SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตรูมืดในร่างกายคุณ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาว เกศกนก ปิ่นผักแว่น เลขที่ 18 ชั้น ม.6 ห้อง 7
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
2
สมาชิกในกลุ่ม
นางสาว เกศกนก ปิ่นผักแว่น เลขที่ 18
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
แพ้ภูมิตัวเอง ศัตรูมืดในร่างกายคุณ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Autoimmune Dark enemies in your body
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวเกศกนก ปิ่นผักแว่น
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
เนื่องจากโรคแพ้ภูมิตนเองเป็นโรคที่อันตรายมาก มีอาการร้ายแรง และเป็นโรคที่มาโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว แฝงอยู่ใน
มนุษย์ คอยคลาดชีวิตของมนุษย์ไป ทาให้เสียชีวิตหรือได้รับความทุกทรมาณเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ศึกษาทาความ
รู้จักโรคนี้อย่างถี่ถ้วน เพราะโดยธรรมชาติ ร่างกายเราถูกสร้างขึ้นพร้อมกับกลไกป้องกันภัยของร่างกาย ที่เมื่อได้รับสิ่ง
แปลกปลอมหรือสารอันตรายเข้าไป ร่างกายจะสร้างกลไกในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ไม่ให้เกิดอันตรายต่อ
ร่างกายได้ กลไกที่ว่านี้ เรียกว่าระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system)
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแยกแยะระหว่างเซลล์ของร่างกายกับเซลล์ของสิ่งแปลกปลอมได้
ภูมิคุ้มกันจึงหันมาทาร้ายร่างกายเราเสียเอง ทาให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะในร่างกาย จนอาจ
เสียชีวิตได้ โรคเอสแอลอี เป็นโรคที่มีลักษณะการแสดงออกได้หลากหลาย อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมี
อาการค่อยเป็นค่อยไปเป็นช่วงระยะเวลานานหลายปี หรืออาจมีอาการแสดงออกของหลายอวัยวะในร่างกายพร้อม ๆ
กัน หรือมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ โดยอาการที่พบบ่อยนั้น ได้แก่ มีไข้ ผื่นขึ้นที่ใบหน้า
เกิดแผลในปาก ผมร่วง มีอาการปวดข้อ พอรักษาก็หายไปแต่ก็กลับเป็นขึ้นมาได้อีก และอาการอื่นๆเพิ่มเข้ามาเม่อติด
เชื้อยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคแพ้ภูมิตนเอง
2.เพื่อให้รู้จักวิธีสังเกตเพื่อระวังตนและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
3.เพื่อให้รู้จักวิธีการรักษารวมถึงวิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง
3
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ผู้ที่สนใจบทความเกี่ยวกับโรคแพ้ภูมิตนเอง
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
โรคพุ่มพวง คืออะไร มารู้จักโรคพุ่มพวง หรือที่เรียกว่า โรคเอสแอลอี โรคร้ายที่คร่าชีวิต พุ่มพวง ดวงจันทร์ อัน
เป็นที่มาของชื่อโรคที่คนไทยเรียกกัน
โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือ โรคลูปัส จัดเป็นโรคที่เรื้อรังชนิดหนึ่งที่อยู่ใน
กลุ่มภูมิคุ้มกันเพี้ยน เกิดจากการที่ร่างกายผู้ป่วยผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามาก
เกินปกติ ทาให้เกิดปัญหาในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม
กล่าวคือ จากปกติที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัสจากภายนอก
ร่างกาย แต่กลับต่อต้านร่างกายของตัวเอง จนทาให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ถ้าเป็นรุนแรงจะมีการทาลาย
อวัยวะภายในด้วย เช่น ไต หัวใจ ปอด และระบบประสาท
สาหรับความรุนแรงของโรคเอสแอลอีจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนเป็นรุนแรง บางคนเป็นไม่รุนแรง และ
ในรายที่เป็นไม่รุนแรง วันดีคืนร้ายก็จะเป็นรุนแรงขึ้นมาได้อีก ในปัจจุบันโรคเอสแอลอียังไม่สามารถรักษาให้หายขาด
ได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบ และดาเนินชีวิตได้ตามปกติหากรักษาได้ทันท่วงที
ทั้งนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคแอสเอลอีส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงวัยสาวถึงวัยกลางคน อายุระหว่าง 20-45 ปี อายุเฉลี่ย
ประมาณ 30 ปี โดยผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 9:1 และพบได้ในทุกเชื้อชาติ แต่จะพบในคนผิวดาและ
ผิวเหลืองมากกว่าผิวขาว โดยเฉพาะบริเวณเอเชียตะวันออก เช่น ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง และจีน
โรคเอสแอลอี สาเหตุเกิดจากอะไร
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคเอสแอลอีแน่ชัด แต่จากหลักฐานทางการวิจัยพบว่า โรคนี้มีความ
เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์, ฮอร์โมน และการติดเชื้อโรค (โดยเฉพาะเชื้อไวรัส) นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทาให้
ผู้ป่วยที่เป็นหรือมีโอกาสเป็นโรคเอสแอลอีมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น แสงแดด โดยเฉพาะแสงอัลตราไวโอเลต การ
ตั้งครรภ์ และยาบางชนิด ดังนี้
1. พันธุกรรม พบว่าในแฝดจากไข่ใบเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ 30-50 และร้อยละ 7-12 ของผู้ป่วยเอสแอล
อีเป็นญาติพี่น้องกัน เช่น แม่และลูกสาว หรือในหมู่พี่น้องผู้หญิงด้วยกัน
2. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้
3. ฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเอสโตรเจน โรคที่พบมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ บ่งชี้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ
นอกจากนี้ความรุนแรงของโรคยังแปรเปลี่ยนตามการมีครรภ์ ประจาเดือน และการใช้ยาคุมกาเนิด
4. แสงแดดและสารเคมี ยาบางอย่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมแสดงอาการของโรคนี้ได้
โรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. โรคที่มีการทาลายแบบจาเพาะต่ออวัยวะ (Organ Specific) เช่น การทาลายตับอ่อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
และ การทาลายเซลล์เยื่อบุลาไส้ในผู้ป่วย Inflammatory Bowel Disease เป็นต้น
2. โรคที่มีการทาลายอวัยวะหลายระบบ (Systemic) เช่น เอสแอลอี รูมาตอยด์ และ โรคหนังแข็ง เป็นต้น
4
โรคเอสแอลอี เป็นโรคที่มีลักษณะการแสดงออกได้หลากหลาย อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมีอาการ
ค่อยเป็นค่อยไปเป็นช่วงระยะเวลานานหลายปี หรืออาจมีอาการแสดงออกของหลายอวัยวะในร่างกายพร้อม ๆ กัน
หรือมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ โดยอาการที่พบบ่อยนั้น ได้แก่ มีไข้ ผื่นขึ้นที่ใบหน้า เกิด
แผลในปาก ผมร่วง มีอาการปวดข้อ พอรักษาก็หายไปแต่ก็กลับเป็นขึ้นมาได้อีก ส่วนอาการอื่น ๆ มีดังนี้
* อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้าหนักตัวลด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะโรคกาเริบ
* อาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปาก ในระยะเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นรูปปีกผีเสื้อ ลักษณะเป็นผื่นบวม
แดงนูนบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ปลายเท้าซีดเขียวเมื่อถูกน้าหรืออากาศเย็น
ผมร่วง มีแผลในปาก
* อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดข้อมากกว่าลักษณะข้ออักเสบ มัก
เป็นบริเวณข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า หรือข้อเข่า เป็นเหมือน ๆ กันทั้ง 2 ข้าง ร้อยละ 17-45 พบ
อาการปวดกล้ามเนื้อ
* อาการทางไต ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการทางไตเป็นอาการนา อาการแสดงที่สาคัญของไตอักเสบ
จากลูปัส ได้แก่ บวม ปัสสาวะเป็นฟอง ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง
* อาการทางระบบเลือด อาการที่พบ ได้แก่ อ่อนเพลียหน้ามืดจากภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่า ทาให้ติดเชื้อได้ง่าย และ
เกล็ดเลือดต่า อาจพบจุดจ้าเลือดออกตามตัวได้
* อาการทางระบบประสาท อาการที่พบได้คือ อาการชักและอาการทางจิต นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง
หรือมีอาการอ่อนแรงของแขนขา อาจพบได้ในระยะที่โรคกาเริบ
* อาการทางปอดและเยื่อหุ้มปอด อาการที่พบบ่อยคือ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการแสดงคือเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะ
เวลาหายใจเข้าสุด ตรวจพบมีน้าในช่องเยื่อหุ้มปอด บางรายมีอาการปอดอักเสบซึ่งต้องแยกจากปอดอักเสบติดเชื้อ
* อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่พบบ่อยคือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกับเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ผู้ป่วย
จะมาด้วยอาการ เจ็บหน้าอก มีน้าในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะ
หลอดเลือดแข็งจากการได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ นอกจากนี้ภาวะความดันโลหิตสูง ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้
บ่อยจากไตอักเสบเรื้อรัง และจากการได้รับยาสเตียรอยด์
* อาการทางระบบทางเดินอาหาร ไม่มีอาการที่จาเพาะสาหรับโรคลูปัส อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน เบื่อ
อาหาร ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลจากการใช้ยารักษาโรคลูปัส เช่น NSAIDS ยาสเตียรอยด์ อาการยังคงอยู่ได้แม้จะหยุดยาไป
เป็นสัปดาห์
โรคเอสแอลอี รักษาอย่างไร
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาใดที่ทาให้หายขาดได้ เพราะสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การ
เลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้ โดยรักษาด้วยยาก
ลุ่ม NSAIDS และยาต้านมาลาเรีย (คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน) ในผู้ป่วยที่มีอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มี
ปัญหาต่อการดาเนินชีวิตประจาวันมากนัก เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการอย่างโรคทางผิวหนัง มีผื่นที่หน้า ปวดข้อและปวด
กล้ามเนื้อ โดยที่ผลการตรวจทางปัสสาวะปกติ อย่างไรก็ตามในกรณียาเหล่านี้ควบคุมอาการไม่ได้ อาจให้ยาส
เตียรอยด์ในขนาดต่า ๆ (Prednisolone < 10 มิลลิกรัม /วัน) ร่วมด้วย เมื่อควบคุมโรคได้จึงค่อยลดยาลง
5
ยาสเตียรอยด์ เช่น prednisolone เป็นยาหลักที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบของอวัยวะสาคัญต่าง ๆ จาก
โรคลูปัส แพทย์จะปรับขนาดของยาตามอาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดระบบ
ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ร่วมด้วย เป็นยาที่จะยับยั้งการเคลื่อนตัวของเซลเม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ต้านการติดเชื้อ
แบคทีเรีย (Polymorphonuclear Leukocytes) ที่ผ่านมาทางหลอดเลือดฝอย อีกทั้งกดการทางานของระบบ
ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย เพื่อไม่ให้มีการทาลายอวัยวะที่เจ็บป่วยอยู่ ด้วยกลไกดังกล่าวจึงทาให้ลดการ
อักเสบ และทาให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น
ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อป่วยเป็นโรคเอสแอลอี
1. ในระยะแรกต้องได้รับการรักษาด้วยยา ต้องรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กาหนดอย่างเคร่งครัด
2. ควรพยายามอย่าให้ผิวหนังถูกแสงแดดโดยตรง ควรใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม และสวมใส่เสื้อแขนยาวเวลาที่
จาเป็นต้องออกแดด
3. ทาจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด ท้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ เพราะทาให้อาการกาเริบได้ ควรมีกาลังใจและมี
ความอดทนต่อการรักษา
4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม
ผักและผลไม้ต่าง ๆ มีการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
5. เนื่องจากผู้ป่วยเอสแอลอีมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายจึงต้องคอยระวังตัว ไม่เข้าใกล้ผู้อื่นที่กาลังเป็นโรคติดต่อ เช่น
โรคหวัด พยายามไม่อยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้อาหารที่รับประทานทุกชนิดควรเป็นอาหารที่สะอาดและต้มสุก
แล้ว
6. ทาตามคาแนะนาของแพทย์ พยาบาล และไปรับการตรวจตามนัดอย่างสม่าเสมอ เพื่อประโยชน์ในการรักษาและ
ประเมินความรุนแรงของโรค และผลการรักษาแพทย์จะได้พิจารณาให้การรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
7. ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อย ๆ เพราะแพทย์คนใหม่อาจจะไม่ทราบรายละเอียดของอาการเจ็บป่วย ทาให้เกิด
ความล่าช้าในการวินิจฉัยและการรักษา อาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาจเป็นอันตรายได้
8. ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะจะมีโอกาสแพ้ยาได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนธรรมดา
9. ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
10. ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้ หรือไม่สบาย ควรรีบกลับไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันที หรือหากจะไปหาแพทย์อื่น ควร
นายาที่กาลังรับประทานอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วยทุกครั้ง เพื่อว่าแพทย์จะได้จัดยาได้ถูกต้องและสอดคล้องกับยาประจาที่
รับประทานอยู่
11. ผู้ป่วยหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ควรมีบุตรในระยะที่โรคกาเริบ เพราะจะเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ ไม่ควรใช้
ยาคุมกาเนิด เพราะอาจจะทาให้อาการของโรคกาเริบขึ้น ควรเลี่ยงใช้วิธีอื่น ๆ แทนโดยการปรึกษาแพทย์ ผู้ป่วยจะ
สามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อพ้นระยะที่โรคมีความรุนแรงแล้ว แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ควร
ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
6
โรค SLE ห้ามกินอาหารอะไรบ้าง
แล้วในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่า อาหารชนิดไหนที่สามารถทาให้อาการ SLE กาเริบ หรือแม้แต่อาหารที่ช่วย
ให้อาการของโรค SLE ดีขึ้นได้ก็ยังไม่พบข้อมูลทางการแพทย์ที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน เพราะถ้าพูด
ถึงการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรค SLE จะมีลักษณะเหมือนกับแนวทางการกินเพื่อสุขภาพที่ดีทั่วไปนั่นเอง
แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลด้านอาหารการกินของผู้ป่วยโรค SLE เก็พอมีข้อมูลอาหารที่ผู้ป่วยโรค SLE
ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดโอกาสเกิดอาการที่รุนแรงหรือโรคแทรกซ้อนได้
- โรค SLE ห้ามกินอาหารอะไรบ้าง ไม่อยากอาการทรุดต้องดูแล
1. เนื้อแดง
เนื้อแดงมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูง เสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบตามส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรค SLE ควรเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงอย่างเนื้อแดง และเนื้อสัตว์ไขมันสูงทุกชนิดไว้จะ
ดีกว่า แล้วเปลี่ยนมารับประทานเนื้อปลา เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอแรล ซึ่งมีกรดโอเมก้า 3 สูง ช่วย
ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยป้องกันอาการอักเสบในร่างกายได้ และถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
ไปอีก แนะนาเป็นอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่าอย่างเนื้อไก่และถั่วชนิดต่าง ๆ
2. อาหารไขมันสูง อาหารที่มีไขมันทรานส์
อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารประเภททอด อาหารมัน ๆ หรือพวกเค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ และ
โดนัท รวมไปถึงบรรดาอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลายที่มีไขมันทรานส์แอบแฝงอยู่ ผู้ป่วยโรค SLE ก็ควรเลี่ยงให้ไกลด้วย
เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่า อาหารไขมันสูงอาจทาให้ผู้ป่วย SLE มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่ง
ไม่ส่งผลดีต่อระบบใด ๆ ในร่างกายแน่นอนหนาซ้ายังอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ อย่างโรคความดัน
โลหิต โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานได้อีก
3.คาเฟอีน
คาเฟอีนในที่นี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ชา น้าอัดลม ช็อกโกแลต หรือแม้กระทั่ง
เครื่องดื่มชูกาลัง เป็นไปได้อยากให้งดไปเลยจะดีมากค่ะ เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว รวมไปถึงอาจ
กระตุ้นระบบในช่องท้องด้วย ซึ่งยาบางตัวที่ใช้รักษาคนไข้ SLE บางราย ก็มีจุดประสงค์ให้คนไข้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือ
ยาบางตัวอาจมีผลข้างเคียงเรื่องระบบลาไส้อยู่แล้ว ดังนั้นก็อย่าให้คาเฟอีนมาซ้าเติมร่างกายเราเลยดีกว่า
4. อาหารเค็มจัด
ผู้ป่วยโรค SLE ควรลดปริมาณการรับประทานเกลือให้ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วย SLE ที่เสี่ยงหรือเป็นโรคไตและโรค
ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเพิ่มความรุนแรงของอาการได้หากกินอาหารรสเค็มจัดอย่างอาหารแปรรูป อาหารสาเร็จรูป
หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีปริมาณโซเดียมค่อนข้างมาก
5. แอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เคยส่งผลดีกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีก็ตาม ยิ่งในเคสผู้ป่วยโรค SLE ที่ต้องกินยา
รักษาอาการเป็นประจา ยิ่งไม่ควรจะดื่มแอลกอฮอล์ด้วยประการทั้งปวง เพราะยาบางชนิดอาจเกิดปฏิกิริยาต่อ
แอลกอฮอล์ และทาให้อาการป่วยของเราแย่ไปด้วย
7
6. อาหารประเภทแป้งขัดสี และน้าตาล
ผู้ป่วยโรค SLE ที่รับประทานยาสเตียรอยด์ จะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานแทรกซ้อนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรจากัด
ปริมาณน้าตาล และอาหารประเภทแป้งขัดขาวอย่างขนมปังขาว ข้าวขาว ข้าวเหนียว เป็นต้น เพราะหากรับประทาน
น้าตาลและอาหารประเภทแป้งอย่างไม่ระมัดระวัง อาจเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้นได้ ดังนั้นสาหรับผู้ป่วยโรค
SLE แนะนาเป็นข้าวซ้อมมือ โฮลวีท โฮลเกรน ซึ่งนอกจากจะมีวิตามินเยอะกว่าแป้งขัดสีแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วย
ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจไปด้วยในตัว
7. กระเทียม
แม้กระเทียมจะเป็นสมุนไพรที่ช่วยบารุงสุขภาพได้หลายอย่าง แต่สาหรับผู้ป่วยโรค SLE กลับควรเลี่ยงกระเทียม
และอาหารประเภทหน่อให้ไกลเลยค่ะ เพราะข้อมูลทางการแพทย์พบว่า กระเทียมมีสาร Allicin, Ajoene และ
Thiosulfinates ซึ่งอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และอาจทาปฏิกิริยากับยาประเภทสเตียรอยด์ อาจทาให้
เลือดออกในร่างกายได้
โรค SLE ควรกินอาหารอะไรเพิ่มเติม
นอกจากอาหารที่ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ และอาหารที่สด สะอาดแล้ว อาหารที่ผู้ป่วยโรค SLE ควรกินเพิ่มเติมก็
มีดังนี้
1. อาหารแคลเซียมสูง
ผู้ป่วยโรค SLE ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมโค นมถั่วเหลือง เต้าหู้ งา ข้าวโอ๊ต เป็นต้น
เนื่องจากผู้ป่วยโรค SLE มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน และปัจจัยที่ผู้ป่วยต้องกินยาสเตียรอยด์ ก็อาจเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้มาก
2. วิตามินดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เผยว่า จากงานวิจัยทาให้ทราบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามินดีกับความรุนแรง
ทางอาการของโรค SLE เนื่องจากผู้ป่วยโรค SLE ควรต้องเลี่ยงการถูกแสงแดด ซึ่งจะทาให้ผู้ป่วยโรคนี้ขาดวิตามินดี
จากแสงแดดได้ และก็เหมือนโชคร้ายที่คนเราต้องรับวิตามินดีจากแสงแดดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และหากหวังจะพึ่ง
วิตามินดีจากอาหารก็ค่อนข้างมีน้อยมาก ดังนั้น นพ.สันต์ จึงแนะนาให้ผู้ป่วยโรค SLE รับประทานวิตามินดีเสริม โดย
วิตามินดี 2 หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Vitamin D2 : Ergocalciferol) ขนาด 20,000 ยูนิต เดือนละ 2 เม็ด คือทุก 2
สัปดาห์ทานครั้งละ 1 เม็ด เพื่อลดโอกาสอาการกาเริบ
ทั้งนี้หากผู้ป่วยปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ทานยาที่ถูกต้อง พบแพทย์ตามนัด อาการของโรคพุ่มพวงก็จะไม่รุนแรง
นัก แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อวัยวะสาคัญ เช่น ไต สมอง หลอดเลือด อาจเกิดการอักเสบ
ได้ หรือหากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอยู่แล้ว อาจเกิดภาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งนาไปสู่การเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากใคร
มีอาการต้องสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับวินิจฉัยทันที
8
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
งบประมาณ
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
__________________________________________________________________
___________________________________________________________________
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
9
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
สถานที่ดาเนินการ
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________

More Related Content

Similar to ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงาน

Depression of thai people
Depression of thai peopleDepression of thai people
Depression of thai people
Nantharat Pansara
 
2562 final-project 39
2562 final-project 392562 final-project 39
2562 final-project 39
ssuser5d7fc5
 

Similar to ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงาน (20)

Thipwana1
Thipwana1Thipwana1
Thipwana1
 
2562 final-project1-18-vasaraj
2562 final-project1-18-vasaraj2562 final-project1-18-vasaraj
2562 final-project1-18-vasaraj
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
W.1
W.1W.1
W.1
 
2559 project 612-04_08
2559 project 612-04_082559 project 612-04_08
2559 project 612-04_08
 
2559 project 612-04_08
2559 project 612-04_082559 project 612-04_08
2559 project 612-04_08
 
AT1
AT1AT1
AT1
 
Thipwana
ThipwanaThipwana
Thipwana
 
Depression of thai people
Depression of thai peopleDepression of thai people
Depression of thai people
 
At1
At1At1
At1
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
2562 final-project 39
2562 final-project 392562 final-project 39
2562 final-project 39
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
 
W.111
W.111W.111
W.111
 
งานคอม22
งานคอม22งานคอม22
งานคอม22
 
2562 final-project 14
2562 final-project 142562 final-project 14
2562 final-project 14
 
ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5ใบงานที่ 5
ใบงานที่ 5
 
2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn 2562 final-project 26-sathaporn
2562 final-project 26-sathaporn
 
2558 project nalee
2558 project  nalee2558 project  nalee
2558 project nalee
 
Com555
Com555Com555
Com555
 

More from Knooknickk Pinpukvan (6)

งาน
งานงาน
งาน
 
งาน2
งาน2งาน2
งาน2
 
โครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตตรูมืดในร่างกายคุณ
โครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตตรูมืดในร่างกายคุณโครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตตรูมืดในร่างกายคุณ
โครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตตรูมืดในร่างกายคุณ
 
งาน
งานงาน
งาน
 
กิจกรรมที่4
กิจกรรมที่4 กิจกรรมที่4
กิจกรรมที่4
 
ใบงานสำรวจตนเอง M6 (1)
ใบงานสำรวจตนเอง M6 (1)ใบงานสำรวจตนเอง M6 (1)
ใบงานสำรวจตนเอง M6 (1)
 

ใบงานที่ 5 โครงร่างโครงงาน

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน แพ้ภูมิตัวเอง ศัตรูมืดในร่างกายคุณ ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว เกศกนก ปิ่นผักแว่น เลขที่ 18 ชั้น ม.6 ห้อง 7 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
  • 2. 2 สมาชิกในกลุ่ม นางสาว เกศกนก ปิ่นผักแว่น เลขที่ 18 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) แพ้ภูมิตัวเอง ศัตรูมืดในร่างกายคุณ ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Autoimmune Dark enemies in your body ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวเกศกนก ปิ่นผักแว่น ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) เนื่องจากโรคแพ้ภูมิตนเองเป็นโรคที่อันตรายมาก มีอาการร้ายแรง และเป็นโรคที่มาโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว แฝงอยู่ใน มนุษย์ คอยคลาดชีวิตของมนุษย์ไป ทาให้เสียชีวิตหรือได้รับความทุกทรมาณเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ศึกษาทาความ รู้จักโรคนี้อย่างถี่ถ้วน เพราะโดยธรรมชาติ ร่างกายเราถูกสร้างขึ้นพร้อมกับกลไกป้องกันภัยของร่างกาย ที่เมื่อได้รับสิ่ง แปลกปลอมหรือสารอันตรายเข้าไป ร่างกายจะสร้างกลไกในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ไม่ให้เกิดอันตรายต่อ ร่างกายได้ กลไกที่ว่านี้ เรียกว่าระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแยกแยะระหว่างเซลล์ของร่างกายกับเซลล์ของสิ่งแปลกปลอมได้ ภูมิคุ้มกันจึงหันมาทาร้ายร่างกายเราเสียเอง ทาให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะในร่างกาย จนอาจ เสียชีวิตได้ โรคเอสแอลอี เป็นโรคที่มีลักษณะการแสดงออกได้หลากหลาย อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมี อาการค่อยเป็นค่อยไปเป็นช่วงระยะเวลานานหลายปี หรืออาจมีอาการแสดงออกของหลายอวัยวะในร่างกายพร้อม ๆ กัน หรือมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ โดยอาการที่พบบ่อยนั้น ได้แก่ มีไข้ ผื่นขึ้นที่ใบหน้า เกิดแผลในปาก ผมร่วง มีอาการปวดข้อ พอรักษาก็หายไปแต่ก็กลับเป็นขึ้นมาได้อีก และอาการอื่นๆเพิ่มเข้ามาเม่อติด เชื้อยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1.เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคแพ้ภูมิตนเอง 2.เพื่อให้รู้จักวิธีสังเกตเพื่อระวังตนและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที 3.เพื่อให้รู้จักวิธีการรักษารวมถึงวิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง
  • 3. 3 ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) ผู้ที่สนใจบทความเกี่ยวกับโรคแพ้ภูมิตนเอง หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) โรคพุ่มพวง คืออะไร มารู้จักโรคพุ่มพวง หรือที่เรียกว่า โรคเอสแอลอี โรคร้ายที่คร่าชีวิต พุ่มพวง ดวงจันทร์ อัน เป็นที่มาของชื่อโรคที่คนไทยเรียกกัน โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือ โรคลูปัส จัดเป็นโรคที่เรื้อรังชนิดหนึ่งที่อยู่ใน กลุ่มภูมิคุ้มกันเพี้ยน เกิดจากการที่ร่างกายผู้ป่วยผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามาก เกินปกติ ทาให้เกิดปัญหาในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ จากปกติที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัสจากภายนอก ร่างกาย แต่กลับต่อต้านร่างกายของตัวเอง จนทาให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ถ้าเป็นรุนแรงจะมีการทาลาย อวัยวะภายในด้วย เช่น ไต หัวใจ ปอด และระบบประสาท สาหรับความรุนแรงของโรคเอสแอลอีจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนเป็นรุนแรง บางคนเป็นไม่รุนแรง และ ในรายที่เป็นไม่รุนแรง วันดีคืนร้ายก็จะเป็นรุนแรงขึ้นมาได้อีก ในปัจจุบันโรคเอสแอลอียังไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบ และดาเนินชีวิตได้ตามปกติหากรักษาได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคแอสเอลอีส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงวัยสาวถึงวัยกลางคน อายุระหว่าง 20-45 ปี อายุเฉลี่ย ประมาณ 30 ปี โดยผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 9:1 และพบได้ในทุกเชื้อชาติ แต่จะพบในคนผิวดาและ ผิวเหลืองมากกว่าผิวขาว โดยเฉพาะบริเวณเอเชียตะวันออก เช่น ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง และจีน โรคเอสแอลอี สาเหตุเกิดจากอะไร ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคเอสแอลอีแน่ชัด แต่จากหลักฐานทางการวิจัยพบว่า โรคนี้มีความ เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์, ฮอร์โมน และการติดเชื้อโรค (โดยเฉพาะเชื้อไวรัส) นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทาให้ ผู้ป่วยที่เป็นหรือมีโอกาสเป็นโรคเอสแอลอีมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น แสงแดด โดยเฉพาะแสงอัลตราไวโอเลต การ ตั้งครรภ์ และยาบางชนิด ดังนี้ 1. พันธุกรรม พบว่าในแฝดจากไข่ใบเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ 30-50 และร้อยละ 7-12 ของผู้ป่วยเอสแอล อีเป็นญาติพี่น้องกัน เช่น แม่และลูกสาว หรือในหมู่พี่น้องผู้หญิงด้วยกัน 2. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้ 3. ฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเอสโตรเจน โรคที่พบมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ บ่งชี้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ความรุนแรงของโรคยังแปรเปลี่ยนตามการมีครรภ์ ประจาเดือน และการใช้ยาคุมกาเนิด 4. แสงแดดและสารเคมี ยาบางอย่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมแสดงอาการของโรคนี้ได้ โรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. โรคที่มีการทาลายแบบจาเพาะต่ออวัยวะ (Organ Specific) เช่น การทาลายตับอ่อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และ การทาลายเซลล์เยื่อบุลาไส้ในผู้ป่วย Inflammatory Bowel Disease เป็นต้น 2. โรคที่มีการทาลายอวัยวะหลายระบบ (Systemic) เช่น เอสแอลอี รูมาตอยด์ และ โรคหนังแข็ง เป็นต้น
  • 4. 4 โรคเอสแอลอี เป็นโรคที่มีลักษณะการแสดงออกได้หลากหลาย อาจมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง หรือมีอาการ ค่อยเป็นค่อยไปเป็นช่วงระยะเวลานานหลายปี หรืออาจมีอาการแสดงออกของหลายอวัยวะในร่างกายพร้อม ๆ กัน หรือมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ โดยอาการที่พบบ่อยนั้น ได้แก่ มีไข้ ผื่นขึ้นที่ใบหน้า เกิด แผลในปาก ผมร่วง มีอาการปวดข้อ พอรักษาก็หายไปแต่ก็กลับเป็นขึ้นมาได้อีก ส่วนอาการอื่น ๆ มีดังนี้ * อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้าหนักตัวลด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะโรคกาเริบ * อาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปาก ในระยะเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นรูปปีกผีเสื้อ ลักษณะเป็นผื่นบวม แดงนูนบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ปลายเท้าซีดเขียวเมื่อถูกน้าหรืออากาศเย็น ผมร่วง มีแผลในปาก * อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดข้อมากกว่าลักษณะข้ออักเสบ มัก เป็นบริเวณข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า หรือข้อเข่า เป็นเหมือน ๆ กันทั้ง 2 ข้าง ร้อยละ 17-45 พบ อาการปวดกล้ามเนื้อ * อาการทางไต ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการทางไตเป็นอาการนา อาการแสดงที่สาคัญของไตอักเสบ จากลูปัส ได้แก่ บวม ปัสสาวะเป็นฟอง ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง * อาการทางระบบเลือด อาการที่พบ ได้แก่ อ่อนเพลียหน้ามืดจากภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่า ทาให้ติดเชื้อได้ง่าย และ เกล็ดเลือดต่า อาจพบจุดจ้าเลือดออกตามตัวได้ * อาการทางระบบประสาท อาการที่พบได้คือ อาการชักและอาการทางจิต นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง หรือมีอาการอ่อนแรงของแขนขา อาจพบได้ในระยะที่โรคกาเริบ * อาการทางปอดและเยื่อหุ้มปอด อาการที่พบบ่อยคือ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการแสดงคือเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะ เวลาหายใจเข้าสุด ตรวจพบมีน้าในช่องเยื่อหุ้มปอด บางรายมีอาการปอดอักเสบซึ่งต้องแยกจากปอดอักเสบติดเชื้อ * อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่พบบ่อยคือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกับเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ผู้ป่วย จะมาด้วยอาการ เจ็บหน้าอก มีน้าในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะ หลอดเลือดแข็งจากการได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ นอกจากนี้ภาวะความดันโลหิตสูง ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ บ่อยจากไตอักเสบเรื้อรัง และจากการได้รับยาสเตียรอยด์ * อาการทางระบบทางเดินอาหาร ไม่มีอาการที่จาเพาะสาหรับโรคลูปัส อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน เบื่อ อาหาร ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลจากการใช้ยารักษาโรคลูปัส เช่น NSAIDS ยาสเตียรอยด์ อาการยังคงอยู่ได้แม้จะหยุดยาไป เป็นสัปดาห์ โรคเอสแอลอี รักษาอย่างไร ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาใดที่ทาให้หายขาดได้ เพราะสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การ เลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้ โดยรักษาด้วยยาก ลุ่ม NSAIDS และยาต้านมาลาเรีย (คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน) ในผู้ป่วยที่มีอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มี ปัญหาต่อการดาเนินชีวิตประจาวันมากนัก เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการอย่างโรคทางผิวหนัง มีผื่นที่หน้า ปวดข้อและปวด กล้ามเนื้อ โดยที่ผลการตรวจทางปัสสาวะปกติ อย่างไรก็ตามในกรณียาเหล่านี้ควบคุมอาการไม่ได้ อาจให้ยาส เตียรอยด์ในขนาดต่า ๆ (Prednisolone < 10 มิลลิกรัม /วัน) ร่วมด้วย เมื่อควบคุมโรคได้จึงค่อยลดยาลง
  • 5. 5 ยาสเตียรอยด์ เช่น prednisolone เป็นยาหลักที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบของอวัยวะสาคัญต่าง ๆ จาก โรคลูปัส แพทย์จะปรับขนาดของยาตามอาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดระบบ ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ร่วมด้วย เป็นยาที่จะยับยั้งการเคลื่อนตัวของเซลเม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ต้านการติดเชื้อ แบคทีเรีย (Polymorphonuclear Leukocytes) ที่ผ่านมาทางหลอดเลือดฝอย อีกทั้งกดการทางานของระบบ ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย เพื่อไม่ให้มีการทาลายอวัยวะที่เจ็บป่วยอยู่ ด้วยกลไกดังกล่าวจึงทาให้ลดการ อักเสบ และทาให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อป่วยเป็นโรคเอสแอลอี 1. ในระยะแรกต้องได้รับการรักษาด้วยยา ต้องรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กาหนดอย่างเคร่งครัด 2. ควรพยายามอย่าให้ผิวหนังถูกแสงแดดโดยตรง ควรใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม และสวมใส่เสื้อแขนยาวเวลาที่ จาเป็นต้องออกแดด 3. ทาจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด ท้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ เพราะทาให้อาการกาเริบได้ ควรมีกาลังใจและมี ความอดทนต่อการรักษา 4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักและผลไม้ต่าง ๆ มีการออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง 5. เนื่องจากผู้ป่วยเอสแอลอีมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายจึงต้องคอยระวังตัว ไม่เข้าใกล้ผู้อื่นที่กาลังเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคหวัด พยายามไม่อยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้อาหารที่รับประทานทุกชนิดควรเป็นอาหารที่สะอาดและต้มสุก แล้ว 6. ทาตามคาแนะนาของแพทย์ พยาบาล และไปรับการตรวจตามนัดอย่างสม่าเสมอ เพื่อประโยชน์ในการรักษาและ ประเมินความรุนแรงของโรค และผลการรักษาแพทย์จะได้พิจารณาให้การรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 7. ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อย ๆ เพราะแพทย์คนใหม่อาจจะไม่ทราบรายละเอียดของอาการเจ็บป่วย ทาให้เกิด ความล่าช้าในการวินิจฉัยและการรักษา อาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาจเป็นอันตรายได้ 8. ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะจะมีโอกาสแพ้ยาได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนธรรมดา 9. ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง 10. ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้ หรือไม่สบาย ควรรีบกลับไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันที หรือหากจะไปหาแพทย์อื่น ควร นายาที่กาลังรับประทานอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วยทุกครั้ง เพื่อว่าแพทย์จะได้จัดยาได้ถูกต้องและสอดคล้องกับยาประจาที่ รับประทานอยู่ 11. ผู้ป่วยหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ควรมีบุตรในระยะที่โรคกาเริบ เพราะจะเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ ไม่ควรใช้ ยาคุมกาเนิด เพราะอาจจะทาให้อาการของโรคกาเริบขึ้น ควรเลี่ยงใช้วิธีอื่น ๆ แทนโดยการปรึกษาแพทย์ ผู้ป่วยจะ สามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อพ้นระยะที่โรคมีความรุนแรงแล้ว แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ควร ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
  • 6. 6 โรค SLE ห้ามกินอาหารอะไรบ้าง แล้วในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่า อาหารชนิดไหนที่สามารถทาให้อาการ SLE กาเริบ หรือแม้แต่อาหารที่ช่วย ให้อาการของโรค SLE ดีขึ้นได้ก็ยังไม่พบข้อมูลทางการแพทย์ที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน เพราะถ้าพูด ถึงการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรค SLE จะมีลักษณะเหมือนกับแนวทางการกินเพื่อสุขภาพที่ดีทั่วไปนั่นเอง แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลด้านอาหารการกินของผู้ป่วยโรค SLE เก็พอมีข้อมูลอาหารที่ผู้ป่วยโรค SLE ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดโอกาสเกิดอาการที่รุนแรงหรือโรคแทรกซ้อนได้ - โรค SLE ห้ามกินอาหารอะไรบ้าง ไม่อยากอาการทรุดต้องดูแล 1. เนื้อแดง เนื้อแดงมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูง เสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรค SLE ควรเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงอย่างเนื้อแดง และเนื้อสัตว์ไขมันสูงทุกชนิดไว้จะ ดีกว่า แล้วเปลี่ยนมารับประทานเนื้อปลา เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอแรล ซึ่งมีกรดโอเมก้า 3 สูง ช่วย ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยป้องกันอาการอักเสบในร่างกายได้ และถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ไปอีก แนะนาเป็นอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่าอย่างเนื้อไก่และถั่วชนิดต่าง ๆ 2. อาหารไขมันสูง อาหารที่มีไขมันทรานส์ อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารประเภททอด อาหารมัน ๆ หรือพวกเค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ และ โดนัท รวมไปถึงบรรดาอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลายที่มีไขมันทรานส์แอบแฝงอยู่ ผู้ป่วยโรค SLE ก็ควรเลี่ยงให้ไกลด้วย เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปแล้วนะคะว่า อาหารไขมันสูงอาจทาให้ผู้ป่วย SLE มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่ง ไม่ส่งผลดีต่อระบบใด ๆ ในร่างกายแน่นอนหนาซ้ายังอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ อย่างโรคความดัน โลหิต โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานได้อีก 3.คาเฟอีน คาเฟอีนในที่นี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ชา น้าอัดลม ช็อกโกแลต หรือแม้กระทั่ง เครื่องดื่มชูกาลัง เป็นไปได้อยากให้งดไปเลยจะดีมากค่ะ เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว รวมไปถึงอาจ กระตุ้นระบบในช่องท้องด้วย ซึ่งยาบางตัวที่ใช้รักษาคนไข้ SLE บางราย ก็มีจุดประสงค์ให้คนไข้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือ ยาบางตัวอาจมีผลข้างเคียงเรื่องระบบลาไส้อยู่แล้ว ดังนั้นก็อย่าให้คาเฟอีนมาซ้าเติมร่างกายเราเลยดีกว่า 4. อาหารเค็มจัด ผู้ป่วยโรค SLE ควรลดปริมาณการรับประทานเกลือให้ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วย SLE ที่เสี่ยงหรือเป็นโรคไตและโรค ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเพิ่มความรุนแรงของอาการได้หากกินอาหารรสเค็มจัดอย่างอาหารแปรรูป อาหารสาเร็จรูป หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีปริมาณโซเดียมค่อนข้างมาก 5. แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เคยส่งผลดีกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีก็ตาม ยิ่งในเคสผู้ป่วยโรค SLE ที่ต้องกินยา รักษาอาการเป็นประจา ยิ่งไม่ควรจะดื่มแอลกอฮอล์ด้วยประการทั้งปวง เพราะยาบางชนิดอาจเกิดปฏิกิริยาต่อ แอลกอฮอล์ และทาให้อาการป่วยของเราแย่ไปด้วย
  • 7. 7 6. อาหารประเภทแป้งขัดสี และน้าตาล ผู้ป่วยโรค SLE ที่รับประทานยาสเตียรอยด์ จะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานแทรกซ้อนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรจากัด ปริมาณน้าตาล และอาหารประเภทแป้งขัดขาวอย่างขนมปังขาว ข้าวขาว ข้าวเหนียว เป็นต้น เพราะหากรับประทาน น้าตาลและอาหารประเภทแป้งอย่างไม่ระมัดระวัง อาจเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้นได้ ดังนั้นสาหรับผู้ป่วยโรค SLE แนะนาเป็นข้าวซ้อมมือ โฮลวีท โฮลเกรน ซึ่งนอกจากจะมีวิตามินเยอะกว่าแป้งขัดสีแล้ว ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจไปด้วยในตัว 7. กระเทียม แม้กระเทียมจะเป็นสมุนไพรที่ช่วยบารุงสุขภาพได้หลายอย่าง แต่สาหรับผู้ป่วยโรค SLE กลับควรเลี่ยงกระเทียม และอาหารประเภทหน่อให้ไกลเลยค่ะ เพราะข้อมูลทางการแพทย์พบว่า กระเทียมมีสาร Allicin, Ajoene และ Thiosulfinates ซึ่งอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และอาจทาปฏิกิริยากับยาประเภทสเตียรอยด์ อาจทาให้ เลือดออกในร่างกายได้ โรค SLE ควรกินอาหารอะไรเพิ่มเติม นอกจากอาหารที่ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ และอาหารที่สด สะอาดแล้ว อาหารที่ผู้ป่วยโรค SLE ควรกินเพิ่มเติมก็ มีดังนี้ 1. อาหารแคลเซียมสูง ผู้ป่วยโรค SLE ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมโค นมถั่วเหลือง เต้าหู้ งา ข้าวโอ๊ต เป็นต้น เนื่องจากผู้ป่วยโรค SLE มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน และปัจจัยที่ผู้ป่วยต้องกินยาสเตียรอยด์ ก็อาจเพิ่ม ความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้มาก 2. วิตามินดี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เผยว่า จากงานวิจัยทาให้ทราบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามินดีกับความรุนแรง ทางอาการของโรค SLE เนื่องจากผู้ป่วยโรค SLE ควรต้องเลี่ยงการถูกแสงแดด ซึ่งจะทาให้ผู้ป่วยโรคนี้ขาดวิตามินดี จากแสงแดดได้ และก็เหมือนโชคร้ายที่คนเราต้องรับวิตามินดีจากแสงแดดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และหากหวังจะพึ่ง วิตามินดีจากอาหารก็ค่อนข้างมีน้อยมาก ดังนั้น นพ.สันต์ จึงแนะนาให้ผู้ป่วยโรค SLE รับประทานวิตามินดีเสริม โดย วิตามินดี 2 หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Vitamin D2 : Ergocalciferol) ขนาด 20,000 ยูนิต เดือนละ 2 เม็ด คือทุก 2 สัปดาห์ทานครั้งละ 1 เม็ด เพื่อลดโอกาสอาการกาเริบ ทั้งนี้หากผู้ป่วยปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ทานยาที่ถูกต้อง พบแพทย์ตามนัด อาการของโรคพุ่มพวงก็จะไม่รุนแรง นัก แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อวัยวะสาคัญ เช่น ไต สมอง หลอดเลือด อาจเกิดการอักเสบ ได้ หรือหากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอยู่แล้ว อาจเกิดภาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งนาไปสู่การเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากใคร มีอาการต้องสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับวินิจฉัยทันที
  • 8. 8 วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ งบประมาณ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ __________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน
  • 9. 9 ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ สถานที่ดาเนินการ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________