More Related Content
Similar to แบบสอบถาม (20)
More from khanidthakpt (20)
แบบสอบถาม
- 9. 1. แบบสอบถามแบบ
ปลายเปิ ด (Open-End)แบบสอบถามแบบนี้ไม่ได้กาหนดคาตอบไว้ ผู้ตอบสามารถเขียนตอบหรือ
แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระด้วยคาพูดของตนเองคล้ายกับข้อสอบแบบ
อัตนัย
ตัวอย่าง
- 12. 2. แบบสอบถามแบบปลาย
ปิ ด (Close-End)เป็นแบบสอบถามที่กาหนดคาตอบไว้ให้เลือก ผู้ตอบจะต้องเลือกคาตอบที่มีไว้ให้
เลือกเท่านั้น จะตอบอย่างเสรีไม่ได้ แบบสอบถามปลายปิด
สามารถแบ่งออกได้ 6 แบบ ดังนี้
2.1 แบบเติมคาสั้นๆ ในช่องว่าง (Short
Answer)
2.2 แบบให้เลือกตอบ (Multiple
Choices)
2.3 แบบประเมินค่า (Rating Scale)
2.4 แบบมาตรวัดการจาแนกตามความหมายของ
คา (Semantic Differential
Scale)
2.5 แบบจัดอันดับ (Ranking)
2.6 แบบสอบถามที่มี 2 ตัวเลือกหรือเรียกว่าแบบ
สารวจ (Check List)
- 15. แบบประเมินค่า (Rating Scale) ของลิเคอร์ท (Likert) แบบสอบถามชนิดนี้จะ
ประกอบด้วยข้อคาถามที่ต้องการให้ผู้ตอบประเมินข้อความ หรือให้แสดงความคิดเห็นโดยมีสเกล
บอกระดับ ส่วนใหญ่มักจะมี 5สเกล เช่น
2.3 แบบประเมินค่า (Rating
Scale)
ตัวอย่าง
มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด หรือชอบมาก ชอบ เฉยๆ ไม่ชอบ ไม่ชอบเลย
การประเมินค่าของผู้ตอบแต่ละคนหาได้จากการหาค่าเฉลี่ยของคาตอบจากทุกๆ
- 18. วิธีการสร้างแบบสอบถาม: แบบประเมินค่า (Rating
3. ตรวจสอบข้อความในคาถามให้สอดคล้องกับแนวทางการตอบ เช่น
เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เป็นต้น
4. นาแบบวัดที่สร้างไปทดลองใช้ และปรับปรุง
1. รวบรวมข้อความที่ต้องการให้แสดงความคิดเห็น
5. กาหนดน้าหนักคะแนนตัวเลือกในแต่ละข้อ เช่น 5-1 หรือ
4-0
- 20. แบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
องค์ประกอบของความหมายทางภาษา
ประเมิน
ศักยภาพ
- แข็งแรง-
อ่อนแอ
- เก่ง-อ่อน
- หนัก-เบา
ประเมินคุณค่า
- ดี-เลว
- เกลียด-ชอบ
- หล่อ/สวย-ขี้
เหร่
- เหมาะสม-ไม่
เหมาะสม
ประเมินการ
เปลี่ยนแปลง
เคลื่อนไหว
ประเมินทาง
กายภาพ
- เร็ว-ช้า
- สว่าง-มืด
- ร่าเริง-ซึมเศร้า
- 36. 1. คาชี้แจง โดยมากมักจะอยู่ส่วนแรกของ
แบบสอบถาม ระบุถึง
- จุดประสงค์ที่ให้ตอบแบบสอบถาม
- การนาคาตอบที่ได้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร
- คาอธิบายลักษณะของแบบสอบถาม
- วิธีการตอบแบบสอบถามพร้อมตัวอย่าง
- ชื่อ และที่อยู่ของผู้วิจัย
- ประเด็นที่สาคัญคือ การแสดงข้อความที่ทาให้
ผู้ตอบมีความมั่นใจว่าข้อมูลที่ตอบไปจะไม่ถูกเปิดเผยเป็น
รายบุคคล จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ตอบ และมีการพิทักษ์
สิทธิของผู้ตอบด้วย2. คาถามเกี่ยวกับข้อมูล
ส่วนตัว เป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ตอบ
คาถาม เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ
ศาสนา เป็นต้น โดยมากมักใช้เป็นตัวแปรอิสระใน
งานวิจัยนอกจากนี้ไม่นิยมให้ผู้ตอบแบบสอบถาม
กรอกชื่อ-นามสกุลตนเอง
3. คาถามเกี่ยวกับคุณลักษณะ
หรือตัวแปรที่จะวัด อาจเป็นคาถาม
แบบปลายเปิดหรือแบบปลายปิดก็ได้ อาจเป็น
การแสดงความคิดเห็นทัศนคติ หรือข้อเท็จจริง
ของแต่ละบุคคล
- 38. แบ่งออกได้ 7 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 ศึกษา
คุณลักษณะที่จะวัด
ขั้นที่ 2 กาหนด
ประเภทของข้อคาถาม
ขั้นที่ 3 การร่าง
แบบสอบถาม
ขั้นที่ 6 ปรับปรุง
แบบสอบถามให้สมบูรณ์
ขั้นที่ 5 วิเคราะห์
คุณภาพแบบสอบถาม
ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ
และปรับปรุงร่าง
แบบสอบถาม
ขั้นที่ 7 จัดพิมพ์
แบบสอบถามและเก็บ
ข้อมูลจากตัวอย่างจริง
- 41. ขั้นที่ 3 การร่าง
แบบสอบถาม
การเขียนข้อคาถามต่างๆ ให้สอดคล้องกับสิ่งต้องการศึกษาหาคาตอบ และคาดด้วย
ว่าคาตอบเหล่านั้นจะสนองวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพียงใด อาจใช้เป็นคาถาม
ปลายปิดหรือปลายเปิดก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
โดยมีหลักการในการสร้างแบบสอบถาม ดังนี้
หลักการในการสร้าง
แบบสอบถาม
- 43. ขั้นที่ 4 ตรวจสอบและปรับปรุงร่าง
แบบสอบถาม
เป็นการหาข้อบกพร่องของแบบสอบถาม สามารถทาได้ 2 วิธี คือ
เพื่อพิจารณาถึงถ้อยคาและประโยคว่าชัดเจนหรือไม่ และดูการ
จัดเรียงข้อคาถามว่าเหมาะสมหรือยัง
เพื่อขอคาแนะนาและคาวิจารณ์สาหรับแนวทางในการปรับปรุง
แบบสอบถามให้ความน่าเชื่อถือมากที่สุด รวมทั้งการพิจารณา
เกี่ยวกับความเที่ยงตรง ของแบบสอบถามด้วย
4.1 การตรวจสอบโดยผู้ศึกษาวิจัยเองอีกครั้ง
4.2 การตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
- 44. ขั้นที่ 5 วิเคราะห์
คุณภาพแบบสอบถาม
เป็นการนาแบบสอบถามที่ได้ปรับปรุงแล้วไปทดลอง การนาไปทดลองใช้
(Try out) ควรนาไปทดลองกับกลุ่มที่มีลักษณะเหมือน หรือใกล้เคียงกับกลุ่ม
ที่จะไปเก็บรวบรวมข้อมูลจริง (โดยทั่วไปประมาณ 20 คน)
เพื่อนาผลมาตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม ซึ่งการวิเคราะห์หรือ
ตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามทาได้หลายวิธี แต่ที่สาคัญมี 2 วิธี ได้แก่
1. ความตรง/
เที่ยงตรง (Validity)
2. ความเที่ยง/เชื่อมั่น (Reliability)
วิธีที่ 1 วิธีที่ 2
- 46. 1. ความตรง/
เที่ยงตรง (Validity)
ประเภทของความตรง (Type of Validit
1. ความตรงตาม
เนื้อหา
(content
validity)
2. ความตรงตามเกณฑ์
สัมพันธ์ (criterion
related validity)
2.2 ความตรงตาม
พยากรณ์ (predictive
validity)
3. ความตรงตาม
โครงสร้าง
(construction
2.1 ความตรงตามสภาพ
ปัจจุบัน (concurrent
validity)
แบ่งได้ 3 ประเภท
- 51. แบ่งออกได้เป็น ความตรงตามสภาพปัจจุบัน (concurren
validity)
และ ความตรงตามการพยากรณ์ (predictive validity)
สถิติที่ใช้วัดความเที่ยงตรงตามเกณฑ์ เช่น ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
(Correlation Coefficient) ทั้งของ Pearson และ
Spearman และ ค่า t-test เป็นต้น
2) ความตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-
related Validity)
หมายถึง การประเมินความตรงโดยวิเคราะห์หาความสัมพันธ์กับเกณฑ์
มาตรฐาน
- 52. เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่สามารถวัดคุณลักษณะที่ศึกษาได้ สอดคล้ององกับเกณฑ์
ที่กาหนดในปัจจุบัน
วิธีการ
นาแบบวัด 2 ฉบับซึ่งวันในคุณลักษณะเดียวกันหรือวัดตัวแปรเดียวกัน โดย
แบบวัดฉบับหนึ่งเป็นฉบับที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและแบบวัดอีกฉบับหนึ่งเป็นแบบวัด
มาตรฐาน ไปให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกันตอบ
นาข้อมูล 2 ชุดมาวิเคราะห์หาค่าสหสัมพันธ์ หากค่าสหสัมพันธ์มีค่าสูงคือ
แบบวัดที่พัฒนาขึ้นมีความตรงตามสภาพปัจจุบัน
การตรวจสอบ: นาค่าคะแนนที่ได้ไปหาค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ (r) กับ
เครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน
ถ้าค่า r สูง (เข้าใกล้ 1) แสดงว่าเครื่องมือตรงตามสภาพสูง
2.1) ความตรงตามสภาพปัจจุบัน concurrent validity
2) ความตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-
related Validity)
- 60. เอาตุ้มน้าหนัก 1 กิโลกรัม ไปชั่งด้วยเครื่องชั่งเครื่องหนึ่ง เครื่องชั่งจะ
บอกค่าน้าหนักออกมาค่าหนึ่ง อาจเป็น 1 กิโลกรัม หรือค่าอื่นๆ เมื่อเอาตุ้มน้าหนักนั้น
ชั่งด้วยเครื่องนี้หลายครั้ง จะปรากฏค่าน้าหนักเท่าเดิมเสมอ แสดงว่าเครื่องชั่งมีค่าความ
เชื่อมั่น
สถิติที่ใช้ในการหาค่าความเที่ยงมีหลายวิธี แต่นิยมใช้กันคือ การหาสัมประสิทธิ์แอลฟา
ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ซึ่งจะใช้
สาหรับข้อมูลที่มีการแบ่งระดับการวัดแบบประมาณค่า (Rating Scale)
ในทางแบบทดสอบก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากแบบทดสอบชุดนี้มีค่าความเชื่อมั่นแล้ว จะ
นาไปทดสอบคนคนนี้กี่ครั้ง ผลที่ออกมาก็จะได้เท่าเดิม
2. ความเที่ยง/เชื่อมั่น
(RELIABILITY)
ตัวอย่าง
- 62. ใช้แบบวัด 1 ชุดเดียวกัน ทดสอบกับบุคคลกลุ่มเดียวกันจานวน 2 ครั้ง ใน
ระยะเวลาต่างกัน
แล้วนาคะแนนที่ได้จากการวัดทั้ง 2 ครั้งมาหาความสัมพันธ์ โดยการคานวณค่าสัม
ประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Peason Product Moment
Correlation Coeffient)
ถ้าค่าที่คานวณได้สูงแสดงว่าคะแนนจากการวัดทั้ง 2
ครั้งมี ความสัมพันธ ์กันสูง
1. วิธีการหาค่าความคงที่ภายนอก
1.1) วิธีการทดสอบซ้า test-retest method
วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น
- 64. ระยะเวลาในการทดสอบ: ไม่ควรเกิน 6 เดือน
ในทางปฏิบัติโดยมากใช้ช่วง 1 วัน - 1 สัปดาห์
ถ้าเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ควรห่างกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ แต่ไม่ควรเกิน 3
สัปดาห์
สาเหตุที่อาจทาให้เกิดความคลาดเคลื่อน
1. ผู้ตอบว่าข้อคาถามได้จากการตอบครั้งแรก
2. ระยะเวลาที่ห่างเปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้เรียนรู้เพิ่มเติม
3. องค์ประกอบอื่นเช่นสถานที่บรรยากาศและเวลาที่ท่าการตอบไป
วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น
- 66. 3. การหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha
แอลฟา ต้องมีค่ามากกว่า 0.7 ขึ้นไป ถึงมีความเชื่อมั่น ยิ่งใกล้ 1 ยิ่งดี
หมายถึง ค่าความเชื่อมั่นจะสูงมากนั่นเอง แต่ถ้าเป็นลบ หรือน้อยๆ ก็แปลว่า
ข้อสอบบางข้อยังไม่สัมพันธ์กับข้ออื่นๆ หมายถึงต้องแก้ไข
วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น
- 71. เทคนิคการใช้
แบบสอบถาม
วิธีใช้แบบสอบถามมี 2 วิธี คือการส่งทางไปรษณีย์ กับการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่ง
ไม่ว่ากรณีใดต้องมีจดหมายระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ตลอดจนความสาคัญของข้อมูล
และผลที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อให้ผู้ตอบตระหนักถึงความสาคัญและสละเวลาในการตอบ
แบบสอบถาม
การทาให้อัตราตอบแบบสอบถามสูงเป็นเป้าหมายสาคัญของผู้วิจัย ข้อมูลจากแบบสอบถามจะ
เป็นตัวแทนของประชากรได้เมื่อมีจานวนแบบสอบถามคืนมามากว่าร้อยละ 90 ของจานวน
แบบสอบถามที่ส่งไป
1.มีการติดตามแบบสอบถามเมื่อให้เวลาผู้ตอบไประยะหนึ่ง ระยะเวลาที่เหมาะสมในการติดตาม
คือ 2 สัปดาห์ หลังครบกาหนดส่ง อาจจะติดตามมากกว่าหนึ่งครั้ง
2.วิธีการติดตามแบบสอบถาม อาจใช้จดหมาย ไปรษณีย์ โทรศัพท์ เป็นต้น
3.ในกรณีที่ข้อคาถามอาจจะถามในเรื่องของส่วนตัว ผู้วิจัยต้องให้ความมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้จะ
เป็นความลับ
แนวทางที่จะทาให้ได้รับแบบสอบถามกลับคืนใน
อัตราที่สูง มีวิธีการดังนี้
- 74. ข้อด้อยของการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มี
ดังนี้คือ
4. การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ หน่วยตัวอย่างอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบแบบสอบถามเองก็
ได้ ทาให้คาตอบที่ได้มีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความจริง
5. ถ้าผู้ตอบไม่เข้าใจคาถามหรือเข้าใจคาถามผิด หรือไม่ตอบคาถามบางข้อ หรือไม่ไตร่ตรอง
ให้รอบคอบก่อนที่จะตอบคาถาม ก็จะทาให้ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนได้ โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถ
ย้อนกลับไปสอบถามหน่วยตัวอย่างนั้นได้อีก
6. ผู้ที่ตอบแบบสอบถามกลับคืนมาทางไปรษณีย์ อาจเป็นกลุ่มที่มีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มผู้
ที่ไม่ตอบแบบสอบถามกลับคืนมา ดังนั้นข้อมูลที่นามาวิเคราะห์จะมีความลาเอียงอัน
เนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างได้
- 76. 4. ไม่ควรใช้ปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ เช่น ห้ามไม่ให้ เป็นต้น
5. ระวังไม่ให้ตัวเลือกตอบน้อยเกินไป และควรให้มีตัวเลือกตอบที่คนส่วนใหญ่น่าจะ
เลือกตอบอยู่ด้วย
6. หลีกเลี่ยงคาที่ในรูปนามธรรม เนื่องจากแต่ละบุคคลตีความไม่เหมือนกัน เช่น เลว
ดี มาก น้อย สวย รวย จน เป็นต้น
7.ระมัดระวังในการใช้บางคาที่เกิดขึ้นตามยุคสมัย หรือตามสื่อต่างๆ เช่น ดูด ชิวๆ
แฉล้ม เป็นต้น รวมทั้งไม่ใช้คาสุภาพ ภาษาแสลง
เทคนิคการตั้ง
คาถาม
- 77. 8. ไม่ควรตั้งคาถามที่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เช่น การขึ้นต้นข้อคาถามในลักษณะ
ที่เห็นด้วย ถูกต้องหรือไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน และที่สาคัญในการตั้งคาถามใดๆ ควรตั้ง
คาถามที่สามารถนาข้อมูลนั้นไปวิเคราะห์ ทางสถิติได้ง่ายอาจกาหนดให้มีคาถามปลาย
ปิดมากกว่าคาถามปลายเปิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใน
ครั้งนั้นๆ
เทคนิคการตั้ง
คาถาม