Asdfghj
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพวิเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยสีารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน รู้จักโรคเก๊าท์
ชื่อผู้ทำโครงงาน
นางสาวปิงปอง ดอกขาว เลขที่ 49 ชั้น ม.6 ห้อง 3
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขอื่นทอง มลูวรรณ์
ระยะเวลาดำเนินงานภาคเริยนท่ิ1-2 ปีการศึกษำิ2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลิยิิจังหวิดเชิยงใหม่ สำนักงานเขตพื้นท่
การศึกษามัธยมศิึกษาเขติ34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวปิงปอง ดอกขาว เลขที่ 49
2.นางสาวเบญจมาศ เรือนคา เลขที่ 21
คำชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
รู้จักโรคเก๊าท์
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
I knowิabout Gout
ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทำโครงงาน นางสาว ปิงปอง ดอกขาว
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดำเนินงาน 3สัปดาห์
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ปัจจุบันผู้คนมีปัญหาการเป็นโรคเก๊าท์และถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่พบมากขึ้นในประเทศไทยโดยจะพบ
มากในเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกิดจากการที่ระดับของกรดยูริคสูงในเลือด กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่ง
พบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ เซี่ยงจี้ เป็นต้น ร่าง กายจะย่อยพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริค และจะขับออกมาพร้อม
กับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริคจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมดทันกับการ สร้างขึ้นพอดี ในคนที่เป็นโรคเก๊าท์
พบว่าเกิดความผิดปกติของกระบวนการใช้และขับถ่ายสารพิวรีน ซึ่งการสะสมกรดยูริคใน ร่างกายจำนวนมาก
โดยเฉลี่ยแล้วกรดยูริคจะตกผลึกเมื่อระดับของกรดยูริคในเลือดมากเกิน 6.8มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
การที่ร่างกายมีกรดยูริคสะสมมากกว่าปกติ เป็นระยะเวลานาน ก็จะไปตกตะกอนอยู่บริเวณรอบๆ ข้อ หรือภายในข้อ
ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น เป็นอากรเจ็บปวดตามข้อต่อต่าง ๆ ตามร่างกายซ่ึงจะเกิดปัญหาการขยับร่างกาย เช่น การ
เดิน การวิ่งและการเป็นโรคเก๊าท์นั้นจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน
ชนิดอื่นๆได้ ถ้ายังปล่อยให้เป็นโรคนี้นานๆ ก็จะทำให้อาการยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องหาวิธีการรักษาให้ถูก
วิธีและเร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้และโรคเก๊าท์นั้นยังสามารถเป็นโรค ทางพันธุกรรมอีกด้วย จากที่กล่าวมาผู้จัดทาโครงงานจึงหวัง
ว่าโครงงานนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาเรื่องโรคเก๊าท์
2. เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคเก๊าท์
3. เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำแล้วเกิดเป็นโรคเก๊าท์
4. เพื่อสามารถรักษาโรคเก๊าท์ในระยะยาวได้
- 3. 3
ขอบเขตโครงงาน
ผู้ที่เป็นโรค หรือ ผู้ที่สนใจ
หลักการและทฤษฎี
เก๊ำท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบที่ทาให้มีอาการปวดแสบร้อน บวม แดงตามข้อต่ออย่างเฉียบพลันเป็นระยะ
ๆ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเดียวหรือหลายข้อต่อพร้อมกัน
อำกำรของโรคเก๊ำท์
อาการปวดอย่างรุนแรงตามข้อต่อเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับ
ข้อต่อหลายส่วนตามร่างกายได้ เช่น ข้อเท้า ข้อศอก หัวเข่า ข้อต่อกระดูกมือ หรือข้อมือ อาการปวดจะรุนแรงในช่วง
4-12 ชั่วโมงแรก จากนั้นจะเริ่มปวดน้อยลงและมีอาการดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดได้นาน
หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น
ข้อต่อเกิดการอักเสบและติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อต่อ จนทาให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นสี
แดง บวมแดง และแสบร้อน
เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวกจากภาวะข้อติด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงของโรคที่เพิ่มมากขึ้น
ผิวหนังบริเวณข้อต่อเกิดการลอกหรือคันหลังจากอาการของโรคดีขึ้น
อาการของโรคเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มักเป็น ๆ หาย ๆ จนกว่าจะได้รับการรักษา โดยมักเกิดขึ้นในเวลา
กลางคืนได้บ่อยกว่าช่วงเวลาอื่น อย่างไรก็ตามควรรีบไปพบแพทย์หากผู้ป่วยมีไข้ ปวดข้ออย่างรุนแรง จนทาให้
ผิวหนังบวมแดงและแสบร้อนขึ้น เพราะอาการปวดข้ออาจทาให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดได้ว่าเป็นสัญญาณของโรคข้ออื่น ๆ
การปล่อยให้โรคพัฒนารุนแรงขึ้นโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนาไปสู่อาการปวดอย่างเรื้อรังและสร้าง
ความเสียหายให้กับข้อต่อได้
สำเหตุของโรคเก๊ำท์
โรคเก๊าท์เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่มีการสะสม
ของกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินไป ทาให้เกิดการตกผลึกตามข้อต่าง ๆ จนเกิดอาการปวดบวมตามข้ออย่างรุนแรง
และอาการอื่น ๆ ของโรคตามมากรดยูริกเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการย่อยสลายสารพิวรีน
(Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการ
กรองจากไตก่อนมีการขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากขึ้นจากการสร้างของร่างกาย จาก
การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง หรือไตมีความผิดปกติในการกรองสารพิวรีน มักนาไปสู่ภาวะกรดยูริกในเลือด
สูงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น
การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก การรับประทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้ง
เคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอการดื่มน้าอัดลมเกินปริมาณที่พอดี
ต่อวัน ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้าอัดลมประเภทที่มีน้าตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้สูงถึง
85% นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลไม้และน้าผลไม้บางชนิดที่มีน้าตาลฟรุกโตสอยู่มากอาการเจ็บป่วยที่มีผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น โรคสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือความผิดปกติทางเลือดบางอย่าง
ยาบางประเภทที่ส่งผลต่อระดับกรดยูริกในร่างกาย เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเคมีบาบัดบางชนิด ยาแอสไพริน และยา
ลดความดันโลหิตบางชนิดโรคประจาตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง เช่น ภาวะอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมัน
ในเลือดผิดปกติ ไตทางานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องเอนไซม์ ความผิดปกติของไขกระดูก โรคหลอดเลือผิดปกติ
มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย
- 4. 4
การวินิจฉัยโรคเก๊าท์แพทย์จะมีการสอบถามอาการ ประวัติการเป็นโรคเก๊าท์ของบุคคลในครอบครัว การตรวจ
ร่างกายทั่วไป ตลอดจนดูสัญญาณบ่งบอกของโรคอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วยในการวินิจฉัยโรค หลังจากนั้นจะมีการ
ตรวจพิเศษเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น
กำรเจำะข้อ มักถูกใช้เป็นวิธีหลักในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนาเข็มเจาะบริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อดูดเอา
น้าในข้อออกมาตรวจดูการสะสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์การตรวจเลือด
เมื่อการตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะข้อไม่สามารถทาได้ แพทย์อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับ
ของกรดยูริกและสารครีเอตินินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แต่วิธีนี้อาจเกิดความผิดพลาดได้ เช่น ผู้ป่วยบาง
รายมีระดับกรดยูริกสูงผิดปกติ แต่อาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็อาจตรวจพบระดับ
กรดยูริกได้ในระดับปกติ
กำรเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์บริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อตรวจดูว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่
กำรอลตรำซำวด์ จะช่วยตรวจพบการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อจนเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี่
(Tophi)
เอกซเรย์คอมพวเตอร์หรือซทสแกน เพื่อตรวจหาการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อ แต่มักเป็นวิธีที่ไม่ค่อย
นิยม และมีค่าใช้จ่ายสูงการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูกรดยูริกที่ปะปนในน้าปัสสาวะ
กำรรกษำโรคเก๊ำท์
โรคเก๊าท์สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาเป็นหลัก ซึ่งแพทย์จะพิจารณาดูจากหลายปัจจัยประกอบในการ
เลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทั้งอาการของโรค สุขภาพโดยรวม หรือการพูดคุยกับผู้ป่วย ควบคู่กับการ
ปฏิบัติตนเพื่อเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรค ในบางรายที่ปล่อยให้โรคดาเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้
รักษา แพทย์อาจใช้วิธีการผ่าตัดทดแทนการใช้ยา ซึ่งเป้าหมายของการรักษาจะช่วยในการบรรเทาอาการปวดให้
ลดลงอย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดของโรคเก๊าท์ในบริเวณข้ออื่น ๆ ในอนาคต รวมไปถึงลดความ
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โครงสร้างข้อต่อผิดรูป ไตเกิดความผิดปกติการปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคเก๊าท์ การ
ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางส่วนอาจมีส่วนช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้ตามคาแนะนาต่อไปนี้
ดื่มน้ามาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ และไม่ทาให้เกิดการตกตะกอนในระบบ
ทางเดินปัสสาวะที่นาไปสู่การเกิดนิ่วในไต
หลีกเลี่ยงหรือจากัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในปริมาณที่พอดี
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้าอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ
น้าตาลฟรุกโตส
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก ถั่วบางชนิด สาร
สกัดจากยีสต์ แต่อาจทดแทนด้วยโปรตีนที่ได้จากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่า
ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลดน้าหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ไม่ควรอดอาหารหรือลดน้าหนักรวดเร็วจนเกินไป
การดูแลเพื่อลดอาการปวด ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้นได้ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวบริเวณที่
มีอาการปวดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ โดยพยายามยกบริเวณข้อต่อที่ปวดให้อยู่สูง หากมีอาการ
บวมแดงอาจบรรเทาด้วยการประคบน้าแข็ง หรือรับประทานยาในกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการ
อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแอสไพริน
กำรรกษำด้วยกำรใช้ยำ เป็นการใช้ยาในการบรรเทาอาการของโรคให้ลดลงและช่วยป้องกันอาการของโรคที่อาจ
กาเริบขึ้นในอนาคต ซึ่งตัวยาที่ใช้รักษาโรคเก๊าท์มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น
- 5. 5
ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs) หรือที่รู้จักกันดีว่า
ยาเอ็นเสด ซึ่งอาจเป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) ยานาพรอกเซน (Naproxen) หรือ
แพทย์สั่งจ่าย เช่น ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง
แพทย์อาจสั่งจ่ายยาในปริมาณที่สูงขึ้น แล้วค่อยลดปริมาณการใช้ยาลง เพื่อช่วยป้องกันอาการของโรคในอนาคต แต่
ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เกิดภาวะเลือดออก และแผลในกระเพาะอาหารได้
ยาโคลชิซิน (Colchicine) แพทย์จะสั่งจ่ายยาโคลชิซินเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในช่วงแรกอาจมีการใช้ยาในปริมาณที่สูงก่อนจะลดปริมาณยาลงเมื่ออาการปวดของผู้ป่วยทุเลาลง แต่ผลข้างเคียง
ของการใช้ยาชนิดนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) โดยทั่วไปมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาต้านอักเสบหรือยาโคล
ชิซินได้ เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบและอาการปวดของโรค มีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาฉีด ผลข้างเคียงของยาอาจทา
ให้ระดับน้าตาลในเลือดและความดันโลหิตตสูงขึ้น มีอารมณ์แปรปรวน
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง หรือไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก แพทย์อาจสั่งจ่ายยาก
ลุ่มอื่นที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์ เช่น
ยายับยั้งการสร้างกรดยูริก (Xanthine Oxidase Inhibitors) เป็นยาที่ช่วยจากัดการผลิตกรดยูริกของร่างกาย เช่น
ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ยาฟีบัคโซสตัต (Febuxostat) ซึ่งจะช่วยให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงและเสี่ยง
ต่อการเกิดอาการของโรคน้อยลงเช่นกัน แต่อาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดผื่น คลื่นไส้ และลดการทางานของตับ
ยาช่วยขับกรดยูริก เป็นยาที่ช่วยเพิ่มการทางานของไตให้มีการขับกรดยูริกออกมากับปัสสาวะมากขึ้น เช่น โพรเบเน
ซิด (Probenecid) ซึ่งทาให้กรดยูริกในเลือดมีปริมาณลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอาการของโรคลดลงเช่นกัน แต่อาจ
ส่งผลให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้น ปวดท้อง หรือเกิดนิ่วในไต ที่เป็นผลข้างเคียงของการใช้ยา
การผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่อาการของโรคมีการพัฒนาจนรุนแรงขึ้นกลายเป็นปุ่มนูนหรือก้อนโทฟี่ เนื่องจากการสะสม
ของผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อและข้อต่อต่าง ๆ และการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ภำวะแทรกซ้อนของโรคเก๊ำท์
โรคเก๊าท์สามารถพัฒนาอาการของโรคให้รุนแรงมากขึ้นเมื่อไม่มีการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยบางรายอาจมี
อาการของโรคบ่อยมากขึ้นไปจนถึงการเกิดก้อนโทฟี่หรือปุ่มนูนใต้ผิวหนังในหลายส่วนของร่างกาย เช่น ตามนิ้วมือ
เท้า ข้อศอก หรือเอ็นร้อยหวาย แต่โดยปกติมักไม่ก่ออาการเจ็บปวด แต่เมื่ออาการของโรคกาเริบอาจทาให้เกิดการ
ติดเชื้อ ปวดตามข้อ ข้อต่อบิดเบี้ยวจนผิดรูปไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดนิ่วในไตจากการสะสมของผลึกยูเรต
ในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ซึ่งอาจนาไปสู่การทางานของไตที่ปกติหรือเกิดภาวะไตวาย
กำรป้องกนโรคเก๊ำท์
โรคเก๊าท์ยังไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง เนื่องจากการสะสมของผลึกยูเรตทีละน้อยในข้อต่อและเนื้อเยื่อ
รอบ ๆ เป็นเวลานานหลายปี จึงทาให้ทราบได้ยากว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่เท่าใดจนกระทั่งเริ่มมีอาการของโรค
แสดงขึ้นมา อีกทั้งสาเหตุที่ทาให้กรดยูริกเพิ่มขึ้นนั้นมาจากหลายปัจจัยและสรุปได้ไม่ชัดเจน
การป้องกันจึงเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นเดียวกับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยที่เป็นโรค เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ
โรคลง เช่น หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง โดยเฉพาะ อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และสัตว์ปีก ดื่ม
น้าให้เพียงพอ ควบคุมน้าหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จากัดการดื่มแอลกอฮอล์และน้าอัดลม