More Related Content
Similar to ไตรลักษณ์ (18)
More from ศศิพร แซ่เฮ้ง (20)
ไตรลักษณ์
- 2. ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยะ (อริยกรธรรม) แปลว่ำ ลักษณะ 3 ประกำร หมำยถึงสำมัญลักษณะ คือ กฎธรรมดำของสรรพสิ่งทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจ
ลักษณะ ควำมไม่เที่ยง ทุกสิ่งในโลกย่อมมีกำรแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดำ ทุกขลักษณะ ควำมเป็นทุกข์ คือ มีควำมบีบคั้นด้วยอำนำจของธรรมชำติทำให้ทุกสิ่งไม่สำมำรถ
ทนอยู่ในสภำพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ควำมที่ทุกสิ่งไม่สำมำรถบังคับบัญชำให้เป็นไปตำมต้องกำรได้ เช่น ไม่สำมำรถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่
สำมำรถบังคับจิตใจให้เป็นไปตำมปรำรถนำ เป็นต้น
ไตรลักษณ์ แปลว่ำ “ลักษณะ 3 อย่ำง” หมำยถึงสำมัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขำรทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้ำ
ได้ตรัสรู้ 3 อย่ำง ได้แก่ :-
1. อนิจจตำ (อนิจจลักษณะ) – อำกำรไม่เที่ยง อำกำรไม่คงที่ อำกำรไม่ยั่งยืน อำกำรที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลำยไป อำกำรที่แสดงถึงควำมเป็นสิ่งไม่เที่ยงของขันธ์.
2.ทุกขตำ (ทุกขลักษณะ) – อำกำรเป็นทุกข์ อำกำรที่ถูกบีบคั้นด้วยกำรเกิดขึ้นและสลำยตัว อำกำรที่กดดัน อำกำรฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพรำะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภำพ
เป็นอย่ำงนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภำพนั้นไม่ได้อำกำรที่ไม่สมบูรณ์มีควำมบกพร่องอยู่ในตัว อำกำรที่แสดงถึงควำมเป็นทุกข์ของขันธ์.
3.อนัตตตำ (อนัตตลักษณะ) – อำกำรของอนัตตำ อำกำรของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อำกำรที่ไม่มีตัวตน อำกำรที่แสดงถึงควำมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนำจควบคุม
ของใคร อำกำรที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง อำกำรที่แสดงถึงควำมไม่มีอำนำจแท้จริงในตัวเลย อำกำรที่แสดงถึงควำมด้อยสมรรถภำพโดยสิ้นเชิงไม่มีอำนำจ
กำลังอะไรต้องอำศัย พึงพิงสิ่งอื่นๆมำกมำยจึงมีขึ้นได้.
ลักษณะ 3 อย่ำงนี้ เรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำ สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่มีเสมอกันแก่สังขำรทั้งปวง และเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำ ธรรมนิยาม คือกฎธรรมดำหรือข้อกำหนดที่
แน่นอนของสังขำร
- 3. คำว่ำ ไตรลักษณ์ นี้มำจำกภำษำบำลีว่ำ “ติลกฺขณ” มีกำรวิเครำะห์ศัพท์ดังต่อไปนี้ :-
ติ แปลว่ำ สำม, 3.
ลกฺขณ แปลว่ำ เครื่องทำสัญลักษณ์, เครื่องกำหนด, เครื่องบันทึก, เครื่องทำจุดสังเกต, ตรำประทับ เปรียบได้กับภำษำอังกฤษในคำว่ำ Marker
ติลกฺขณ จึงแปลว่ำ “เครื่องกำหนด 3 อย่ำง” ในแง่ของควำมหมำยแล้ว ตำมคัมภีร์จะพบได้ว่ำ มีธรรมะที่อำจหมำยถึงติลกฺขณอย่ำงน้อย 2 อย่ำง คือ สำมัญญ
ลักษณะ 3 และ สังขตลักษณะ 3 . ในคัมภีร์ชั้นฏีกำ พบว่ำมีกำรอธิบำยเพื่อแยก ลักษณะทั้ง 3 แบบนี้ออกจำกกันอยู่ด้วย[1]. ส่วนในที่นี้ก็คงหมำยถึง
สำมัญญลักษณะตำมศัพท์ว่ำ ติลกฺขณ นั่นเอง.
อนึ่ง นักอภิธรรมชำวไทยนิยมเรียกคำว่ำ สังขตลักษณะ โดยใช้คำว่ำ “อนุขณะ 3” คำนี้มีที่มำไม่ชัดเจนนัก เนื่องจำกยังไม่พบในอรรถกถำและฏีกำของพระ
พุทธโฆสำจำรย์และพระธรรมปำลำจำรย์, และที่พบใช้ก็เป็นควำมหมำยอื่น[2] อำจเป็นศัพท์ใหม่ที่นำมำใช้เพื่อให้สะดวกต่อกำรศึกษำก็เป็นได้. อย่ำงไรก็
ตำม โดยควำมหมำยแล้วคำว่ำอนุขณะนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งกับคัมภีร์รุ่นเก่ำแต่อย่ำงใด.
สำมัญลักษณะ
สำมัญญลักษณะ 3 หมำยถึง เครื่องกำหนดที่มีอยู่ทั่วไปในสังขำรทั้งหมด ได้แก่ อนิจจลักษณะ – เครื่องกำหนดควำมไม่เที่ยงแท้, ทุกขลักษณะ – เครื่อง
กำหนดควำมบีบคั้น, อนัตตลักษณะ – เครื่องกำหนดควำมไม่มีตัวตน.
สำมัญญลักษณะ ยังมีชื่อเรียกอีกว่ำ ธรรมนิยาม คือกฎแห่งธรรม หรือ ข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขำร และบำงอย่ำง คือ อนัตตลักษณะยังเป็นข้อกำหนด
ของวิสังขำร (พระนิพพำน) เป็นต้นอีกด้วย.
อนึ่ง ควรทรำบว่ำ อนิจฺจ กับ อนิจฺจตำ เป็นต้น เป็นศัพท์ที่ใช้คนละควำมหมำยกัน ซึ่งจะได้อธิบำยไว้ในตอนท้ำยของบทควำมนี้ด้วย.
- 4. อนิจจะ กับ อนิจจลักษณะ ไม่เหมือนกัน
ตำมคัมภีร์ฝ่ำยศำสนำท่ำนให้ควำมหมำยของขันธ์กับ ไตรลักษณ์ไว้คู่กัน เพรำะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน[3][4][5][6][7] ดังนี้ :-
อนิจจัง (อนิจฺจ) – หมำยถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภำวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่ำ”อนิจจัง”เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
อนิจจลักษณะ (อนิจฺจตำ,อนิจฺจลกฺขณ) – หมำยถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวอนิจจัง.
อนิจจลักษณะทำให้เรำทรำบได้ว่ำขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ซึ่งได้แก่ อำกำรควำมเปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น อำกำรที่ขันธ์ 5 เคยเกิดขึ้นแล้วเสื่อม
สิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อำกำรที่ขันธ์ 5 เคยมีขึ้นแล้วก็ไม่มีอีกครั้งเป็นต้น.
ในวิสุทธิมรรค ท่ำนได้ยกอนิจจลักษณะจำกปฏิสัมภิทำมรรคมำแสดงไว้ถึง 25 แบบ เรียกว่ำ โต 25 และในพระไตรปิฎกยังมีกำรแสดงอนิจจลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีก
มำกมำย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมำะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติ ธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทำมรรค เพรำะสำมำรถจะจำคำที่คนโบรำณใช้กำหนดกัน
จำกคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่ำนแสดงไว้เป็นต้นว่ำ “จกฺขุ อหุตฺวำ สมฺภูต หุตฺวำ น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ – นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่ำ “จักขุปสำทที่ยังไม่
เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลำยเป็นไม่มีไปอีก”เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะอำกำรที่เปลี่ยนไป จะเป็นกำรกำหนดอนิจจลักษณะ).
ทุกข์ กับ ทุกขลักษณะ ไม่เหมือนกัน
ทุกขัง (ทุกฺข) – หมำยถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภำวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่ำ”ทุกขัง”เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตำ,ทุกฺขลกฺขณ) – หมำยถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวทุกขัง.
ทุกขลักษณะทำให้เรำทรำบได้ว่ำขันธ์ 5 เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ำกลัวมำก ซึ่งได้แก่ อำกำรควำมบีบคั้นบังคับให้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ 5 เช่น อำกำรที่
ขันธ์ 5 บีบบังคับตนจำกที่เคยเกิดขึ้น ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อำกำรที่ขันธ์ 5 จำกที่เคยมีขึ้น ก็ต้องกลับไปเป็นไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.
ในวิสุทธิมรรค ท่ำนได้ยกทุกขลักษณะจำกปฏิสัมภิทำมรรคมำแสดงไว้ถึง 10 แบบ เรียกว่ำ โต 10 และในพระไตรปิฎกยังมีกำรแสดงทุกขลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีก
มำกมำย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมำะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติ ธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทำมรรค เพรำะสำมำรถจะจำคำที่คนโบรำณใช้กำหนดกัน
จำกคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่ำนแสดงไว้เป็นต้นว่ำ “จกฺขุ อหุตฺวำ สมฺภูต หุตฺวำ น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ – นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่ำ “จักขุปสำทที่ยังไม่
เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลำยเป็นไม่มีไปอีก”เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่บีบบังคับตัวเองให้ต้องเปลี่ยนไป ก็จะกลำยเป็นกำรกำหนดทุกขลักษณะ).
- 5. อนัตตา กับ อนัตตลักษณะ ไม่เหมือนกัน
อนัตตำ กับ อนัตตลักษณะ เป็นคนละอย่ำงกัน เพรำะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน
อนัตตลักษณะทำให้เรำทรำบได้ว่ำขันธ์ 5 ไม่มีตัวตน ไร้อำนำจ ไม่มีเนื้อแท้แต่อย่ำงใด ได้แก่ อำกำรที่ไร้อำนำจบังคับตัวเองให้ไม่เปลี่ยนแปลงไปของขันธ์
5 เช่น อำกำรที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ไม่ให้เสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่ไม่ได้, อำกำรที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้มีขึ้นไม่ได้ไม่ให้กลับไปไม่
มีอีกครั้งไม่ได้(บังคับให้ไม่หมดไปไม่ได้) เป็นต้น.
ในวิสุทธิมรรค ท่ำนได้ยกอนัตตลักษณะจำกปฏิสัมภิทำมรรคมำแสดงไว้5 แบบ เรียกว่ำ โต 5 และในพระไตรปิฎกยังมีกำรแสดงอนัตตลักษณะไว้ในแบบ
อื่นๆอีกมำกมำย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมำะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติ ธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทำมรรค เพรำะสำมำรถจะจำคำที่คน
โบรำณใช้กำหนดกันจำกคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่ำนแสดงไว้เป็นต้นว่ำ “จกฺขุ อหุตฺวำ สมฺภูต หุตฺวำ น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ – นักปฏิบัติธรรมย่อม
กำหนดว่ำ “จักขุปสำทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลำยเป็นไม่มีไปอีก”เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่ไรอำนำจบังคับตัวเองใหไม่
เปลี่ยนไปไม่ได้ ก็จะกลำยเป็นกำรกำหนดอนัตตขลักษณะ).
- 7. คำถำมทบทวน
1. ไตรลักษณ์ แปลว่ำ อะไร
ตอบ ลักษณะ 3 อย่ำงหมำยถึงสำมัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือข้อกำหนด หรือสิ่งที่มีประจำอยู่ในตัวของสังขำรทั้งปวงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้ำได้ตรัสรู้ 3 อย่ำง
2. ไตรลักษณ์ นี้มำจำกภำษำบำลีว่ำ อะไร
ตอบ ติลกฺขณ
3. อนิจจตำ หมำยถึงอะไร
ตอบ อำกำรไม่เที่ยง อำกำรไม่คงที่ อำกำรไม่ยั่งยืน อำกำรที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลำยไป
4. ทุกขตำ หมำยถึอะไร
ตอบ อำกำรเป็นทุกข์ อำกำรที่ถูกบีบคั้นด้วยกำรเกิดขึ้นและสลำยตัว อำกำรที่กดดัน อำกำรฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว
5. อนัตตตำ หมำยถึงอะไร
ตอบ อำกำรของอนัตตำ อำกำรของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อำกำรที่ไม่มีตัวตน อำกำรที่แสดงถึงควำมไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนำจควบคุมของใคร
6. ข้อใดเรียกว่ำ ไตรลักษณ์
ตอบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ
7. กำรคิดแบบ ไตรลักษณ์ คือ
ตอบ กำรไม่คงที่ของสิ่งในโลก
8. พระพุทธศำสนำสอนสอนในเรื่อง กฎไตรลักษณ์ เพื่อจุดประสงค์ได
ตอบ ทำให้คำสอนมีเหตุและผล
9. อำกำรของสิ่งไม่ใช่ตัวตน อำกำรที่ไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในอำนำจควบคุมของใครคือ
ตอบ อนัตตตำ
10. ประโยชน์ของกำรเรียนรู้เรื่อง ไตรลักษณ์ คือ
ตอบ -ควำมไม่ประมำททำให้คนไม่ประมำทมัวเมำในวัยว่ำยังหนุ่มสำวในควำมไม่มีโรคและในชีวิตเพรำะควำมตำยอำจมำถึงเมื่อใดก็ได้
-ทำให้เกิดควำมพยำยำมเพื่อที่จะก้ำวไปข้ำงหน้ำแล้วชีวิตย่อมเปลี่ยนแปลงไปในทำงที่ดี
-ควำมไม่เที่ยงแท้ทำให้รู้สภำพควำมเปลี่ยนแปลงในชีวิต