สะเต็มศึกษากับชีวิตประจาวัน
ครูสิรัชชา มีดวง
โรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ ลาพูน
เนื้อหา Content
 ทาไมต้องสะเต็มศึกษา
 สะเต็มศึกษา คืออะไร
 การประยุกต์ใช้ความรู้ 4 สาขาวิชา ในการแก้ปัญหา
 Internet of things
 ระบบสมองกล
ทาไมต้องสะเต็มศึกษา
 ประเทศไทยขาดกาลังคนด้านสะเต็ม (STEM workforce) ที่สอดคล้องกับการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคม
 นักเรียนเห็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องไกลตัว
 ขาดแรงบันดาลใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
สะเต็มศึกษา คืออะไร
 สะเต็มศึกษา คือ แนวทางการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 วิชาได้แก่
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนาความรู้
ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ที่เป็น
ประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต และการทางาน
 คาสาคัญ
 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
 การบูรณาการ
 เชื่อมโยงระหว่าง 4 วิชา กับชีวิตจริงและการทางาน
การออกแบบเชิงวิศวกรรม
การออกแบบเชิงวิศวกรรม vs กระบวนการทางเทคโนโลยี
• การกาหนดปัญหา
• การรวบรวมข้อมูล
• การเลือกวิธีออกแบบ และปฏิบัติการ
• การทดสอบ
• การปรับปรุงแก้ไข
• การประเมินผล
ที่มา: สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพ, หน้า 23
MuLtidisciplinary บูรณาการพหุวิทยาการ: กระติบข้าว
เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะของแต่ละวิชาของสะเต็มแยกกันผ่านหัวข้อหลัก (theme) โดยการอ้างอิงถึงหัวข้อหลักทาให้นักเรียนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชา
Interdisciplinary บูรณาการสหวิทยาการ : กระติบข้าว
 วิทยาศาสตร์ - เรียนเรื่องการถ่ายโอนความร้อน
 คณิตศาสตร์ - เรียนเรื่องการหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงต่าง ๆ
 วิทยาศาสตร์ - นักเรียนทาการทดลองเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเก็บความร้อนของกระติบข้าว
(ทดลองและเก็บข้อมูล)
 คณิตศาสตร์ - นาข้อมูลจากการทดลองไปสร้างกราฟและตีความผลการทดลอง
 เทคโนโลยี - ทดลองออกแบบและสร้างลายสานที่เก็บความร้อนได้นาน
 วิศวกรรม - ออกแบบรูปทรงของกระติบที่เก็บความร้อนได้นาน
เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะที่มีความสอดคล้องกันของวิชาที่เกี่ยวข้องร่วมกันผ่านกิจกรรม
การประยุกต์ใช้ความรู้ 4 สาขาวิชา ในการแก้ปัญหา
ปัญหา
ปัจจุบันในร้านอาหารอีสานหรือเหนือ มักมีการใช้กระติบข้าวเป็นภาชนะใส่
ข้าวเหนียว และมักมีการบรรจุข้าวในถุงพลาสติกก่อนบรรจุลงในกระติบข้าวเพื่อ
ป้องกันข้าวเหนียวติดค้างที่กระติบมีผลให้ทาความสะอาดยาก รัฐบาลต้องการลด
ปริมาณถุงพลาสติกที่ต้องใช้ในการบรรจุข้าวเหนียว และต้องการออกแบบกระติบข้าว
หรือหาวิธีการพัฒนากระติบข้าวที่มีคุณสมบัติลดการติดของข้าวเหนียวเพื่อลดการใช้
ถุงพลาสติกดังกล่าว
Internet of things
 แนวนิด Internet of Things นั้นถูกคิดขึ้นโดย Kevin Ashton ในปี
1999 มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT
 ต่อมาในยุคหลังปี 2000 โลกมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นจานวนมากและมี
การใช้คาว่า Smart ซึ่งในที่นี้คือ smart device, smart grid, smart home, smart
network, smart intelligent transportation ต่างๆเหล่านี้ล้วนมีโครงสร้างพื้นฐาน
ที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตได้
 Kevin นิยามมันไว้ตอนนั้นว่าเป็น “internet-like” หรือพูดง่ายๆก็คืออุปกณ์
อิเล็กทรอนิกส์สามารถสื่อสารพูดคุยกันเองได้ ซึ่งศัพท์คาว่า “Things” ก็แทนอุปกณ์
อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสื่อสารกันได้โดยอาศัยตัว Sensor
สรุป Internet of things
 Internet of Things หรือ IoT คือ สภาพแวดล้อมอันประกอบด้วยสรรพสิ่งที่สามารถสื่อสารและ
เชื่อมต่อกันได้ผ่านโพรโทคอลการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยสรรพสิ่งต่าง ๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้
รับรู้บริบทของสภาพแวดล้อมได้ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและทางานร่วมกันได้ ความสามารถในการสื่อสาร
ของสรรพสิ่งนี้จะนาไปสู่นวัตกรรมและบริการใหม่อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น เซ็นเซอร์ภายในบ้านตรวจจับ
การเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัย และส่งสัญญาณไปสั่งเปิด/ปิดสวิตซ์ไฟตามห้องต่าง ๆ ที่มีคนหรือไม่มีคนอยู่
อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย/ผู้สูงอายุและส่งข้อมูลไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งข้อความเรียก
หน่วยกู้ชีพหรือรถฉุกเฉิน เป็นต้น
ระบบสมองกล
ระบบสมองกลเป็นระบบที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
ที่ใช้ในการทางานของระบบควบคุมอัตโนมัติ ส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์นั้น เราสามารถมองเห็น
ได้ เช่น แผงวงจรควบคุม เซ็นเซอร์ มอเตอร์ ส่วนที่เป็นซอฟต์แวร์นั้น ได้แก่ ชุดคาสั่ง หรือ
โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อให้ระบบสมองกลทางานตามที่ต้องการ

สะเต็มศึกษากับชีวิตประจำวัน

  • 1.
  • 2.
    เนื้อหา Content  ทาไมต้องสะเต็มศึกษา สะเต็มศึกษา คืออะไร  การประยุกต์ใช้ความรู้ 4 สาขาวิชา ในการแก้ปัญหา  Internet of things  ระบบสมองกล
  • 3.
    ทาไมต้องสะเต็มศึกษา  ประเทศไทยขาดกาลังคนด้านสะเต็ม (STEMworkforce) ที่สอดคล้องกับการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม  นักเรียนเห็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องไกลตัว  ขาดแรงบันดาลใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
  • 4.
    สะเต็มศึกษา คืออะไร  สะเต็มศึกษาคือ แนวทางการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 วิชาได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนาความรู้ ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ที่เป็น ประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต และการทางาน  คาสาคัญ  กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม  การบูรณาการ  เชื่อมโยงระหว่าง 4 วิชา กับชีวิตจริงและการทางาน
  • 5.
  • 6.
    การออกแบบเชิงวิศวกรรม vs กระบวนการทางเทคโนโลยี •การกาหนดปัญหา • การรวบรวมข้อมูล • การเลือกวิธีออกแบบ และปฏิบัติการ • การทดสอบ • การปรับปรุงแก้ไข • การประเมินผล ที่มา: สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานพื้นฐานอาชีพ, หน้า 23
  • 7.
    MuLtidisciplinary บูรณาการพหุวิทยาการ: กระติบข้าว เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะของแต่ละวิชาของสะเต็มแยกกันผ่านหัวข้อหลัก(theme) โดยการอ้างอิงถึงหัวข้อหลักทาให้นักเรียนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชา
  • 8.
    Interdisciplinary บูรณาการสหวิทยาการ :กระติบข้าว  วิทยาศาสตร์ - เรียนเรื่องการถ่ายโอนความร้อน  คณิตศาสตร์ - เรียนเรื่องการหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงต่าง ๆ  วิทยาศาสตร์ - นักเรียนทาการทดลองเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเก็บความร้อนของกระติบข้าว (ทดลองและเก็บข้อมูล)  คณิตศาสตร์ - นาข้อมูลจากการทดลองไปสร้างกราฟและตีความผลการทดลอง  เทคโนโลยี - ทดลองออกแบบและสร้างลายสานที่เก็บความร้อนได้นาน  วิศวกรรม - ออกแบบรูปทรงของกระติบที่เก็บความร้อนได้นาน เรียนเนื้อหาและฝึกทักษะที่มีความสอดคล้องกันของวิชาที่เกี่ยวข้องร่วมกันผ่านกิจกรรม
  • 9.
    การประยุกต์ใช้ความรู้ 4 สาขาวิชาในการแก้ปัญหา ปัญหา ปัจจุบันในร้านอาหารอีสานหรือเหนือ มักมีการใช้กระติบข้าวเป็นภาชนะใส่ ข้าวเหนียว และมักมีการบรรจุข้าวในถุงพลาสติกก่อนบรรจุลงในกระติบข้าวเพื่อ ป้องกันข้าวเหนียวติดค้างที่กระติบมีผลให้ทาความสะอาดยาก รัฐบาลต้องการลด ปริมาณถุงพลาสติกที่ต้องใช้ในการบรรจุข้าวเหนียว และต้องการออกแบบกระติบข้าว หรือหาวิธีการพัฒนากระติบข้าวที่มีคุณสมบัติลดการติดของข้าวเหนียวเพื่อลดการใช้ ถุงพลาสติกดังกล่าว
  • 10.
    Internet of things แนวนิด Internet of Things นั้นถูกคิดขึ้นโดย Kevin Ashton ในปี 1999 มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT  ต่อมาในยุคหลังปี 2000 โลกมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นจานวนมากและมี การใช้คาว่า Smart ซึ่งในที่นี้คือ smart device, smart grid, smart home, smart network, smart intelligent transportation ต่างๆเหล่านี้ล้วนมีโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตได้  Kevin นิยามมันไว้ตอนนั้นว่าเป็น “internet-like” หรือพูดง่ายๆก็คืออุปกณ์ อิเล็กทรอนิกส์สามารถสื่อสารพูดคุยกันเองได้ ซึ่งศัพท์คาว่า “Things” ก็แทนอุปกณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสื่อสารกันได้โดยอาศัยตัว Sensor
  • 12.
    สรุป Internet ofthings  Internet of Things หรือ IoT คือ สภาพแวดล้อมอันประกอบด้วยสรรพสิ่งที่สามารถสื่อสารและ เชื่อมต่อกันได้ผ่านโพรโทคอลการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยสรรพสิ่งต่าง ๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้ รับรู้บริบทของสภาพแวดล้อมได้ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและทางานร่วมกันได้ ความสามารถในการสื่อสาร ของสรรพสิ่งนี้จะนาไปสู่นวัตกรรมและบริการใหม่อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น เซ็นเซอร์ภายในบ้านตรวจจับ การเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัย และส่งสัญญาณไปสั่งเปิด/ปิดสวิตซ์ไฟตามห้องต่าง ๆ ที่มีคนหรือไม่มีคนอยู่ อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย/ผู้สูงอายุและส่งข้อมูลไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งข้อความเรียก หน่วยกู้ชีพหรือรถฉุกเฉิน เป็นต้น
  • 13.
    ระบบสมองกล ระบบสมองกลเป็นระบบที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในการทางานของระบบควบคุมอัตโนมัติ ส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์นั้น เราสามารถมองเห็น ได้ เช่น แผงวงจรควบคุม เซ็นเซอร์ มอเตอร์ ส่วนที่เป็นซอฟต์แวร์นั้น ได้แก่ ชุดคาสั่ง หรือ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อให้ระบบสมองกลทางานตามที่ต้องการ