิ ต หลุ ด พ น แล ว ”
(๑๖) รู ชั ด ซึ่ ง จิ ต อั น ยั ง ไม ห ลุ ด พ น ว า “จิต ยั ง ไม ห ลุ ด พ น ”
- 20. ๘ ตามดู ไม ตามไป
ดวยอาการอยางนี้แล ที่ภิกษุเปนผูมีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิต (จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ)
อันเปนภายในอยูบาง, ในจิตอันเปนภายนอกอยูบาง, ในจิตทั้งภายในและภายนอกอยูบาง;
และเป น ผู มี ป กติพิ จ ารณาเห็ น ธรรมเป น เหตุ เกิด ขึ้น ในจิ ต อยู บ า ง,
เห็ น ธรรมเป น เหตุ เ สื่ อ มไปในจิ ต อยู บ า ง,
เห็ น ธรรมเป น เหตุ ทั้ ง เกิ ด ขึ้ น และเสื่ อ มไปในจิ ต อยูบ า ง;
ก็ แ หละสติ ( คือ ความระลึ ก ) ว า “จิ ต มี อ ยู ” ดัง นี้ ของเธอนั้ น
เป น สติ ที่ เ ธอดํารงไว เ พี ย งเพื่ อ ความรู เพี ย งเพื่ อ ความอาศั ย ระลึ ก .
ที่ แ ท เ ธอเป น ผู ที่ ตั ณ หาและทิ ฏ ฐิ อ าศั ย ไม ไ ด และเธอไม ยึ ด มั่ น อะไร ๆ ในโลกนี้ .
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุชื่อวาเปนผูมีปกติตามเห็นจิตในจิตอยู แมดวยอาการอยางนี้.
- มหาสติปฏฐานสูตร มหาวาร. สํ. ๑๐/๓๓๑/๒๘๙.
- 21. อิ น ทรี ย สั ง วร ๙
จะเห็น ไดวา พระพุท ธเจา มิไ ดใ หเ ราฝก ตามดูต ามรูเ รื่อ งราวในอารมณไปเรื่อย ๆ
และ การตามดูตามรูซึ่งจิต (จิตฺตานุปสฺสนา) จะตองเปนไปภายใต ๘ คูอาการนี้เทานั้น
สมมุติสถานการณตัวอยาง เชน ในขณะที่เรากําลังโกรธอยู
ในกรณีนี้ หนาที่ของเรา ที่ตองทําใหได คือ “รูชัดซึ่งจิตอันมีโทสะ วา จิตมีโทสะ”
ไมใชไปตามดูตามรูโทสะ (หรือ รูในอารมณที่จิตผูกติดอยู) ในจิตอันมีโทสะขณะนั้น
ปญหามีอยูวา โดยธรรมชาติของจิต มันรูไดอารมณเดียวในเวลาเดียว (one at a time)
ในขณะที่เรากําลังโกรธอยูนั้น เราจึงตองละความเพลินในอารมณที่ทําใหเราโกรธเสียกอน
ไมเชนนั้น เราจะไมมีทาง “รูชัดซึ่งจิตอันมีโทสะ วา จิตมีโทสะ” ไดเลย
มีผัสสะ จิตรับรูอารมณ มีสติ ละความเพลิน รูชัดซึ่งจิต
ในระหวางขั้นตอนขางตน ถาเราสามารถเห็นธรรมเปนเหตุเกิดขึ้นหรือเสือมไปในจิตได
่
การเห็นตรงนี้ เรียกวา วิปสสนา ซึ่งเปนจุดประสงคของการเจริญสติปฏฐานทั้งสี่
โปรดสังเกตุ สติปฏฐานสี่ ทุกหมวด จบลงดวยการเห็นธรรมอันเปนเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไป
ขั้นตอนของสติท่เขาไปตั้งอาศัยในฐานทั้งสี่ เปนเพียงบันไดขั้นหนึ่งเทานั้น ไมใชจุดหมาย
ี
- 22. ๑๐ ตามดู ไมตามไป
เมื่อผัสสะถูกตองแลว ๆ หากเราหลงเพลิน “รูสึก” ตามไปเรื่อย ๆ นี่คือ อนุสัย (ตามนอน)
หากละความเพลินในอารมณแลวมาเห็นจิตโดยอาการ ๘ คูขางตนนี่คืออนุปสสนา(ตามเห็น)
และ ถามีการเห็นแจงในธรรมเปนเหตุเกิดขึ้นและเหตุเสื่อมไปในจิต นี่คอ วิปสสนา (เห็นแจง)
ื
ถาหากวา เราไมสามารถรูชัดซึ่งจิตโดยอาการอยางใดอยางหนึ่งใน ๘ คูขางตนได
ใหดึงสติกลับมารูที่ฐานคือกาย เชน อิริยาบถ หรือ ลมหายใจ พลิกกลับเปนกายานุปสสนา
อยามักงายไปคิดคําขึ้นใหม เพื่อมาเรียกอารมณท่จิตหลงอยูในขณะนั้น เพราะนั่นคือจุดเริ่ม
ี
ของการเบี่ยงออกนอกมรรควิธี (ไปใชคําอธิบายอาการของจิตที่นอกแนวจากพุทธบัญญัติ
เปนผลใหหลงเขาใจไดวา กําลังดูจิต ทั้ง ๆ ที่กําลังเพลินอยูในอารมณ ขาดสติ แตหลงวามีสติ)
นี้ เปนเพียงตัวอยางของการตามเห็นในกรณีจิตตานุปสสนา คือ ใชจิตเปนฐานที่ตั้งของสติ
ในกรณีของ กายานุปสสนา เวทนานุปสสนา ธรรมานุปสสนา พึงศึกษาในลักษณะเดียวกัน
คือปฏิบัติตามพุทธวจนในกรณีนั้น ๆ ใหถูกตองครบถวน ทั้งโดยอรรถะ และโดยพยัญชนะ
พระพุทธเจามองเห็นธรรมชาติในจิตของหมูสัตว ในแบบของผูที่สรางบารมีมาเพื่อบอกสอน
การบัญญัติมรรควิธี จึงเปนพุทธวิสัย หนาที่ของเราในฐานะพุทธสาวกมีเพียงอยางเดียว คือ
ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติโดยระมัดระวังอยางที่สุด (มคฺคานุคา จ ภิกฺขเว เอตรหิ สาวกา ฯ)
เมื่อเขาใจความหมายของการตามเห็น (อนุปสฺสนา) และการเห็นแจง (วิปสฺสนา) แลว
ทีน้ี จะมีวธีอยางไร ที่จะทําใหอัตราสวน Ratio ของ วิปสสนา ตอ อนุปสสนา มีคาสูงที่สุด
ิ
(คื อ เน น การปฏิบั ติ ที่ ไ ดประสิ ท ธิภ าพมากที่ สุ ด เพื่อ ความลั ด สั้ น สู ม รรคผล)
- 23. อิ น ทรี ย สั ง วร ๑๑
ตั ว แปรหลั ก ที่ เ ปน กุ ญ แจไขป ญ หานี้ คื อ สมาธิ
ตราบใดที่จิตยังซัดสายไป ๆ มา ๆ ทั้งการอนุปสสนาก็ดี และการวิปสสนาก็ดี ตางก็ทําไดยาก
พระพุทธเจาจึงทรงรับสั่งวา ใหเราเจริญสมาธิ เพื่อใหธรรมทั้งหลายปรากฏตามเปนจริง
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! เธอทั้ ง หลายจงเจริ ญ สมาธิ .
ภิ ก ษุ มี จิ ต ตั้ง มั่ น แล ว ย อ มรู ชั ด ตามเป น จริ ง .
ก็ ภิ ก ษุ ย อ มรู ชั ด ตามเป น จริ ง อย างไร ?
ย อ มรู ชั ด ซึ่ ง ความเกิ ด และความดั บ แห ง รูป
ความเกิ ด และความดั บ แห ง เวทนา
ความเกิ ด และความดั บ แห ง สั ญ ญา
ความเกิ ด และความดั บ แห ง สั ง ขาร
ความเกิ ด และความดั บ แห ง วิ ญ ญาณ.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗-๑๘//๒๗.
- 24. ๑๒ ตามดู ไมตามไป
นอกจากนี้แลว พระพุทธองคยังทรงแนะนําเปนกรณีพิเศษ สําหรับกรณีที่จิตตั้งมั่นยาก
เชน คนที่คิดมาก มีเรื่องใหวิตกกังวลมาก ย้ําคิดย้ําทํา คิดอยูตลอดเวลา หยุดคิดไมได
หรือ คนที่เปน hyperactive มีบุคลิกภาพทางจิตแบบ ADHD ซึ่งมีปญหาในการอยูนิ่ง
ทรงแนะนําวิธีแกไขอาการเหลานี้ โดยการเจริญทําใหมาก ซึ่งอานาปานสติสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแหงจิตก็ตาม
ย อ มมี ไ ม ไ ด เพราะการเจริ ญ ทํา ให ม ากซึ่ ง อานาปานสติ ส มาธิ
- มหา. สํ. ๑๙/๔๐๐/๑๓๒๕.
เมื่อถึงตรงนี้ แมจะไมเอยถึง เราก็คงจะเห็นไดชัดแลววา ความสงบแหงจิต (สมถะ) นั้น
จะตองดําเนินไปควบคู และเกื้อหนุนกับระดับความสามารถในการเห็นแจง (วิปสสนา)
ซึ่ ง พระพุ ท ธองคเ องได ต รั ส เน น ย้ํา ในเรื่อ งนี้ ไ วโ ดยตรงด ว ย
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย. ! ธรรมที่ ค วรกระทํา ให เ จริ ญ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เป น อย า งไรเล า ?
สมถะ และ วิปสสนา เหลานี้เรากลาววา เปนธรรมที่ควรกระทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๔/๒๕๔.
- 25. อิ น ทรี ย สั ง วร ๑๓
ธรรมที่ควรกระทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง มีสองอยาง คือ ทั้งสมถะ และวิปสสนา
นั่นหมายความวา ทั้งสมถะ และวิปสสนา เปนสิ่งที่ตองอาศัยปญญาอันยิ่งในการไดมา
ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความสามารถในการทําจิตใหตั่งมั้นได บุคคลนั้นมีปญญาอันยิ่ง
ใครก็ตามที่จิตตั้งมั่นแลวสามารถเห็นแจงในธรรมอันเปนเหตุ บุคคลนั้นมีปญญาอันยิ่ง
สําหรับบางคนที่อาจจะเขาใจความหมายไดดีกวา จากตัวอยางอุปมาเปรียบเทียบ
พระพุทธองคไดทรงยกอุปมาเปรียบเทียบไวในฌานสูตร วาเหมือนกับการฝกยิงธนู
เมื่อพิจารณาแลว จะพบวา มีตัวแปรตาง ๆ ที่เกี่ยวของ ซึ่งจะตองปรับใหสมดุลย
เชน ความนิ่งของกาย วิธีการจับธนู การเล็ง น้ําหนัก และจังหวะในการปลอยลูกศร
อุปมานี้ พอจะทําใหเราเห็นภาพไดดี ในการเจริญสมถะวิปสสนา ดวยปญญาอันยิ่ง
วาการเห็นแจงในธรรมอันเปนเหตุนั้น จะตองอาศัยความสมดุลยตาง ๆ อยางไรบาง
หากจะพูดใหสั้นกระชับที่สุด การตามดูไมตามไปนี้ แทจริงแลว คือ การไมตามไป
เพราะเมื่อไมตาม (อารมณอันมีประมาณตาง ๆ) ไป มันก็เหลือแคการตามดูที่ถูกตอง
หลักการไมตามไปนี้ ก็คือ หลักการละนันทิ ซึ่งเปนเรื่องเดียวกันกับหลักอินทรียสังวร
ภิกษุมิคชาละ ฟงธรรมเรื่องการละนันทิ แลวหลีกจากหมูไปอยูผูเดียวก็บรรลุอรหัตผล
ความเร็วในการละนันทิ ยังถูกใชเปนเครื่องวัดความกาวหนาในการปฏิบัติจิตภาวนา
(ดูความเชื่อมโยงไดในเรื่อง อินทรียสังวร, การไมประมาท, อินทรียภาวนาชั้นเลิศ)
- 26. ๑๔ ตามดู ไมตามไป
หนั ง สื อ ตามดู ไม ต ามไป เล ม นี้ จั ด ทํา ขึ้ น เพื่ อ อํา นวยความสะดวกแก ช าวพุ ท ธ
โดยการคัดเลือกพุทธวจน ที่เกี่ยวของกับการเจริญสติ เปนจํานวนกวา ๖๐ พระสูตร
ซึ่งมีเนื้อหาสอดรับเชื่อมโยงคลองเกลียวถึงกัน เพื่อใหเราไดศึกษาใหเขาใจถึงมรรควิธี
ที่ถูกตองทุกแงมุม ในความหลากหลายภายใตความเปนหนึ่ง จากพุทธบัญญัติโดยตรง
ขอใหบุญบารมีที่ไดสรางมา ของชาวพุทธผูที่กําลังถือหนังสือเลมนี้อยู จงเปนเหตุปจจัย
ใหทานคนพบคําตอบโดยแจมแจง ในขอสงสัยเรื่องการปฏิบัติที่ทานอาจจะติดของอยู
และสําหรับบางทานที่เขาใจคลาดเคลื่อน ปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปบาง มาแตทีแรก
ก็ขอใหไดพบ ไดเขาใจในสิ่งที่ถูก และนําไปใชขยับปรับเปลี่ยนใหตรงทางไดโดยเร็ว
สําหรับทานที่ไมเคยรูอะไรมากอนเลย ก็ถือเปนบุญกุศลที่ไดพบแผนที่ฉบับนี้แตแรก
------------------------------------------------------------------------------------------
คณะผู จั ด พิ ม พ หนั ง สื อ เล ม นี้ ขอนอบน อ มสั ก การะ
ต อ ตถาคต ผู อรหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธะ
และ ภิ ก ษุ ส าวกในธรรมวิ นั ย นี้
ตั้ ง แตค รั้ ง พุ ทธกาล จนถึ ง ยุ ค ป จ จุบั น
ที่ มี ส ว นเกี่ ย วข อ งในการสื บ ทอดพุท ธวจน
คื อ ธรรม และวิ นัย ที่ ท รงประกาศไว บริ สุ ท ธิ์บ ริ บูร ณ ดี แ ล ว
คณะศิษ ย พ ระตถาคต
- 28. ๑๖ ตามดู ไมตามไป
กอใหเกิดอนุสัยทั้ง ๓
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
เพราะอาศัย ตา ดว ย รู ป ทั้งหลาย ดว ย จึง เกิด จักขุวิญ ญาณ
การประจวบพรอ มแหงธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผั สสะ;
เพราะมี ผั สสะเป น ปจจัย...
เพราะอาศัย หู ดว ย เสียงทั้งหลาย ด ว ย จึง เกิดโสตวิญญาณ
การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
เพราะมี ผัสสะเป น ปจจัย...
เพราะอาศัย จมูก ดว ย กลิ่น ทั้งหลาย ด ว ย จึง เกิดฆานวิญ ญาณ
การประจวบพรอ มแห งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผั สสะ;
เพราะมี ผั สสะเปน ป จจัย...
เพราะอาศัย ลิ้น ด ว ย รสทั้งหลาย ดว ย จึง เกิดชิว หาวิญญาณ
การประจวบพรอ มแห งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผั สสะ;
เพราะมี ผั สสะเปน ป จจัย...
- 29. อิ น ทรี ย สัง วร ๑๗
เพราะอาศัย กาย ดว ย โผฏฐัพ พะทั้งหลาย ด ว ย จึง เกิดกายวิญ ญาณ
การประจวบพรอ มแหงธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
เพราะมีผั สสะเปน ปจจัย...
เพราะอาศัย ใจ ดว ย ธรรมารมณทั้ง หลาย ด ว ย จึง เกิดมโนวิญญาณ
การประจวบพรอ มแห งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
เพราะมีผั สสะเปน ป จจัย
จึงเกิดเวทนา อันเปนสุขบาง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง.
บุ คคลนั้น
เมื่ อ สุ ข เวทนา ถู กตอ งอยู
ยอ มเพลิด เพลิน ยอ มพร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู;
อนุ สัยคื อราคะ ย อมตามนอน แกบุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุส โย อนุเสติ)
เมื่ อ ทุ ก ขเวทนา ถู กตอ งอยู
เขายอมเศร าโศก ย อมระทมใจ ยอมคร่ําครวญ
ยอ มตี อ กร่ําไห ย อ มถึ งความหลงใหลอยู;
อนุ สัยคือปฏิฆ ะ ย อมตามนอน (เพิ่มความเคยชิน ให) แกบุ คคลนั้น.
- 30. ๑๘ ตามดู ไมตามไป
เมื่ อ เวทนาอัน ไมใชทุก ขไมใชสุข ถูกตองอยู
เขายอ มไมรูตามเป น จริง
ซึ่ งสมุทยะ (เหตุ เกิด) ของเวทนานั้น ดว ย
ซึ่ ง อั ตถั งคมะ (ความดับไมเหลือ ) แหงเวทนานั้น ดว ย
ซึ่ง อัสสาทะ (รสอรอ ย) ของเวทนานั้ น ดว ย
ซึ่ ง อาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้น ด ว ย
ซึ่ ง นิสสรณะ (อุบายเครื่ องออกพนไป) ของเวทนานั้น ดว ย;
อนุ สัยคื ออวิชชา ย อมตามนอน (เพิ่มความเคยชิน ให) แกบุคคลนั้น.
บุ คคลนั้นหนอ
(สุ ข าย เวทนาย ราคานุ สย อปฺป หาย)
ยัง ละราคานุสัย อั นเกิดจากสุข เวทนาไม ได;
(ทุ กฺขาย เวทนาย ปฏิ ฆานุสย อปฺ ป ฏิวิโนเทตฺว า)
ยังบรรเทาปฏิฆ านุสัย อั นเกิด จากทุก ขเวทนาไมไ ด;
(อทุ กฺข มสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสย อสมูห นิตฺว า)
ยั ง ถอนอวิ ชชานุสัย อัน เกิดจากอทุก ขมสุขเวทนาไมไ ด;
- 31. อิ น ทรี ย สัง วร ๑๙
(อวิ ชฺช อปฺ ปหาย วิชฺช อนุปฺปาเทตฺว า)
เมื่ อยังละอวิชชาไมไ ด และยั ง ทํา วิชชาใหเ กิด ขึ้น ไมไ ดแลว,
(ทิ ฏเว ธมฺเม ทุกฺข สฺ สนฺตกโร ภวิสฺสตีติ)
เขาจักทําที่สุดแห งทุ ก ข ในทิฏฐธรรม (รู เห็น ไดเลย) นี้ไ ด นั้น;
(เนต าน วิชฺ ชติ ฯ)
ข อนี้ ไมเ ปน ฐานะที่จัก มีไ ด.
อุ ป ริ . ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.
- 32. ๒๐ ตามดู ไมตามไป
ไมอาจที่จะหลุดพนไปจากทุกข
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
ผู ใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน รูป
ผู นั้ น เท า กับเพลิ ด เพลิน อยู ใน สิ่ ง ที่เ ปน ทุก ข...
ผูใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน เวทนา
ผู นั้ น เท า กับเพลิ ด เพลิน อยู ใน สิ่ ง ที่เ ปน ทุก ข...
ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู ใน สัญ ญา
ผู นั้ น เท า กั บเพลิด เพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุ ก ข...
ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู ใน สัง ขารทั้งหลาย
ผู นั้ น เทา กับเพลิด เพลิ น อยู ใน สิ่ง ที่เ ป น ทุ ก ข...
ผูใ ด เพลิด เพลิน อยู ใน วิญญาณ
ผู นั้ น เทา กับเพลิด เพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุก ข
- 33. อิ น ทรี ย สัง วร ๒๑
เรากลา ววา
“ผูใด เพลิดเพลิ น อยู ใน สิ่ง ที่เ ปนทุก ข
ผู นั้น ย อ มไมห ลุ ด พน ไปไดจากทุก ข” ดั ง นี้ .
ขนฺ ธ . สํ . ๑๗/๓๙/๖๔.
- 34. ๒๒ ตามดู ไมตามไป
เพลินอยูกับอายตนะ เทากับ เพลินอยูในทุกข
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
ผู ใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน จั ก ษุ
ผู นั้ น เทา กับ เพลิ ด เพลิ น อยู ใน สิ่ ง ที่เ ปน ทุกข...
ผูใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน โสตะ
ผู นั้ น เท า กับ เพลิ ด เพลิ น อยู ใน สิ่ ง ที่เ ปน ทุกข...
ผูใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน ฆานะ
ผู นั้ น เท า กับ เพลิด เพลิ น อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุ กข...
ผู ใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน ชิ ว หา
ผู นั้ น เท า กับ เพลิด เพลิ น อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุ กข ...
ผู ใ ด เพลิด เพลิน อยู ใน กายะ
ผู นั้ น เท า กับ เพลิ ด เพลิน อยู ใน สิ่ง ที่เ ปน ทุ กข...
ผู ใ ด เพลิ ด เพลิน อยู ใน มนะ
ผู นั้ น เท า กับ เพลิ ด เพลิน อยู ใน สิ่ ง ที่เ ปน ทุกข
- 35. อิ น ทรี ย สัง วร ๒๓
เรากลา ววา
ผูใด เพลิดเพลิน อยู ใน สิ่งที่ เ ปน ทุก ข
ผู นั้น ย อ มไมห ลุ ด พน ไปไดจากทุก ข ดั ง นี้.
สฬา. สํ . ๑๘/๑๖/๑๙.
(ในพระสู ต รต อ ไป ได ต รั ส ถึ ง ในกรณี แ ห ง อายตนะภายนอก ๖
ซึ่ ง มี ข อ ความเหมื อ นในกรณี แ ห ง อายตนะภายใน ๖ ทุ ก ประการ
โดยลั ก ษณะการตรั ส ตรงนี้ คื อ ทรงตรั ส แยกเป น กรณี ๆ จนครบ
ซึ่ ง ผู อ า นควรจะทํา ความเข า ใจแยกไปตามกรณี จ นครบเช น กั น
การที่ละไวดว ย ... ก็ เพื่อใหรูวา มี ขอความสรุป ที่เ หมือนกัน)
- 36. ๒๔ ตามดู ไมตามไป
ลักษณะของการอยูอยางมีตัณหาเปนเพื่อน
“ข า แต พ ระองค ผูเ จริ ญ ! ด ว ยเหตุเ พี ย งเท า ไรหนอ
ภิ ก ษุ จึ ง ชื่ อ ว า เป น ผู มี ก ารอยู อ ย างมี เ พื่ อ นสอง พระเจ า ข า ?”
มิ คชาละ !
รูป ทั้ งหลายอันจะพึงเห็นไดดวยจั กษุ
อั น เป น รูป ที่นาปรารถนา นา รักใคร นา พอใจ มีลัก ษณะนา รัก
เปนที่เขาไปตั้งอาศัยอยูแหงความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ มีอยู.
ถาหากวาภิกษุยอมเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร;
แก ภิกษุ ผูเ พลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ สยบมั ว เมา ซึ่ง รูป นั้นอยู นั่ น แหละ,
นั นทิ (ความเพลิน) ย อมเกิดขึ้น
เมื่ อ นั น ทิ มี อ ยู, สาราคะ (ความพอใจอยางยิ่ง) ยอ มมี ;
เมื่ อ สาราคะ มี อ ยู, สั ญ โญคะ (ความผูกจิตติ ดกับอารมณ) ยอ มมี :
- 37. อิ น ทรี ย สัง วร ๒๕
มิคชาละ !
ภิกษุผูประกอบพรอมแลว ดวยการผูกจิตติดกับอารมณดวยอํานาจแหงความเพลิน
นั่ น แล เราเรี ยกวา “ผูมีการอยูอยา งมีเ พื่อนสอง”
(ในกรณีแ หง เสียงทั้งหลายอันจะพึงไดยิน ดีดว ยหู,
กลิ่ น ทั้งหลายอัน จะพึงดมดว ยจมูก,
รสทั้ งหลายอันจะพึ ง ลิ้มดว ยลิ้น,
โผฏฐัพ พะทั้งหลายอันจะพึง สัมผัสดว ยผิวกาย,
และธรรมารมณทั้งหลายอันจะพึงรูแจงดวยใจ, ก็ทรงตรัสอยางเดียวกัน).
มิ คชาละ ! ภิ กษุผูมี ก ารอยูดวยอาการอยา งนี้
แมจะสองเสพเสนาสนะอันเปนปาและปาชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนนอย
มีเสียงกึกกองครึกโครมนอย ปราศจากลมจากผิวกายคน เปนที่ทําการลับของมนุษย
เป น ที่สมควรแกการหลีกเรน เชน นี้แ ลว ก็ตาม
ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกวา ผูมีการอยูอยางมีเพื่อนสองอยูนั่นเอง.
- 38. ๒๖ ตามดู ไมตามไป
ข อ นั้นเพราะเหตุไ รเลา ? ข อ นั้นเพราะเหตุวา
ตัณ หานั่น แล เปน เพื่ อนสองของภิกษุนั้น.
ตั ณหานั้น อันภิ กษุนั้น ยั งละไมไ ด แลว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกวา “ผูมีการอยูอยางมีเพื่อนสอง” ดังนี้.
“ข า แต พ ระองค ผูเ จริ ญ ! ด ว ยเหตุเ พี ย งเท า ไรหนอแล
ภิ ก ษุ จึ ง ชื่ อ ว า เป น ผู มี ก ารอยู อ ย างอยู ผู เ ดี ย ว พระเจ า ข า !”
มิ คชาละ !
รูป ทั้ งหลายอันจะพึงเห็นไดดวยจั กษุ
อั น เป น รูป ที่นาปรารถนา นา รักใคร นา พอใจ มีลัก ษณะนา รัก
เปนที่เขาไปตั้งอาศัยอยูแหงความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัดยอมใจ มีอยู.
ถาหากวาภิกษุยอมไมเพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมสยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร
แกภิกษุผูไมเพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมสยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ
นันทิ ยอมดับ
เมื่ อ นั น ทิ ไมมีอ ยู , สาราคะ ยอ มไมมี
เมื่ อ สาราคะ ไมมีอ ยู, สัญโญคะ ยอ มไมมี
- 39. อิ น ทรี ย สัง วร ๒๗
มิ คชาละ !
ภิกษุผูไมประกอบพรอมแลว ดวยการผูกจิตติดกับอารมณดวยอํานาจแหงความเพลิน
นั่ น แล เราเรี ยกวา “ผูมีการอยูอยา งอยูผูเ ดียว”
(ในกรณี แ ห ง เสียงทั้งหลายอันจะพึงไดยิน ดีดว ยหู,
กลิ่น ทั้งหลายอัน จะพึงดมดว ยจมูก,
รสทั้งหลายอันจะพึง ลิ้มดว ยลิ้น,
โผฏฐัพ พะทั้งหลายอั นจะพึง สัมผัสดว ยผิวกาย,
และธรรมารมณทั้งหลายอันจะพึงรูแจงดวยใจ, ก็ทรงตรัสอยางเดียวกัน)
มิ คชาละ ! ภิกษุผูมีก ารอยูดวยอาการอย า งนี้
แมอยูในหมูบาน อันเกลื่อนกลนไปดวยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย
ดวยพระราชา มหาอํา มาตยของพระราชาทั้งหลาย
ดว ยเดียรถีย สาวกของเดียรถียทั้งหลาย ก็ต าม
ถึง กระนั้น ภิ กษุนั้น เราก็เรียกวา ผูมีก ารอยูอยา งอยูผูเดียวโดยแท
- 40. ๒๘ ตามดู ไมตามไป
ข อ นั้นเพราะเหตุไ รเลา ? ข อ นั้นเพราะเหตุวา
ตัณ หานั่น แล เปน เพื่ อนสองของภิกษุนั้น;
ตั ณหานั้น อันภิ กษุนั้น ละเสี ย ไดแลว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกวา “ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว” ดังนี้ แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๓–๔๔/๖๖-๖๗.
- 41. อิ น ทรี ย สัง วร ๒๙
ไมอาจถึงซึ่ง ความเจริญงอกงาม ไพบูลย
ในธรรมวินัย
ภิกษุทั้งหลาย ! คนเลี้ยงโคที่ประกอบดวยความบกพรอง ๑๑ อยางเหลานี้แลว
ไมเหมาะที่จะเลี้ยงโคและทําฝูงโคใหเจริญได. ความบกพรองนั้นคืออะไรกันเลา ?
คื อ คนเลี้ยงโคในกรณีน้ี ... เปน ผูไ มเขี่ยไขข าง, เป น ผูไ มปดแผล, ...
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุผูประกอบดวยองคคุณ ๑๑ อยางเหลานี้แลว
ไมควรที่จะถึงความเจริญงอกงามไพบูลย ในธรรมวินัยนี้. องคคุณนั้นคืออะไรกันเลา ?
คื อ ภิกษุในกรณีนี้ ... เปน ผู ไมเขี่ยไขข าง, เป น ผูไ มปดแผล ...
ภิกษุ ทั้ง หลาย ! ภิกษุเปน ผูไ มเขี่ ยไขข าง เปนอยางไรกัน เลา ?
ภิกษุ ทั้ง หลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี
ไม อดกลั้น (อธิวาเสติ)
ไม ละ (น ปชหติ)
ไม บรรเทา (น วิโ นเทติ)
ไม ทา ใหสิ้น สุด (น พฺยนฺตีกโรติ)
ํ
ไม ทา ใหห มดสิ้น (น อนภาวงฺคเมติ)
ํ
- 42. ๓๐ ตามดู ไมตามไป
ซึ่ งความตรึ กเกี่ย วดว ยกาม (กามวิตก) ที่เกิดขึ้น แลว
ซึ่งความตรึกเกี่ย วด วยความมุง รา ย (พยาบาทวิตก) ที่เกิดขึ้น แลว
ซึ่ งความตรึกเกี่ย วด วยการเบียดเบียน (วิหิง สาวิตก) ที่เกิ ดขึ้น แลว
ซึ่งบาปอกุศลธรรมทั้ง หลาย ที่เกิดขึ้นแลว
ภิ กษุ ทั้งหลาย ! ภิกษุเปน ผูไ มเขี่ยไขข าง เปนอยา งนี้แ ล.
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ภิกษุเปน ผู ไ มปดแผล เปนอยา งไรกัน เลา ?
ภิ กษุ ทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี
เห็น รูป ดวยตา, ฟ ง เสียงดว ยหู, ดมกลิ่น ดว ยจมูก,
ลิ้ มรสดว ยลิ้น , ถู กตอ งโผฏฐัพพะดว ยกาย, รู ธรรมารมณดวยใจ,
แลวก็มีจิตยึดถือเอา ทั้งโดยลักษณะที่เปนการรวบถือทั้งหมด (โดยนิมิต)
และ การถื อเอาโดยการแยกเปน สวน ๆ (โดยอนุพ ยัญ ชนะ)
สิ่ ง อัน เปน อกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึง ไหลไปตามผูที่
ไมสํารวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะการไมสํารวมอินทรียใด เปนเหตุ
เธอไม ปฏิบัติเพื่อปด กั้น อินทรียเหลา นั้นไว
เธอไมรั กษา และไมสํา รวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ภิกษุ ทั้ง หลาย ! ภิกษุเป น ผูไ มปดแผล เปนอยา งนี้แ ล.
(ในที่นี้ ยกมาใหเห็นเพียง ๒ จากทั้งหมด ๑๑ คุณสมบัติ)
มู. ม. ๑๒/๔๑๐/๓๘๔-๕.
- 44. ๓๒ ตามดู ไมตามไป
ละความเพลิน จิตหลุดพน
สมฺมา ปสฺส นิพฺพินฺ ท ติ
เมื่ อเห็น อยูโดยถูก ตอง ยอ มเบื่อหน า ย
นนฺ ทิ กฺข ยา ราคกฺข โย
เพราะความสิ้ น ไปแหง นันทิ
จึง มีความสิ้นไปแห ง ราคะ
ราคกฺ ข ยา นนฺทิกฺข โย
เพราะความสิ้น ไปแหง ราคะ
จึ ง มีความสิ้นไปแห ง นันทิ
นนฺ ทิ ราคกฺข ยา จิตฺต สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺ จตีติ
เพราะความสิ้น ไปแหง นันทิและราคะ
กลาวได วา “จิต หลุด พน แลวดวยดี” ดั ง นี้.
สฬา. สํ . ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
- 45. อิ น ทรี ย สัง วร ๓๓
ความพอใจ เปนเหตุแหงทุกข
“ทุ กขใ ด ๆ ที่เกิ ดขึ้นแลวในอดีต
ทุก ขทั้ง หมดนั้น มีฉั นทะเปน มูล มีฉันทะเป นเหตุ
เพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เป น มูลเหตุแ หง ทุกข
ทุ กขใ ด ๆ อัน จะเกิ ดขึ้นในอนาคต
ทุ ก ขทั้ง หมดนั้น ก็มีฉัน ทะเป น มูล มีฉันทะเปน เหตุ
เพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เปน มูลเหตุแ หง ทุกข
และทุ กขใ ด ๆ ที่ เกิดขึ้น
ทุ ก ขทั้ง หมดนั้น ก็มีฉัน ทะเปน มูล มีฉันทะเป น เหตุ
เพราะวา ฉันทะ (ความพอใจ) เป น มูลเหตุแ หง ทุกข”.
สฬา. สํ . ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.
(ในเนื้อความพระสูตร ทรงชี้ใหเห็นถึงเหตุของทุกขในปจจุบัน ซึ่งก็คือ ฉันทะ
เปนความรูที่เห็นกันได แลวจึงไดสรุปใหเห็นไปถึงนัยยะโดยอดีตกับอนาคต)
- 46. ๓๔ ตามดู ไมตามไป
เมื่อคิดถึงสิ่งใด แสดงวาพอใจในสิ่งนั้น
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
ถา บุ คคลยอ มคิดถึง สิ่ง ใดอยู (เจเตติ)
ยอ มดํา ริ ถึง สิ่งใดอยู (ปกปฺ เ ปติ)
และย อมมีจิ ตฝงลงไปในสิ่งใดอยู (อนุเสติ)
สิ่ง นั้ น ยอมเปนอารมณเพื่ อการตั้ง อยูแ ห ง วิญ ญาณ.
เมื่ออารมณ มีอยู,
ความตั้ ง ขึ้น เฉพาะแห งวิ ญญาณ ยอ มมี ;
เมื่ อวิญ ญาณนั้น ตั้ง ขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว,
ความเกิดขึ้นแหง ภพใหมตอไป ยอ มมี;
เมื่อความเกิดขึนแหงภพใหมตอไป มี,
้
ชาติชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวนตอไป :
ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี.้
นิทาน. สํ. ๑๖/๗๘/๑๔๕.
- 47. อิ น ทรี ย สัง วร ๓๕
ภพแมชั่วขณะดีดนิวมือก็ยังนารังเกียจ
้
ภิกษุ ทั้ง หลาย !
คู ถ แมนิ ดเดียว ก็เป นของมี กลิ่น เหม็น ฉั น ใด,
ภิกษุ ทั้ง หลาย !
สิ่ง ที่เ รียกวา ภพ ก็ฉันนั้น เหมือนกัน,
แม มีประมาณนอ ยชั่ว ลัดนิ้ว มือ เดียว ก็ไ มมีคุณ อะไรที่พอจะกล า วได.
เอก. อํ . ๒๐/๔๖/๒๐๓.
(พระสูตรตอไป ทรงตรัสถึง มูตร น้ําลาย หนอง โลหิต ดวยขอความเดียวกัน)
- 49. อิ น ทรี ย สั ง วร ๓๗
ตัณหา คือ “เชื้อแหงการเกิด”
วั จฉะ ! เรายอมบัญ ญั ติความบัง เกิดขึ้น
สํา หรับ สัตวผูที่ยัง มีอุ ปาทานอยู (สอุปาทานสฺส)
ไมใ ช สํา หรับ สัตวผูที่ไ มมีอุปาทาน
วัจฉะ ! เปรียบเหมือน ไฟที่มเชื้อ ยอมโพลงขึนได (อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ)
ี ้
ที่ไ ม มีเชื้อ ก็ โ พลงขึ้นไมไ ด
อุป มานี้ ฉันใด อุ ป ไมยก็ฉัน นั้น
วัจฉะ ! เราย อมบั ญ ญั ติความบัง เกิดขึ้น
สํา หรับ สัตวผูที่ยัง มีอุ ปาทานอยู
ไม ใ ช สํา หรับ สัตว ผูที่ไ มมีอุปาทาน
- 50. ๓๘ ตามดู ไมตามไป
“พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมั ย ใด เปลวไฟ ถู กลมพั ดหลุดปลิวไปไกล,
สมัยนั้น พระโคดมยอมบัญญัติซึ่งอะไรวาเปนเชื้อแกเปลวไฟนั้น ถาถือวามันยังมีเชื้ออยู ?”
วัจฉะ ! สมัย ใด เปลวไฟ ถูกลมพัด หลุด ปลิ ว ไปไกล
เราย อ มบัญ ญัติเปลวไฟนั้น วา มีลมนั่นแหละเป น เชื้อ
วัจฉะ ! เพราะวา สมัยนั้น ลมยอมเปนเชื้อของเปลวไฟนั้น.
“พระโคดมผูเจริญ ! ถาสมัยใด สัตวทอดทิ้งกายนี้ และยังไมบังเกิดขึ้นดวยกายอื่น,
สมัยนั้นพระโคดม ยอมบัญญัติ ซึ่งอะไร วาเปนเชื้อแกสัตวนั้น ถาถือวา มันยังมีเชื้ออยู ?”
วัจฉะ ! สมัย ใด สัต ว ท อดทิ้งกายนี้ และยัง ไม บังเกิด ขึ้นดวยกายอื่น
เรากลา ว สัตวนี้ วา มีตั ณหานั่น แหละเปนเชื้อ
เพราะว า สมัยนั้ น ตัณ หายอ มเปน เชื้อของสัตวนั้น แล.
สฬา. สํ . ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.
- 51. อิ น ทรี ย สั ง วร ๓๙
เมื่อมีความพอใจ ยอมมีตัณหา
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
เปรีย บเหมือนไฟกองใหญ พึงลุก โพลงดว ยไมสิบ เลมเกวียนบา ง
ยี่สิบ เลมเกวียนบา ง สามสิบ เลมเกวียนบา ง สี่สิบ เลมเกวียนบา ง.
บุรุษ พึ งเติมหญา แหง บาง มูลโคแหง บา ง ไมแหง บาง
ลงไปในกองไฟนั้น ตลอดเวลาที่ควรเติม อยูเปน ระยะ ๆ.
ภิ กษุ ทั้ง หลาย ! ดว ยอาการ อยา งนี้แ ล ไฟกองใหญ
ซึ่ง มี เครื่องหลอ เลี้ ยง อยา งนั้น
มี เชื้ อ เพลิง อยา งนั้น
ก็ จะพึ ง ลุก โพลง ตลอดกาลยาวนาน
ขอ นี้ฉันใด ภิกษุทั้ง หลาย ! เมื่อ ภิกษุเป น ผู
มี ปกติ เห็นโดยความเปน อัส สาทะ (นา รักน า ยิน ดี)
ใน อุ ป าทานิ ยธรรม (ธรรมทั้งหลายอั นเปนที่ตั้ง แหง อุปาทาน) อยู
ตัณ หาย อมเจริญ อยา งทั่ว ถึง
- 52. ๔๐ ตามดู ไมตามไป
เพราะมี ตัณ หาเปน ปจจัย จึง มีอุปาทาน
เพราะมี อุปาทานเปน ปจจัย จึงมีภ พ
เพราะมี ภพเปน ปจจั ย จึง มีช าติ
เพราะมีช าติเปน ปจจัย
ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน
ความเกิดขึ้นพร อ มแหง กองทุกขทั้ ง สิ้น นี้ ย อมมี ดว ยอาการอยา งนี้.
นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๐๒/๑๙๖-๑๙๗.
- 53. อิ น ทรี ย สั ง วร ๔๑
ตัณหา คือ เครื่องนําไปสูภพใหม อันเปนเหตุเกิดทุกข
ภิ กษุ ทั้ง หลาย !
ถา บุ คคลยอ มคิด ถึง สิ่ง ใดอยู (เจเตติ)
ย อ มดํา ริ ถึง สิ่ง ใดอยู (ปกปฺเปติ)
และยอมมี ใ จฝง ลงไป ในสิ่งใดอยู (อนุ เสติ )
(อารมฺมณเมต โหติ วิฺ าณสฺส ิติยา)
สิ่ง นั้น ย อมเปน อารมณเ พื่อการตั้ง อยูแหงวิญ ญาณ
(อารมฺ มเณ สติ ปติฏา วิ ฺ าณสฺส โหติ)
เมื่ออารมณ มี อยู, ความตั้งขึ้นเฉพาะแหง วิญญาณยอมมี
(ตสฺ มึ ปติ ฏิเต วิ ฺาเณ วิ รูเฬฺห นติ โหติ)
เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว, ยอมมีการนอมไป
(นติ ยา สติ อาคติคติ โหติ)
เมื่ อมีก ารนอมไป, ยอมมีการไปการมา
(อาคติ คติ ยา สติ จุตูปปาโต โหติ)
เมื่ อมีการไปการมา, ยอมมีก ารเคลื่อนการบังเกิด
- 54. ๔๒ ตามดู ไมตามไป
เมื่อมีการเคลื่อนการบังเกิด, ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ฯ จึงเกิดขึ้นครบถวน
ความเกิ ดขึ้นพรอ มแหง กองทุกขทั้ง สิ้น นี้ ยอมมี ดว ยอาการอยา งนี้.
ภิ กษุทั้ง หลาย !
ถ า บุคคลยอมไมคิดถึง สิ่ง ใด
ย อ มไม ดํา ริ ถึ ง สิ่ ง ใด
แต เ ขายั ง มีใจปก ลงไปในสิ่ งใดอยู
สิ่ง นั้น ยอมเปน อารมณเ พื่อการตั้ง อยูแหงวิญ ญาณ.
เมื่ออารมณ มีอ ยู, ความตั้ งขึ้น เฉพาะแหง วิญ ญาณยอ มมี
เมื่ อ วิญ ญาณนั้น ตั้ ง ขึ้ นเฉพาะ เจริญ งอกงามแล ว, ย อ มมีการนอมไป
เมื่ อ มี การนอมไป, ย อ มมี การไปการมา
เมื่ อ มีการไปการมา, ยอ มมีการเคลื่อนการบังเกิด
เมื่อมีการเคลื่อนการบังเกิด, ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ฯ จึงเกิดขึ้นครบถวน
ความเกิดขึ้นพร อ มแหง กองทุกขทั้ง สิ้น นี้ ยอมมี ดว ยอาการอยา งนี้.
นิ ท าน. สํ . ๑๖/๖๘๐/๑๔๙.