ทุกวันนี้ เมืองและทุนนิยมขยายตัวจนทำให้มรดกหรือ "วัฒนธรรมเมือง" กลายเป็นของที่หายากเข้าไปทุกวัน เนื่องจากการอนุรักษ์มรดกเมืองมักถูกมองว่าเป็น "ขั้วตรงข้าม" กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ขัดขวางการเติบโตของรายได้ ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่ลงทุนไปกับการอนุรักษ์ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ได้กลับคืนมา และไม่คุ้มเท่ากับการเอาไปลงทุนในธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เมืองหลายแห่งเลือกที่จะทุบทำลายอาคารบ้านเรือนหรือชุมชนเก่าทิ้ง แล้วสร้างเป็นคอนโด ห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมมากกว่าที่จะอนุรักษ์ฟื้นฟูสถานที่เก่าแก่เพื่อเก็บรักษาไว้ แต่ในปัจจุบัน งานวิจัยหลายชิ้นค้นพบแล้วว่า "ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการอนุรักษ์มรดกหรือวัฒนธรรมของเมืองมีมากกว่าที่เราคิด" ประสบการณ์จากเมืองต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตของเศรษฐกิจเมืองไม่จำเป็นต้องพึ่งแต่นายทุนใหญ่หรือธุรกิจขนาดใหญ่เสมอไป เมืองอาจหันมาเลือกอนุรักษ์ ฟื้นฟูและรักษาของเดิมของดีที่มีอยู่ให้เป็นจุดเด่นที่หาไม่ได้จากเมืองอื่น เพื่อดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมและจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าภายในเมือง "เศรษฐกิจเมือง" ก็จะเติบโตตามมา ในอีกทางหนึ่ง การอนุรักษ์มรดกเมืองก็ถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ "อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศในภาพรวมมีศักยภาพมากขึ้นด้วย ฉะนั้นแล้ว "มรดกหรือวัฒนธรรมเมืองควรถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์หรือทุนของเมืองมากกว่าเป็นแค่สิ่งกีดขวางการพัฒนาอย่างที่คนส่วนใหญ่เคยมอง"