ความสุจริตทางวิชาการ เชื่อมไทยเชื่อมโลก Connect Thailand, Connect the World in The “Academic Honesty”
With Five Tools to Drive The Universities to Build The Smart Graduates
With Integrity
6. 6
แล้วสงวนเวลาสาหรับการทางาน deep work นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แถมยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทางานมากขึ้นด้วย
(ทั้งหมดนี่มีงานวิจัยรองรับหมดเลย!)
เราว่าในบางมุม ความจาเป็นในการใช้ social media
กลายเป็นข้ออ้างที่ทาให้เรา 'เสพติด' มันได้อย่างชอบธรรม
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็แนะนาหลายเทคนิคที่ช่วยให้เรา ลด ละ เลิก
ชีวิตออนไลน์ได้มากขึ้น ไม่ถึงกับตัดออกไปจากชีวิต แค่ใช้อย่างเหมาะสม เช่น
ไม่เปิด social media ค้างไว้เป็น background ในการทางานตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็น email, facebook, line, slack หรืออื่นๆ
ที่เรามักจะเปิดค้างไว้ตลอดทั้งวัน แล้วพอเราเหลือบไปเห็น notification เด้งขึ้นมา
ก็จะเสียสมาธิทันที และยากที่จะอดใจไม่เปิดเข้าไปดูได้
ซึ่งก็ทาให้เสียโฟกัสกับงานที่กาลังทาอยู่
Internet detox หลักการก็เหมือนกับการดีทอกซ์อื่นๆ
ด้วยการกาหนดอย่างน้อยช่วงเวลาหนึ่ง หรือ 1 วันในสัปดาห์ที่เราจะใช้ชีวิตแบบ
offline เพื่อปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ไม่เล่นคอมพิวเตอร์
แล้วทากิจกรรมอื่นๆร่วมกับผู้คนรอบข้าง หรือจะอยู่กับตัวเองก็ได้
วิธีนี้จะทาให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น และฝึกการโฟกัสมากขึ้น
Embrace boredom คือเราไม่จาเป็นต้องฆ่าเวลา
หรือแก้เหงาด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถ feed เฟสบุ๊ค
หรืออินสตาแกรมตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงว่างๆระหว่างวัน เช่น เวลายืนต่อคิว
หรือนั่งรออะไรสักอย่าง ที่แม้ว่าเราจะไม่สามารถทางานอะไรได้ในตอนนั้น
แต่ไม่มีอะไรทาก็ปล่อยให้ไม่มีอะไรทาไปนั่นแหละ
พยายามฝึกฝนให้ตัวเองอยู่ได้เหมือนสมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนให้ได้
หรือถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องอยู่ว่างๆ นานๆ ก็ลองเตรียมหนังสือไปอ่าน
หรือให้หาอะไรไปนั่งทาระหว่างรอแทน
พยายามแยกแยะการใช้งานอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ ออกจากกัน
และพยายามทาให้ตัวเองเข้าถึงมันได้ยากขึ้น เพื่อลดการใช้งานลง เช่น
ลงโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เฉพาะเท่าที่จาเป็นต่อการทางานเท่านั้น
ไม่ต้องมีให้ครบทุกฟังก์ชันจะได้ไม่สติหลุดไปทาอย่างอื่น หรือลองลบบางแอพออก
จากมือถือดูให้เข้าไปใช้ได้ยากขึ้น หรือจะเข้าแอพนี้ได้ต้องเปิดผ่านแท็บเล็ตเท่านั้น
วิธีการเหล่านี้จะช่วยแยกแยะการใช้งานแต่ละอุปกรณ์ของเรา
และไม่ทาให้เราผูกติดด้วยการ sync กันไปหมดทุกอย่าง
(แม้มันจะทาให้สะดวกก็ตาม)
ลองหายไปจาก social media สัก 1
อาทิตย์แบบไม่ต้องบอกใครล่วงหน้าดูสิ ไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเราหายไป!
Deep Work
หรือช่วงที่เราสามารถโฟกัสกับงานได้โดยไม่วอกแวกนั้นมีความสาคัญมากกับผลงา
นหรือ Productivity ของเราอย่างมากเลยทีเดียวครับ
7. 7
ถ้าลองสังเกตดูงานเจ๋งๆ ที่เราทาออกมานั้นใช้เวลาที่ลงมือทาจริงๆ ไม่ได้นานมาก
แต่เวลาในการเตรียมตัวนั้นนานกว่าเยอะมาก
จะว่าไปมันก็เป็นตามกฎ 80:20 คือ 80% ของผลงานมาจากเวลา 20% ที่ทา
ทาไมจึงเป็นแบบนั้นล่ะ
เพราะจังหวะที่เราเข้าสู่โหมด Deep Work ได้
สมองเราจะเหมือนกับเค้นและกลั่นทุกอย่างที่เรามีออกมาให้มากที่สุดเพื่อให้งานตร
งหน้าเป็นการรวมกันของพลังสมอง พลังความคิดสร้างสรรค์
รวมไปถึงพลังของจิตใต้สานึกด้วย ซึ่งสมองเราทาแบบนี้ได้ไม่นานครับ
เพราะมันต้องพักผ่อน
พักผ่อนเพื่อเติมพลังและหาวัตถุดิบใหม่
จะว่าไปเวลาที่เราทางานจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 20% ส่วนอีก 80%
คือเวลาที่ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้เตรียมพร้อมสาหรับงานและเวลาพักครับ
แล้ว Deep Work มันมาตอนไหน
สาหรับคนส่วนใหญ่ ช่วงที่สามารถทา Deep Work ได้ดีที่สุดคือไม่เกิน 3-5
ชั่วโมงหลังตื่นนอน แต่ต้องบอกว่าไม่เสมอไปนะครับ หลายคนมีช่วง Deep Work
ตอนเย็นๆ หรือดึกๆ ก็มี
แต่ที่ผมเจอมาจากการสอบถามส่วนใหญ่คือเวลาที่เรามี Deep Work
ในแต่ละวันนั้นไม่มากครับ ค่าเฉลี่ยของคนปกติคือประมาณ 3 ชั่วโมง
ความจริงของชีวิตคือความสามารถในการโฟกัสของเรานั้น แม้จะยิ่งฝึกยิ่งแข็งแรง
แต่ยังไงมันก็มีขีดจากัดของมัน เหมือนกับกล้ามเนื้อของเราที่ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน
แต่ถ้าทางานหนักเกินไป ยังไงก็ต้องพักแล้วค่อยมาเริ่มทาใหม่
ความสาคัญคือตอนที่เราทางานได้ในแต่ละวันต้องใช้มันให้คุ้มที่สุด
เลือกงานที่สาคัญที่สุดของวัน และให้ Deep Work กับงานนั้น
อะไรคือเคล็ดลับในการสร้าง Deep Work
1. ต้องนอนให้พอ ก่อนสมองเราจะโฟกัสได้ต้องพักให้พอก่อนครับ
มีงานวิจัยมากมายนับไม่ถ้วนแล้วว่าการอดนอนนั้นทาร้ายสมองและทาลายสมาธิมา
กเป็นอันดับต้นๆ
2. หวงแหนเวลาช่วง Deep Work ของคุณ สาหรับคนส่วนใหญ่ที่ Deep Work
มักจะเป็นช่วงเช้า ช่วงเวลานี้จะมี Willpower & Self Control สูง เช่น
เราจะไม่ค่อยอยากกินขนมหรือดูซีรีส์ในทันทีที่ตื่นขึ้นมา
เพราะฉะนั้นจึงควรหาสิ่งที่ยากๆ ใช้สมองเยอะๆ ทาอย่างการจด เขียน อ่าน เช่น
งานวางแผน, การอ่านสัญญา, การเขียน Business Model, ศึกษางานวิจัย ฯลฯ
3. ออกกาลังกายแบบสั้นๆ ก็ได้
แต่ขอให้มีประสิทธิภาพ มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์แบบชัดเจนไว้ว่าการออก
กาลังกายจะทาให้สมองอายุเด็กลง 9-10 ปี
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสาคัญที่สุดครับ
4. ต้องรู้จักพักให้เป็น (Detach From Work) อย่างที่บอกครับ ทางาน 20%
ก็พอแล้วถ้าทาได้ดีจริงๆ ที่เหลือต้องพักและพัฒนาตัวเอง
แต่ขอนิยามคาว่าพักผ่อนหน่อยครับ
8. 8
พักผ่อนในที่นี้คือต้องพักจริงๆ ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาเกี่ยวข้อง
อยู่กับธรรมชาติ อ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ คุยกับมนุษย์จริงๆ แบบไม่ผ่านจอ
สจวร์ต บราวน์ กล่าวไว้ว่าการพักผ่อนเชิง Creativity
ก็สามารถทาให้เกิดการพัฒนาตัวเอง เช่น
การต่อจิ๊กซอว์จะช่วยเรื่องการเพิ่มทักษะการเรียนรู้ การแก้ปัญหากิจกรรมบางอย่าง
เช่น
การเล่นกีฬาเป็นทีมจะช่วยเรื่องการเห็นอกเห็นใจคนอื่นและทักษะการเป็นผู้นา
5.
เข้าใจว่าโทรศัพท์มือถือนั้นคือสารเสพติดที่ทาให้เสียสมาธิมาก การเสียสมาธิคือศัต
รูอันดับหนึ่งของ Productivity ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง Focus ของ แดเนียล
โกลแมน
ทาให้เรารู้ว่าหลายประเทศในเอเชียมีอาการของคนที่เสพติดมือถือเข้าขั้นรุนแรงอยู่
เป็นจานวนมาก
6. หูฟังตัดเสียงกับเพลย์ลิสต์ดีๆ ช่วยจัดการชีวิตได้ดีมาก ช่วงนี้ผมชอบ Piano de
Fondo ใน Spotify มากครับ ผมฟังเกือบทุกวันตอนเช้า
มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกสมองว่าพอได้ยินเพลย์ลิสต์นี้แล้วเราต้องโฟกัสกับงาน
ตรงหน้าแบบไม่วอกแวก
7. การนั่งสมาธิช่วยได้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ผมทดลองกับตัวเองมาแล้ว
อย่างเดือนนี้ผมนั่งสมาธิติดกันมาเกือบทั้งเดือนครับ ตอนนี้เริ่มเห็นผลแล้ว
สิ่งที่เห็นชัดเลยคือถ้าระหว่างวันทางานๆ ไปแล้วเผลอทาเรื่องอื่นที่ไม่สาคัญ เช่น
ท่องเว็บเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวนี้จะรู้ตัวและกลับมาโฟกัสกับงานได้เร็วขึ้นมากครับ
ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่คุณจะมีมากขึ้นอีกอย่างคือ Empathy หรือความเข้าใจคนอื่น
ซึ่งแบ่งเป็นสองแบบ ได้แก่ Cognitive Empathy และ Emotional Empathy
Cognitive Empathy ทาให้เราเห็นโลกผ่านมุมมองของคนอื่น
ทาให้เราเข้าใจสถานการณ์ของเขาได้มากขึ้น
Emotional Empathy ทาให้เรา ‘รู้สึก’ ได้ถึงสิ่งที่คนอื่นรู้สึก
การมี Empathy ทั้งสองแบบเป็นคุณสมบัติสาคัญมากของคนที่จะเป็นผู้นาที่ดีได้
ความเจ๋งของไพรม์ไทม์ก็คือจะเป็นเวลาที่เราจะสามารถ ‘สื่อ’ Empathy
ของเราให้คนอื่นรับรู้ได้มากที่สุด ทั้งคาพูด สีหน้า ท่าทาง อาการ
โฟกัส แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่น
คือส่วนประกอบสาคัญเพื่อไปถึงเป้าหมายของเราให้ได้
การหาโมเมนต์ Deep Work
ให้กับงานสาคัญให้ได้ทุกวันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทาอย่างยิ่ง
ของแบบนี้เหมือนเก็บเล็กผสมน้อยนะครับ
แต่วันหนึ่งผลของมันจะโคตรเจ๋งแบบที่คุณเองยังจะงงเลยครับ
เหมือนกับที่ ออริสัน สเวตต์ มาร์เดน เคยกล่าวไว้ว่า
“One of the secrets of a successful life is to be able to hold all of our
energies upon one point, to focus all of the scattered rays of the
mind upon one place or thing.”