Submit Search
Upload
9789740330721
•
3 likes
•
1,808 views
CUPress
Follow
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น
Read less
Read more
Education
Report
Share
Report
Share
1 of 10
Download now
Download to read offline
Recommended
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Thaweekoon Intharachai
Em wave
Em wave
Taweesak Poochai
เรื่องที่13แสง
เรื่องที่13แสง
Apinya Phuadsing
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Nang Ka Nangnarak
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
juneniezstk
เรื่อง รังสีอัลตราไวโอเลต
เรื่อง รังสีอัลตราไวโอเลต
Somporn Laothongsarn
แสงเชิงฟิสิกส์
แสงเชิงฟิสิกส์
Chakkrawut Mueangkhon
Rs
Rs
Tida Ketphan
Recommended
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Thaweekoon Intharachai
Em wave
Em wave
Taweesak Poochai
เรื่องที่13แสง
เรื่องที่13แสง
Apinya Phuadsing
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Nang Ka Nangnarak
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
juneniezstk
เรื่อง รังสีอัลตราไวโอเลต
เรื่อง รังสีอัลตราไวโอเลต
Somporn Laothongsarn
แสงเชิงฟิสิกส์
แสงเชิงฟิสิกส์
Chakkrawut Mueangkhon
Rs
Rs
Tida Ketphan
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
untika
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
kruannchem
P12
P12
วิทวัฒน์ สีลาด
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
Somporn Laothongsarn
P13
P13
วิทวัฒน์ สีลาด
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Dechatorn Devaphalin
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
Somporn Laothongsarn
ไมโครเวฟ
ไมโครเวฟ
Pram Pu-ngoen
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
Pitchayanis Kittichaovanun
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
Jutapak Mahapaskorn
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
Chanthawan Suwanhitathorn
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
Theem N. Veokeki
แสง และการมองเห็น
แสง และการมองเห็น
ชิตชัย โพธิ์ประภา
เรื่องที่12เสียง
เรื่องที่12เสียง
Apinya Phuadsing
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
Peerapas Trungtreechut
คลื่นกล
คลื่นกล
สุวิทย์ สารีแ้ก้ว
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
Supanut Maiyos
Physics atom part 3
Physics atom part 3
Wijitta DevilTeacher
AnalChem : Basic of Spectroscopy
AnalChem : Basic of Spectroscopy
Dr.Woravith Chansuvarn
Applications of infrared ray for drying agricultural products
Applications of infrared ray for drying agricultural products
Postharvest Technology Innovation Center
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
Pakawan Sonna
มิ่ง111
มิ่ง111
Mingball Mingballja
More Related Content
What's hot
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
untika
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
kruannchem
P12
P12
วิทวัฒน์ สีลาด
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
Somporn Laothongsarn
P13
P13
วิทวัฒน์ สีลาด
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Dechatorn Devaphalin
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
Somporn Laothongsarn
ไมโครเวฟ
ไมโครเวฟ
Pram Pu-ngoen
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
Pitchayanis Kittichaovanun
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
Jutapak Mahapaskorn
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
Chanthawan Suwanhitathorn
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
Theem N. Veokeki
แสง และการมองเห็น
แสง และการมองเห็น
ชิตชัย โพธิ์ประภา
เรื่องที่12เสียง
เรื่องที่12เสียง
Apinya Phuadsing
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
Peerapas Trungtreechut
คลื่นกล
คลื่นกล
สุวิทย์ สารีแ้ก้ว
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
Supanut Maiyos
What's hot
(17)
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
03 คลื่นและสมบัติของคลื่นสเปกตรัมของธาตุ
P12
P12
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
เรื่อง คลื่นไมโครเวฟ
P13
P13
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
ไมโครเวฟ
ไมโครเวฟ
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
คลื่นไมโครเวฟ (ยุวภรณ์+พิชญานิษฐ์)402
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
ไมโครเวฟ(จุธาภัค+กมลรัตน์)405
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
อินฟาเรด(ธัชนนท์+ธีม)403
แสง และการมองเห็น
แสง และการมองเห็น
เรื่องที่12เสียง
เรื่องที่12เสียง
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
คลื่น ไมโครเวฟ 2003
คลื่นกล
คลื่นกล
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
คลื่นไมโครเวฟ(เจตน์+ศุภณัฐ)403
Similar to 9789740330721
Physics atom part 3
Physics atom part 3
Wijitta DevilTeacher
AnalChem : Basic of Spectroscopy
AnalChem : Basic of Spectroscopy
Dr.Woravith Chansuvarn
Applications of infrared ray for drying agricultural products
Applications of infrared ray for drying agricultural products
Postharvest Technology Innovation Center
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
Pakawan Sonna
มิ่ง111
มิ่ง111
Mingball Mingballja
มิ่ง111
มิ่ง111
Mingball Mingballja
มิ่ง111
มิ่ง111
Mingball Mingballja
มิ่ง111
มิ่ง111
Mingball Mingballja
012 fundamental of thermal radiation thai
012 fundamental of thermal radiation thai
Saranyu Pilai
Atomic model ruth & bohr
Atomic model ruth & bohr
Saipanya school
Physics atom part 4
Physics atom part 4
Wijitta DevilTeacher
ไมโครเวฟ(มนัสชยา+ศวิตา)404
ไมโครเวฟ(มนัสชยา+ศวิตา)404
Sawita Jiravorasuk
Physics atom part 3
Physics atom part 3
Wijitta DevilTeacher
การค้นพบอิเล็กตรอน
การค้นพบอิเล็กตรอน
krupatcharee
คลื่นวิทยุ(สิทธิกานต์+วรุตม์)404
คลื่นวิทยุ(สิทธิกานต์+วรุตม์)404
Pom Ruangtham
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
ธีรวีร์ กะรัสนันทน์
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
Peammavit Supavivat
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
ธีรวีร์ กะรัสนันทน์
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
Peammavit Supavivat
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
GanKotchawet
Similar to 9789740330721
(20)
Physics atom part 3
Physics atom part 3
AnalChem : Basic of Spectroscopy
AnalChem : Basic of Spectroscopy
Applications of infrared ray for drying agricultural products
Applications of infrared ray for drying agricultural products
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
บทที่ 18 ฟิสิกส์อะตอม
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
มิ่ง111
012 fundamental of thermal radiation thai
012 fundamental of thermal radiation thai
Atomic model ruth & bohr
Atomic model ruth & bohr
Physics atom part 4
Physics atom part 4
ไมโครเวฟ(มนัสชยา+ศวิตา)404
ไมโครเวฟ(มนัสชยา+ศวิตา)404
Physics atom part 3
Physics atom part 3
การค้นพบอิเล็กตรอน
การค้นพบอิเล็กตรอน
คลื่นวิทยุ(สิทธิกานต์+วรุตม์)404
คลื่นวิทยุ(สิทธิกานต์+วรุตม์)404
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นวิทยุ(ธีรวีร์+ภคพล)405
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
More from CUPress
9789740337737
9789740337737
CUPress
9789740337560
9789740337560
CUPress
9789740337478
9789740337478
CUPress
9789740337270
9789740337270
CUPress
9789740337102
9789740337102
CUPress
9789740337096
9789740337096
CUPress
9789740337072
9789740337072
CUPress
9789740337027
9789740337027
CUPress
9789740336914
9789740336914
CUPress
9789740336907
9789740336907
CUPress
9789740336686
9789740336686
CUPress
9789740336457
9789740336457
CUPress
9789740336440
9789740336440
CUPress
9789740336389
9789740336389
CUPress
9789740336280
9789740336280
CUPress
9789740336365
9789740336365
CUPress
9789740336303
9789740336303
CUPress
9789740336242
9789740336242
CUPress
9789740336235
9789740336235
CUPress
9789740336099
9789740336099
CUPress
More from CUPress
(20)
9789740337737
9789740337737
9789740337560
9789740337560
9789740337478
9789740337478
9789740337270
9789740337270
9789740337102
9789740337102
9789740337096
9789740337096
9789740337072
9789740337072
9789740337027
9789740337027
9789740336914
9789740336914
9789740336907
9789740336907
9789740336686
9789740336686
9789740336457
9789740336457
9789740336440
9789740336440
9789740336389
9789740336389
9789740336280
9789740336280
9789740336365
9789740336365
9789740336303
9789740336303
9789740336242
9789740336242
9789740336235
9789740336235
9789740336099
9789740336099
9789740330721
1.
1
แนะน�ำรังสีเอกซ์ (Introduction to X-rays) _12-24 (001-016)P4.indd 1 2/8/13 12:41 PM
2.
… 2 …
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น สเปกโทรสโกปี (spectroscopy) เป็นเทคนิคที่ศึกษาเกี่ยวกับอันตรกิริยา (interaction) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) กับสสาร (matter) เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กระทบกับสสาร อันตรกิริยาที่เกิดขึ้นสามารถเกิดได้หลายปรากฏการณ์ ได้แก่ - การสะท้อน (reflection) - การส่งผ่าน (transmission) - การดูดกลืน (absorption) - การเปล่งแสง (luminescence) ประกอบด้วย - การเรืองแสง (phosphorescence) - การวาวแสง (fluorescence) - การกระเจิง (scattering) - การหักเห (refraction) - การเลี้ยวเบน (diffraction) ผู ้ เ ขี ย นขอทบทวนเนื้ อ หาเกี่ ย วกั บ รั ง สี แ ม ่ เ หล็ ก ไฟฟ ้ า ให ้ ผู ้ อ ่ า นก ่ อ นแนะน� ำ ให ้ รู ้ จั ก รั ง สี เ อกซ์ หลั ง จากนั้ น จะอธิ บ ายถึ ง การน� ำ เอารั ง สี เ อกซ์ ไ ปประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นการวิ เ คราะห์ สสารด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ ซึ่งจะเป็นประเด็นส�ำคัญในหนังสือเล่มนี้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic wave) เป็นคลื่นตามขวาง (transverse r wave) ประกอบด้วยสนามไฟฟ้า (electric field: E ) และสนามแม่เหล็ก (magnetic field: r B ) ที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกัน และทิศทางการเคลื่อนที่ (propagation of direction) ของ คลื่นนั้นตั้งฉากกับการสั่นของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ดังแสดงในรูปที่ 1.1 คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่ สามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศ ได้ด้วยอัตราเร็วของแสง (speed of light) (c = 299,792,458 m/s ∼ 3 × 10 m/s) 8 _12-24 (001-016)P4.indd 2 2/8/13 12:41 PM
3.
บทที่ 1 :
แนะนำ�รังสีเอกซ์ …3… รูปที่ 1.1 การสั่นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัม (spectrum) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความถี่และความยาวคลื่นในช่วงต่างกัน ถ้าเรียงล�ำดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้จาก ความถี่ต�่ำไปยังความถี่สูง หรืออีกนัยหนึ่ง เรียงล�ำดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากความยาวคลื่น สู ง ไปยั ง ความยาวคลื่ น ต�่ ำ จะได้ เ ป็ น สเปกตรั ม คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ต่ อ เนื่ อ งตามรู ป ที่ 1.2 ได้แก่ คลื่นวิทยุ (radio waves) คลื่นไมโครเวฟ (microwaves) รังสีอินฟราเรด (infrared) แสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า (visible light) แสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet light) รังสี เอกซ์ (X-rays) ประกอบด้วยรังสีเอกซ์พลังงานต�่ำ หรือซอฟต์เอกซเรย์ (soft X-rays) กับรังสีเอกซ์พลังงานสูง หรือฮาร์ดเอกซเรย์ (hard X-rays) และรังสีแกมมา (gamma rays) ตามล�ำดับ โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่น (wavelength: λ) ความถี่ (frequency: f ) และอัตราเร็วของแสง (speed of light: c) เป็นไปตามสมการ ส�ำหรับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน (energy: E) และความยาวคลื่น เป็นไปตามสมการ เมื่อ h เป็นค่าคงที่ของพลังค์ (Planck’s constant) มีค่าประมาณ 6.626 x 10-34 จูล-วินาที _12-24 (001-016)P4.indd 3 2/8/13 12:41 PM
4.
… 4 …
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น รูปที่ 1.2 สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปั จ จุ บั น เราสามารถพบเห็ น การใช้ ง านของคลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ในหลาย ๆ แบบ ได้แก่ คลื่ น วิ ท ยุ (radio waves) มีความถี่ช่วง 104-109 Hz หรือความยาวคลื่นช่วง ตั้ ง แต่ 10 -1-10 5 เมตร เนื่ อ งจากคลื่ น ในช่ ว งความถี่ นี้ ส ามารถหั ก เหและสะท้ อ นได้ ใ น ชั้ น บรรยากาศ จึ ง น� ำ มาใช้ ป ระโยชน์ ใ นการติ ด ต่ อ สื่ อ สารจากเครื่ อ งส่ ง ของสถานี ไ ปยั ง เครื่องรับตามบ้าน มีการส่งสัญญาณ 2 ระบบ คือ ระบบเอเอ็ม (amplitude modulation: AM) มีช่วงความถี่ 530-1600 kHz และระบบเอฟเอ็ม (frequency modulation: FM) มีช่วงความถี่ 88-108 MHz คลื่นไมโครเวฟ (microwaves) มีความถี่ช่วง 108-1012 Hz หรือความยาวคลื่น ช่วงตั้งแต่ 100-10-3 เมตร พบได้ในเตาไมโครเวฟท�ำอาหาร และใช้ส่งสัญญาณโทรทัศน์ จากการที่ ค ลื่ น ไมโครเวฟไม ่ ส ะท ้ อ นกลั บ สู ่ ผิ ว โลกที่ ชั้ น บรรยากาศไอโอโนสเฟ ี ย ร ์ (iono- sphere) จึงท�ำให้สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศไปนอกโลกได้ นอกจากนี้คลื่นไมโครเวฟ ยังสะท้อนกับผิวโลหะได้ดีอีกด้วย จึงน�ำไปใช้ประโยชน์ในการเป็นเรดาร์ตรวจหาต�ำแหน่ง ของอากาศยาน รังสีอินฟราเรด (infrared) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รังสีใต้แดง มีความถี่ช่วง 1011-1014 Hz หรื อ ความยาวคลื่ น ตั้ ง แต่ 10 -6-10 -3 เมตร ซึ่ ง มี ช ่ ว งความถี่ ค าบเกี่ ย วกั บ คลื่ น ไมโครเวฟ _12-24 (001-016)P4.indd 4 2/8/13 12:41 PM
5.
บทที่ 1 :
แนะนำ�รังสีเอกซ์ …5… วัตถุร้อนและสิ่งมีชีวิตสามารถแผ่รังสีอินฟราเรดได้ รังสีอินฟราเรดสามารถน�ำมาประยุกต์ ใช้ กั บ เส้ นใยน� ำ แสง ใช้ เ ป็ นรี โ มทคอนโทรลควบคุ ม การท� ำ งานของอุ ป กรณ์ จ ากระยะไกล เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ ใช้เกี่ยวกับการควบคุมอาวุธน�ำวิถีเคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายได้แม่นย�ำ ถูกต้อง แสงทีมองเห็นด้วยตาเปล่า (visible light) มีชวงความถีกงกลางระหว่าง 1014-1015 Hz ่ ่ ่ ึ่ หรือความยาวคลื่นเฉพาะเป็น 3.8 x 10 - 7.6 x 10 เมตร หรือพลังงานในช่วง 1.63-3.26 eV -7 -7 เป ็ น คลื่ น แม ่ เ หล็ ก ไฟฟ ้ า ที่ ม นุ ษ ย ์ ม องเห็ น ด ้ ว ยตาเปล ่ า สเปกตรั ม ของแสงที่ ม องเห็ น ด้วยตาเปล่ามีความยาวคลื่นแตกต่างกัน ได้แก่ สีแดง (610-760 nm) สีส้ม (590-610 nm) สีเหลือง (570-590 nm) สีเขียว (500-570 nm) สีน�้ำเงิน (450-500 nm) สีม่วง (380-450 nm) แสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet light) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รังสีเหนือม่วง มีความถี่ ช่วง 1015-1018 Hz หรือความยาวคลื่นช่วงตั้งแต่ 10-10-10-7 เมตร เป็นรังสีตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่มาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งท�ำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศ ชั้นไอโอโนสเฟียร์ รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถท�ำให้เชื้อโรคบางชนิดตายได้ แต่มีอันตราย ต ่ อ ผิ ว หนั ง จนถึ ง ขั้ น มี ผ ลท� ำ ให ้ เ ป ็ น มะเร็ ง ผิ ว หนั ง ถ ้ า ถู ก แสงนี้ ต ่ อ เนื่ อ งเป ็ น ระยะเวลานาน แสงอัลตราไวโอเลตท�ำให้อิเล็กตรอนของอะตอมเกิดการเปลี่ยนระดับพลังงาน (electronic transition) ซึ่งเป็นประโยชน์กับการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ รังสีเอกซ์ (X-rays) มีความถี่ช่วง 1016-1022 Hz หรือความยาวคลื่นช่วงตั้งแต่ 10-14- 10-8 เมตร สามารถเคลื่อนที่ทะลุสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ หลักการสร้างรังสีเอกซ์ คือ ท�ำให้ อิเล็กตรอนเกิดความเร่ง หากยิงอิเล็กตรอนที่มีพลังงานมากเข้าไปชนอิเล็กตรอนในชั้นลึก ๆ ของอะตอมจะท�ำให้ได้รังสีที่มีพลังงานมาก เรียกว่า ฮาร์ดเอกซเรย์ (hard X-rays) มี ความยาวคลื่นช่วง 0.10-0.01 นาโนเมตร ถ้าอิเล็กตรอนที่ใช้ยิงมีพลังงานน้อย อิเล็กตรอน นั้นจะเข้าไปในชั้นอะตอมได้ไม่ลึกนัก จะให้รังสีที่เรียกว่า ซอฟต์เอกซเรย์ (soft X-rays) มีความยาวคลื่นช่วง 10-0.10 นาโนเมตร รังสีเอกซ์มีประโยชน์ทางการแพทย์ในการฉาย ผ่านร่างกายเพื่อตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายใน ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการ ตรวจหารอยร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะ ใช้เป็นอุปกรณ์ด่านตรวจในการตรวจหาวัตถุที่น่าสงสัย และใช้ส�ำหรับการวิเคราะห์สสารซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดต่อไปในบทที่ 3 รังสีแกมมา (gamma rays) มีความถี่ช่วง 1018-1022 Hz หรือความยาวคลื่นช่วง ตั้งแต่ 10-14-10-10 เมตร ความยาวคลื่นของรังสีแกมมาสั้นกว่ารังสีเอกซ์ แต่มีบางช่วง _12-24 (001-016)P5.indd 5 2/15/13 8:37 PM
6.
… 6 …
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น ความยาวคลื่นที่คาบเกี่ยวกับรังสีเอกซ์ อย่างไรก็ตาม รังสีแกมมาสามารถทะลุสิ่งกีดขวาง ได้ ดี ก ว่ า รั ง สี เ อกซ์ รั ง สี แ กมมามี ส ภาพเป็ น กลางทางไฟฟ้ า ต่ า งกั บ รั ง สี บี ต า (beta ray) (อิเล็กตรอนพลังงานสูง มีสภาพเป็นลบทางไฟฟ้า) และรังสีแอลฟา (alpha ray) (นิวเคลียส ของอนุภาคฮีเลียม มีสภาพเป็นบวกทางไฟฟ้า) รังสีแกมมาไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าและ สนามแม่ เ หล็ ก อี ก ทั้ ง ยั ง ไม่ มี ม วลและเคลื่ อ นที่ ด ้ ว ยอั ต ราเร็ ว แสง รั ง สี แ กมมาเป็ น คลื่ น แม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสของธาตุ โดยที่นิวเคลียสที่อยู่ใน สถานะกระตุ ้ น กลั บ สู ่ ส ถานะพื้ น เรี ย กว ่ า การสลายตั ว (Decay) เนื่ อ งจากรั ง สี แ กมมา มี อ� ำ นาจทะลุ ท ะลวงสู ง สามารถท� ำ ลายเซลล์ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ได้ จึ ง น� ำ ไปใช้ ป ระโยชน์ ท าง การแพทย์ในการท�ำลายเซลล์มะเร็ง ในหัวข้อถัดไปในบทที่ 1 นี้ จะกล่าวถึงการค้นพบรังสีเอกซ์ ส่วนประกอบของหลอด ก�ำเนิดรังสีเอกซ์ และชนิดของรังสีเอกซ์ ซึ่งโดยรวมจะเป็นการแนะน�ำให้รู้จักรังสีเอกซ์ อย่างละเอียดก่อนที่จะอธิบายถึงทฤษฎีของการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ในบทที่ 2 จากนั้นจะ น�ำทฤษฎีดังกล่าวมาค�ำนวณหารูปแบบของการเลี้ยวเบนของสสารในบทที่ 3 และในบทที่ 4 จะกล่าวถึงการน�ำรังสีเอกซ์ไปประยุกต์ใช้ในเทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ที่ใช้วิเคราะห์ สสารจริงในงานวิจัย 1.1 การค้นพบรังสีเอกซ์ รังสีเอกซ์ (X-rays) ถูกค้นพบครั้งแรกโดย วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Roentgen) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ใน ค.ศ. 1895 (ดูรูปที่ 1.3) ขณะก�ำลังศึกษา เกี่ยวกับหลอดรังสีแคโทดในห้องที่มืดสนิท เรินต์เกนสังเกตการเรืองแสงบนกระดาษที่เคลือบ ด้วยสารแบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์ (Barium platinocyanide: BaPt(CN)6) ซึ่งเป็นสาร เรื อ งแสง (phosphor) ภายใต ้ รั ง สี อั ล ตราไวโอเลต แต ่ ใ นขณะที่ ท� ำ การทดลองนั้ น ไม ่ มี รังสีอัลตราไวโอเลตอยู่เลย เรินต์เกนจึงสรุปว่าการเรืองแสงนั้นจะต้องมีสาเหตุมาจากรังสี ชนิดใหม่ที่ออกมาจากหลอดรังสีแคโทด ผลการค้นพบที่น่าตื่นเต้นก็คือเมื่อเรินต์เกนใช้ฝ่ามือ กั้นรังสีชนิดใหม่ เขาเห็นเงากระดูกมือของเขาปรากฏบนผนังห้องและเขายังได้ถ่ายภาพ เอกซ์เรย์กระดูกมือของภรรยาอีกด้วยดังแสดงในรูปที่ 1.4 หลังจากทดลองประมาณ 2 เดือน เขาได้ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวกับรังสีชนิดใหม่ซึ่งตั้งชื่อว่า รังสีเอกซ์ (X-rays) เนื่องจาก X มีความหมายว่ายังไม่ระบุชนิด ผลงานการค้นพบรังสีเอกซ์ของเรินต์เกนท�ำให้ได้รับรางวัล โนเบลสาขาฟิสิกส์ประจ�ำ ค.ศ. 1901 _12-24 (001-016)P4.indd 6 2/8/13 12:41 PM
7.
บทที่ 1 :
แนะนำ�รังสีเอกซ์ …7… รูปที่ 1.3 ภาพถ่าย วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (ค.ศ. 1845-1923) รูปที่ 1.4 ภาพเอกซเรย์ที่บันทึกไว้เป็นครั้งแรกของโลก เป็นภาพกระดูกมือของภรรยา ของเรินต์เกนและแหวนแต่งงาน _12-24 (001-016)P4.indd 7 2/8/13 12:41 PM
8.
… 8 …
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น หลังจากการค้นพบรังสีเอกซ์ไม่นาน ก็มีการทดลองสมบัติความเป็นคลื่นของรังสีเอกซ์ หลายการทดลอง เช่น ใช้รังสีเอกซ์ส่องผ่านเกรตติง (grating) แต่ไม่พบการหักเหหรือเลี้ยวเบน จนกระทั่ง แมกซ์ วอน เลาอี (Max Von Laue) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เป็นผู้ค้นพบ การเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ผ่านผลึก (crystal) ของสสาร ผลงานชิ้นนี้ท�ำให้เขาได้รับรางวัล โนเบลสาขาฟิสิกส์ใน ค.ศ. 1914 จากผลงานของเขาท�ำให้ทราบภายหลังว่ารังสีเอกซ์มีสมบัติ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นพอ ๆ กับระยะห่างระหว่างอะตอมซึ่งมีค่า อยู่ในช่วง 2-4 Å อีกทั้งรังสีเอกซ์ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็ก เนื่องจากรังสีเอกซ์มีอ�ำนาจทะลุทะลวงสูง แต่ไม่ผ่านสสารที่มีเลขอะตอมสูง ๆ จึงถูก น�ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ในการตรวจสิ่งผิดปกติ ในร่างกาย เช่น กระดูกหักและสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย 1.2 หลอดก�ำเนิดรังสีเอกซ์ แหล่งก�ำเนิดรังสีเอกซ์ที่ใช้ทั่วไปในปัจจุบัน คือ หลอดก�ำเนิดรังสีเอกซ์ (X-ray tube) ดังแสดงในรูปที่ 1.5 ซึ่งมีหลายแบบตามลักษณะการใช้งาน แต่ละแบบจะมีหลักการท�ำงาน และส่วนประกอบพื้นฐานเหมือนกัน 4 ส่วน คือ หลอดแก้วสุญญากาศ (vacuum tube) ขั้วแคโทด (cathode) แหล่งจ่ายความต่างศักย์สูง (high voltage) ระดับกิโลโวลต์ และขั้ว แอโนด (anode) พอสรุปได้ดังนี้ รูปที่ 1.5 ส่วนประกอบของหลอดก�ำเนิดรังสีเอกซ์ _12-24 (001-016)P4.indd 8 2/8/13 12:41 PM
9.
บทที่ 1 :
แนะนำ�รังสีเอกซ์ …9… 1. หลอดแก้วสุญญากาศ หลอดสุญญากาศจะท�ำจากแก้วไพเร็กซ์ (pyrex glass) ภายในเป็นสุญญากาศ เพื่อ ป ้ อ งกั น การสู ญ เสี ย พลั ง งานของอิ เ ล็ ก ตรอนจากการชนกั บ โมเลกุ ล ของอากาศในขณะที่ อิเล็กตรอนวิ่งจากขั้วแคโทดเข้าชนเป้าโลหะที่ขั้วแอโนด 2. ขั้วแคโทด ขั้วแคโทดเป็นแหล่งก�ำเนิดอิเล็กตรอน ประกอบด้วยส่วนส�ำคัญ 2 ส่วนคือ ขดลวด โลหะ (filament) และถ้วยโลหะส�ำหรับบังคับล�ำอิเล็กตรอน (metallic focusing cup) ส�ำหรับ ขดลวดโลหะส่วนมากท�ำจากทังสเตน (tungsten) เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวสูงและมีสมบัติ เหนี ย วสามารถยื ด เป็ นเส้ นยาวบางได้ (ปกติ จะมี ข นาดเส้ นผ่ า นศู นย์ กลางประมาณ 0.2 มิลลิเมตร) จึงเกิดการระเหยกลายเป็นไอน้อย และมีอายุการใช้งานยาวนาน เมื่อกระแสไฟฟ้า วิ่งผ่านเส้นลวดทังสเตน จะท�ำให้เกิดความร้อนขึ้นจนถึงจุดที่สามารถปล่อยอิเล็กตรอนออกมา จากเส้นลวดทังสเตน นั่นคืออะตอมของทังสเตนได้รับพลังงานความร้อน จนกระทั่งพลังงาน ที่อิเล็กตรอนได้รับมีค่ามากกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอิเล็กตรอนกับอะตอม ท�ำให้อิเล็กตรอน หลุดออกจากอะตอมเป็นอิสระ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปลดปล่อยอิเล็กตรอนแบบเทอร์- มิออนิก (thermionic emission) เมื่อถ้วยโลหะมีศักย์ไฟฟ้า (voltage) เป็นลบจะผลัก อิเล็กตรอนที่เกิดจากเส้นลวดทังสเตนให้เป็นล�ำอิเล็กตรอนแคบ ๆ วิ่งไปข้างหน้า 3. แหล่งจ่ายความต่างศักย์สูง แหล่งจ่ายความต่างศักย์สูงเป็นส่วนที่ใช้ในการเร่งอิเล็กตรอนที่หลุดออกจากขั้วแคโทด เพื่อเข้าชนกับขั้วแอโนด ความต่างศักย์จะอยู่ในช่วง 10-80 กิโลโวลต์ ถ้าความต่างศักย์น้อย เกินไปจะท�ำให้เกิดแค่เพียงรังสีเอกซ์แบบต่อเนื่อง (continuous X-rays) ถ้าความต่างศักย์มาก จะท�ำให้เกิดรังสีเอกซ์ลักษณะเฉพาะ (characteristic X-rays) เพิ่มเข้ามาด้วยนอกเหนือจาก รังสีเอกซ์แบบต่อเนื่อง รายละเอียดของชนิดของรังสีเอกซ์จะได้อธิบายต่อไปในหัวข้อที่ 1.3 4. ขั้วแอโนด ขั้ ว แอโนดท� ำ หน ้ า ที่ เ ป ็ น เป ้ า รั บ อิ เ ล็ ก ตรอนจากขั้ ว แคโทด ซึ่ ง ปกติ จ ะประกอบด ้ ว ย เป้าโลหะ (metal target) ที่มีเลขอะตอม (atomic number) สูง เช่น ทองแดง โมลิบดีนัม โรเดียม และทังสเตน เนื่องจากก�ำลังของรังสีจะแปรผันตรงกับเลขอะตอม แผ่นเป้าโลหะ ซึ่ ง หนาระดั บ มิ ล ลิ เ มตรนี้ จ ะท� ำ มุ ม กั บ แนวดิ่ ง ฝั ง อยู ่ ใ นแท่ ง โลหะทองแดงซึ่ ง ท� ำ หน้ า ที่ เ ป็ น ขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าและตัวระบายความร้อนให้กับแผ่นเป้าโลหะ โดยปกติจะมีระบบระบาย _12-24 (001-016)P5.indd 9 2/15/13 8:38 PM
10.
… 10 …
เทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์เบื้องต้น ความร ้ อ นด ้ ว ยน�้ ำ (cooling water) เพื่ อ ระบายความร ้ อ นที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการชนของ อิ เ ล็ ก ตรอนบนเป ้ า โลหะ (> 99% จะกลายเป ็ น ความร ้ อ น และ < 1% จะเกิ ด เป ็ น รั ง สี เ อกซ ์ ) ป ั จ จุ บั น มี เ ป ้ า โลหะที่ ห มุ น รอบตั ว ได ้ (rotating anode) โดยมี แ กนโลหะ ยึดขั้วแอโนด โดยทั่วไป ขั้วแอโนดจะหมุนรอบตัวด้วยอัตราเร็วรอบประมาณ 3000 รอบ ต่ อ นาที เมื่ อ ล� ำ อิ เ ล็ ก ตรอนวิ่ ง จากขั้ ว แคโทดเข้ า ชนขั้ ว แอโนดจะเกิ ด การปล่ อ ยรั ง สี เ อกซ์ ออกมาทางหน้าต่างที่ท�ำจากเบริลเลียม (beryllium) โดยรังสีเอกซ์ที่ออกมามี 2 ประเภท คือ รังสีเอกซ์แบบต่อเนื่อง และรังสีเอกซ์ลักษณะเฉพาะ รายละเอียดของชนิดของรังสีเอกซ์ จะได้กล่าวในหัวข้อถัดไป 1.3 ชนิดของรังสีเอกซ์ รั ง สี เ อกซ์ ส ามารถเกิ ด จากการเร่ ง อนุ ภ าคอิ เ ล็ ก ตรอนให้ วิ่ ง ชนอะตอมของเป้ า โลหะ ซึ่ ง เมื่ อ อิ เ ล็ ก ตรอนมี ค วามเร็ ว (ทั้ ง ขนาดและทิ ศ ทาง) เปลี่ ย นแปลงอย่ า งฉั บ พลั น จะให้ พ ลั ง งานออกมาในรู ป ของรั ง สี เ อกซ์ แ บบต่ อ เนื่ อ ง (continuous X-rays) หรื อ อาจจะเกิ ด ในเครื่ อ งเร ่ ง อนุ ภ าคพลั ง งานสู ง ซึ่ ง เป ็ น เครื่ อ งมื อ ชนิ ด หนึ่ ง ที่ อ าศั ย สนาม แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ในการเร่ ง ให้ อ นุ ภ าคที่ มี ป ระจุ เ คลื่ อ นที่ ไ ปจนกระทั่ ง มี ค วามเร่ ง ปลดปล่ อ ย คลื่ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ในท่ อ สุ ญ ญากาศ นอกจากนี้ รั ง สี เ อกซ์ ยั ง สามารถเกิ ด จากการ เปลี่ยนชั้น (transition) ของอิเล็กตรอนวงนอก (outer orbit) ลงมาที่วงใน (inner orbit) แล้วคายพลังงานออกมาในรูปรังสีเอกซ์ลักษณะเฉพาะ (characteristic X-rays) 1.3.1 รังสีเอกซ์แบบต่อเนื่อง ในที่ นี้ จ ะอธิ บ ายถึ ง การเกิ ด รั ง สี เ อกซ์ แ บบต่ อ เนื่ อ งในหลอดรั ง สี แ คโทด รั ง สี เอกซ์แบบต่อเนื่องเกิดจากการชนแบบไม่ยืดหยุ่น (inelastic collision) ของอิเล็กตรอน กั บ อะตอมของสสาร เมื่ อ อิ เ ล็ ก ตรอนวิ่ ง ผ ่ า นใกล ้ นิ ว เคลี ย ส (เรี ย กอิ เ ล็ ก ตรอนนั้ น ว ่ า incoming electron) อิ เ ล็ ก ตรอนตั ว นั้ น จะถู ก ดู ด โดยแรงทางไฟฟ ้ า (coulomb force) ที่ เ กิ ด จากประจุ บ วกในนิ ว เคลี ย ส ท� ำ ให ้ ทิ ศ ทางการเคลื่ อ นที่ ข องอิ เ ล็ ก ตรอนที่ วิ่ ง เข ้ า ชนนี้ เ บนเปลี่ ย นไปจากเดิ ม ความเร็ ว ของอิ เ ล็ ก ตรอนที่ วิ่ ง เข ้ า ชนลดลงอย ่ า งรวดเร็ ว (เรี ย กอิ เ ล็ ก ตรอนที่ เ บนไปหรื อ ถู ก กระเจิ ง ว ่ า scattered electron) อิ เ ล็ ก ตรอนที่ มี ความหน ่ ว งจะปลดปล ่ อ ยพลั ง งานออกมาในรู ป ของรั ง สี เ อกซ ์ แ บบต ่ อ เนื่ อ ง ดั ง รู ป ที่ 1.6 ตามทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าอนุภาคมีประจุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งจะแผ่พลังงานออกมา _12-24 (001-016)P4.indd 10 2/8/13 12:41 PM
Download now