More Related Content
Similar to หน่วยที่ 4 (20)
More from ratiporn555 (10)
หน่วยที่ 4
- 2. แนวคิด
ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญในการดาเนินชีวิตทั้งภาครัฐ
และภาคเอกชน มีการนาเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น งานคานวณ
งานวิเคราะห์ งานวางแผน งานออกแบบ งานด้านวิทยาศาสตร์ งานด้านการแพทย์
ในยุคแรกๆ นั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ควบคุมการปฎิบัติงาน
ของเครื่อง ต่อมาได้มีการพัฒนาการสร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมคาสั่งต่างๆ ที่
มนุษย์ต้องการเพื่อสั่งให้เครื่องทางานแทน โปรแกรมหรือชุดคาสั่งนี้ เรียกว่า
ซอฟต์แวร์ (Software) โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่จะสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์
ทางาน จะต้องมีรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เครื่องปฎิบัติตามจนได้ผลลัพธ์ที่
ต้องการโปรแกรมนี้จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจาภายในซีพียู (Central
Processting Unit : CPU) หลังจากนั้นเครื่องจะทางานด้วยตนเองตาม
โปรแกรม ภายใต้การควบคมของหน่วยควบคุม
- 6. ระบบปฏิบัติการ (Operating System หรือ OS)
1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System หรือ OS) เป็นชุดคาสั่งที่ทา
หน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการที่ใช้ในปัจจุบัน เช่น ระบบปฏิบัติการดอส (Disk
Operating System หรือ DOS), Windows 98, UNIX เป็นต้น
2. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator)ตัวแปรภาษาคอมพิวเตอร์
(Translator) การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ผู้เขียนโปรแกรมหรือที่เรียกว่า
โปรแกรมเมอร์นั้น จะเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับลักษณะงานและความถนัดของผู้เขียน
โปรแกรม โปรแกรมที่เขียนขึ้นหรือที่เรียกว่าโปรแกรมต้นฉบับ จึงมีลักษณะโครงสร้างของ
ภาษาที่แตกต่างกันออกไป ในการทางานของคอมพิวเตอร์นั้น คอมพิวเตอร์จะไม่สามารถ
เข้าใจภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ที่เรียกว่า ภาษาระดับสูง เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะรับ
ข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าซึ่งแทนด้วยเลขฐานสอง (0 หรือ 1) หรือที่เรียกว่า ภาษาเครื่อง
เท่านั้น
- 7. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (APPLICATION SOFTWARE)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทางานด้าน
ต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ซึ่งถ้าโปรแกรมพัฒนาขึ้นเพื่อความต้องการเฉพาะ
ขององค์การใดองค์การหนึ่งจะเรียกประเภทนี้ว่า ซอฟต์แวร์เฉพาะงาน (Custom
Program หรือ Tailor-made Software) ซึ่งข้อดีคือโปรแกรม
สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความประสงค์ของหน่วยงานแต่ข้อเสียคือ
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะใช้เวลาในการพัฒนานาน และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่ใช้สาหรับงานทั่วๆ ไปที่
เรียกว่า General-Purpose Software หรือบางครั้งเรียกว่า
โปรแกรมสาเร็จรูป (Package Software) เป็นซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์
(Commercial Software) ที่ผู้ใช้สามารถซื้อไปประยุกต์ใช้งานได้ทันที
- 8. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่นิยมใช้สาหรับงานทั่วไป สามารถแบ่งตามประเภทของงานได้ดังนี้
1. โปรแกรมประมวลผลคา (Wore Processor) เป็นโปรแกรมด้านการ
จัดทาเอกสารนิยมเรียกสั้นๆ ว่า Word ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่าง
แพร่หลายเพื่อการผลิตเอสารในรูปแบบต่างๆ เช่น รายงานจดหมาย
2. โปรแกรมด้านการคานวณ (Spread Sheet) เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะ
ตารางทาการ (Worksheet) เหมาะสาหรับงานการคานวณตัวเลขในรูปแบบต่างๆ
ตารางทาการประกอบด้วยช่องตารางหรือเซลล์ (Cell) ที่เรียงเป็นแถวและคอลัมน์
สามารถป้อนข้อมูลตัวอักษร ตัวเลข และสูตรการคานวณได้
3. โปรแกรมการนาเสนอข้อมูล (Presentation) เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่
ช่วยงานด้านการนาเสนอข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจเป็นการนาเสนอข้อมูลให้กับผู้ฟัง
การประชุมสัมมนาหรือการบรรยาย ในการเรียนการสอน โดยทั่วไปนิยมที่จะนา
คอมพิวเตอร์ไปพ่วงต่อกับเครื่องฉายซีดีทัศน์ (LCK Projector) หรือจอทีวีขนาด
ใหญ่ เพื่อนาเสนอข้อมูลให้กับผู้ฟังที่มีจานวนมากได้ด้วย
- 9. 4. โปรแกรมด้านงานพิมพ์ (Desktop Publishing) เป็นโปรแกรมที่ใช้จัด
หน้าสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น แผ่นผับ หนังสือ นามบัตร ใบประชาสัมพันธ์ การออกแบบแผ่นพับ
(Brochure) โปรแกรมสามารถนารูปภาพเข้ามาเป็นส่วนประกอบของงานได้ด้วย
โปรแกรมที่ใช้สาหรับงานแผ่นพับ งานพิมพ์ในปัจจุบัน เช่น Adobe PageMaker
เป็นต้น
5. โปรแกรมกราฟิก (Graphics) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการตกแต่งงานกราฟิก
ต่างๆ ซึ่งสามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
โปรแกรมสาหรับตกแต่งภาพ และ โปรแกรมช่วยออกแบบ
6. โปรแกรมค้นหาข้อมูล (Resource Discovering Software)
โปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตัวอย่าง
โปรแกรมด้านนี้ เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ (Word WideWeb หรือ WWW
7. โปรแกรมด้านติดต่อสื่อสาร (Communication Software) เป็น
โปรแกรมที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ได้สะดวก รวดเร็ว และช่วยประหยัดเวลาและ
ค่าใช้จ่ายได้ด้วย การสื่อสารอาจอยู่ในรูปของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ที่สามารถ
ส่งจดหมายถึงผู้รับได้ในทันที สามารถใช้แทนการส่งข้อความ โทรศัพท์ หรือแฟกซ์
- 11. ภาษาโคบอล (COBOL) COBOL ย่อมาจาก (Common
Business Oriented Language) ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของ ค.ศ.
1960 ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา องค์การธุรกิจ และมหาวิทยาลัยชั้นนา
ภาษาโคบอลเป็นภานิยมใช้สาหรับงานประยุกต์ทางธุรกิจ เช่น งานจัดเก็บข้อมูล งาน
ประมวลผลทางการเงินและบัญชี ตลอดจนงานสินค้าคงคลัง พัสดุ เป็นต้น
ภาษาปาลคาล (PASCAL) ในช่วงปี ค.ศ. 1967-1971 นักวิทยาศาสตร์
ชาวสวิสชื่อ Niklaus Wirth ได้พัฒนาภาษาปาสคาลสาหรับการสอนการเขียน
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับนักศึกษา โดยได้ตั้งชื่อภาษานี้ตามชื่อของนักคณิตศาสตร์ชาว
ฝรั่งเศส Blaise Pascal ผู้ซึ่งฟัฒนาเครื่องคานวณในยุคแรก
ภาษาฟอร์แทรน ย่อมาจาก FORmularTRANslator ซึ่งเป็นภาษา
ระดับสูงภาษาหนึ่งภาษาฟอร์แทรนพัฒนาโดยกลุ่มนักเขียนโปรแกรมของบริษัท IBM
เพื่อใช้เป็นภาษาในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทางวิทยาศาสตร์ และเนื่องมาจากภาษา
ฟอร์แทรนถูกออกแบบมาให้ทางานที่มีความซับซ้อนทางคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ จึง
เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักคณิตศาสตร์
- 12. ภาษาซี (C) และ C++ เป็นภาษาที่พัฒนาโดย Dennis Ritcie ที่
ห้องปฎิบัติการเบลล์ (Bell Laboratory) ซึ่งจุดเริ่มต้นได้ออกแบบภาษาซีเพื่อการ
พัฒนาโปรแกรมควบคุมระบบ แต่ในปัจจุบันภาษษซีได้ถูกนามาใช้อย่างกว้างขวาง ทั้ง
โปรแกรมประยุกต์ เช่น Word Processor และ Spreadsheets และ
โปรแกรมควบคุมระบบปฎิบัติการ
ภาษาจาวาเป็นภาษาที่นาไปใช้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทั่วไป และคาดการณ์กันว่าจะ
เป็นภาษาที่นิยมกันมากในอนาคตอันใกล้นี้
XML (Extensible Markup Language) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์
เพื่อใช้ในการนาเสนอข้อมูลที่มีโครงสร้าง โดยโครงสร้างของภาษา XML เป็นแฟ้ม
ข้อความ (Text File) ที่ใช้แท็ก (<tag>) ในการกาหนดชื่อและขนาดของข้อมูล
ปัจจุบันองค์การอิสระที่ชื่อว่า World WideWed Consortium (W3C)
เป็นผู้ดูแลมาตรฐานของภาษานี้เพื่อจะได้ใช้เป็นภาษาที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บริษัท
คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Netscape และ IBM ได้นาภาษา
นี้ไปใช้เพื่อให้เป็นมาตรฐานของเอกสารที่บันทึกในเครื่องคอมพิวเตอร์