SlideShare a Scribd company logo
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน Deep Work วิธีทางานแนวใหม่ ในยุคแห่งเทคโนโลยี
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ ภาณุพงศ์ คาเหลือง เลขที่ 8 ชั้น ม.6 ห้อง 2
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
ภาณุพงศ์ คาเหลือง เลขที่ 8
2
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
วิธีทางานแนวใหม่ ในยุคแห่งเทคโนโลยี
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Deep Work New ways of working in the age of technology.
ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน ภาณุพงศ์ คาเหลือง
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1 และ 2 ปีการศีกษา 2562
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
สมัยนี้ถ้าหากจะให้รุ่นพี่ในองค์กรพูดถึงพนักงานน้องใหม่ ก็คงจะมีแต่
Stereotype แบบเหมารวมว่าเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ไม่มีมารยาท /
ขาดความรับผิดชอบ / ไม่ค่อยอดทน /
นึกถึงแต่ตัวเอง และอีกสารพัดคาครหาในแง่ลบมากมาย
นั่นก็เพราะว่า ปัญหาหลักในการทางานของคนรุ่นใหม่หรือที่เราเรียนกันจนติดปาก
ว่า ‘ เด็ก Gen-Y ’ ก็คือการลาออกง่ายๆ หรือเปลี่ยนงานบ่อย นั่นเอง
แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปดีๆ แล้วเนี่ย
สาเหตุที่ทาให้คนทางานรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกได้อย่างง่ายดาย
อาจไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดโต่งหรือมีความอดทนต่าเส
มอไปหรอกนะ บางทีพวกเขาอาจรู้สึกว่าองค์กรที่กาลังทางานอยู่นี้
ไม่ใช่ที่ที่เขาจะแสดงความสามารถออกมาได้อย่างอิสระและเต็มที่ต่างหากล่ะซึ่งในโ
ลกการทางานที่มีผู้คนที่มีความแตกต่างและหลากหลายรวมตัวอยู่ด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นความต่างทางอายุ เพศ การศึกษา ประสบการณ์ ฯลฯ
ทาให้หลายครั้งเมื่อคนต่างเจนเนอเรชั่นต้องมาทางานร่วมกัน
ทัศนคติและมุมมองของคนรุ่นเก่า VS
คนรุ่นใหม่อาจเกิดความขัดแย้งหรือคิดเห็นไม่ตรงกันไปบ้าง แต่หากได้ลองเปิดใจ
ลดทิฐิ หรือตัดทัศนคติส่วนออกไป ก็อาจได้มุมมองใหม่ๆ
ว่าคนรุ่นใหม่ก็มีข้อดีและจุดเด่นในการทางานที่สามารถนามาใช้เป็นพลังในการขับเ
คลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปได้เหมือนกัน
คนรุ่นใหม่…
พร้อมเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด… ประโยคนี้คือสิ่งที่อธิบายลักษณ
ะการทางานของคนรุ่นใหม่ได้อย่างดีเลยทีเดียว
เพราะว่าพนักงานเหล่านี้มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง
3
อยากเชี่ยวชาญในด้านอาชีพการทางานของตนเอง แบบนี้พวกเขาเลยมีความพร้อม
ในการเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างเต็มที่
เพื่อนามาใช้ทั้งสาหรับการสร้างสรรค์ผลงาน
รวมถึงเป็นการอัพสกิลเพิ่มพูนความรู้ด้านอื่นๆ
ให้กับตัวเอง อย่างที่สังเกตเห็นกันได้ง่ายๆ
ก็คือพนักงานรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ในองค์กรไม่อายที่จะถามในสิ่งที่ยังไม่รู้
และมีความกระตือรือร้นเวลาที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากรุ่นพี่
ซึ่งสไตล์การทางานแบบนี้ก็จะเอื้อให้ตัวพนักงานเองอัปเดตความรู้ความสามารถให
ม่ๆ อยู่เสมอ และนาสิ่งเหล่านี้ไปช่วยสร้างสิ่งดีๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต
คนรุ่นใหม่… ได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยี
ปัจจุบันนี้คงเถียงไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ประจาวันของมนุษย์ไปแล้ว ซึ่งโลกแห่งการทางานก็เช่นกัน
เพราะฉะนั้นหากองค์กรตัดสินใจคัดเลือกคนรุ่นใหม่เข้ามาทางาน
พวกเขาเหล่านี้ก็จะได้เปรียบเรื่องการใช้เทคโนโลยีได้อย่างชานาญ นั่นก็เพราะว่าค
นรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน
คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่ง Social Media ต่างๆ
พนักงานรุ่นใหม่ก็สามารถใช้ทางานได้อย่างเชี่ยวชาญ ที่สาคัญยังเรียนรู้และเข้าใจเ
ทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
นั่นก็เพราะว่ามีพื้นฐานและความรู้เดิมอยู่แล้วเลยช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเรีย
นรู้ เข้าใจ และจดจาสิ่งสิ่งใหม่ได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาสั้นๆ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้การทางานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. เพื่อศึกษา การทางานแบบ Deep work
3. เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสาคัญของการทางาน
4 เพื่อให้ทราบถึงความได้เปรียบและประโยชน์ของ การทางานแบบ Deep work
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.Deep work ทางานยังไง
2.ทาไมต้องทางานแบบ Deep work
3.Deep work จาเป็นต่อเด็กรุ่นใหม่ยังไง
4.ประโยชน์ของ Deep work
5.ผลของการทา Deep work ดีจริงไหม
4
หลักการและทฤษฎี
1. ความสาคัญของ Deep work : Deep work
เป็นทักษะของการทางานแบบผู้เชี่ยวชาญที่ทางานได้อย่างจดจ่อ
ในภาวะที่ปราศจากสิ่งรบกวน เค้าบอกว่าทักษะนี้มีคุณค่ามากกว่างานทั่วๆไป
(Shallow work) ที่เป็นงานเล็กๆ จุกจิก และต้องถูกรบกวนตลอดเวลาจนเป็ นปกติ
เช่น พวกงานติดต่อประสานงาน ส่งอีเมลล์ social media และอื่นๆ
ซึ่งคนอื่นสามารถเข้ามาทาแทนเราเมื่อไหร่ก็ได้
และนับวันก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์/หุ่นยนต์ ทาให้งานเหล่านี้มีคุณค่าลดลง
แต่ในทางกลับกัน ทักษะ Deep work เป็นทักษะที่มีความสาคัญต่อองค์กร
เพราะช่วยครีเอทสิ่งใหม่ๆ สร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งการเป็น Master
ในด้านใดด้านหนึ่งนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถระดับสูงของสมองมนุษย์
ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยคนอื่นหรือสิ่งอื่น จึงเป็นที่ต้องการในศตวรรษที่ 21
มากกว่าทักษะทางดิจิตอลที่เราเคยเชื่อกันว่าจาเป็นซะอีก
และต้องไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียว แต่ต้องผลิตผลงานออกมาให้เห็น
แถมงานยังต้องมีคุณภาพสูง และทาได้ในระยะเวลาที่จากัดด้วย
ถึงจะมีศักยภาพแข่งขันหรือเรียกว่า Deep work ที่แท้จริงได้
If you don't produce, you won't thrive - no matter how skilled or
talented you are.
2. วิธีการ work deeply : อ่านข้อ 1 แล้วรู้สึกเหมือนต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้น
ถึงจะทาอะไรครบสูตรแบบนั้นได้ แต่หนังสือเรื่องนี้บอกเรามันไม่ใช่เลย
จริงๆทุกคนก็สามารถทาได้ ทุกคนก็เป็นคนธรรมดา
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เวลางานถูกรบกวนด้วยสิ่งต่างๆรอบตัว
จึงทางานไม่ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทาก็คือ
หาวิธีที่เหมาะกับเราแล้วทาให้ตัวเองอยู่ในจุดที่สามารถโฟกัสกับงานที่ทามากๆได้
ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่วิธีการสุดโต่งอย่างการทาตัวให้ติดต่อยากๆ
ด้วยการกลับไปใช้วิธีสื่อสารกันทางจดหมาย โดยให้ contact เฉพาะที่อยู่เท่านั้น
หรือการขังตัวเองไว้ที่ใดที่หนึ่งจนกว่าจะทางานเสร็จ หรือวิธีอื่นๆ
ที่คนดังระดับโลกทา เช่น Bill Gates จะมี Think Weeks ปีละ 2
ครั้งที่จะปลีกวิเวกตัวเองไปอยู่กระท่อมริมน้า
ไม่ทาอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือและคิด
แล้วก็มักจะกลับมาพร้อมกับความคิดโปรเจกต์ใหญ่ๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ
การพาตัวเองเปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
ที่เอื้อต่อการคิดอะไรใหม่ๆ ก็ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้มาก
หรือการเปย์เงินเพื่อบังคับให้ตัวเองทางานให้เสร็จก็ช่วยได้ไม่น้อย เช่น
J.K.Rowling นักเขียนนิยายแฮรี่ พอตเตอร์
ก็ลงทุนจ่ายเงินค่าห้องพักโรงแรมแพงหูฉี่ที่มีวิวมองเห็นปราสาทที่เป็นแรงบันดาลใ
จของเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ จนสุดท้ายหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์เล่มใหม่ก็ออกมาจนได้
เพราะพลังฮึดจากความเสียดายค่าห้องพักที่จ่ายไปแล้วนั่นเอง!
คนทั่วๆไปอย่างเราที่ไม่ได้เป็นนักวิชาการ นักเขียน หรือเจ้าของธุรกิจ
ที่ไม่สามารถจัดการตารางชีวิตไปปลีกวิเวกหรือตัดขาดจากโลกภายนอกได้ขนาดนั้
5
น ก็สามารถเริ่มฝึกฝนทักษะ deep work
ได้ด้วยการฝึกฝนในชีวิตประจาวันให้เป็ นนิสัย ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น Chain method
คือขีดกากบาทสิ่งที่ทาสาเร็จ/โฟกัสได้ในแต่ละวันให้ได้ต่อเนื่องเหมือนเป็นโซ่ขนาด
ยาวที่ถ้าเราไม่อยากให้โซ่ขาด เราก็ต้องทาต่อไปเรื่อยๆทุกวัน เช่น
อาจเริ่มด้วยการเขียนบันทึก Journal
ที่ทาให้เราต้องโฟกัสมากๆอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ยังดี
หรือสร้างตารางเวลาประจาวันที่แน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีช่วงเวลา deep
work ได้ทุกวัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะโฟกัสอย่างมีประสิทธิภาพได้ ก็ต้องไปพร้อมกับการฝึกสมาธิ
เพื่อให้สามารถจดจ่อกับงานได้นานขึ้นด้วย (มันยากตรงนี้!)
3. Busyness vs.
Productivity : ผลผลิตและคุณภาพของงานไม่ได้เกิดจากว่าเราทางานยุ่งแค่ไหน
ตารางงานเราแน่นแค่ไหน
แต่เกิดจากการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าไปกับการโฟกัสอย่างจดจ่อมากแค่ไหนต่างหาก
ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหลีกเลี่ยงการติดต่อกับคนภายนอกทั้งหมด
แล้วอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องมีประชุม ไม่ต้องส่งอีเมลล์ หรือโทรคุยงาน
ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ประสิทธิภาพของงานเกิดจากประสิทธิภาพของการจัดตารางเวลาด้วย
จริงๆที่เรา(ดูเหมือน)ยุ่ง เพราะเราจัดการเวลาไม่เป็นต่างหาก
ซึ่งการทาตัวเองให้ยุ่ง เช่นการแตก task เล็กๆ เป็น 10 ข้อ
แล้วพอหมดวันก็ติ๊กว่าทาได้หมด แล้วก็คิด (หลอกตัวเอง) ว่าวันนี้ productive
มาก ทางานเสร็จได้เยอะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดี
เพราะสุดท้ายงานใหญ่โดยภาพรวมก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรอยู่ดี
เพราะเรามัวแต่ไปภูมิใจกับ task จิปาถะเล็กๆ ที่ทาให้ยุ่งจนหมดวันไป
โดยไม่ได้ทาอะไรนั่นเอง
4. Quit Social Media : เราว่าข้อนี้สาคัญมาก
และเปลี่ยนความคิดเราไปเยอะเลยทีเดียว
ด้วยความดาบสองคมของโลกอินเตอร์เน็ตที่ทาให้เราทางานที่ไหนก็ได้ในโลก
แต่กลับทาให้เรารู้สึกว่าเราต้องทาตัวให้ available online ตลอดเวลา
จนแยกแยะเวลางานกับเวลาส่วนตัวไม่ได้อีกต่อไป อีเมลล์ก็ต้องตอบให้เร็วที่สุด
หัวหน้าหรือลูกค้าไลน์มาเราก็ต้องพร้อมอยู่เสมอ ซึ่งทาให้เรายิ่งถูกรบกวนได้ง่าย
และโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ยากขึ้นอีก
คุณ Cal บอกว่าพฤติกรรมแบบนี้เรียกว่า Any-benefit approach คือ
เรามักจะประเมินว่าสิ่งๆหนึ่งมีประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งกับชีวิตเรามากเกินความ
เป็นจริง ในที่นี้คือเรามักคิดว่าเราขาดอินเตอร์เน็ตไม่ได้
งานของเราต้องทาตัวให้ออนไลน์และเข้าถึงง่ายเข้าไว้สิ
ถึงจะบริการได้ทุกระดับประทับใจ แต่จริงๆเค้าบอกว่าไม่ใช่เลย
ถ้าเราสื่อสารไว้ก่อนให้ชัดเจนและกาหนดเวลาที่แน่นอน ทั้งกับลูกค้า พาร์ทเนอร์
หรือเพื่อนร่วมงาน ว่าเราจะว่างตอบเมลล์หรือคุยงานตอนไหน
6
แล้วสงวนเวลาสาหรับการทางาน deep work นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แถมยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทางานมากขึ้นด้วย
(ทั้งหมดนี่มีงานวิจัยรองรับหมดเลย!)
เราว่าในบางมุม ความจาเป็นในการใช้ social media
กลายเป็นข้ออ้างที่ทาให้เรา 'เสพติด' มันได้อย่างชอบธรรม
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็แนะนาหลายเทคนิคที่ช่วยให้เรา ลด ละ เลิก
ชีวิตออนไลน์ได้มากขึ้น ไม่ถึงกับตัดออกไปจากชีวิต แค่ใช้อย่างเหมาะสม เช่น
 ไม่เปิด social media ค้างไว้เป็น background ในการทางานตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็น email, facebook, line, slack หรืออื่นๆ
ที่เรามักจะเปิดค้างไว้ตลอดทั้งวัน แล้วพอเราเหลือบไปเห็น notification เด้งขึ้นมา
ก็จะเสียสมาธิทันที และยากที่จะอดใจไม่เปิดเข้าไปดูได้
ซึ่งก็ทาให้เสียโฟกัสกับงานที่กาลังทาอยู่
 Internet detox หลักการก็เหมือนกับการดีทอกซ์อื่นๆ
ด้วยการกาหนดอย่างน้อยช่วงเวลาหนึ่ง หรือ 1 วันในสัปดาห์ที่เราจะใช้ชีวิตแบบ
offline เพื่อปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ไม่เล่นคอมพิวเตอร์
แล้วทากิจกรรมอื่นๆร่วมกับผู้คนรอบข้าง หรือจะอยู่กับตัวเองก็ได้
วิธีนี้จะทาให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น และฝึกการโฟกัสมากขึ้น
 Embrace boredom คือเราไม่จาเป็นต้องฆ่าเวลา
หรือแก้เหงาด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถ feed เฟสบุ๊ค
หรืออินสตาแกรมตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงว่างๆระหว่างวัน เช่น เวลายืนต่อคิว
หรือนั่งรออะไรสักอย่าง ที่แม้ว่าเราจะไม่สามารถทางานอะไรได้ในตอนนั้น
แต่ไม่มีอะไรทาก็ปล่อยให้ไม่มีอะไรทาไปนั่นแหละ
พยายามฝึกฝนให้ตัวเองอยู่ได้เหมือนสมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนให้ได้
หรือถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องอยู่ว่างๆ นานๆ ก็ลองเตรียมหนังสือไปอ่าน
หรือให้หาอะไรไปนั่งทาระหว่างรอแทน
 พยายามแยกแยะการใช้งานอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ ออกจากกัน
และพยายามทาให้ตัวเองเข้าถึงมันได้ยากขึ้น เพื่อลดการใช้งานลง เช่น
ลงโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เฉพาะเท่าที่จาเป็นต่อการทางานเท่านั้น
ไม่ต้องมีให้ครบทุกฟังก์ชันจะได้ไม่สติหลุดไปทาอย่างอื่น หรือลองลบบางแอพออก
จากมือถือดูให้เข้าไปใช้ได้ยากขึ้น หรือจะเข้าแอพนี้ได้ต้องเปิดผ่านแท็บเล็ตเท่านั้น
วิธีการเหล่านี้จะช่วยแยกแยะการใช้งานแต่ละอุปกรณ์ของเรา
และไม่ทาให้เราผูกติดด้วยการ sync กันไปหมดทุกอย่าง
(แม้มันจะทาให้สะดวกก็ตาม)
 ลองหายไปจาก social media สัก 1
อาทิตย์แบบไม่ต้องบอกใครล่วงหน้าดูสิ ไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเราหายไป!
Deep Work
หรือช่วงที่เราสามารถโฟกัสกับงานได้โดยไม่วอกแวกนั้นมีความสาคัญมากกับผลงา
นหรือ Productivity ของเราอย่างมากเลยทีเดียวครับ
7
ถ้าลองสังเกตดูงานเจ๋งๆ ที่เราทาออกมานั้นใช้เวลาที่ลงมือทาจริงๆ ไม่ได้นานมาก
แต่เวลาในการเตรียมตัวนั้นนานกว่าเยอะมาก
จะว่าไปมันก็เป็นตามกฎ 80:20 คือ 80% ของผลงานมาจากเวลา 20% ที่ทา
ทาไมจึงเป็นแบบนั้นล่ะ
เพราะจังหวะที่เราเข้าสู่โหมด Deep Work ได้
สมองเราจะเหมือนกับเค้นและกลั่นทุกอย่างที่เรามีออกมาให้มากที่สุดเพื่อให้งานตร
งหน้าเป็นการรวมกันของพลังสมอง พลังความคิดสร้างสรรค์
รวมไปถึงพลังของจิตใต้สานึกด้วย ซึ่งสมองเราทาแบบนี้ได้ไม่นานครับ
เพราะมันต้องพักผ่อน
พักผ่อนเพื่อเติมพลังและหาวัตถุดิบใหม่
จะว่าไปเวลาที่เราทางานจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 20% ส่วนอีก 80%
คือเวลาที่ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้เตรียมพร้อมสาหรับงานและเวลาพักครับ
แล้ว Deep Work มันมาตอนไหน
สาหรับคนส่วนใหญ่ ช่วงที่สามารถทา Deep Work ได้ดีที่สุดคือไม่เกิน 3-5
ชั่วโมงหลังตื่นนอน แต่ต้องบอกว่าไม่เสมอไปนะครับ หลายคนมีช่วง Deep Work
ตอนเย็นๆ หรือดึกๆ ก็มี
แต่ที่ผมเจอมาจากการสอบถามส่วนใหญ่คือเวลาที่เรามี Deep Work
ในแต่ละวันนั้นไม่มากครับ ค่าเฉลี่ยของคนปกติคือประมาณ 3 ชั่วโมง
ความจริงของชีวิตคือความสามารถในการโฟกัสของเรานั้น แม้จะยิ่งฝึกยิ่งแข็งแรง
แต่ยังไงมันก็มีขีดจากัดของมัน เหมือนกับกล้ามเนื้อของเราที่ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน
แต่ถ้าทางานหนักเกินไป ยังไงก็ต้องพักแล้วค่อยมาเริ่มทาใหม่
ความสาคัญคือตอนที่เราทางานได้ในแต่ละวันต้องใช้มันให้คุ้มที่สุด
เลือกงานที่สาคัญที่สุดของวัน และให้ Deep Work กับงานนั้น
อะไรคือเคล็ดลับในการสร้าง Deep Work
1. ต้องนอนให้พอ ก่อนสมองเราจะโฟกัสได้ต้องพักให้พอก่อนครับ
มีงานวิจัยมากมายนับไม่ถ้วนแล้วว่าการอดนอนนั้นทาร้ายสมองและทาลายสมาธิมา
กเป็นอันดับต้นๆ
2. หวงแหนเวลาช่วง Deep Work ของคุณ สาหรับคนส่วนใหญ่ที่ Deep Work
มักจะเป็นช่วงเช้า ช่วงเวลานี้จะมี Willpower & Self Control สูง เช่น
เราจะไม่ค่อยอยากกินขนมหรือดูซีรีส์ในทันทีที่ตื่นขึ้นมา
เพราะฉะนั้นจึงควรหาสิ่งที่ยากๆ ใช้สมองเยอะๆ ทาอย่างการจด เขียน อ่าน เช่น
งานวางแผน, การอ่านสัญญา, การเขียน Business Model, ศึกษางานวิจัย ฯลฯ
3. ออกกาลังกายแบบสั้นๆ ก็ได้
แต่ขอให้มีประสิทธิภาพ มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์แบบชัดเจนไว้ว่าการออก
กาลังกายจะทาให้สมองอายุเด็กลง 9-10 ปี
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสาคัญที่สุดครับ
4. ต้องรู้จักพักให้เป็น (Detach From Work) อย่างที่บอกครับ ทางาน 20%
ก็พอแล้วถ้าทาได้ดีจริงๆ ที่เหลือต้องพักและพัฒนาตัวเอง
แต่ขอนิยามคาว่าพักผ่อนหน่อยครับ
8
พักผ่อนในที่นี้คือต้องพักจริงๆ ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาเกี่ยวข้อง
อยู่กับธรรมชาติ อ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ คุยกับมนุษย์จริงๆ แบบไม่ผ่านจอ
สจวร์ต บราวน์ กล่าวไว้ว่าการพักผ่อนเชิง Creativity
ก็สามารถทาให้เกิดการพัฒนาตัวเอง เช่น
การต่อจิ๊กซอว์จะช่วยเรื่องการเพิ่มทักษะการเรียนรู้ การแก้ปัญหากิจกรรมบางอย่าง
เช่น
การเล่นกีฬาเป็นทีมจะช่วยเรื่องการเห็นอกเห็นใจคนอื่นและทักษะการเป็นผู้นา
5.
เข้าใจว่าโทรศัพท์มือถือนั้นคือสารเสพติดที่ทาให้เสียสมาธิมาก การเสียสมาธิคือศัต
รูอันดับหนึ่งของ Productivity ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง Focus ของ แดเนียล
โกลแมน
ทาให้เรารู้ว่าหลายประเทศในเอเชียมีอาการของคนที่เสพติดมือถือเข้าขั้นรุนแรงอยู่
เป็นจานวนมาก
6. หูฟังตัดเสียงกับเพลย์ลิสต์ดีๆ ช่วยจัดการชีวิตได้ดีมาก ช่วงนี้ผมชอบ Piano de
Fondo ใน Spotify มากครับ ผมฟังเกือบทุกวันตอนเช้า
มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกสมองว่าพอได้ยินเพลย์ลิสต์นี้แล้วเราต้องโฟกัสกับงาน
ตรงหน้าแบบไม่วอกแวก
7. การนั่งสมาธิช่วยได้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ผมทดลองกับตัวเองมาแล้ว
อย่างเดือนนี้ผมนั่งสมาธิติดกันมาเกือบทั้งเดือนครับ ตอนนี้เริ่มเห็นผลแล้ว
สิ่งที่เห็นชัดเลยคือถ้าระหว่างวันทางานๆ ไปแล้วเผลอทาเรื่องอื่นที่ไม่สาคัญ เช่น
ท่องเว็บเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวนี้จะรู้ตัวและกลับมาโฟกัสกับงานได้เร็วขึ้นมากครับ
ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่คุณจะมีมากขึ้นอีกอย่างคือ Empathy หรือความเข้าใจคนอื่น
ซึ่งแบ่งเป็นสองแบบ ได้แก่ Cognitive Empathy และ Emotional Empathy
Cognitive Empathy ทาให้เราเห็นโลกผ่านมุมมองของคนอื่น
ทาให้เราเข้าใจสถานการณ์ของเขาได้มากขึ้น
Emotional Empathy ทาให้เรา ‘รู้สึก’ ได้ถึงสิ่งที่คนอื่นรู้สึก
การมี Empathy ทั้งสองแบบเป็นคุณสมบัติสาคัญมากของคนที่จะเป็นผู้นาที่ดีได้
ความเจ๋งของไพรม์ไทม์ก็คือจะเป็นเวลาที่เราจะสามารถ ‘สื่อ’ Empathy
ของเราให้คนอื่นรับรู้ได้มากที่สุด ทั้งคาพูด สีหน้า ท่าทาง อาการ
โฟกัส แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่น
คือส่วนประกอบสาคัญเพื่อไปถึงเป้าหมายของเราให้ได้
การหาโมเมนต์ Deep Work
ให้กับงานสาคัญให้ได้ทุกวันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทาอย่างยิ่ง
ของแบบนี้เหมือนเก็บเล็กผสมน้อยนะครับ
แต่วันหนึ่งผลของมันจะโคตรเจ๋งแบบที่คุณเองยังจะงงเลยครับ
เหมือนกับที่ ออริสัน สเวตต์ มาร์เดน เคยกล่าวไว้ว่า
“One of the secrets of a successful life is to be able to hold all of our
energies upon one point, to focus all of the scattered rays of the
mind upon one place or thing.”
9
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
__________________________________________________
_________________
__________________________________________________
_________________
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
__________________________________________________
_________________
__________________________________________________
_________________
__________________________________________________
_________________
งบประมาณ
__________________________________________________
_________________
__________________________________________________
_________________
______________________________________________________
_____________
__________________________________________________
________________
__________________________________________________
_________________
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลา
ดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดช
อบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
1
2
1
3
1
4
1
5
1
6
1
7
1 คิดหัวข้อโครงงา
น
2 ศึกษาและค้นคว้า
ข้อมูล
10
3 จัดทาโครงร่างงา
น
4 ปฏิบัติการสร้างโ
ครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรา
ยงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
สถานที่ดาเนินการ
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
11
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________
______________________________________________________
___________________

More Related Content

What's hot

รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพรายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
Znackiie Rn
 
Projectm6 2-2556
Projectm6 2-2556Projectm6 2-2556
Projectm6 2-2556tangmottmm
 
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์Sky Aloha'
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องTheeraWat JanWan
 
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
Peerada Hemmun
 
2559 project paradon
2559 project paradon2559 project paradon
2559 project paradon
Paradon Boonme
 
ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8
ninjynoppy39
 
รายงานโครงงานคอมพิว
รายงานโครงงานคอมพิวรายงานโครงงานคอมพิว
รายงานโครงงานคอมพิวAi Promsopha
 
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์แบบโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์Teeraphat Jitihiwan
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์Kittichai Pinlert
 
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์โครงร่างงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์Manatchariyaa Thongmuangsak
 

What's hot (15)

อติมา อุ่นจิตร
อติมา  อุ่นจิตรอติมา  อุ่นจิตร
อติมา อุ่นจิตร
 
แบบเสนอดครงงาน
แบบเสนอดครงงานแบบเสนอดครงงาน
แบบเสนอดครงงาน
 
รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพรายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
รายงาน เรื่อง โครงงานสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) : เทคนิคการถ่ายภาพ
 
Projectm6 2-2556
Projectm6 2-2556Projectm6 2-2556
Projectm6 2-2556
 
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่าง โครงงานคอมพิวเตอร์
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
โครงร่างโครงงาน เสร็จสมบูรณ์
 
2559 project paradon
2559 project paradon2559 project paradon
2559 project paradon
 
Com
ComCom
Com
 
ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8ใบงานที่ 2-8
ใบงานที่ 2-8
 
รายงานโครงงานคอมพิว
รายงานโครงงานคอมพิวรายงานโครงงานคอมพิว
รายงานโครงงานคอมพิว
 
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์แบบโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบโครงงานคอมพิวเตอร์
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์โครงร่างงานคอมพิวเตอร์
โครงร่างงานคอมพิวเตอร์
 

Similar to The Deep work

Final1
Final1Final1
genius and autism
genius and autismgenius and autism
genius and autism
pimchanoknakaget
 
2562 final-project 12
2562 final-project 122562 final-project 12
2562 final-project 12
PuwanutPingmuang2
 
2562 final-project 06
2562 final-project 062562 final-project 06
2562 final-project 06
thanakitthuedee
 
2562 final-project 12
2562 final-project 122562 final-project 12
2562 final-project 12
PuwanutPingmuang2
 
2562 final-project 02-rungtiwa-finally
2562 final-project 02-rungtiwa-finally2562 final-project 02-rungtiwa-finally
2562 final-project 02-rungtiwa-finally
RungtiwaWongchai
 
2562 final-project 02-rungtiwa
2562 final-project 02-rungtiwa2562 final-project 02-rungtiwa
2562 final-project 02-rungtiwa
RungtiwaWongchai
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project
Guy Rotthapol
 
2562 final-project 612-42
2562 final-project 612-422562 final-project 612-42
2562 final-project 612-42
jeeranuntacharoen
 
2562 final-project 37
2562 final-project 372562 final-project 37
2562 final-project 37
Tina Nyd
 
2562 final-project 37
2562 final-project 372562 final-project 37
2562 final-project 37
guntjetnipat
 
LGBTQ
LGBTQLGBTQ
คอมม
คอมมคอมม
คอมม
propsets
 
2562 final-project-31 (1)
2562 final-project-31 (1)2562 final-project-31 (1)
2562 final-project-31 (1)
KUMBELL
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
RungtiwaWongchai
 
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
napatsorn phoosuea
 
2562 final-project (2)
2562 final-project  (2)2562 final-project  (2)
2562 final-project (2)
ssuser0bce3f
 
2562 final-project-32
2562 final-project-322562 final-project-32
2562 final-project-32
ssuser015151
 
2562 final-project 45
2562 final-project 452562 final-project 45
2562 final-project 45
fortyyfivee
 
2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win
mrpainaty
 

Similar to The Deep work (20)

Final1
Final1Final1
Final1
 
genius and autism
genius and autismgenius and autism
genius and autism
 
2562 final-project 12
2562 final-project 122562 final-project 12
2562 final-project 12
 
2562 final-project 06
2562 final-project 062562 final-project 06
2562 final-project 06
 
2562 final-project 12
2562 final-project 122562 final-project 12
2562 final-project 12
 
2562 final-project 02-rungtiwa-finally
2562 final-project 02-rungtiwa-finally2562 final-project 02-rungtiwa-finally
2562 final-project 02-rungtiwa-finally
 
2562 final-project 02-rungtiwa
2562 final-project 02-rungtiwa2562 final-project 02-rungtiwa
2562 final-project 02-rungtiwa
 
2558 project
2558 project 2558 project
2558 project
 
2562 final-project 612-42
2562 final-project 612-422562 final-project 612-42
2562 final-project 612-42
 
2562 final-project 37
2562 final-project 372562 final-project 37
2562 final-project 37
 
2562 final-project 37
2562 final-project 372562 final-project 37
2562 final-project 37
 
LGBTQ
LGBTQLGBTQ
LGBTQ
 
คอมม
คอมมคอมม
คอมม
 
2562 final-project-31 (1)
2562 final-project-31 (1)2562 final-project-31 (1)
2562 final-project-31 (1)
 
โครงงานคอม
โครงงานคอมโครงงานคอม
โครงงานคอม
 
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
โครงงานทำไมนอนนานๆแล้วยังง่วงอยู่
 
2562 final-project (2)
2562 final-project  (2)2562 final-project  (2)
2562 final-project (2)
 
2562 final-project-32
2562 final-project-322562 final-project-32
2562 final-project-32
 
2562 final-project 45
2562 final-project 452562 final-project 45
2562 final-project 45
 
2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win2562 final-project 123 win
2562 final-project 123 win
 

Recently uploaded

โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
SweetdelMelon
 
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdfความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
Pattie Pattie
 
Artificial Intelligence in Education2.pdf
Artificial Intelligence in Education2.pdfArtificial Intelligence in Education2.pdf
Artificial Intelligence in Education2.pdf
Prachyanun Nilsook
 
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
NuttavutThongjor1
 
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
Postharvest Technology Innovation Center
 
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.pptโรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
pakpoomounhalekjit
 
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdfRecap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
NuttavutThongjor1
 
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกันbio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
CholapruekSangkamane1
 

Recently uploaded (8)

โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
โครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิตโครงงานคณิต...
 
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdfความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
ความสุจริตทางวิชาการ “เชื่อมไทยเชื่อมโลก”.pdf
 
Artificial Intelligence in Education2.pdf
Artificial Intelligence in Education2.pdfArtificial Intelligence in Education2.pdf
Artificial Intelligence in Education2.pdf
 
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
Fullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack Nest.js and Next.js.pdfFullstack N...
 
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
กำหนดการ การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 21
 
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.pptโรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
โรคทางพันธุกรรมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.ppt
 
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdfRecap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
Recap JavaScript and TypeScript.pdf Recap JavaScript and TypeScript.pdf
 
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกันbio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
bio62สอวน.ชีววิทยา-ชีววิทยาปี62-ข้อสอบแข่งกัน
 

The Deep work

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5 ปีการศึกษา 2562 ชื่อโครงงาน Deep Work วิธีทางานแนวใหม่ ในยุคแห่งเทคโนโลยี ชื่อผู้ทาโครงงาน ชื่อ ภาณุพงศ์ คาเหลือง เลขที่ 8 ชั้น ม.6 ห้อง 2 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม ภาณุพงศ์ คาเหลือง เลขที่ 8
  • 2. 2 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) วิธีทางานแนวใหม่ ในยุคแห่งเทคโนโลยี ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Deep Work New ways of working in the age of technology. ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน ภาณุพงศ์ คาเหลือง ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1 และ 2 ปีการศีกษา 2562 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน สมัยนี้ถ้าหากจะให้รุ่นพี่ในองค์กรพูดถึงพนักงานน้องใหม่ ก็คงจะมีแต่ Stereotype แบบเหมารวมว่าเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ไม่มีมารยาท / ขาดความรับผิดชอบ / ไม่ค่อยอดทน / นึกถึงแต่ตัวเอง และอีกสารพัดคาครหาในแง่ลบมากมาย นั่นก็เพราะว่า ปัญหาหลักในการทางานของคนรุ่นใหม่หรือที่เราเรียนกันจนติดปาก ว่า ‘ เด็ก Gen-Y ’ ก็คือการลาออกง่ายๆ หรือเปลี่ยนงานบ่อย นั่นเอง แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปดีๆ แล้วเนี่ย สาเหตุที่ทาให้คนทางานรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกได้อย่างง่ายดาย อาจไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองแบบสุดโต่งหรือมีความอดทนต่าเส มอไปหรอกนะ บางทีพวกเขาอาจรู้สึกว่าองค์กรที่กาลังทางานอยู่นี้ ไม่ใช่ที่ที่เขาจะแสดงความสามารถออกมาได้อย่างอิสระและเต็มที่ต่างหากล่ะซึ่งในโ ลกการทางานที่มีผู้คนที่มีความแตกต่างและหลากหลายรวมตัวอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความต่างทางอายุ เพศ การศึกษา ประสบการณ์ ฯลฯ ทาให้หลายครั้งเมื่อคนต่างเจนเนอเรชั่นต้องมาทางานร่วมกัน ทัศนคติและมุมมองของคนรุ่นเก่า VS คนรุ่นใหม่อาจเกิดความขัดแย้งหรือคิดเห็นไม่ตรงกันไปบ้าง แต่หากได้ลองเปิดใจ ลดทิฐิ หรือตัดทัศนคติส่วนออกไป ก็อาจได้มุมมองใหม่ๆ ว่าคนรุ่นใหม่ก็มีข้อดีและจุดเด่นในการทางานที่สามารถนามาใช้เป็นพลังในการขับเ คลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปได้เหมือนกัน คนรุ่นใหม่… พร้อมเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด… ประโยคนี้คือสิ่งที่อธิบายลักษณ ะการทางานของคนรุ่นใหม่ได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะว่าพนักงานเหล่านี้มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง
  • 3. 3 อยากเชี่ยวชาญในด้านอาชีพการทางานของตนเอง แบบนี้พวกเขาเลยมีความพร้อม ในการเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างเต็มที่ เพื่อนามาใช้ทั้งสาหรับการสร้างสรรค์ผลงาน รวมถึงเป็นการอัพสกิลเพิ่มพูนความรู้ด้านอื่นๆ ให้กับตัวเอง อย่างที่สังเกตเห็นกันได้ง่ายๆ ก็คือพนักงานรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ในองค์กรไม่อายที่จะถามในสิ่งที่ยังไม่รู้ และมีความกระตือรือร้นเวลาที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากรุ่นพี่ ซึ่งสไตล์การทางานแบบนี้ก็จะเอื้อให้ตัวพนักงานเองอัปเดตความรู้ความสามารถให ม่ๆ อยู่เสมอ และนาสิ่งเหล่านี้ไปช่วยสร้างสิ่งดีๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรในอนาคต คนรุ่นใหม่… ได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยี ปัจจุบันนี้คงเถียงไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ประจาวันของมนุษย์ไปแล้ว ซึ่งโลกแห่งการทางานก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นหากองค์กรตัดสินใจคัดเลือกคนรุ่นใหม่เข้ามาทางาน พวกเขาเหล่านี้ก็จะได้เปรียบเรื่องการใช้เทคโนโลยีได้อย่างชานาญ นั่นก็เพราะว่าค นรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่ง Social Media ต่างๆ พนักงานรุ่นใหม่ก็สามารถใช้ทางานได้อย่างเชี่ยวชาญ ที่สาคัญยังเรียนรู้และเข้าใจเ ทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่ามีพื้นฐานและความรู้เดิมอยู่แล้วเลยช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเรีย นรู้ เข้าใจ และจดจาสิ่งสิ่งใหม่ได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาสั้นๆ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้การทางานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 2. เพื่อศึกษา การทางานแบบ Deep work 3. เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสาคัญของการทางาน 4 เพื่อให้ทราบถึงความได้เปรียบและประโยชน์ของ การทางานแบบ Deep work ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1.Deep work ทางานยังไง 2.ทาไมต้องทางานแบบ Deep work 3.Deep work จาเป็นต่อเด็กรุ่นใหม่ยังไง 4.ประโยชน์ของ Deep work 5.ผลของการทา Deep work ดีจริงไหม
  • 4. 4 หลักการและทฤษฎี 1. ความสาคัญของ Deep work : Deep work เป็นทักษะของการทางานแบบผู้เชี่ยวชาญที่ทางานได้อย่างจดจ่อ ในภาวะที่ปราศจากสิ่งรบกวน เค้าบอกว่าทักษะนี้มีคุณค่ามากกว่างานทั่วๆไป (Shallow work) ที่เป็นงานเล็กๆ จุกจิก และต้องถูกรบกวนตลอดเวลาจนเป็ นปกติ เช่น พวกงานติดต่อประสานงาน ส่งอีเมลล์ social media และอื่นๆ ซึ่งคนอื่นสามารถเข้ามาทาแทนเราเมื่อไหร่ก็ได้ และนับวันก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์/หุ่นยนต์ ทาให้งานเหล่านี้มีคุณค่าลดลง แต่ในทางกลับกัน ทักษะ Deep work เป็นทักษะที่มีความสาคัญต่อองค์กร เพราะช่วยครีเอทสิ่งใหม่ๆ สร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งการเป็น Master ในด้านใดด้านหนึ่งนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถระดับสูงของสมองมนุษย์ ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยคนอื่นหรือสิ่งอื่น จึงเป็นที่ต้องการในศตวรรษที่ 21 มากกว่าทักษะทางดิจิตอลที่เราเคยเชื่อกันว่าจาเป็นซะอีก และต้องไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียว แต่ต้องผลิตผลงานออกมาให้เห็น แถมงานยังต้องมีคุณภาพสูง และทาได้ในระยะเวลาที่จากัดด้วย ถึงจะมีศักยภาพแข่งขันหรือเรียกว่า Deep work ที่แท้จริงได้ If you don't produce, you won't thrive - no matter how skilled or talented you are. 2. วิธีการ work deeply : อ่านข้อ 1 แล้วรู้สึกเหมือนต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้น ถึงจะทาอะไรครบสูตรแบบนั้นได้ แต่หนังสือเรื่องนี้บอกเรามันไม่ใช่เลย จริงๆทุกคนก็สามารถทาได้ ทุกคนก็เป็นคนธรรมดา เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เวลางานถูกรบกวนด้วยสิ่งต่างๆรอบตัว จึงทางานไม่ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทาก็คือ หาวิธีที่เหมาะกับเราแล้วทาให้ตัวเองอยู่ในจุดที่สามารถโฟกัสกับงานที่ทามากๆได้ ซึ่งก็มีหลายวิธี ตั้งแต่วิธีการสุดโต่งอย่างการทาตัวให้ติดต่อยากๆ ด้วยการกลับไปใช้วิธีสื่อสารกันทางจดหมาย โดยให้ contact เฉพาะที่อยู่เท่านั้น หรือการขังตัวเองไว้ที่ใดที่หนึ่งจนกว่าจะทางานเสร็จ หรือวิธีอื่นๆ ที่คนดังระดับโลกทา เช่น Bill Gates จะมี Think Weeks ปีละ 2 ครั้งที่จะปลีกวิเวกตัวเองไปอยู่กระท่อมริมน้า ไม่ทาอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือและคิด แล้วก็มักจะกลับมาพร้อมกับความคิดโปรเจกต์ใหญ่ๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ การพาตัวเองเปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่เอื้อต่อการคิดอะไรใหม่ๆ ก็ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้มาก หรือการเปย์เงินเพื่อบังคับให้ตัวเองทางานให้เสร็จก็ช่วยได้ไม่น้อย เช่น J.K.Rowling นักเขียนนิยายแฮรี่ พอตเตอร์ ก็ลงทุนจ่ายเงินค่าห้องพักโรงแรมแพงหูฉี่ที่มีวิวมองเห็นปราสาทที่เป็นแรงบันดาลใ จของเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ จนสุดท้ายหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์เล่มใหม่ก็ออกมาจนได้ เพราะพลังฮึดจากความเสียดายค่าห้องพักที่จ่ายไปแล้วนั่นเอง! คนทั่วๆไปอย่างเราที่ไม่ได้เป็นนักวิชาการ นักเขียน หรือเจ้าของธุรกิจ ที่ไม่สามารถจัดการตารางชีวิตไปปลีกวิเวกหรือตัดขาดจากโลกภายนอกได้ขนาดนั้
  • 5. 5 น ก็สามารถเริ่มฝึกฝนทักษะ deep work ได้ด้วยการฝึกฝนในชีวิตประจาวันให้เป็ นนิสัย ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น Chain method คือขีดกากบาทสิ่งที่ทาสาเร็จ/โฟกัสได้ในแต่ละวันให้ได้ต่อเนื่องเหมือนเป็นโซ่ขนาด ยาวที่ถ้าเราไม่อยากให้โซ่ขาด เราก็ต้องทาต่อไปเรื่อยๆทุกวัน เช่น อาจเริ่มด้วยการเขียนบันทึก Journal ที่ทาให้เราต้องโฟกัสมากๆอย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ยังดี หรือสร้างตารางเวลาประจาวันที่แน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีช่วงเวลา deep work ได้ทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะโฟกัสอย่างมีประสิทธิภาพได้ ก็ต้องไปพร้อมกับการฝึกสมาธิ เพื่อให้สามารถจดจ่อกับงานได้นานขึ้นด้วย (มันยากตรงนี้!) 3. Busyness vs. Productivity : ผลผลิตและคุณภาพของงานไม่ได้เกิดจากว่าเราทางานยุ่งแค่ไหน ตารางงานเราแน่นแค่ไหน แต่เกิดจากการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าไปกับการโฟกัสอย่างจดจ่อมากแค่ไหนต่างหาก ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องหลีกเลี่ยงการติดต่อกับคนภายนอกทั้งหมด แล้วอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องมีประชุม ไม่ต้องส่งอีเมลล์ หรือโทรคุยงาน ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ประสิทธิภาพของงานเกิดจากประสิทธิภาพของการจัดตารางเวลาด้วย จริงๆที่เรา(ดูเหมือน)ยุ่ง เพราะเราจัดการเวลาไม่เป็นต่างหาก ซึ่งการทาตัวเองให้ยุ่ง เช่นการแตก task เล็กๆ เป็น 10 ข้อ แล้วพอหมดวันก็ติ๊กว่าทาได้หมด แล้วก็คิด (หลอกตัวเอง) ว่าวันนี้ productive มาก ทางานเสร็จได้เยอะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะสุดท้ายงานใหญ่โดยภาพรวมก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรอยู่ดี เพราะเรามัวแต่ไปภูมิใจกับ task จิปาถะเล็กๆ ที่ทาให้ยุ่งจนหมดวันไป โดยไม่ได้ทาอะไรนั่นเอง 4. Quit Social Media : เราว่าข้อนี้สาคัญมาก และเปลี่ยนความคิดเราไปเยอะเลยทีเดียว ด้วยความดาบสองคมของโลกอินเตอร์เน็ตที่ทาให้เราทางานที่ไหนก็ได้ในโลก แต่กลับทาให้เรารู้สึกว่าเราต้องทาตัวให้ available online ตลอดเวลา จนแยกแยะเวลางานกับเวลาส่วนตัวไม่ได้อีกต่อไป อีเมลล์ก็ต้องตอบให้เร็วที่สุด หัวหน้าหรือลูกค้าไลน์มาเราก็ต้องพร้อมอยู่เสมอ ซึ่งทาให้เรายิ่งถูกรบกวนได้ง่าย และโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ยากขึ้นอีก คุณ Cal บอกว่าพฤติกรรมแบบนี้เรียกว่า Any-benefit approach คือ เรามักจะประเมินว่าสิ่งๆหนึ่งมีประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งกับชีวิตเรามากเกินความ เป็นจริง ในที่นี้คือเรามักคิดว่าเราขาดอินเตอร์เน็ตไม่ได้ งานของเราต้องทาตัวให้ออนไลน์และเข้าถึงง่ายเข้าไว้สิ ถึงจะบริการได้ทุกระดับประทับใจ แต่จริงๆเค้าบอกว่าไม่ใช่เลย ถ้าเราสื่อสารไว้ก่อนให้ชัดเจนและกาหนดเวลาที่แน่นอน ทั้งกับลูกค้า พาร์ทเนอร์ หรือเพื่อนร่วมงาน ว่าเราจะว่างตอบเมลล์หรือคุยงานตอนไหน
  • 6. 6 แล้วสงวนเวลาสาหรับการทางาน deep work นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แถมยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทางานมากขึ้นด้วย (ทั้งหมดนี่มีงานวิจัยรองรับหมดเลย!) เราว่าในบางมุม ความจาเป็นในการใช้ social media กลายเป็นข้ออ้างที่ทาให้เรา 'เสพติด' มันได้อย่างชอบธรรม ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็แนะนาหลายเทคนิคที่ช่วยให้เรา ลด ละ เลิก ชีวิตออนไลน์ได้มากขึ้น ไม่ถึงกับตัดออกไปจากชีวิต แค่ใช้อย่างเหมาะสม เช่น  ไม่เปิด social media ค้างไว้เป็น background ในการทางานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น email, facebook, line, slack หรืออื่นๆ ที่เรามักจะเปิดค้างไว้ตลอดทั้งวัน แล้วพอเราเหลือบไปเห็น notification เด้งขึ้นมา ก็จะเสียสมาธิทันที และยากที่จะอดใจไม่เปิดเข้าไปดูได้ ซึ่งก็ทาให้เสียโฟกัสกับงานที่กาลังทาอยู่  Internet detox หลักการก็เหมือนกับการดีทอกซ์อื่นๆ ด้วยการกาหนดอย่างน้อยช่วงเวลาหนึ่ง หรือ 1 วันในสัปดาห์ที่เราจะใช้ชีวิตแบบ offline เพื่อปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ไม่เล่นคอมพิวเตอร์ แล้วทากิจกรรมอื่นๆร่วมกับผู้คนรอบข้าง หรือจะอยู่กับตัวเองก็ได้ วิธีนี้จะทาให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น และฝึกการโฟกัสมากขึ้น  Embrace boredom คือเราไม่จาเป็นต้องฆ่าเวลา หรือแก้เหงาด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาไถ feed เฟสบุ๊ค หรืออินสตาแกรมตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงว่างๆระหว่างวัน เช่น เวลายืนต่อคิว หรือนั่งรออะไรสักอย่าง ที่แม้ว่าเราจะไม่สามารถทางานอะไรได้ในตอนนั้น แต่ไม่มีอะไรทาก็ปล่อยให้ไม่มีอะไรทาไปนั่นแหละ พยายามฝึกฝนให้ตัวเองอยู่ได้เหมือนสมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนให้ได้ หรือถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องอยู่ว่างๆ นานๆ ก็ลองเตรียมหนังสือไปอ่าน หรือให้หาอะไรไปนั่งทาระหว่างรอแทน  พยายามแยกแยะการใช้งานอุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ ออกจากกัน และพยายามทาให้ตัวเองเข้าถึงมันได้ยากขึ้น เพื่อลดการใช้งานลง เช่น ลงโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เฉพาะเท่าที่จาเป็นต่อการทางานเท่านั้น ไม่ต้องมีให้ครบทุกฟังก์ชันจะได้ไม่สติหลุดไปทาอย่างอื่น หรือลองลบบางแอพออก จากมือถือดูให้เข้าไปใช้ได้ยากขึ้น หรือจะเข้าแอพนี้ได้ต้องเปิดผ่านแท็บเล็ตเท่านั้น วิธีการเหล่านี้จะช่วยแยกแยะการใช้งานแต่ละอุปกรณ์ของเรา และไม่ทาให้เราผูกติดด้วยการ sync กันไปหมดทุกอย่าง (แม้มันจะทาให้สะดวกก็ตาม)  ลองหายไปจาก social media สัก 1 อาทิตย์แบบไม่ต้องบอกใครล่วงหน้าดูสิ ไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเราหายไป! Deep Work หรือช่วงที่เราสามารถโฟกัสกับงานได้โดยไม่วอกแวกนั้นมีความสาคัญมากกับผลงา นหรือ Productivity ของเราอย่างมากเลยทีเดียวครับ
  • 7. 7 ถ้าลองสังเกตดูงานเจ๋งๆ ที่เราทาออกมานั้นใช้เวลาที่ลงมือทาจริงๆ ไม่ได้นานมาก แต่เวลาในการเตรียมตัวนั้นนานกว่าเยอะมาก จะว่าไปมันก็เป็นตามกฎ 80:20 คือ 80% ของผลงานมาจากเวลา 20% ที่ทา ทาไมจึงเป็นแบบนั้นล่ะ เพราะจังหวะที่เราเข้าสู่โหมด Deep Work ได้ สมองเราจะเหมือนกับเค้นและกลั่นทุกอย่างที่เรามีออกมาให้มากที่สุดเพื่อให้งานตร งหน้าเป็นการรวมกันของพลังสมอง พลังความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงพลังของจิตใต้สานึกด้วย ซึ่งสมองเราทาแบบนี้ได้ไม่นานครับ เพราะมันต้องพักผ่อน พักผ่อนเพื่อเติมพลังและหาวัตถุดิบใหม่ จะว่าไปเวลาที่เราทางานจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 20% ส่วนอีก 80% คือเวลาที่ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อให้เตรียมพร้อมสาหรับงานและเวลาพักครับ แล้ว Deep Work มันมาตอนไหน สาหรับคนส่วนใหญ่ ช่วงที่สามารถทา Deep Work ได้ดีที่สุดคือไม่เกิน 3-5 ชั่วโมงหลังตื่นนอน แต่ต้องบอกว่าไม่เสมอไปนะครับ หลายคนมีช่วง Deep Work ตอนเย็นๆ หรือดึกๆ ก็มี แต่ที่ผมเจอมาจากการสอบถามส่วนใหญ่คือเวลาที่เรามี Deep Work ในแต่ละวันนั้นไม่มากครับ ค่าเฉลี่ยของคนปกติคือประมาณ 3 ชั่วโมง ความจริงของชีวิตคือความสามารถในการโฟกัสของเรานั้น แม้จะยิ่งฝึกยิ่งแข็งแรง แต่ยังไงมันก็มีขีดจากัดของมัน เหมือนกับกล้ามเนื้อของเราที่ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน แต่ถ้าทางานหนักเกินไป ยังไงก็ต้องพักแล้วค่อยมาเริ่มทาใหม่ ความสาคัญคือตอนที่เราทางานได้ในแต่ละวันต้องใช้มันให้คุ้มที่สุด เลือกงานที่สาคัญที่สุดของวัน และให้ Deep Work กับงานนั้น อะไรคือเคล็ดลับในการสร้าง Deep Work 1. ต้องนอนให้พอ ก่อนสมองเราจะโฟกัสได้ต้องพักให้พอก่อนครับ มีงานวิจัยมากมายนับไม่ถ้วนแล้วว่าการอดนอนนั้นทาร้ายสมองและทาลายสมาธิมา กเป็นอันดับต้นๆ 2. หวงแหนเวลาช่วง Deep Work ของคุณ สาหรับคนส่วนใหญ่ที่ Deep Work มักจะเป็นช่วงเช้า ช่วงเวลานี้จะมี Willpower & Self Control สูง เช่น เราจะไม่ค่อยอยากกินขนมหรือดูซีรีส์ในทันทีที่ตื่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงควรหาสิ่งที่ยากๆ ใช้สมองเยอะๆ ทาอย่างการจด เขียน อ่าน เช่น งานวางแผน, การอ่านสัญญา, การเขียน Business Model, ศึกษางานวิจัย ฯลฯ 3. ออกกาลังกายแบบสั้นๆ ก็ได้ แต่ขอให้มีประสิทธิภาพ มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์แบบชัดเจนไว้ว่าการออก กาลังกายจะทาให้สมองอายุเด็กลง 9-10 ปี เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสาคัญที่สุดครับ 4. ต้องรู้จักพักให้เป็น (Detach From Work) อย่างที่บอกครับ ทางาน 20% ก็พอแล้วถ้าทาได้ดีจริงๆ ที่เหลือต้องพักและพัฒนาตัวเอง แต่ขอนิยามคาว่าพักผ่อนหน่อยครับ
  • 8. 8 พักผ่อนในที่นี้คือต้องพักจริงๆ ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาเกี่ยวข้อง อยู่กับธรรมชาติ อ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ คุยกับมนุษย์จริงๆ แบบไม่ผ่านจอ สจวร์ต บราวน์ กล่าวไว้ว่าการพักผ่อนเชิง Creativity ก็สามารถทาให้เกิดการพัฒนาตัวเอง เช่น การต่อจิ๊กซอว์จะช่วยเรื่องการเพิ่มทักษะการเรียนรู้ การแก้ปัญหากิจกรรมบางอย่าง เช่น การเล่นกีฬาเป็นทีมจะช่วยเรื่องการเห็นอกเห็นใจคนอื่นและทักษะการเป็นผู้นา 5. เข้าใจว่าโทรศัพท์มือถือนั้นคือสารเสพติดที่ทาให้เสียสมาธิมาก การเสียสมาธิคือศัต รูอันดับหนึ่งของ Productivity ข้อมูลจากหนังสือเรื่อง Focus ของ แดเนียล โกลแมน ทาให้เรารู้ว่าหลายประเทศในเอเชียมีอาการของคนที่เสพติดมือถือเข้าขั้นรุนแรงอยู่ เป็นจานวนมาก 6. หูฟังตัดเสียงกับเพลย์ลิสต์ดีๆ ช่วยจัดการชีวิตได้ดีมาก ช่วงนี้ผมชอบ Piano de Fondo ใน Spotify มากครับ ผมฟังเกือบทุกวันตอนเช้า มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกสมองว่าพอได้ยินเพลย์ลิสต์นี้แล้วเราต้องโฟกัสกับงาน ตรงหน้าแบบไม่วอกแวก 7. การนั่งสมาธิช่วยได้เป็นอย่างมาก เรื่องนี้ผมทดลองกับตัวเองมาแล้ว อย่างเดือนนี้ผมนั่งสมาธิติดกันมาเกือบทั้งเดือนครับ ตอนนี้เริ่มเห็นผลแล้ว สิ่งที่เห็นชัดเลยคือถ้าระหว่างวันทางานๆ ไปแล้วเผลอทาเรื่องอื่นที่ไม่สาคัญ เช่น ท่องเว็บเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวนี้จะรู้ตัวและกลับมาโฟกัสกับงานได้เร็วขึ้นมากครับ ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่คุณจะมีมากขึ้นอีกอย่างคือ Empathy หรือความเข้าใจคนอื่น ซึ่งแบ่งเป็นสองแบบ ได้แก่ Cognitive Empathy และ Emotional Empathy Cognitive Empathy ทาให้เราเห็นโลกผ่านมุมมองของคนอื่น ทาให้เราเข้าใจสถานการณ์ของเขาได้มากขึ้น Emotional Empathy ทาให้เรา ‘รู้สึก’ ได้ถึงสิ่งที่คนอื่นรู้สึก การมี Empathy ทั้งสองแบบเป็นคุณสมบัติสาคัญมากของคนที่จะเป็นผู้นาที่ดีได้ ความเจ๋งของไพรม์ไทม์ก็คือจะเป็นเวลาที่เราจะสามารถ ‘สื่อ’ Empathy ของเราให้คนอื่นรับรู้ได้มากที่สุด ทั้งคาพูด สีหน้า ท่าทาง อาการ โฟกัส แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่น คือส่วนประกอบสาคัญเพื่อไปถึงเป้าหมายของเราให้ได้ การหาโมเมนต์ Deep Work ให้กับงานสาคัญให้ได้ทุกวันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทาอย่างยิ่ง ของแบบนี้เหมือนเก็บเล็กผสมน้อยนะครับ แต่วันหนึ่งผลของมันจะโคตรเจ๋งแบบที่คุณเองยังจะงงเลยครับ เหมือนกับที่ ออริสัน สเวตต์ มาร์เดน เคยกล่าวไว้ว่า “One of the secrets of a successful life is to be able to hold all of our energies upon one point, to focus all of the scattered rays of the mind upon one place or thing.”
  • 9. 9 วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน __________________________________________________ _________________ __________________________________________________ _________________ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ __________________________________________________ _________________ __________________________________________________ _________________ __________________________________________________ _________________ งบประมาณ __________________________________________________ _________________ __________________________________________________ _________________ ______________________________________________________ _____________ __________________________________________________ ________________ __________________________________________________ _________________ ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลา ดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดช อบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 1 2 1 3 1 4 1 5 1 6 1 7 1 คิดหัวข้อโครงงา น 2 ศึกษาและค้นคว้า ข้อมูล
  • 10. 10 3 จัดทาโครงร่างงา น 4 ปฏิบัติการสร้างโ ครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรา ยงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ สถานที่ดาเนินการ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ ______________________________________________________ ___________________ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)