More Related Content
Similar to ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
Similar to ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ (20)
ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
- 1. ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
ดังนี้
1. การกาหนดเป้ าหมายหรื อประเด็นคาถามที่ตองการศึกษา แสวงหาคาตอบ
้
(ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใดและเพราะเหตุใด)
2. การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็ นลายลักษณ์อกษรและ ั
่
ไม่เป็ นลายลักษณ์อกษรซึ่ งได้แก่ วัตถุโบราณร่ องรอยถิ่นที่อยูอาศัยหรื อการดาเนิ นชีวิต
ั
3. การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบหลักฐาน การประเมินความน่าเชื่ อถือ
การประเมินคุณค่าของหลักฐาน) และการตีความอย่างเป็ นเหตุเป็ นผลมีความเป็ นกลางและปราศจากอคติ
4. การสรุ ปข้อเท็จจริ งเพื่อตอบคาถามด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริ งจากหลักฐาน
อย่างเคร่ งครัดโดยไม่ใช่ค่านิ ยมไปตัดสิ นพฤติกรรมของคนในอดีตโดยพยายามเข้าใจความคิดของคนในยุค
่
นั้นหรื อนาตัวเข้าไปอยูในยุคสมัยที่ตนศึกษา
5. การนาเสนอเรื่ องที่ศึกษาและอธิ บายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เข้าใจ
ง่ายมีความต่อเนื่องและน่าสนใจตลอดจนมีการอ้างอิงข้อเท็จจริ งเพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ ที่มีคุณค่า
และมีความหมาย
ธีระ นุชเปี่ ยม (2551)ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอนดังนี้
1. การกาหนดเป้ าหมายในการค้นคว้า เป็ นการตั้งเป้ าหมายเรื่ องที่จะศึกษา
2. การรวบรวมข้อมูลหรื อหลักฐาน
3. ประเมินคุณค่าสร้างสรรค์ความรู ้จากข้อมูลหรื อหลักฐาน เป็ นทักษะที่ต่อเนื่ องจากการ
รวบรวมข้อมูลเป็ นการให้นกเรี ยนพิจารณาว่าหลักฐานที่นกเรี ยนค้นหารวบรวมมานั้น
ั ั
เป็ นหลักฐานแบบใดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
4. ตีความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขอมูลเป็ นการพิจารณาว่าหลักฐานนั้นให้ขอมูล
้ ้
สารสนเทศอะไรบ้าง
5. การวิเคราะห์สังเคราะห์ขอมูล ้
ดนัย ไชยโยธา (2534) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
5 ขั้นตอนคือ
1. Indentification ขั้นนี้เป็ นขั้นสาคัญมากครู จะสอนเรื่ องอะไรก็นาเรื่ องนั้นมา
พิสูจน์ก่อนโดยใช้ What,Where,When,Why,และHow ประกอบ
2. Acquissition of fact ขั้นนี้เป็ นการค้นหาแหล่งที่มาของความจริ งและความรู ้
ต่างๆ โดยครู ตองบอกบรรณานุกรมเกี่ยวกับหนังสื อต่างๆ ที่จะค้นหาหลักฐานข้อมูลทั้งหลักฐานดั้งเดิมและ
้
หลักฐานรองต้องแยกแยะว่าอันไหนเป็ นหลักฐานดั้งเดิมอันไหนเป็ นหลักฐานรอง
- 2. 3. Historical Criticism ขั้นนี้เป็ นการนาหลักฐานข้อมูลต่างๆ ที่หามาได้มาค้นหา
ว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่ถูกต้องอันไหนตรงกับสิ่ งที่เราต้องการการประเมินข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทาได้
2 แบบคือ External Criticism และInternal Criticism ถ้า External Criticism คือ เมื่อหาหลักฐานมาได้
แล้วก็ประเมินว่าเป็ นหลักฐานจริ งหรื อเปล่า ถ้าInternal Criticism คือเมื่อได้หลักฐานมาแล้วก็เอามาประมวล
ดูธรรมชาติและระยะเวลา ที่เกิดเหตุการณ์น้ นขึ้น ดูโครงสร้างของสังคม หาขนบธรรมเนียมประเพณี
ั
พิจารณาถึงสิ่ งต่างๆ เช่นพวกภาชนะเครื่ องประดับผมที่ใส่ เครื่ องสาอางของผูหญิง ก็จะทาให้ทราบว่าสมัย
้
นั้นมีเครื่ องใช้อะไรบ้าง สรุ ปว่าเมือได้ขอมูลต่างๆ แล้วก็นามาวิเคราะห์อีกทีโดยประเมินจากเหตุการณ์
้
แวดล้อมและรวบรวมหลักฐานที่จะตัดสิ นเพื่อให้ถูกต้องตรงตามความเป็ นจริ งมากที่สุด
4. Synthesis คือ การสังเคราะห์เพื่อนาเอาหลักฐานต่างๆ ที่คนหาได้มาวิจารณ์
้
วิจยและแยกแยะแล้วก็นามารวบรวมพอรวบรวมแล้วก็นามาเขียนใหม่เป็ นการสังเคราะห์ ครู ตองพยายาม
ั ้
ให้นกเรี ยนมีความสามารถและทักษะในการที่จะลงความเห็ นเกี่ยวกับข้อเท็จจริ งต่างๆ ก่อนจะลงความเห็น
ั
ต้องเห็นความสาคัญก่อนจึงสรุ ปได้
5. Presentation คือการนาเสนอเพื่อให้ได้หลักฐานข้อเท็จจริ งที่ถูกต้องจากการ
สังเคราะห์ แล้วจึ งนามาเสนอในชั้น การสอนชั้นต่างๆ เหล่านี้ ครู ผูสอนต้องมีความสามารถและมีทกษะ
้ ั
เพราะจะต้องตีความและตัดสิ นว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่อย่างไรเวลาสอนต้องใช้What,Where,When,Why,
และHow ประกอบเสมอ ทั้งครู และนักเรี ยน
ลัดดา ศิลาน้อยและอังคณา ตุงคะสมิต (มปป.) กล่าว่า ระเบียบวิธีการ
ทางประวัติศาสตร์มี 7 ขั้นตอน คือ
1. การกาหนดปั ญหา
การตั้งประเด็นปั ญหาทางประวัติศาสตร์เป็ นการเปลี่ยนแปลงหัวข้อเรื่ อง ซึ่ง
นักประวัติศาสตร์ ได้เลือกสรรแล้วว่าสนใจที่จะศึกษาเป็ นรู ปคาถามเกี่ยวกับ “ใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่
และทาไม” เพื่อเป็ นแนวทางในการค้นรวบรวมหลักฐาน ซึ่ งมีอยูมากมายและกระจัดกระจายอยูในที่ต่างๆ
่ ่
เข้าไว้ดวยกัน การกาหนดปั ญหาดังกล่าวเป็ นเพียงการตั้งคาถามต่อตนเอง
้
ของนักวิจยทางประวัติศาสตร์
ั
2. การค้นคว้ารวบรวมหลักฐาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือสรรพสิ่ งที่นกประวัติศาสตร์ ใช้ในการไต่สวน
ั
พฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตซึ่ งประกอบด้วยสิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ โบราณวัตถุ โบราณสถาน เอกสาร
พงศาวดาร คาบอกเล่า ฯลฯ และผลิตผลจากธรรมชาติ เช่น โครงกระดูกมนุษย์หรื อสัตว์ กองดินที่ทบถม ั
ซากปรักหักพังของสิ่ งก่อสร้าง หลักฐานเหล่านี้ เป็ นเครื่ องมือให้นกประวัติศาสตร์ วนิฉย เพื่อแสวงหาความ
ั ิ ั
จริ งในอดีต ดังนั้น จึงต้องรวบรวมหลักฐานในเรื่ องราวที่เกี่ยวข้อง
กับหัวข้อที่จะศึกษามากที่สุด โดยไม่จากัดเฉพาะสาขาของตนเองเท่านั้น แต่ตองรวมถึงวิชาการ
้
ในแขนงอื่นๆด้วย ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ตีความจากนักโบราณคดี นักธรณี วทยา ิ
- 3. 3. การวิพากษ์หลักฐาน
การวิพากษ์หลักฐาน คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับการคัดเลือก
ไว้ แ ต่ ล ะชิ้ น ว่ า มี ค วามน่ า เชื่ อ ถื อ เพี ย งใด แต่ เ ป็ นเพี ย งการประเมิ น หลั ก ฐานมิ ไ ด้ มุ่ ง ที่ ข ้ อ มู ล
ในหลักฐาน จึ ง เรี ยกได้อีก อย่างหนึ่ งว่าการวิพากษ์ภายนอก (External Criticism) จุ ดมุ่ง หมายก็เพื่ อ
ตรวจสอบว่ า หลัก ฐานนั้ น เป็ นหลัก ฐานแท้จ ริ งหรื อไม่ มี แ หล่ ง ที่ ม าจากไหนและรู ปลัก ษณะเดิ ม
เป็ นอย่างไร ขั้นตอนนี้ เป็ นการสกัดหลักฐานที่ ไม่น่าเชื่ อถื อออกไป ก่ อนที่ จะศึ กษาตามระเบี ยบวิธีทาง
ประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนต่อไป
4. การวิพากษ์ขอมูล ้
การวิพากษ์ขอมูล คือ การพิจารณาเนื้อหา หรื อความหมายที่แสดงออกใน
้
หลักฐานเพื่อประเมินว่าน่าเชื่ อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้องคุณค่า ตลอดจนความหมาย
อันแท้จริ ง ระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็ นการวิพากษ์ภายใน(Internal Criticism)
เนื่องจากมุ่งที่ขอมูลในตัวหลักฐาน ซึ่ งนับว่ามีความสาคัญยิงต่อการประเมินหลักฐาน
้ ่
ที่เป็ นลายลักษณ์อกษรทั้งนี้เพราะข้อมูลในเอกสารมีท้ งที่คลาดเคลื่อนและมีอคติของผูบนทึกแฝงอยู่ หากนัก
ั ั ้ ั
ประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ขอมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดความเป็ นจริ งได้
้
การวิพากษ์หลักฐาน และการวิพากษ์ขอมูล มีส่วนที่คล้ายคลึ งกัน และจะต้องพิจารณา
้
ควบคู่กนไปเนื่ องจากในบางครั้งการวิพากษ์หลักฐานต้องพิจารณาเนื้ อหาจากในหลักฐาน ส่ วนการวิพากษ์
ั
ข้อมูลก็ตองศึ กษาหลักฐานประกอบด้วย วิธีการนี้ รวมเรี ยกว่า วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ ซ่ ึ งถื อว่าเป็ น
้
ส่ วนสาคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยลดอคติอนอาจเกิดขึ้นจากผูบนทึกเหตุการณ์หรื อตัวผูศึกษา
ั ้ ั ้
เองเพื่ อ ให้ ไ ด้ข ้อ เท็ จ จริ ง ที่ น่ า เชื่ อ ถื อ ด้ว ยการประเมิ น ความส าคัญ วิพ ากษ์วิจ ารณ์ ห ลัก ฐานและข้อ มู ล
เช่นเดียวกับวิธีการค้นคว้าทดลองวิทยาศาสตร์
5. การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน คือ การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่า ผูสร้างหลักฐานมี ้
เจตนาแท้ จ ริ งอย่ า งไร โดยดู จ ากลี ล าการเขี ย นของผู ้ บ ั น ทึ ก และรู ปร่ างลั ก ษณะ โดยทั่ ว ไป
ของประดิษฐ์กรรมต่างๆ เช่ น โบราณสถานโบราณวัตถุ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริ งซึ่ งอาจ แอบ
แฝงอยูในเจตนาหรื อไม่ก็ตามในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายาม
่ จับความหมาย
จากคาสานวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่ อ ฯลฯ ของผูเ้ ขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อที่จะ
ได้ทราบว่าถ้อยความนั้นๆ นอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้วยังมีความหมายที่แท้จริ งอะไรแฝงอยู่
6. การสังเคราะห์และการวิเคราะห์
การสังเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่
รวบรวมจากหลักฐานต่างๆ ให้เป็ นเรื่ องราว หรื ออธิ บายความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดี ตเพื่อ
ความเข้าใจปรากฏการณ์ ท้ งหมด ซึ่ งจะทาให้ประวัติศาสตร์ มิใช่ เพียงการเรี ยงเหตุ การณ์ ตามลาดับเวลา
ั
เท่านั้นแต่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมีความเกี่ยวพันซึ่ งกันและกัน
- 4. นอกจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ จนเกิดเรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ แล้วนัก
ประวัติศาสตร์ยงต้องพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ของข้อมูลในเชิงเหตุผลของเหตุ การณ์อีกด้วย
ั
ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้คือการที่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ สองกลุ่มมีความสัมพันธ์โดยกาหนดให้กลุ่ม
หนึ่งเป็ นสาเหตุและอีกกลุ่มหนึ่งเป็ นผล และปรากฏการณ์ต่างๆดังกล่าว ยังมีความเกี่ยวเนื่องกันต่อไป ใน
แง่ที่วาปรากฏการณ์ของกลุ่มที่เป็ นผลนั้นก็อาจถูกจัดว่าเป็ นสาเหตุอีกกรณี หนึ่งได้ ดังนั้นข้อเท็จจริ งในทาง
่
ประวัติศาสตร์ จึงมีความผูกพันกันอย่างต่อเนื่ องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบน ั
เนื่องจากเหตุผลและผลของปรากฏการณ์ มีความสลับซับซ้อนและหลากหลายจนยากที่จะชี้ ชด ั
ได้แน่นอน นักประวัติศาสตร์ จึงต้องพยายามแยกแยะหาสาเหตุของปรากฏการณ์ดงกล่าวนั้น ซึ่ งเรี ยกวิธีการ ั
นี้ ว่ า การวิ เ คราะห์ ท างประวัติ ศ าสตร์ โดยแบ่ ง แยกออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
คื อ สาเหตุ ปั จ จุ บ ัน หรื อ พฤติ ก รรมที่ มี ต่ อ เหตุ ก ารณ์ โ ดยตรงและสาเหตุ ด้ ัง เดิ ม หรื อ ปั จ จัย ระยะยาว
ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ นขึ้น ั
7. การเรี ยบเรี ยง
การเรี ยบเรี ยงงานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง การถ่ายทอดข้อเท็จจริ งที่ผาน ่
ขั้นตอนต่างๆ ตามระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ ขางต้นให้ผูอื่นได้รับรู ้ ซึ่ งจาเป็ นต้องอาศัยศิลปะและ
้ ้
ทักษะทางด้านภาษาเป็ นสาคัญ การนาเสนออาจกระทาโดยการเรี ยงตามลาดับเวลา
การแบ่ ง ตามหั ว เรื่ องหรื ออื่ น ๆ ตามความเหมาะสมทั้ งนี้ จะต้ อ งค านึ งถึ ง
การถ่ายทอดความคิดอย่างต่อเนื่ องและมีเหตุผลซึ่ งจะช่วยให้ผลงานมีคุณค่ายิ่งขึ้น ส่ วนลีลาการเขียนให้มี
ชี วิ ต ชี ว า ไ ม่ แ ห้ ง แ ล้ ง น่ า เ บื่ อ ห น่ า ย นั้ น ก็ ขึ้ นอ ยู่ ก ั บ ทั ก ษ ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง แ ต่ ล ะ บุ ค ค ล
ในการที่จะถ่ายทอดผลงานให้น่าสนใจติดตามแต่ก็ยงต้องอยูบนพื้นฐานข้อเท็จจริ งที่น่าเชื่อถือ
ั ่
สมหวัง ชัยตามล (2547) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
ดังนี้
1. การตั้งประเด็นปั ญหา เป็ นขั้นตอนที่เปิ ดโอกาสให้ผเู ้ รี ยนได้เผชิญกับ
สถานการณ์ หรื อข้อสงสัยที่จะนาไปสู่ การตั้งประเด็นปั ญหาเพื่อทาการศึกษา
2. การสารวจเอกสารและหลักฐาน โดยเน้นการใช้หลักฐานชั้นรอง เช่น
บทความ ตารา หนังสื อ ฯลฯ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนได้พจารณาขอบเขตของเรื่ อง หรื อประเด็นที่จะศึกษา และกาหนด
ิ
เป็ นข้อสมมุติฐานเบื้องต้น
3. การตั้งสมมุติฐาน โดยอาศัยพื้นฐานจากแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ เป็ น
ขั้นตอนที่มีความสาคัญ การตั้งสมมุติฐานที่ชดเจนจะช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีแนวทางในการศึกษาได้ตรงประเด็น
ั
4. การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนลงมือศึกษา
ค้นคว้าและรวบรวมเอกสารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ควรใช้ท้ งหลักฐานขั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง
ั
ร่ วมกัน
5. การวิเคราะห์และประเมินค่าหลักฐาน เมื่อรวบรวมหลักฐานได้มากพอสมควร
- 5. แล้ว ผูเ้ รี ยนจะต้องนาหลักฐานนั้น ๆ มาวิเคราะห์ โดยใช้การวิพากษ์ภายนอก พิจารณาความถู กต้องของ
หลักฐาน เช่ น เขี ย นขึ้ นในสมัย ใด เป็ นของจริ งหรื อไม่ ใครเป็ นผูเ้ ขี ย น มี ความเกี่ ย วข้องกับ เรื่ องราวหรื
เหตุการณ์ น้ น ๆ ในประวัติศาสตร์ หรื อไม่ อย่างไร และการวิพากษ์ภายใน คือ การศึกษาถึ งความน่าเชื่ อถื อ
ั
ของเอกสารหรื อหลักฐานในด้านเนื้อหา แยกแยะสิ่ งที่เป็ นข้อเท็จจริ งกับความคิดเห็นออกจากกัน เป็ นต้น
6. การตีความหลักฐาน โดยการแปลความหมาย วิพากษ์วจารณ์ แสดงความคิดเห็น
ิ
โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูดาเนินการ ซึ่ งต้องอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ ประกอบ
้
7. การสังเคราะห์ขอมูล เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนพยายามเรี ยบเรี ยงความคิดของตน
้
่
โดยอาศัยข้อมูลที่ผานการวิเคราะห์ ในขั้นตอนนี้ หากพบข้อค้นพบใหม่ ๆ ผูเ้ รี ยนสามารถย้อนกลับไปศึกษา
หลักฐานเพิมเติมเพื่อนามาใช้ในการสังเคราะห์ ก่อนที่จะเรี ยบเรี ยงเป็ นเอกสาร
่
8. การสรุ ปและเรี ยบเรี ยงเขียนเป็ นแนวคิดหรื อข้อสรุ ป เป็ นขั้นตอนสุ ดท้าย โดย
่
ผูเ้ รี ยนจะเรี ยบเรี ยงข้อมูลที่ผานการสังเคราะห์แล้ว เขียน หรื อเรี ยบเรี ยงเป็ นข้อสรุ ป อาจนาเสนอในรู ปแบบ
เอกสาร บทความ ตามความเหมาะสม