More Related Content
Similar to การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
Similar to การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (6)
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
- 2. การกลายพันธุ์ หรือ มิวเทชั่น (mutation)คือ
สภาพของสิ่งมีชีวิตที่เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทาง
พันธุกรรม ทาให้พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตที่เกิดการ
กลายพันธุ์ (มิวเทชั่น, mutation)นั้น เกิดการ
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเป็น หรือ แตกต่างไป
จากประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น โดยเฉพาะ การ
เปลี่ยนแปลงของยีน(gene)ของสิ่งมีชีวิตนั้น
- 3. - การกลายพันธุ์ (มิวเทชั่น, mutation)ที่เซลล์ร่างกาย
(somatic cell)
การกลายพันธุ์ที่เซลล์ร่างกายจะเกิดกับยีน(gene)ในเซลล์ต่างๆ
ของร่างกาย อาจมีผลทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของส่วนของ
ร่างกายไปจากเดิม เช่น เกิดเนื้องอก โรคมะเร็ง เป็นต้น
- การกลายพันธุ์ (มิวเทชั่น, mutation)ที่เซลล์สืบพันธุ์
การกลายพันธุ์ที่เซลล์สืบพันธุ์ จะเกิดกับยีน(gene)ในเซลล์
สืบพันธุ์ อาจทาให้ยีน(gene)หรือแอลลีล(allele)มีความ
ผิดปกติ และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ อาจส่งผลภาวะ
ผิดปกติในรุ่นลูกรุ่นหลานได้
- 4. 1. โครโมโซมมิวเทชั่น (Chromosome mutation)
การเปลี่ยนไปของโครโมโซมมี 2 แบบ คือ
1.1 จำนวนโครโมโซมเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น
-อะนิวพลอยดี้ (aneuploidy) การเพิ่มหรือลดโครโมโซมเป็นแท่ง
คือจาก 46 แท่งอาจเพิ่มเป็น 47 หรือลดเป็น 45 แท่ง ได้แก่
โมโนโซมิค (momosomic), ไดโซมิค (disomic), ไตรโซมิค
(trisomic), โพลิโซมิค (polysomic)
- 5. - ยูพลอยดี้(euploidy) กำรเพิ่มหรือลด
โครโมโซมเป็นชุด ได้แก่ แฮพพลอยด์ (haploid=n)
พบในเซลล์สืบพันธุ์ โมโนพลอยด์(monoploid = n)
พบในเซลล์ที่ไม่ใช่เซลล์สืบพันธุ์
ดิพลอยด์ (diploid = 2n) เซลล์ปกติ
ทริปพลอยด์ (triploid = 3n) ในแตงโมไม่มีเมล็ด
โพลิพลอยด์(polyploid = หลายๆ n) ในข้าวสาลี
- 6. 1.2 โครงสร้ำงของโครโมโซมเปลี่ยนแปลง เช่น
ดีลีชั่น (deletion) การที่โครโมโซมหายไป
ซึ่งคือชิ้นส่วนหรือเบสหายไปนั่นเอง
ดูพลิเคชั่น (duplication) การเพิ่มของโครโมโซม
อินเวอร์ชั่น (inversion) การกลับหัวกลับหางของ
โครโมโซม
ทรานสโลเคชั่น (translocation) การที่ โครโมโซม
ไม่เป็นคู่ (non-homologous chromosome)
มาแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนกัน
- 7. 2. ยีนมิวเทชั่น (Gene mutation) คือ กำรที่เบสเปลี่ยนแปลง ได้แก
1. นอนเซ็นต์ (nonsense) ทาให้เบสเปลี่ยนเป็นรหัสพันธุกรรมหยุดสร้างสายโพลิเปปไทด์ คือ
UAA, UAG, UGA
2. มิสเซ็นต์ (missense) เบสเปลี่ยนไป ทาให้เปลี่ยนแบบของกรดอะมิโนตัวใหม่ คล้ายๆ กับการ
substitution
3. ดีลีชั่น (deletion) เบสหายไป
4. แอดดิชั่น (addition) เพิ่มเบสเข้าไป
5. เฟรมชิฟ มิวเทชั่น (frame-shift mutation) การเปลี่ยนเบสโดยการหายหรือการเพิ่มเพียง 1
ตัว ทาให้รหัสพันธุกรรมเปลี่ยน ทาให้โพลิเปปไทด์ตั้งแต่จุดเปลี่ยนเบสเปลี่ยนแปลงไปตลอด
สาย
6. เบสแทนที่กัน (base pair substitution) จะแทนที่แบบทรานซิชั่น คือ จากพิวรีน ไปเป็นพิ
วรีน และจากไพริมิดีน ไปเป็นไพริมิดีนหรือการแทนที่แบบทรานสเวอร์ชั่น(transversion) คือ
จากพิวรีนไปเป็น ไพริมิดีน
7. กำรเกิด รีเวอร์สแทนต์ (revertant) ในรีเวอร์สชั่น (reversion) (เกิด แอดดิชั่น แล้วตามด้วยดี
ลีชั่น) โดยมีกรดอะมิโนไม่มากที่เปลี่ยนแปลงไป
- 8. 1. เกิดมิวเทชั่นปกติ (Spontaneous mutation) เกิดเองตาม
ธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้
2. ชักนำให้เกิด (Induced mutation) โดยการกระตุ้นด้วย
มิวทาเจน (mutagen = สารที่ก่อให้เกิดมิวเทชั่น) โดยคนเป็นผู้ทา
- 9. สารก่อกลายพันธุ์ (มิวทาเจน = Mutagen)
1.) รังสี (ionizing radiation) มีพลังงานสูง ผลิต Ions, x - ray และรังสี
อื่นๆ
2.) แสง (nonionizing radiation) มีพลังงานสูง มีแรงแทรกซึมต่า เช่น
รังสี UV
3.) สำรเคมี (chemical mutagen) Nitrous acid, mustad gas
4.) Alflatoxin B จากถั่วที่ขึ้นราจาก fungi
5.) 2 - amino 5 - nitrophenol ที่พบใน Hair dye components
6.) caffeine ใน Cola, tea, coffee, pain relievers(ยาแก้ปวด)
7.) Sodium nitrite จากพวกเนื้อรมควัน
- 10. สำเหตุของกำรกลำยพันธุ์ (มิวเทชั่น, mutation)
- เกิดขึ้นเองโดยธรรมชำติ (spontaneous mutation)หรือ เกิดจากสิ่งก่อ
กลายพันธุ์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ในการจาลองตัวเองของดีเอ็นเอ ฃ
(DNA replication) อาจมีการนาเบสที่ไม่ถูกต้องใส่เข้าไปในดีเอ็นเอ
(DNA)สายใหม่, รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์โดยที่ไม่ได้เกิดจาก
มนุษย์ใช้สารเคมีหรือรังสีเหนี่ยวนาให้เกิดการกลายพันธุ์ (มิวเทชั่น,
mutation)
- เกิดจำกกำรเหนี่ยวนำ (induced mutation)เป็นการกลายพันธุ์
(มิวเทชั่น,mutation)ที่มนุษย์ใช้สารเคมีหรือรังสี ทาให้ดีเอ็นเอ(DNA) หรือ
ยีน(gene) หรือ อาร์เอ็นเอ(RNA) ของสิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงและ
เกิดลักษณะแปลกใหม่ที่กลายพันธุ์ไปจากเดิม สารเคมีหรือรังสีที่ก่อให้เกิด
การกลายพันธุ์ (มิวเทชั่น, mutation)นี้ เรียกว่า “สิ่งก่อกลายพันธุ์
(มิวทาเจน, mutagen)”
- 12. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ( natural selection) เป็น
ขบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไปและไม่สุ่ม ซึ่งลักษณะทาง
ชีววิทยาจะพบมากขึ้นหรือน้อยลงในประชากรเป็นหน้าที่ของ
การสืบพันธุ์แตกต่างกันของผู้ให้กาเนิด มันเป็นกลไกสาคัญ
ของวิวัฒนาการ คาว่า "การคัดเลือกโดยธรรมชาติ" นั้น ถูกทา
ให้แพร่หลายโดย ชาลส์ดาร์วิน ผู้ตั้งใจให้เทียบได้กับการ
คัดเลือกโดยมนุษย์(artificial selection) หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า
การคัดเลือกพันธุ์ (selective breeding)
- 15. กำรคัดเลือกพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์โดยมนุษย์
กำรคัดเลือกพันธุ์ แบงได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.การคัดเลือกพันธุ์ผสม มนุษย์ได้ใช้วิธีการคัดเลือกพันธุ์ผสมกับพืช และ
สัตว์มากมายหลายชนิด โดยต้องการเพิ่มคุณค่าของพืชและสัตว์ให้ตรงตามความ
ต้องการของมนุษย์
กำรคัดเลือกพันธุ์ผสม มี 2 วิธี คือ
1.1 กำรคัดเลือกพันธุ์ผสมที่เกิดจำกกำรผสมในสำยพันธุ์เดียวกัน (Inbreeding)
ทาได้โดยนาสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน 2 ตัว มาผสมกัน ลูกผสมที่เกิดจากการผสม
ในสายพันธุ์เดียวกันเช่นนี้จะมีความคล้ายคลึงกับรุ่นพ่อแม่มาก
1.2 กำรคัดเลือกพันธุ์ผสมที่เกิดจำกกำรผสมข้ำมสำยพันธุ์ (Hybridization)
เป็นการผสมที่นาสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกันมาผสมกัน
ได้ลูกผสมที่มีลักษณะแตกต่างกัน แล้วจึงคัดเลือกพันธุ์ลูกผสมที่ได้รับลักษณะที่ดี
ที่สุดจากพ่อแม่มาเพาะพันธุ์ต่อไป
- 19. กำรโคลนนิ่ง (Cloning) คือ การคัดลอก หรือการทาซ้า ให้มี
ลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ
หากกล่าวเรื่อง การโคลนนิ่ง (Cloning) ในแง่ของสิ่งมีชีวิตที่
เกี่ยวพันถึงเทคโนโลยีชีวภาพแล้ว
การโคลนนิ่ง (Cloning) คือ กระบวนการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ
ชนิดหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตที่ถูกโคลนออกมาจะมีลักษณะทางพันธุกรรม
โดยรวมถึงมีลักษณะทางกายภาพ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตต้นแบบ หรือ
สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ก่อนแล้วทุกประการ โดยคาว่าโคลน (Clone) นั้นมา
จากภาษากรีกจากคาว่า “Klone” ซึ่งแปลว่า แขนง กิ่ง ก้าน โดยใช้
อธิบายการแบ่งตัวแบบไม่อาศัยเพศ (Asexual) ของในพืชและสัตว์
และโดยที่คาว่าโคลน จะถูกใช้เรียกสิ่งที่ถูกโคลนออกมาจาก
สิ่งมีชีวิตต้นแบบ
- 20. กำรโคลนนิ่งสัตว์ (Animals Cloning)
การโคลนนิ่งสัตว์คือ การสร้างสัตว์ตัวใหม่ขึ้นมาที่มี รูปร่าง, หน้าตา,
ลักษณะต่างๆ,พันธุกรรม รวมถึงเพศ เหมือนกับสัตว์ตัวที่เป็นต้นแบบ หรือ
เรียกได้ว่า ถอดแบบกันออกมา
การโคลนนิ่งสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง(cloning)โดยใช้เซลล์จากตัว
อ่อนของสัตว์ทาให้มีเกิดลูกสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง(cloning)หลายชนิด มี
ทั้ง หมู โค กระต่าย แพะ แกะ แต่ยังไม่เคยมีลูกสัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง
(cloning)ด้วยนิวเคลียส(nucleus)จากเซลล์ร่างกาย(somatic cell)
กำรโคลนนิ่งสัตว์ด้วยวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์มีอยู 2 วิธี คือ
1.การถ่ายฝากนิวเคลียส (nuclear transfer or nuclear transplantation)
2.การแยกเซลล์หรือตัดแบ่งตัวอ่อนในระยะก่อนการฝังตัว (blastomere
separation or embryo bisection)
- 23. กำรทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)
In Vitro Fertilization หรือ IVF เป็นการปฏิสนธิ
ภายนอกร่างกายรูปแบบหนึ่ง ที่ใกล้เคียงธรรมชาติมาก
ที่สุด คือ การปล่อยให้มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ โดย
อสุจิที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถทาการปฏิสนธิ
กับไข่ได้วิธีนี้เป็นทางเลือกหนึ่งในการทาเด็กหลอดแก้ว
เหมาะสาหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากที่ไม่รุนแรงนัก
- 25. ระยะของกำรย้ำยตัวออน
การย้ายตัวอ่อนสามารถทาได้ในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้
การย้ายตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์ (blastocyst transfer) เป็น
เทคโนโลยีใหม่ที่นามาใช้ในการช่วยเหลือคู่สมรสที่มีบุตรยาก โดยการ
เพาะเลี้ยงตัวอ่อนไว้ภายนอกร่างกายจนตัวอ่อนเจริญเติบโตถึงระยะพร้อม
ฝังตัว (ใช้ระยะเวลา 5 วันหลังการผสม) ที่เรียกว่าบลาสโตซิสต์
(blastocyst) แล้วจึงค่อยใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัว
และเกิดการตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ตัวอ่อนพร้อมฝังตัว เพิ่มโอกาส
ในการตั้งครรภ์ การย้ายตัวอ่อนในระยะวันที่ 3 หลังการผสม
(day 3 transfer)เป็นวิธีการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายจนตัวอ่อนมี
การแบ่งเซลล์เป็น 6-8 เซลล์ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 วันหลังการผสม แล้ว
จึงใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูก
- 26. ระยะเวลำในกำรทำเด็กหลอดแก้ว
กระบวนการทาเด็กหลอดแก้วใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
จึงจะสมบูรณ์ โดยหลังการย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกประมาณ 2 สัปดาห์
แพทย์จะนัดมาตรวจเลือดเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์
คูสมรสที่เหมำะกับกำรรักษำด้วยวิธี IVFได้แก
1. ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนาไข่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
2. ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
3. ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธี
อื่นไม่ได้ผล
4. เชื้ออสุจิฝ่ายชายคุณภาพไม่ดี ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
5. ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ
- 28. กำรทำกิฟต์ (GIFT)
กิฟต์(GIFT) คือ การนาเอาไข่และตัวอสุจิไปใส่ไว้ที่ท่อนาไข่เพื่อให้
เกิดการปฏิสนธิหรือรวมตัวกันตามธรรมชาติ หลังจากนั้นหากไข่และอสุจิ
สามารถปฏิสนธิกันได้ก็จะมีการเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนและเดินทางมาฝังตัว
ในโพรงมดลูก และเกิดเป็นการตั้งครรภ์ในที่สุด ดังนั้น GIFT จึงเป็นหนึ่งใน
วิธีการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างสิ้นเปลือง
ค่าใช้จ่ายและเวลาต่างๆ สาหรับการรักษามาก นอกจากนั้น อาจเกิด
ภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วยถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
หลักกำรทำกิฟต์
คือการนาไข่และอสุจิมารวมกัน แล้วฉีดเข้าท่อนาไข่ โดยผ่านทาง
ปลายของท่อให้มีการปฏิสนธิ การแบ่งตัวของตัวอ่อนและการฝังตัวเกิดขึ้น
เองตามธรรมชาติ
- 29. ขั้นตอนกำรทำกิฟต์
1. การกระตุ้นรังไข่ จะเริ่มทาเมื่อมีรอบเดือนมาโดยให้ยากระตุ้น ซึ่ง
อาจเป็นชนิดรับประทาน ฉีด หรือพ่นเข้าจมูก และอื่นๆ โดยแพทย์จะ
พิจารณาเป็นรายๆ ไป ระยะที่ให้ยากระตุ้นรังไข่นั้น ส่วนมากนาน
ประมาณ 7 ถึง 10 วัน และสามารถตรวจดูการตอบสนองของรังไข่ได้ด้วย
การตรวจอัลตร้าซาวด์เป็นหลัก รวมทั้งการตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนร่วม
ด้วย จนเมื่อได้ไข่ที่มีขนาดใหญ่จานวนมากพอแล้วจะกระตุ้นการตกไข่
โดยการฉีด hCG จนผ่านไปประมาณ 34-36 ชั่วโมงก็จะทาการเจาะไข่
2. การเจาะไข่ ทาได้โดยใช้เข็มเจาะถุงไข่แล้วดูดเอาไข่ภายในถุงออกมา
วิธีที่นิยมในปัจจุบันมี 2 วิธีคือ
2.1 การเจาะผ่านทางผนังหน้าท้อง โดยการอาศัยกล้องตรวจช่องท้อง
ซึ่งสามารถเห็นรังไข่ได้ชัดเจน แล้วใช้เข็มเจาะดูดไข่โดยตรง
- 30. 2.2 การเจาะผ่านผนังช่องคลอด โดยการอาศัยเครื่องอัลตร้าซาวด์
ซึ่งมีเข็มเจาะและดูดไข่ติดอยู่ที่หัวตรวจทางช่องคลอด
3. การย้ายเซลล์ไข่และอสุจิเข้าสู่ท่อนาไข่ ส่วนใหญ่มักใช้การส่องกล้อง
ทางหน้าท้อง (Laparoscopy) เป็นวิธีหลัก โดยไข่ที่ถูกเลือกไว้แล้วจะถูกดูด
เข้ามาในสายยางที่ใช้สาหรับการย้ายเซลล์สืบพันธุ์เข้าท่อนาไข่ รวมกับเชื้อ
อสุจิที่เตรียมไว้สาหรับวิธีการอื่นๆ อาจทาโดยการผ่าตัดทางหน้าท้องเป็น
แผลเล็กๆ แล้วนาท่อนาไข่ขึ้นมา จากนั้นจึงฉีดไข่และอสุจิที่เตรียมไว้เข้าท่อ
นาไข่โดยตรง แต่วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบัน
4. การให้ฮอร์โมนในระยะหลังการทากิฟท์ โดยแพทย์จะให้ฮอร์โมนช่วย
ในการฝังตัวของตัวอ่อน
5. การทดสอบการตั้งครรภ์ โดยการตรวจระดับ hCG ในกระแสเลือด
ประมาณ 12 วันหลังจากการทากิฟท์
- 32. กำรทำซิฟต์ (ZIFT)
การทาซิฟต์(ZIFT) คือ การรักษาภาวะมีบุตรยากในคู่สมรสที่ไข่
และอสุจิไม่สามารถพบกันเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก
ท่อนาไข่ ทางานผิดปกติ มีภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ มีพังผืดในอุ้งเชิง
กรานมาก ฝ่ายชายมีจานวนตัวอสุจิน้อยกว่าปกติ หรือในบางรายที่หา
สาเหตุไม่พบ วิธีการทาซิฟต์จะคล้ายกับการทากิฟต์ร่วมกับการทาเด็ก
หลอดแก้ว คือ มีการเจาะเก็บไข่และนามาปฏิสนธิกับอสุจิภายนอก
ร่างกาย แล้วเลี้ยงตัวอ่อน อีก 1-2 วันจากนั้นแพทย์จะทาการนาตัวอ่อนใส่
กลับเข้าไปในท่อนาไข่โดยการเจาะผ่านทางหน้าท้อง ดังนั้นฝ่ายหญิง
จะต้องมีท่อนาไข่ปกติอย่าง น้อย 1 ข้าง ข้อดีของการทาซิฟท์คือ สามารถ
แน่ใจได้ว่าไข่และอสุจิมีการปฏิสนธิกันแล้ว อัตราความสาเร็จของวิธีนี้
ประมาณ 30-40% ต่อ รอบการรักษา
- 33. ขั้นตอนกำรทำซิฟต์
1. ใช้ยาเพื่อกระตุ้นให้มีการเจริญของไข่ครั้งละหลายๆ ใบ
2. ควบคุมการสุกของไข่ ควรได้อย่างน้อย 3-4 ใบ
3. ทาการเก็บไข่ที่สุกแล้ว โดยใช้เข็มดูดผ่านทางผนังช่องคลอด
4. นาอสุจิที่เตรียมแล้วผสมกับไข่
5. เก็บไว้ในตู้เลี้ยงตัวอ่อนนาน 16-18 ชั่วโมง ดูผลการปฏิสนธิ
6. 48-72 ชั่วโมงหลังเก็บไข่ ตัวอ่อนจะมีการแบ่งตัว และพร้อมที่จะ
ใส่กลับเข้าไปทางท่อนาไข่ เพื่อรอการฝังตัว
7. หลังจากการที่ย้ายตัวอ่อนแล้วจะมีการฉีดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
เพื่อช่วยในการฝังตัว
8. ประมาณ 2 สัปดาห์จากที่ย้ายตัวอ่อนจะทาการตรวจเลือดเพื่อดูการ
ตั้งครรภ์
- 36. ควำมแตกตำงของกำรทำกิฟต์และซิฟต์
กำรทำ กิฟต์ (GIFT : gamete intra fallopain transfer) เป็น
วิธีกำรที่เก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไขและอสุจิมำผสมกันโดยกำรดูดเอำไข
ที่ถูกกระตุ้นออก มำจำกรังไข และใสรวมกับตัวอสุจิที่ผำนกำรคัด
แยกแล้ว จำกนั้นจึงใสกลับเข้ำสูทอนำไขทันที เป็นวิธีกำรอำศัยให้
อสุจิและไขปฏิสนธิกันเองตำม ธรรมชำติ ควำมสำเร็จในกำร
ตั้งครรภ์แตละครั้งประมำณร้อยละ 30 – 40 แพทย์จะใช้วิธีกำรนี้
กรณีที่ฝำยชำยมีเชื้ออสุจิออนแอไมมำกนัก หรือฝำยหญิงมีทอนำไข
ที่ปกติอยำงน้อย 1 ข้ำง และมีภำวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และมี
พังผืดมำก
- 37. กำรทำซิฟต์ (ZIFT : zygote Intra fallopain transfer) เป็น
วิธีกำรเก็บ เซลล์สืบพันธุ์ทั้งไขและอสุจิมำผสมกันให้เกิดกำร
ปฏิสนธินอกรำงกำยกอน แล้วจึงนำตัวออนในระยะ Zygote ใส
กลับเข้ำไปในทอนำไข และเดินทำงตอตำมทอนำไขเพื่อไปฝัง
ตัวยังโพรงมดลูก เป็นวิธีกำรที่แนใจได้วำมีกำรผสมกันระหวำง
ไขกับตัวอสุจิ สวนจะแบงตัวตอไปเป็นตัวออนที่สมบูรณ์
หรือไมนั้น ปลอยให้เป็นไปตำมธรรมชำติในรำงกำยสวนระบบ
กำรเจริญพันธุ์ ควำมสำเร็จในกำรตั้งครรภ์ แตละครั้งประมำณ
ร้อยละ 30 -40 แพทย์จะใช้วิธีกำรนี้กรณีที่ฝำยชำยมีเชื้ออสุจิ
น้อยกวำปกติ หรือฝำยหญิงที่ทอนำไขไมตัน แตทำงำนไมปกติ
มีภำวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และมีพังผืดมำก
- 38. กำรผสมเทียม (Artificial Insemination)
การผสมเทียม คือ การทาให้เกิดการปฏิสนธิในสัตว์โดยไม่ต้องมีการร่วม
เพศตามธรรมชาติ โดยมนุษย์เป็นผู้ฉีดน้าเชื้อของสัตว์ตัวผู้เข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์
ของสัตว์ตัวเมียที่กาลังเป็นสัด เพื่อให้อสุจิผสมกับไข่ทาให้เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งเป็น
ผลให้ตัวเมียตั้งท้องขึ้น
1.1 กำรผสมเทียมโค กระบือ และสุกร
1.) การรีดเก็บน้าเชื้อ โดยการใช้เครื่องมือช่วยกระตุ้นให้ตัวผู้หลั่งน้าเชื้อออกมา
แล้วรีดเก็บน้าเชื้อเอาไว้ซึ่งต้องคานึงถึงอายุ ความสมบูรณ์ของตัวผู้รวมทั้ง
ระยะเวลาที่เหมาะสมและวิธีการซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์นั้นเอง
2.) การตรวจคุณภาพน้าเชื้อ น้าเชื้อที่รีดมาจะมีการตรวจดูปริมาณของตัวอสุจิและ
การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจดูว่าตัวอสุจิมีความ
แข็งแรงและมีปริมาณมากพอที่จะนาไปใช้งานหรือไม่
3.) การละลายน้าเชื้อ โดยการนาน้ายาเลี้ยงเชื้อเติมลงไปในน้าเชื้อเพื่อเลี้ยงตัวอสุจิ
และช่วยเพิ่มปริมาณน้าเชื้อ เพื่อให้สามารถนาไปแบ่งฉีดให้กับตัวเมียได้หลาย ๆ ตัว
- 39. สำรที่เติมลงไปในน้ำเชื้อ ได้แก
1. ไขแดง เพื่อเป็นอำหำรของตัวอสุจิ
2. โซเดียมซิเตรต เพื่อรักษำควำมเป็นกรด-เบส
3. สำรปฏิชีวนะ เพื่อฆำเชื้อโรคในน้ำเชื้อ
มีขั้นตอนดังนี้
4.) กำรเก็บรักษำน้ำเชื้อ มี 2 แบบ คือ
4.1 น้ำเชื้อสด หมำยถึง น้ำเชื้อที่ละลำยแล้วนำไปเก็บรักษำที่อุณหภูมิ 4-5 °C ซึ่งจะ
เก็บได้นำนเป็นเดือน แตถ้ำเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 15-20 °C จะเก็บได้นำน 4 วัน
4.2 น้ำเชื้อแชแข็ง หมำยถึง น้ำเชื้อที่นำมำทำให้เย็นจัดจนแข็งตัว แล้วจึงนำไปเก็บ
รักษำไว้ในไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิ 1-96 °C ซึ่งสำมำรถเก็บไว้ได้นำนเป็นปี
5.) กำรฉีดน้ำเชื้อ จะฉีดให้แมพันธ์ที่ได้รับกำรคัดเลือกและต้องอยูในวัยที่ผสมพันธุ์
ได้ ถ้ำเป็นโคต้องมีอำยุประมำณ 18 เดือน กระบือต้องมีอำยุประมำณ 3 ปี และสุกร
ต้องมีอำยุประมำณ 10 เดือน
- 40. 1.2 กำรผสมเทียมปลำ
การผสมเทียมปลา มีวิธีการดังนี้
1.) คัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาที่สมบูรณ์ มีน้าเชื้อดีและมีไข่มากจากปลาที่กาลังอยู่ใน
วัยผสมพันธุ์ได้
2.) ฉีดฮอร์โมนให้แม่ปลา เพื่อเร่งให้แม่ปลามีไข่สุกเร็วขึ้น ฮอร์โมนที่ฉีดนี้ได้จาการนา
ต่อมใต้สมองของปลาพันธุ์เดียวกันซึ่งเป็นเพศใดก็ได้ นามาบดให้ละเอียดแล้วผสมน้า
กลั่นฉีดเข้าที่บริเวณเส้นข้างลาตัวของแม่ปลา
3.) หลังจากฉีดฮอร์โมนให้แม่ปลาแล้วประมาณ 5-12 ชั่วโมง แล้วแต่ชนิดและน้าหนัก
ของแม่ปลา ต่อจากนั้นจึงรีดไข่และน้าเชื้อจากแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ที่เลือกไว้ใส่ภาชนะ
ใบเดียวกัน
4.) ใช้ขนไก่คนไข่กับน้าเชื้อเบา ๆ เพื่อคลุกเคล้าให้ทั่ว แล้วใส่น้าให้ท่วม ทิ้งไว้ประมาณ
1-2 นาที จึงถ่ายทิ้งประมาณ 1-2 ครั้ง
5.) นาไข่ที่ผสมแล้วไปพักในที่ที่เตรียมไว้ซึ่งต้องเป็นที่ที่มีน้าไหลผ่านตลอดเวลา
เพื่อให้ไข่ลอยและป้องกันการทับถมของไข่ ทิ้งไว้จนกระทั่งไข่ปลาฟักออกเป็นลูกปลา
ในเวลาต่อมา
- 42. กำรตัดตอยีน ( กำรดัดแปลงพันธุกรรม )
การตัดต่อยีนเป็นเทคโนโลยีที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เกิดจากการ
นายีน (gene) หรือสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่นใส่เข้าไปใน
สิ่งมีชีวิตที่ต้องการทาให้เกิดใหม่ตามลักษณะหรือคุณสมบัติที่
ต้องการ หรือทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์ที่มีใน
ธรรมชาติ เทคโนโลยีดังกล่าวทาให้เกิด “สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการ
ดัดแปลงพันธุกรรม” (GMOs) ความก้าวหน้าของ
เทคโนโลยีชีวภาพการตัดต่อยีนในอนาคตได้แก่ การพัฒนาพันธุ์
พืชและสัตว์ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเกษตร ปศุสัตว์
อุตสาหกรรม เคมีอุตสาหกรรม อาหาร ยารักษาโรค รวมทั้งการ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก
- 43. ปรับปรุงพันธุ์พืช
- การพัฒนาพันธุ์พืชต้านทานแมลงและโรค
- การพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพผลผลิตที่พึงประสงค์เช่น สุกงอมช้าลง
- การพัฒนาพันธุ์พืชให้ผลิตสารพิเศษ เช่น มีวิตามินมากขึ้น มีกลิ่นหอมมากขึ้น
ตัวอย่าง เช่น มะเขือเทศสุกงอมช้าและไม่นิ่ม ฟักทองต้านไวรัส ถั่วเหลืองต้านวัชพืช
มันฝรั่งต้านแมลง ฝ้ายที่ทนยาฆ่าวัชพืช Bacillus Thuringiensis (BT) ข้าวที่มีวิตามินเอ
เมล็ดทานตะวันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เป็นต้น
กำรพัฒนำพันธุ์สัตว์
- โตเร็วกว่าปกติ และมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
- กินอาหารลดลง และขับถ่ายของเสียลดลง
- ทนทานโรคและแมลง ตัวอย่าง เช่น ลูกหมูโตเร็วกว่าปกติ ถึงร้อยละ 40 และมีขนาด
ใหญ่กว่าหมูปกติ ในขณะที่กินอาหารลดลง 25% หมูเหล่านี้ขับถ่ายของเสียลดลงมาก
วัวที่ทนโรคและแมลง ไข่ไก่ที่มีโคเลสเตอรอลน้อยลง ปลาทูน่าโตเร็วและต้านทานโรค
เป็นต้น