More Related Content
More from Tewit Chotchang (20)
โครงงาน
- 1. โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง การทาบัวลอยเผือก
โดย
1.นาย พันศร ฟองศิริ เลขที่ 4
2.นาย กานต์ คาคูณเมือง เลขที่ 11
3.นาย ณัชพล นันทประทีป เลขที่ 17
4.นาย พฤฒิพงศ์ เพ็ชรเอี่ยม เลขที่ 18
5.นาย พงศกร ชาวราษฎร์ เลขที่ 20
6.นาย กานต์ อึ้งอโนทัย เลขที่ 21
7.นางสาว จิดาภา ตันตินิยมกุล เลขที่ 26
8.นางสาว ฐิติพร โพธิ์เตียน เลขที่ 33
9.นางสาว ธนพร เพ็งศรี เลขที่ 39
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานการงานอาชีพ และเทคโนโลยี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง
- 2. ก
โครงงานเรื่อง การทาบัวลอยเผือก
ประเภทของโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ผู้จัดทาโครงงาน 1.นาย พันศร ฟองศิริ เลขที่ 4
2.นาย กานต์ คาคูณเมือง เลขที่ 11
3.นาย ณัชพล นันทประทีป เลขที่ 17
4.นาย พฤฒิพงศ์ เพ็ชรเอี่ยม เลขที่ 18
5.นาย พงศกร ชาวราษฎร์ เลขที่ 20
6.นาย กานต์ อึ้งอโนทัย เลขที่ 21
7.นางสาว จิดาภา ตันตินิยมกุล เลขที่ 26
8.นางสาว ฐิติพร โพธิ์เตียน เลขที่ 33
9.นางสาว ธนพร เพ็งศรี เลขที่ 39
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1
ครูที่ปรึกษาโครงงาน มิสเขมจิรา ปลงไสว
ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
ก า ร จั ด ท า โ ค ร ง ง า น นี้ มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พื่ อ ใ ห้ ค ว า ม รู้ แ ก่ ผู้ ที่ ส น ใ จ ห รื อ
ป ร ะ ส ง ค์ ที่ จ ะ ใ ช้ เ ว ล า ว่ า ง ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์
โดยการนาวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติมาทาให้เกิดประโยชน์และสร้างเว็บไซด์ในการเผยแพร่นาเสนอให้ความรู้
ผ ล ก า ร จั ด ท า โ ค ร ง ง า น นี้ พ บ ว่ า
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกล้วยที่สามาร ถสร้า งรายได้ให้แก่ชุมชนและใช้เวลา ให้เกิดประ โ ยชน์
ค ณ ะ ผู้ จั ด ท า ไ ด้ ท า ก า ร ด า เ นิ น ง า น ต า ม ขั้ น ต อ น ที่ ไ ด้ ว า ง แ ผ น เ อ า ไ ว้
และได้นาเสนอเผยแพร่ผลงานผ่านเครือข่ายระบบอินเทอร์เน็ตที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเวลา และทุกสถานที่
เป็นแหล่งเรียนรู้ในโลกออนไลน์และมีความรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูล บุคคลทั่วไปสามารถเข้ารับชมได้
เป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์
- 3. ข
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานเรื่อง การทาบัวลอย นี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี เกิดจากการร่วมมือกันของคนในกลุ่ม
เริ่มตั้งแต่กา ร ศึกษา หา ข้อมูล กา ร ลงมือทา กา ร ทา รูปเล่ม จ นกร ะ ทั่งกา ร นา เสนอ
ซึ่งในแต่ละขั้นตอนดังกล่าวกลุ่มของข้าพเจ้าได้รับคาแนะนาและแนวทางในการทางานจากบุคคลต่างๆหลายท่
าน ตลอดจนได้รับการช่วยเหลือและกาลังใจจากเพื่อนๆในกลุ่มจึงทาให้โครงงานนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คณะผู้จัดทาจึงขอขอบพระคุณท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายมา ณ โอกาสนี้
ก ร า บ ข อ บ คุ ณ มิ ส เ ข ม จิ ร า ป ล ง ไ ส ว
ที่ให้แนวทางในการดาเนินการแก่กลุ่มของข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็นการสร้างเว็บ การตกแต่งเว็บ การจัดทารายงาน
วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ตลอดจนคาแนะนาทั้งหลายที่ทาให้โครงงานนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณพ่อและแม่ที่มีความกรุณาสละเวลามาช่วยเหลือโครงงานชิ้นนี้และรับส่งไปยังที่ทางาน
ต่างๆ คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณอย่างสูง
คณะผู้จัดทา
- 5. ง
สารบัญรูปภาพ
หน้า
รูปที่1 เผือก……………………………………………………………………………….………………………………………………….6
รูปที่2 แป้งข้าวเหนียว…………………………………………………………………………………………………………………….8
รูปที่3 แป้งมันสาปะหลัง………………………………………………………………………………………………………………...8
รูปที่4 วัตถุดิบการทาบัวลอย……………………………………………………………………………………………………….….9
รูปที่5 นาเผือกไปนึ่งจนสุก……………………………………………………………………………………………………………...9
รูปที่6 นาแป้งข้าวเหนียว แป้งมัน ผสมลงไปในชาม…………………………………………………………………………..9
รูปที่7 หั่นใบเตย……………………………………………………………………………………………………………………….…..10
รูปที่8 ปั้นให้เป็นเม็ดๆ……………………………………………………………………………………………………………….…..10
รูปที่9 ต้มกะทิในหม้อ……………………………………………………………………………………………………………….…..10
รูปที่10 นาบัวลอยใส่ลงในหม้อ…………………………………………………………………………………………………..….10
รูปที่11 บัวลอยเผือก…………………………………………………………………………………………………………….…….….11
รูปที่12 ตัวอย่างเว็บบล็อกบัวลอยเผือก1………………………………………………………………………………….….….12
รูปที่13 ตัวอย่างเว็บบล็อกบัวลอยเผือก2……………………………………………………………………………………..….13
รูปที่14 ตัวอย่างเว็บบล็อกบัวลอยเผือก3……………………………………………………………………………….…........14
- 8. 2
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง การทาบัวลอยเผือก
ผู้จัดทาได้ศึกษาข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้
2.1 เผือก
2.2 แป้งข้าวเหนียว
2.3 แป้งมันสาปะหลัง
2.1 เผือก
เผือก ชื่อสามัญTaro (ภาษาจีนเรียกว่า โอ่วไน, โอ่วถึง, โทวจือ)
เผือก ชื่อวิทยาศาสตร์ Colocasia esculenta (L.) Schott จัดอยู่ในวงศ์บอน
เผือกมีสายพันธุ์มากกว่า 200 พันธุ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเอดโด (eddoe) ได้แก่
Colocasia esculenta var. antiquorum หรือ Colocasia esculenta var. globulifera
ประเภทนี้จะเป็นเผือกที่มีหัวขนาดไม่ใหญ่ และมีหัวเล็กกว่าล้อมรอบอยู่หลายหัว
ทุกหัวใช้รับประทานและใช้ทาพันธุ์ได้ ส่วนอีกประเภทคือ ประเภทแดชีน (dasheen) ได้แก่ Colocasia
esculenta var. esculenta ประเภทนี้เป็นเผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ และมีหัวขนาดเล็กล้อมรอบ
ใช้รับประทานได้ เผือกประเภทนี้ได้แก่ เผือกหอม ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านเรา
รูปที่ 1 เผือก
- 9. 3
เผือกในเมืองไทยเท่าที่ทราบจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด ได้แก่ เผือกหอม (ชนิดหัวใหญ่
แต่ละหัวมีน้าหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม และมีหัวเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย ใช้ต้มรับประทานได้
มีกลิ่นหอม ส่วนกาบใบเป็นสีเขียว มีขนาดใหญ่), เผือกเหลือง (หัวสีเหลืองขนาดย่อม), เผือกไม้ หรือ
เผือกไหหลา (หัวมีขนาดเล็ก), และเผือกตาแดง (ตาของหัวเป็นสีแดงเข้ม
มีหัวเล็กล้อมรอบหัวใหญ่เป็นกลุ่มจานวนมาก กายใบและเส้นใบเป็นสีแดง)
สรรพคุณของเผือก
1. ช่วยบารุงธาตุในร่างกาย (หัว)
2. ช่วยบารุงร่างกายให้ (หัว)
3. เผือกมีธาตุเหล็กและฟลูออไรด์สูง จึงช่วยป้องกันฟันผุ ช่วยทาให้กระดูกแข็งได้ (หัว)
4. เผือกเป็นอาหารที่มีสรรพคุณช่วยบารุงลาไส้ และแก้อาการท้องเสียได้ด้วย (หัว)
5. ช่วยบารุงไต (หัว)
ประโยชน์ของเผือก
1. ใบ ก้านใบ และยอดของต้นเผือกสามารถนามารับประทานเป็นผักได้
โดยก้านใบสามารถนามาใชประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทาแกง หรือนาไปทาเป็นผักดอง
โดยคุณค่าทางโภชนาการของใบ ประกอบไปด้วย วิตามินเอ,
วิตามินซี และคุณค่าทางโภชนาการของยอด ประกอบไปด้วย วิตามินเอ, วิตามินซี 8
2. หัวเผือกสามารถนามาใช้ทาเป็นอาหารคาวหวานได้หลายอย่าง เช่น เผือกเชื่อม เผือกทอด เผือกรังนก
เผือกเส้นกรอบเค็มเผือกกวน เผือกบวดชี เผือกฉาบ เผือกอบเนย เผือกหิมะ แกงบวดเผือก
ขนมบัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน สังขยาเผือก ข้าวอบเผือก ข้าวเหนียวปิ้งใส่เผือก เค้กเผือก หม้อแกงเผือก
เม็ดขนุนเผือก ขนมเผือก ขนมกุยช่ายไส้เผือกหรือนาไปใช้กวนเป็นไส้ขนมต่าง ๆ
หรือใช้ทาเป็นซุปเผือปลากะพง หัวปลาเผือกหม้อไฟ ข้าวต้มเผือก เผือกทรงเครื่อง ฯลฯ
3. นอกจากนี้ยังนามาใช้ทาเป็นแป้งเผือกเพื่อใช้ทาขนมต่าง ๆ เช่น ขนมปัง หรือทาอาหารทารก
ทาเครื่องดื่ม ฯลฯ หรือใช้เป็นอาหารเพื่อป้องกันโรคแพ้บางอย่างของเด็กทารก
และใช้แทนธัญพืชในการรักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะลาไส้
4. หัวเผือกเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินบี1
วิตามินซี และสารอาหารอื่น ๆ เกือบครบทุกชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เผือกจึงเป็นอาหารที่ให้พลังงานและบารุงสุขภาพไปพร้อมกัน มีรสหวานจืดอมมันนิดหน่อย ย่อยได้ง่าย
เหมาะทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
- 10. 4
แป้งข้าวเหนียว
แป้งข้าวเหนียว เป็นแป้งที่ได้จากข้าวเหนียว ในสมัยก่อนได้แป้งโม่ ปัจจุบันนิยมใช้แป้งแห้ง
ลักษณะของผงแป้งข้าวเหนียวมีสีขาวนวล
สากมือน้อยกว่าแป้งข้าวเจ้า ขนมที่ทาจากแป้งข้าวเหนียวมีความเหนียวนุ่ม เช่น ขนมถั่วแปบ แป้งจี่ ขนมโค
ขนมโก๋ไทย ขนมต้ม ขนมบ้าบิ่น ข้าวเหนียวตัด บัวลอย ขนมเทียน ขนมเข่ง ข้าวเหนียวเปียก ขนมหัวล้าน
เป็นต้น ถ้าไม่ต้องการให้ขนมเหนียวเกินไป จะผสมแป้งข้าวเจ้าลงไปด้วย
แป้งมันสาปะหลัง
แป้งมันสาปะหลังเป็นแป้งที่ได้จากมันสาปะหลัง ลักษณะของแป้งมีสีขาว เนื้อเนียน
ลื่นเป็นมัน เมื่อทาให้สุกด้วยการกวนกับน้าไฟอ่อนปานกลาง แป้งจะละลายง่าย สุกง่าย แป้งเหนียวติดภาชนะ
หนืดข้นขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการรวมตัวเป็นก้อน เหนียวเป็นใย ติดกันหมด เนื้อแป้งใสเป็นเงา
พอเย็นแล้วจะติดกันเป็นก้อนเหนียว ติดภาชนะ ใช้ทาลอดช่องสิงคโปร์ ครองแครงแก้ว เป็นต้น
รูปที่ 2 แป้งข้าวเหนียว
- 11. 5
บทที่ 3
อุปกรณ์และวิธีดาเนินงาน
การจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง การทาบัวลอยเผือก คณะผู้จัดทาโครงงาน
ได้จัดเตรียมวัตถุดิบและมีขั้นตอนวิธีการทา คังนี้
วัตถุดิบ
1. แป้งข้าวเหนียว ½ ถ้วย
2. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
3. กะทิกระป๋อง (ขนาด 400 มล) 1 กระป๋อง
4. น้าตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ
5. น้าตาลปี๊ป 1 ช้อนโต๊ะ
6. เผือก 1 ถ้วย
7. เกลือป่น ¼ ช้อนชา
8. ใบเตย 3-5 ใบ
เครื่องมือ
1. ชามผสม
รูปที่3 แป้งมันสาปะหลัง
รูปที่ 4 วัตถุดิบการทาบัวลอย
- 12. 6
2. หม้อ
วิธีทา
1. เปิดเตาที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรง
นาเผือกไปนึ่งในหม้อนึ่งประมาณ 20 นาทีหรือจนเผือกสุก
เมื่อเผือกสุกแล้ว
รอให้เผือกเย็นจึงนามาขูดเอาแต่เนื้อออกให้หม
2. นาแป้งข้าวเหนียว แป้งมัน
น้าตาลทราย 1 ช้อนชา และเกลือป่นนิดหน่อย
ผสมลงไปในชามผสมจากนั้น นาเผือกที่ขูดไว้มาผสมกับแป้ง
3. นากะทิมาแบ่งใส่ถ้วยประมาณ ½ ถ้วย ส่วนกะทิที่เหลือนา
ไปใส่หม้อไว้ ใส่น้ากะทิลงไปในส่วนผสมแป้งประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ
จากนั้นทาการนวดให้เผือกเข้ากับแป้ง ถ้าแป้งแห้งไปให้เติมกะทิ
ลงไปทีละ 1 ช้อนโต๊ะ นวดไปเรื่อยๆ จนแป้งและเผือกเนียนเป็น
เนื้อเดียวกัน
รูปที่5 นาเผือกไปนึ่งจนสุก
รูปที่6 นาแป้งข้าวเหนียวแป้งมัน ผสมลงไปในชาม
รูปที่ 7 หั่นใบเตย
- 13. 7
4.
เมื่อนวดจนแป้งเนียนได้ที่แล้วก็ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆ ขนาดประมาณ ¼ นิ้ว ปั้นไปเรื่อยๆ จนแป้งหมด จากนั้น
เปิดเตาที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรง เอาน้าเปล่าประมาณ 4 ถ้วยใส่ลงไปในหม้อ
ต้มจนน้าเดือดจึงเอาแป้งที่ปั้นไว้ใส่ลงไป รอจนแป้งสุก (สังเกตว่าแป้งจะลอยขึ้นมาเอง)
ก็ช้อนแป้งที่สุกแล้วมาแช่ในน้าเย็นจัดเพื่อให้แป้งคงตัว
5.
เปิดเตาที่ไฟปานกลางนาใบเตยมัดเป็นกาแล้วใส่พร้อมตอนลงต้มกะทิในหม้อไปตั้งบนเตา ใส่น้าตาลทราย
น้าตาลปี๊ป และเกลือป่นลงไป หมั่นคนตลอดเวลา จากนั้น
คนจนกะทิเดือดก็นาเม็ดบัวลอยที่เย็นแล้วใส่ลงในหม้อกะทิ คนให้เข้ากัน
รูปที่ 8 ปั้นให้เป็นเม็ดๆ
- 14. 8
6. ตักใส่ถ้วย จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ
บทที่ 4
ผลการดาเนินงาน
ก า ร จั ด ท า ง า น โ ค ร ง ง า น พั ฒ น า สื่ อ เ พื่ อ ก า ร ศึ ก ษ า เ ว็ บ ไ ซ ต์ ก า ร ท า บั วลอย
มีวัตถุปร ะ สงค์เพื่อเผยแพร่ควา มรู้เกี่ยวกับวิธีกา ร ทา บัวลอยและ กา ร ถนอมอา หา ร
เพื่อสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้
รูปที่ 9 ต้มกะทิในหม้อ
รูปที่ 10 นาบัวลอยใส่ลงในหม้อ
รูปที่ 11 บัวลอยเผือก
- 17. 11
บทที่ 5
สรุปผลการดาเนินงาน / ข้อเสนอแนะ
ก า ร จั ด ท า โ ค ร ง ง า น ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ บั ว ล อ ย เ ผื อ ก
สามารถสรุปผลการดาเนินงานโครงงานและข้อเสนอแนะดังนี้
5.1 การดาเนินงานจัดทาโครงงาน
5.1.1 วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1.เพื่อศึกษาวิธีการทาบัวลอย ว่ามีวิธีการทาอย่างไร
2.เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
5.1.2 วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือหรือโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาโครงงาน
1.เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมเชื่อต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
2.ซอฟต์แวร์
-Microsoft Office Word 2013
-Adobe Photoshop CS6
-Internet Browser
5.2 สรุปผลการดาเนินงานโครงงาน
การดาเนินงานโครงงานนี้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้กาหนดไว้ คือ เพื่อศึกษาวิธีการทาบัวลอย
ว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเผยแพร่วิธีการทาบัวลอย ทาให้ผู้คนที่สนใจ ในอาหารชนิดนี้
สามารถปฏิบัติตามได้โดยง่าย อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ ขนมหวานไทย และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
5.3 ข้อเสนอแนะ
ควรมีการจัดทา เนื้อหาของโครงงานให้หลากหลายและมีเนื้อหาที่ออกมาหลายรูปแบบ