More Related Content Similar to ACLS 2010 (12) More from Narenthorn EMS Center More from Narenthorn EMS Center (20) ACLS 20101. ่ ี ในผู
การชวยชวิ ้ ่
ต ใหญ
(Adult CardioPulmonary Resuscitation: CPR)
ิ ์ุ
นพ.จรพงษ ศภเสาวภาคย์
พญ.ปฏิ ุ
มา พทธไพศาล
หวงโซ่ ีิ
่ ของการรอดชวต (Chain of Survival)
1. เม่ ้
ื ป่
อพบผูวย(สงสัย)หัวใจหยุ ้ ้ วยแพทย์ พ “1669” ทั นที
ดเตน* แจงหน่ ชี
ก้
ู
*1. ผ้วยไม่ึ
ป่ ร้ ั ว 2. ไม่
สกต หายใจ หรื สม่ ตอง
้ ั
อ หายใจไม่ ำเสมอ (gasping) โดยไม่ ทำ “ตาด ูู ้ั มผส”
หฟง แกมส ั
ู ู
2. ่
เริ
มกดหน้ ั นที
าอกท ที ่
สามารถทำได้
3. ชอกไฟฟา (defibrillation) ทันทีี้ ่ ้
็ ้ ท่ อบงชี
มี
ข
4. ่ ีข
ต ้ ง (Advanced Cardiovascular Life Support)
การชวยชวิ ั นสู
5. การดู ั งการชวยชวิ
แลหล ่ ี (PostCardiac Arrest Care)
ต
การช่ วตขั้ ้
วยชี นพื
ิ นฐาน (Basic Life Support: BLS)
เร่้ ั นที ่ ้
ิ อพบผป่
มตนทำท เมื ู วยสงสัยหัวใจหยุ ้
ดเตน
และขอความชวยเหลอจากทมแพทย์ พแลว โดยมี
่ ื ี ก้
ช
ู ี ้ ขั้
นตอน CAB
2. ่
ิ
1. C: Chest compression เรมกดหน้ าอก 30 คร้
ั ง โดยให้ความสำคญกับ
ั
○ กดลึ างน้
ก (อย่ อย 5 เซนติ เมตร)
ว (อยางนอย 100 คร้
○ กดเร็ ่ ้ ั ง/นาที)
○ ถอนมอจนสุื ด
อ ่
ต่ ื
○ กดให้ เนอง
○ หาม ชวยหายใจมากเกิ
้ ่ นไป
ิ
2. A: Airway เปดทางเดิ โลง ดวยการทำ การเชดหัวเชยคาง (head tiltchin lift)
นหายใจให้ ่ ้ ิ
หรื
อยกกราม (jaw thrust)
3. B: Breathing ชวยหายใจ 2 ครั้ ้ ิ
่ ง แลวเร่ มกดหน้ าอกในข้ ่
อ 1 ตอ
่ อัตราการกดหน้ ่
ื ้
เพอให าอกตอการชวยหายใจ = 30:2
่
4. ทำข้
ั นตอน CAB ไปเร่ อย ๆ จนกวา เคร่ ็
ื ่ ื อกไฟฟ้
องช า (defibrillator) มาถึ
ง
ื
AED คออะไร?
AED (Automatic External Defibrillator) คื
อ
่ ็
องช าท่
เครื อกไฟฟ้ ี ออกแบบให้ นคลื าห
ถก อา ่ ้ ั วใจ และชวยช็
่ นไฟฟ ่ อกไฟฟ้ าโดยอัตโนมัติ
ู
ใชไมจำเป็ ้ ี ้่ ั บคล่ ั วใจ
โดยผ้ ้ ่ นตองมความรเกี ื
ู ูยวก นห
เป้ ่ ้ ่ ั วใจหยุ ้ ี
AED มีาหมายเพื ผ้
อให ู
ปวยห ดเตน มโอกาสรอดชวิีมากข้
ต ึน
็ ้ ี ข้
่ ึ
จากการชอกไฟฟาทเรว ็ น โดยผ้่ ื
ชว ่
ี เหตุ
ู ยเหลอ ณ ทเกด ่ าหนาท่ ี
ิ (bystander) เชน เจ้ ้ ี พก้ช
ู
าหนาท่ก้ าหนาท่
เจ้ ้ ีั ย เจ้ ้ ี
ภ ง นอกจากน้
ดับเพลิ ี
ใน guideline ป 2010 ยั งได้
ี แนะนำให้ ้
ใช AED
ู
ในโรงพยาบาล ในพ้ ่ ่
นทท่
ื ี ชำนาญการ CPR และไม่
ี
ไม คุ ั บการอ่
นเคยก
้ าน EKG
การช่ วตขั้ ง (Advanced Cardiovascular Life Support: ACLS)
วยชี นส ู
ิ
ในส่ ิ ่่้เพมขนมาในการชวยชวิ ้ งน้
วนเสรมทีิ ึ ่ ีขันสูั น
ต
็ ่
เปนการเพิ
มโอกาสการรอดชวิ
ีของผ้
ต ปวยใหมากขึ ก ซ่
่ ้ ้ ี ึ
นไปอ งจะประกอบไปด้
วย
ู
3. 1. การปฏิ ิ
บตตามแนวทางการชวยชวิ
ั ่ ี และการให้
ต ยา
2. การจัดการทางเดิ ข้ ู
ั นส
นหายใจโดยใช้ กรณ์ ง (advanced airway management)
อปุ
3. การใช้ ่ ื ิ
องม ป่
เครื อตดตามอาการผ้ ย (physiologic monitoring)
ู ว
การชวยชวิ ้ ง จะแบ่
่ ีขันสู
ต งแนวทางการรักษาออกเป็ น 3 กรณี ้ ่
ไดแก
ี จร (Pulseless Arrest) เป็
1. ไม่ พ
มช ี ี ั ญที
นกรณสำค สด ุ่
2. มี จรเตนช้ าปกติ
ชพี ้ ากว่ (Bradycardia with Pulse)
3. มี จรเตนเร็ ่ ิ
ชพี ้ วกวาปกต (Tachycardia with Pulse)
1. ภาวะหั วใจหยุ น (Pulseless Arrest)
ดเต้
ประกอบไปด้ ั้ ยงตามลำดับความสำคญ ดังน้
วยขนตอนเรี ั ี
1. ่ นดวยการก้ี ั้ ้
เริ้ ้
มต ชพขนพื
ู ่ ประสิ ภาพ และ defibrillation ได้ างเหมาะสม
นฐานอยางมี ทธิ อย่
2. ิ นเลื
การเปดเส้ อดดำและการให้
ยา
3. การใส่ กรณ์ ยหายใจ (advanced airway) และ การ monitor capnography
อุ ชว
ป ่
4. การคนหาสาเหตุ ั กษาสาเหตุ ั วใจหยุ ้
้ และร ของห ดเตน
วยชี ุ
ิ ปวยห
่
วงรอบการช่ วต ผ้ ั วใจหยุ ้
ดเตน
1. การก้ ั้ ้
ี นฐานอยางมี ิ ิ
ชพขนพื
ู ่ ประสทธภาพ
ุ่
Chest compression ที ณภาพ
มี
ค
4. ● กดหน้ ึ ่ ้
าอก ลก อยางนอย 5 เซนติ ว อยางนอย 100 คร้
เมตร และเร็ ่ ้ ั ง/นาที
● ถอนมื ้ จากการกดหน้ กคร้
อใหสดุ าอกทุ ั ง
● กดหน้ ต่ ่ สด
าอกให้ เนองท่
อ ื ี ุ
● สลับผ้ ้ ุ
ู าอกทก ๆ 2 นาที
กดหน
● อัตราส่
วนในการกดหน้ ่
าอกตอการชวยหายใจก่ ท่ วยหายใจ = 30:2
่ อนใส่ ช่
อ
● ใช้
capnography monitor ให้
PETCO2 >=10 mmHg
● ใช้
diastolic intraarterial pressure >=20
อกดวยไฟฟ้
การช็ ้ า (Defibrillation)
● ปรมาณไฟฟ้
Biphasic defibrillation ใช้ ิ าตามคำแนะนำของผ้ ิ
ผล
ู ต (120 200 J) ถ้ ่ ใจ
าไมแน่
ให้ ้
ใชขนาดไฟฟาทมากทสด่ ่
้ ี ี ในเครืุ ่
อง
● Monophasic defibrillation ใช้
360 J
2. เปิ
ดหลอดเลื
อดดำ และให้
ยา
วยยา 2 ตวหลัก คื
ประกอบไปด้ ั อ
1. ุ ถ้ ป่
Epinephrine 1 mg IV ทก 35 นาที ้ ยยังไม่ั บมามี จร
าผู ว กล ี
ชพ
2. Amiodarone 300 mg IV bolus ในคร้ั งแรก และ คร้ ่
ั งท 2 150 mg IV bolus
ี
่ ่ ้ ั วใจเป็
ี ื
ี
ในกรณทคลนไฟฟาห นแบบ VF/VT ทดอต ้ อการชอกไฟฟ้
่ ่
ีื ็ า
่ ่ ม ดภาคผนวก
ี ี ั บยาเพิ ิ ู
รายละเอยดเกยวก มเต
นหายใจในการช่ วิ ้ ง
3. การจั ดการทางเดิ วยช ีขันสู
ต
การจัดการทางเดนหายใจ มเปาหมายเพ่ ้ ่ ้
ิ ี ้ ื ู ปวยไดรับออกซิ ้
อใหผ้ เจนเขาไปในกระแสเลื
อด
่ ี
ื ้ วนต่
เพอไปเลยงส่ าง ๆ ของร่ างกายในระหว่ ีิ
างทำการชวยชวต
่
ธี
ก นหายใจขั้ ู
วิ ารจัดการทางเดิ นสง
1. การใช้ ้หนากากออกซิ เจน แบบมี ์
วาลว (bagvalve mask ventilation)
็ ิ ารจัดการทางเดิ
เปน วธี ก นหายใจในชวงแรกของการชวยชวิ ี ี
่ ่ ี มข้ คื
ต อด อ
่้ วยเหลื ้ ่
สามารถเริ นช่ อไดอยางรวดเร็
มต ว ในระหว่ ี ่
างทรอการใส่ กรณ์ ยหายใจ
อปุ ชว ่
จำเป็้ ้
แต่ นตองใชในสถานการณ์ ี ว ่้ ยเหลื
ที ู
มผช่ อมากกว่ า 1 คน
ึ
และตองการการฝกฝนการใช้
้ ่ สามารถชวยหายใจได้ ่ ี ทธิ
ื ้
งาน เพอให ่ อยางมประสิ ภาพ
และอาจทำให้ วนเขาไปในทางเดิ
ลมบางส่ ้ นอาหาร
เกิ
ดการสำลักเศษอาหารกลับเข้ ามาในทางเดินหายใจได้
่ ้ ้
การ ชวยหายใจแบบ bagvalve mask นจะใชอัตราส่
ี วนของการกดหน้ าอก
ต่อการชวยหายใจ (compressionventilation ratio) 30:2 โดยการชวยหายใจ 1
่ ่
คร้ั งจะใช้ลมประมาณ 600 ml บี ้
บเขาในเวลาประมาณ 1 วิ ี
นาท
2. การใส่ กรณ์ ยหายใจ
อปุ ชว ่
a. Oropharyngeal airway และ Nasopharyngeal airway
เป็ ุ ์ ยเปิ
นอปกรณชว ดทางเดิ
่ นหายใจ
่
ที ระโยชนในกรณี
มี
ป ์ ่ นหายใจส่
ที ิ
ทางเด วนบนของผ้ ยถกอดก้
ป่ ู ุั นจากล้
ูว ิ
น
และเพดานปาก ทำให้ วยเหลื
ผ้่ อสามารถชวยหายใจได้ ระสทธิ
ช
ู ่ มี ิ ภาพมากข้
ป ึ
น
b. อุ ์วยหายใจขนสู
ปกรณ ช่ ั้ ง (advanced airways)
เป็ ุ ์ วยให้ วยหายใจมี ทธิ
นอปกรณที ่
ช่ การช่ ประสิ ภาพมากข้ ึ
น
้
และปองกันภาวะสำลักจากการเกิ ดเศษอาหารในกระเพาะอาหารไหลย้ ั บออกมา
อนกล
5. แต่ การใส่ กรณ์ ยหายใจเหล่้้ ยเหลื ้ ี
อป
ุ ชว ่ ี ่ อจะตองมทักษะความชำนาญ
าน ผชว
ู
และมักตองใช้
้ เวลา ทำให้ิ เกดการหยุดกดหน้ ้ ่ ้
าอกขึ อยครัง
นบ
่
ึ งผลโดยตรงต่
ซงส่ อโอกาสการรอดชวต ีของผ้ ย
ิ ่
ปว
ู
ชว
ู ยเหล ืึ
ผ้่ อจงควรช ่ำหน
ั งน้ ั กระหว่ ี ี
างผลด และผลเสยของการใส่ กรณ์ ยหายใจ
อุ ชว
ป ่
เป้
โดยมีาหมายรบกวนต่ อการกดหน้ น้ ่
าอกให้ ยที
อ สด ุ
ั ั ปกรณจัดการทางเดิ
ปจจบนอุ ์ นหายใจข้ ง ท่
ั นสู ีแนะนำให้ ้ างการชวยชวิ
ใชในระหว่ ่ ี ต
ุ
ได้ ่
แก
i. Laryngeal mask airway (LMA)
ii. EsophagealTracheal tube
iii. Endotracheal tube
วยหายใจในการก้ ข้ ู
หลักการช่ ชี ั นสง
ูพ
ออกซเจน 100% (FiO2 1.0) โดยการเปิ
1. ใช้ ิ ด oxygen flow ความเร็ว 1015 ลิ
ตร/นาที ่
และตอ
reservoir bag
่ อนการใส่ ชวยหายใจ คื ั ดส่
2. อัตราการชวยหายใจก่ ท่ ่
อ อ ส วนกดหน้ วยหายใจ = 30:2
าอก:ช่
3. อัตราการชวยหายใจหลังการใส่ ชวยหายใจ คื
่ ท่ ่
อ อ 810 คร้
ั ง/นาที
ข้ ึ ึ
อพงระลกสำหรับการจัดการทางเดิ
นหายใจ และการช่ างการช่ ี
วยหายใจ ในระหว่ วยชวิ
ต
เนองจากปญหาของภาวะหัวใจหยดเตนในชวงแรก เป็ ่
่
ื ั
ุ้ ่ นเรื ่อดหยุ
องของการทีื ดไหลเวี
เล ยน
ไม่มี
แต่ ได้ ปั ญหาของออกซิ เจนในเลื ่
อดพรอง
ความสำคญกับการกดหน้ ึ ี
การให้ ั ั
าอกจงมความสำคญมากกว่ า การจั ดการทางเดิ
นหายใจ
่ ั งนั้
และการชวยหายใจ ด น ในชวงแรกของชวยชวต
่ ่ ี จึ ่ ้
ิ งไมควรใหการใส่ ชวยหายใจขัดขวาง
ท่ ่
อ
หรื
อทำให้ การกดหน้ ้ าช้
าอกตองล่ าออกไป
นอกจากน้ ภาวะหั วใจหยุ ้ ื
ี ดเตน เลอดจะไหลเวียนมาท่ี
ปอดลดลง
ั ดส่
ทำให้ วนความตองการของการแลกเปลยนก
ส ้ ี ๊ ั บอากาศภายในปอดลดลงตามไปด้ ั งนั้
่ าซก วย ด น
การชวยหายใจในชวงระหว่
่ ่ ึี
างการทำ CPR จงมอ ่ าปกต การช่
ั ตราที กว่ ิ วยหายใจที ิ
ต่ำ ่ นไป
มากเก
จะทำให้ ั นในปอดสงข้ ื
แรงด ู ึ อดจะไหลเวี ั บมาที
น เล ยนกล ่
หัวใจลดลง
งผลใหโอกาสการรอดชวิ
ส่ ้ ีของผ้
ต ป่
ู วยลดลง
การ monitor capnography
เพ่ั ดระดับ CO2 ท่
ื
อว ี
ออกมากับลมหายใจผู้ วย ซ่
ป่ ึ งการ monitor capnography
มี
ประโยชน์ ี
ดังน้
1. ชวยยืั นตำแหนงของท่ วยหายใจ
่ นย ่ อช่
2. บ่งบอก และควบคุ ุภาพของการกดหน้
มคณ าอก (PETCO2 >= 10 mmHg)
3. สัญญาณบ่ งบอกถึ งการกลับมาเตนของหัวใจ (Return Of Spontaneous Circulation:
้
ROSC) ระด ั บของ PETCO2 ข้ งไปเป็
ึ ู น 3540 mmHg
นส
แลตอเนื
4. การดู ่ องหล ่ ั งจากการชวยชวต ควบคุ
่ ี ิ มการหายใจ ให้ PETCO2 อยู ั บ 3545
ในระด
่
mmHg
นหาสาเหตุ ั วใจหยดเต้
5. การค้ ของห ุ น และให้ ั กษาสาเหตุ
การร
การคนหาสาเหตุ ั วใจหยุ ้
้ ของห การร ซ่
ดเตน และให้ ั กษาสาเหตุึงประกอบไปด้
วย 5H และ 5T
ดังน้
ี
● 5Hs
○ Hypovolemia
○ Hypoxia
○ Hydrogen ion (acidosis)
6. ○ Hypo/Hyperkalemia
○ Hypothermia
● 5Ts
○ Tension pneumothorax
○ Tamponade, cardiac
○ Toxins
○ Thrombosis, pulmonary
○ Thrombosis, coronary
9. ีี
2. มชพจร เต้ ากว่ ิ
นช้ าปกต (Bradycardia with Pulse)
อัตราการเตนของหัวใจที ยกว่ ื ่ั บ 50 ครั้
้ ่
น้ าหรอเทาก
อ ง/นาที
็
มักเปนสาเหตุ้ิ
ใหเกดความผิ ิ ดปกตของระบบไหลเวี ยนโลหิ ้
ตขึน
และนำไปสภาวะระบบไหลเวี
่
ู ยนโลหิ้
ตลมเหลวได้ ู ้
การดแลผู วยในกล่ ้ึ ีาหมายสำคญ
ป่ ุี ้
มน จงมเป ั
่ ผ้
ื ้ วยเหลื
เพอให ูช่ อสามารถตรวจพบภาวะห ั วใจเตนช้ ิ ิึ ่
้ าผดปกต ซงอาจนำไปสห ่
ูั วใจหยุ ้
ดเตน
่ นใหการร
ิ้ ้ ั กษาได้ ่ ู้
และเรมต ีั้
อยางถกตอง โดยมขนตอนด อไปนั งต่ ้ ี
1. ดแล ABC
ู
2. คนหาภาวะ unstable ท่ ้
้ ี
ตองไดรับการรักษาอย่ ่่ ้ ่
้ างเรงดวน ไดแก
a. ความด ั นโลหิ ่
ตตำ
b. ระด สึ
ั บความร้ ั วเปลี
ูกต ่
ยนแปลงเฉยบพลัน
ี
c. อาการ และอาการแสดงของภาวะช็ อก
d. เจ็ ้ ี กับกลามเนอห
บหนาอก ทเข้ ่าได้ ้ ้ ั วใจขาดเลื
ื อด
e. ห ั วใจล้ ี ัน
มเหลวเฉยบพล
3. ให้ ั กษาผ้
การร ป่
ู ุ่
วยในกลมที
่ unstable ซึ ่
งประกอบไปด้ วย
a. รักษาด้ วยยา
i. Atropine 0.5 mg IV ทก 35 นาที
ุ (มากสด 3 mg)
ุ
็ ั วแรกที ิ
เปนยาต ่ จารณา
ควรพ
ii. Dopamine 210 microgram/kg/min IV drip ในกรณี ่
ที
Atropine ไมได้
่ผล
หรื
อ
iii. Adrenaline 210 microgram/min IV drip ในกรณี ท่
ี ไดผล
Atropine ไม่้
b. รั กษาด้ ้ ้ ั วใจ (transcutaneous pacing)
วยการใช้ ากระตุ
ไฟฟ นห
c. ปรึ ้ยวชาญ เพ่ ิ
กษาผเชี ู ่ ื จารณาให้ ั กษาต่
อพ การร อไป
11. ีี
3. มชพจร เต้ ็ ่ ิ
นเรวกวาปกต (Tachycardia with Pulse)
อัตราการเตนของหัวใจที
้ มากกว่ ื ่ั บ 150 ครั้
่ าหรอเทาก ง/นาที
็
มักเปนสาเหตุ้ิ
ใหเกดความผิ ิ ดปกตของระบบไหลเวี ยนโลหิ ้
ตขึน
และนำไปสภาวะระบบไหลเวี
่
ู ยนโลหิ้ตลมเหลวได้ นเดี ั บภาวะหัวใจเตนช้ ิ ิ
เช่ ยวก ้ าผดปกต
ั้
ขนตอนการดู ้ ห
แลผู ่ ี
ปวยท ่ั วใจเตนเร็ ิ ิั งน้
้ วผดปกตมด ี ี
1. ดูแล ABC
2. คนหาภาวะ unstable ที ้
้ ่
ตองไดรับการรักษาอย่ ่่ ้ ่
้ างเรงดวน ไดแก
a. ความดันโลหิ ่ ตตำ
b. ระด สึ
ั บความร้ ั วเปลี
ูกต ่
ยนแปลงเฉยบพลัน
ี
c. อาการ และอาการแสดงของภาวะช็ อก
d. เจ็ ้ ่าได้ ้ ้ ั วใจขาดเลื
บหนาอก ที กับกลามเนอห
เข้ ื อด
e. หัวใจล้ มเหลวเฉยบพลัน
ี
● ให้ การรั กษาผ้ ู ่
ปวยในกลุ ี ่่
มท unstable ซึ ่
งประกอบไปด้ วย
a. รักษาด้ วยการใช้ ้ไฟฟา: Synchronized Cardioversion
ดปรมาณไฟฟ้ ่้ ั กษณะคล่ ้ ั วใจ
คิ ิ าที ตามล
ใช ื าห
นไฟฟ
i. Narrow regular: 50100J
ii. Narrow irregular: 120200 J biphasic หรื อ 200 J monophasic
iii. Wide regular: 100J
iv. Wide irregular: defibrillation
b. ในกรณี ็ ท่น Narrow regular อาจพิ
ี
เป จารณาให้ adenosine
● ในกรณทผู ่ วยไมมี
ี่ ่
ี้ ป unstable signs ให้ ป่
ทำการ monitor ผ้ ่ ่ ้ิ
ู ออยางใกลชด
วยต
และพิจารณาให้ ยาลดอัตราการเตนของหัวใจ ตามลักษณะของ EKG (ดภาคผนวก)
้ ู
● ปรึ ้ยวชาญ เพ่ ิ
กษาผเชู่ ี ื จารณาให้ ั กษาต่
อพ การร อไป
13. การดแลหลังหัวใจหยดเต้
ู ุ น (Post Cardiac Arrest Care)
เป ่ ผ้ ยท่ ีจากภาวะหัวใจหยุ ้ ี ภาพชวิ ี
มีาหมายเพื ้ ่ ี วิ
้ อให ู รอดช ต
ปว ดเตน มคุณ ีท่
ต ดี
ี ี และความพิ ี ิ้
ลดอัตราการเสยชวิ ต การ ท่ ดขึ
อาจเก นตามมา โดยมี แนวทางในการดู ั กษาดังน้
แลร ี
1. ให้ น้ ่ อร
O2 ให้ ยที เพื
อ สด ุ ่ั กษาระดับ O2 sat ให้ >= 94%
2. ชวยหายใจด้ ั ตรา 1012 ครัง/นาที
่ วยอ ้ โดยให้ ั บ PETCO2 อยู วง 3545 mmHg
ระด ในช
่ ่
3. รั กษาภาวะความดันโลหิ ่ ตตำ โดยให้ SBP >= 90 mmHg ด้ IV fluid หรื
วยการให้ อยา
vasopressor (Dopamine, Adrenaline, Norepinephrine)
4. รักษาระดับน้ ำตาลในเลื ้ ่ วง 144180 mg%
อด ใหอยในช่
ู
5. พิ จารณาทำ Induced Hypothermia โดยลดอุหภมิงกายลงเหลื
ณ ู่ รา อ 3234 องศาเซลเซี ยส
็
เปนเวลา 1224 ช ่
ั วโมง
6. พิ จารณาสวนเส้ ื ั วใจ เพื ิ
นเลอดห ่ ดทางเดิ นเลื
อเป นเส้ อด coronary (coronary reperfusion)
กรณี ่ ั ยสาเหตุ
ที
สงส หัวใจหยดเตนจากภาวะกล้ ้ ั วใจขาดเลื ยบพลัน
ุ้ ื
ามเนอห อดเฉี
สรปแนวทางการช่ วิ ี
ุ วยช ี ค.ศ.2010
ต ป
ผ้วย ทหัวใจหยดเตนเฉยบพลันจำเป็ ้ ้
ู ่
ป่ ี ุ้ ี นตองไดรับการรักษาทันที
่้
มต ้้
การเริ นการชวยชวิ ั นพื ่้
่ ีข นฐาน (CAB) ซึ นการกดหน้
ต งเน างมประสิ ภาพ
าอกอย่ ี ทธิ
14. และการช็ อกไฟฟ้ ่
าอยางรวดเร็
ว โดยใช้ defibrillator หรื ่ ้
อ AED ที ตอง
ถู
ก
โดยมีาหมายเพื ่
เป้ ่ ิั ตราการรอดชวิ
อเพมอ ี ตามหลั กฐานทางวิ
ต ที ยู ั ุ
่ ่
ทยาศาสตร์ ี ในปจจบน
มอ ั
่ ีข ต ้ งเป็ ่ ืุ ์
การชวยชวิ ั นสู นการใช้ ื อ อปกรณ
เครองม
่ ่
และยาในการชวยเพมโอกาสการรอดชวิ
ิ ป่ อยางไรกตาม
ีของผ้ ย แต่ ่ ็
ต ู ว
ั้ ู
ตองตงอย่
้ บนการทำการชวยชวต
่ ีขั้ ้
ิ นพื างมประสิ ภาพ
นฐานอย่ ี ทธิ
้ ั กษาสาเหตุ
รวมทังการร ของภาวะหัวใจหยดเตนน้ อเน่
ุ ้ ั น การดแลรักษาต่ อง
ู ื
หลังจากที ่ ็ ั จจัยสำคญในการลดอัตราการเสยชวิ
หัวใจกลับมาเตนเปนป
้ ั ีี ต
และอ ั ตราความพิ ี ิ ่ ดตามมา
การทจะเก
15. ภาคผนวก: ACLS checklist
Pulseless arrest, shockable rhythm
● CPR
● Defibrillation
● Epinephrine 1 mg IV/IO q 35 min
● Amiodarone 300 mg (5 mg/kg), followed by 150 mg IV/IO VF/VT
unresponsive to CPR, defibrillation
● Lidocaine 11.5 mg/kg followed by 0.50.75 mg/kg IV/IO max 3 mg/kg
● MgSO4 12 g IV/IO torsades de pointes
Pulseless arrest, nonshockable rhythm
● CPR
● Epinephrine 1 mg IV/IO q 35 min
● Vasopressin 40 u IV/IO replace 1st, 2nd dose of epinephrine
Unstable Bradyarrhythmia
● Atropine 0.5 mg IV/IO q 35 min
● Transcutaneous pacing
● Dopamine 210 mcg/kg/min IV drip
● Epinephrine 210 mcg/min IV drip
● Isoproterenol 210 mcg/min IV drip
Unstable Tachyarrhythmia
● Synchronized cardioversion
Stable Tachyarrhythmia
Narrow complex
● Vagal maneuver
● Adenosine 6 mg, followed by 12 mg IV/IO only regular
● Diltiazem 1520 mg (0.25 mg/kg) in 2 min, add 2025 mg (0.35 mg/kg) in 15 min,
515 mg/h maintenance IV/IO
● Verapamil 515 mg IV in 2 min, add 510 mg q 510 min total dose 2030
mg
● Atenolol 5 mg IV in 5 min, repeat 5 mg IV in 10 min
● Esmolol 0.5 mg/kg in 1 min
16. ● Metoprolol 5 mg in 12 min, repeat q 5 min max 15 mg
● Propranolol 1 mg in 1 min total 0.1 mg/kg
● Procainamide 100 mg every 5 min or 2050 mg/min
● Amiodarone 150 mg in 10 min, 1 mg/min for 6 h, 0.5 mg/min total dose <2.2 g
in 24 h
● Digoxin 812 mcg/kg in 5 min, 25% q 48 h
Wide complex
● Procainamide 100 mg every 5 min or 2050 mg/min
● Amiodarone 150 mg in 10 min, 1 mg/min for 6 h, 0.5 mg/min total dose <2.2 g
in 24 h
● Sotalol 1.5 mg/kg in 5 min
● Lidocaine 11.5 mg/kg followed by 0.50.75 mg/kg IV/IO max 3 mg/kg
● MgSO4 12 g IV in 15 min
17. ืางอิ
หนังสออ้ ง
● 2010 American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and
Emergency Cardiovascular Care Science, November 2, 2010, Volume 122, Issue 18
suppl 3
ปแนวทางปฏิ ิ วยชวิ ี
● สรุ บตการช่ ี ปค.ศ.2010, คณะกรรมการมาตรฐานการชวยชวิ
ั ต ่ ี ต
โดยสมาคมแพทย์ ั วใจในพระบรมราชปถัมภ์
โรคห ู
● เวบไซต์ นธิ วยชวิ
มล ิอนช่ ี ThaiCPR.com http://www.thaicpr.com/
ู ส ต