SlideShare a Scribd company logo
1 of 124
Download to read offline
พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับ
พฤติกรรมและการรับรู้
นางสาวณิชากร เส้งสุย
นางสาวจุฑามาส ศิริภักษ์
พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้
 ระบบประสาท
 ระบบกล้ามเนื้อ
 ระบบต่อมไร้ท่อ
 พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ระบบประสาท
ระบบประสาทมีหน้าที่ควบคุมและประสานการทางานของระบบต่าง ๆ
ในร่างกาย เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกหรือความต้องการภายในกระตุ้นระบบ
ประสาทก็จะวิเคราะห์สั่งการ ให้ร่างกายตอบสนอง
หน้าที่ของระบบประสาท
1. รวบรวมข้อมูล
2. นาส่งข้อมูล
3. วิเคราะห์ข้อมูล
4. ส่งงานไปยังระบบต่าง ๆ
เปรียบเทียบกับระบบการทางานของ
คอมพิวเตอร์
การทางานของระบบประสาท ประกอบด้วย
 สมอง (Brain)
 ไขสันหลัง (Spinal Cord)
 เส้นประสาท (Nerve)
 อวัยวะรับความรู้สึกเฉพาะ (Sense organs)
ระบบประสาท
โครงสร้างของระบบประสาท
แบ่งตามตาแหน่งและโครงสร้างได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. ระบบประสาทส่วนกลาง
(Central nervous system : CNS)
2. ระบบประสาทรอบนอก หรือระบบประสาทส่วนปลาย
(Peripheral nervous system : PNS)
เซลล์ประสาท (Neurons)
เป็นหน่วยย่อยที่สุดในระบบประสาท
 ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น body, dendrites และ axon
 ข้อมูลที่นาส่งเซลล์ประสาทในรูปแบบไฟฟ้า (Electrical signals) ซึ่ง
เรียกว่า impulse การนาส่งข้อมูลจะไปทิศทางเดียวเท่านั้น
ชนิดของเซลล์ประสาท
1. Sensory neurons (Receptor afferent) รับความรู้สึก
มีหน้าที่นาส่ง impulse จาก sense organ ไปยัง CNS
2. Motor neurons (efferent) สั่งการ
มีหน้าที่นาส่ง impulses จาก CNS ไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่าง ๆ ของ
ร่างกาย กล้ามเนื้อก็จะตอบสนองต่อ impulse ด้วยการหดตัว และต่อมจะ
ตอบสนองด้วยการหลั่งสารออกมา
3. Interneurons เชื่อมโยง
เป็นตัวที่เชื่อมต่อระหว่าง sensory และ Motor พบเฉพาะใน CNS
ข้อมูลเมื่อผ่านระบบประสาทจาก
เซลล์ประสาทตัวหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอีก
ตัวหนึ่ง บริเวณรอยต่อของเซลล์ประสาท
2 เส้นเรียกว่า synapse เซลล์ประสาท
นอกจากจะติดต่อกันเองแล้วยังสามารถ
ติดต่อกับเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ต่อมต่าง
ๆ ได้ด้วย
สารสื่อประสาท (Neurotransmitter)
เป็นสารเคมีที่หลั่งจากปลายประสาทตัวหนึ่ง มีผลต่อเซลล์ประสาท
กล้ามเนื้อ และต่อม แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้
1. Excitatory transmitter ออกฤทธิ์กระตุ้นให้อีกเซลล์หนึ่งทางาน
2. Inhibitory transmitter ออกฤทธิ์ยับยั้งการทางานของอีกเซลล์หนึ่ง
3. สารเคมีทั้งที่เป็น Excitatory และ Inhibitory
ระบบประสาทส่วนกลาง
สมอง | ไขสันหลัง
ระบบประสาทส่วนกลาง
ประกอบไปด้วยก้านสมอง
และไขสันหลัง ได้รับการปกป้องใน
กระดูก ไม่ให้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม
ภายนอกโดยตรง
สมอง (Brain)
> เป็นอวัยวะที่ทาหน้าที่ในการปรับและควบคุมการทางานของระบบ
ประสาทและระบบร่างกายอื่น ๆ
> จะรับข้อมูลจากประสาทส่วนปลายและสันหลัง ทาการแปลผล
วิเคราะห์ข้อมูลและสั่งให้ตอบสนองให้เหมาะสม
> นอกจากนี้ยังมีระบบการทางานขั้นสูงอีกหลายประการ เช่น ความ
รู้สึกตัว ความจา และมีส่วนในการกาหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ส่วนต่าง ๆ ของสมองและหน้าที่
1. Cerebaral cortex ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสมอง ประกอบไปด้วย
frontal, parietal, temporal และ occipital lop มีหน้าที่รับและวิเคราะห์
ข้อมูลจากสิ่งที่มากระตุ้นทั้งภายนอกและภายในร่างกาย และแปลผลออกมาใน
รูปแบบของการตอบสนอง
2. Limbic system ประกอบไปด้วยเนื้อสมองส่วนย่อย ๆ หลายส่วน มีหน้าที่ในการ
ประสานสภาวะทางอารมณ์เข้ากับการเคลื่อนไหวและสภาวะทางอารมณ์
3. Midbrain และ Brain stem เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง crebra cortex เข้ากับ
ไขสันหลัง
4. Cerebellum เป็นสมองที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการทรงตัว
Cerebral cortex
มีหน้าที่รับและวิเคราะห์ข้อมูลจากสิ่งที่มา
กระตุ้นทั้งภายนอกและภายในร่างกาย และแปลผล
ออกมาในรูปแบบของการตอบสนอง
1) Frontal lope (สมองส่วนหน้า)
 ตาแหน่งที่ทาหน้าที่หลักในการควบคุม
การเคลื่อนไหว บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมที่
เรียกว่า Motor Area
Cerebral cortex
Cerebral cortex
2) Parietal lope (พาไรเอทัล)
 รับรู้ความรู้สึกจากส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกาย
Cerebral cortex
3) Temporal lop (สมองส่วนขมับ)
 มีตาแหน่งหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน
Cerebral cortex
4) Occipital lope (สมองส่วนหลัง)
 มีตาแหน่งหน้าที่เกี่ยวกับการได้มองเห็น
ไขสันหลัง (Spinal cord)
> เป็นระบบประสาทส่วนกลางที่อยู่ในช่องไขสันหลัง ไขสันหลังเริ่มต้น
จากช่องกระดูกท้ายทอย ลงไปสิ้นสุดมี่ขอบล่างของกระดูกเอว มีความ
ยาวประมาณ 42 – 45 เซนติเมตร
> จานวน 31 คู่ออกจากไขสันหลัง
หน้าที่ของไขสันหลัง
1. เป็นศูนย์กลางของ Spinal reflex
2. ตาแหน่งแรกที่รับสัญญาณประสาทจากระบบความรู้สึกเพื่อส่งต่อไปยัง
สมอง
3. เป็นตาแหน่งสิ้นสุดของสัญญาณประสาทที่มาจากระบบประสาท motor
เนื่องจากมี anterior motor neurons ที่จะเป็นเซลล์ประสาทที่รับคาสั่ง
จาก corticospinal tract และสั่งการไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ
4. ทางเดินของกระแสประสาทที่ติดต่อระหว่างไขสันหลังและสมอง
5. เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทออโตโนมิก
Reflex
เป็นกลไกการตอบสนองที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากถูกกระตุ้น Spinal Reflex
ระบบประสาทส่วนปลาย
PNS
ระบบประสาทส่วนปลายประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
1. Sensory division (afferent)
ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทที่ทาหน้าที่รับสัญญาณประสาททั้ง
ภายในและภายนอกร่างกาย และนาส่งไปยังระบบประสาท
ส่วนกลาง
2. Motor division (efferent)
ทาหน้าที่รับคาสั่งจากส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่าง ๆ
ระบบประสาทส่วนปลายประกอบด้วย
1. Sensory – somatic nervous system ประกอบไปด้วยเส้นประสาท 12 คู่
และเส้นประสาทสันหลัง 31 คู่
1.1 cranial nerve เส้นประสาทสมองทั้ง 12 คู่ ทาหน้าที่รับความรู้สึกและ
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ปาก ลาคอ
1.2 spinal nerves เส้นประสาทสันหลังประกอบไปด้วย sensory และ
motor ซึ่งทางานภายใต้อานาจของจิตใจ
ระบบประสาทส่วนปลายประกอบด้วย (ต่อ)
2. Autonomic nervous system เป็นการควบคุมการทางานของร่างกาย
ภายนอกจิตใจ ประกอบไปด้วย sensory และ motor ซึ่งวิ่งระหว่างระบบ
ประสาทส่วนกลางและอวัยวะภายในต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ
Sympathetic และ parasympathetic nervous system ซึ่งทั้งสองระบบนี้
จะสั่งงานตรงข้ามกันในแต่ละอวัยวะ
2.1 Sympathetic nervous system ถูกกระตุ้นในกรณีฉุกเฉิน ผลจาก
การกระตุ้นเช่นหัวใจเต้นเร็ว เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น การย่อยอาหาร
ลดลง
2.2 parasympathetic nervous system ผลจากการกระตุ้นระบบนี้
ออกฤทธิ์ตรงกันข้ามกับการกระตุ้น หัวใจเต้นช้าลง ลาไส้ทางานมากขึ้น
ระบบกล้ามเนื้อ
ร่างกายแบ่งกล้ามเนื้อออกเป็น 3 ชนิด คือ
- กล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย
- กล้ามเนื้อเรียบ
- กล้ามเนื้อหัวใจ
โดยที่กล้ามเนื้อลายนั้นถูกควบคุมอยู่
ภายใต้อานาจจิตใจหรือรีเฟล็กซ์ ส่วนกล้ามเนื้อ
เรียบและกล้ามเนื้อหัวใจทางานนอกอานาจ
จิตใจ
1. กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก
(skeletonmuscle)
เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะติดกับโครงกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย เช่น
กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา จึงทาหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ
ร่างกายโดยตรง
1. กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก
(skeletonmuscle) (ต่อ)
เมื่อนาเซลล์กล้ามเนื้อเหล่านี้มาศึกษาด้วย กล้องจุลทรรศน์จะ
มองเห็นเป็นแถบลาย เซลล์กล้ามเนื้อนี้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว แต่
ละเซลล์ มีหลายนิวเคลียสอยู่ที่ขอบของเซลล์ มีลายตามขวางสีเข้มและสี
จางสลับกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อย้อมด้วยสี ซึ่งคนที่ออกกาลังเสมอเส้นใย
กล้ามเนื้อจะโตขึ้น และหนาขึ้น แต่จานวนไม่เพิ่มขึ้นการทางานของ
กล้ามเนื้อยึดกระดูกถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก
1. กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก
(skeletonmuscle)(ต่อ)
การทางานของกล้ามเนื้อชนิดนี้ ร่างกายสามารถบังคับได้ ซึ่งถือว่า
อยู่ในอานาจจิตใจ โดยกล้ามเนื้อลายมีหน้าที่เคลื่อนไหวร่างกายที่ข้อต่อ
ต่างๆเคลื่อนไหวลูกตา ช่วยในการเคี้ยวและการกลืน เคลื่อนไหวลิ้น
เคลื่อนไหวใบหน้าแสดงอารมณ์ต่างๆ และยังประกอบเป็นผนังอก และ
ผนังท้องตลอดจนการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ
2.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiacmuscle)
ประกอบเป็นกล้ามเนื้อหัวใจเพียงแห่งเดียวอยู่นอกอานาจจิตใจ โดย
ควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติมีลักษณะเป็นเซลล์รูปทรงกระบอกมี
ลายตามขวางเป็นแถบสีทึบสลับกับสีจาง เซลล์กล้ามเนื้อตอนปลายของ
เซลล์มีการแตกแขนง ไปประสานกับแขนงของเซลล์ใกล้เคียง เซลล์
ทั้งหมดจะหดตัวพร้อมกัน และหดตัวเป็นจังหวะตลอดชีวิต
3.กล้ามเนื้อเรียบ (smoothmuscle)
เป็นกล้ามเนื้อที่พบอยู่ตามอวัยวะภายใน ทาหน้าที่ควบคุมการ
ทางานของอวัยวะย่อยอาหาร และอวัยวะภายในต่างๆ เช่นผนังกระเพาะ
อาหาร ผนังลาไส้ ผนังหลอดเลือด และม่านตา เป็นต้น กล้ามเนื้อเหล่านี้
ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาว หัวท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี 1
นิวเคลียส ไม่มีลายพาดขวาง การทางานของกล้ามเนื้อเรียบถูกควบคุมโดย
ระบบประสาทอิสระ มีลักษณะเป็นเซลล์รูปกระสวย มีนิวเคลียสรูปไข่อยู่
ตรงกลาง
คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ
• มีความรู้สึกต่อสิ่งเร้า (Irritability) คือ สามารถรับ และตอบสนองต่อการ
หดตัวของ กล้ามเนื้อ เช่น กระแสประสาทที่กล้ามเนื้อเวลาที่จับโดนความ
ร้อนหรือ กระแสไฟฟ้า เรามักมีการหนีหรือหลบเลี่ยง
• มีความสามารถที่จะหดตัวได้ (Contractelity) คือ กล้ามเนื้อสามารถ
เปลี่ยนรูปร่างให้สั้นหนา และแข็งได้
คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ(ต่อ)
• มีความสามารถที่จะหย่อนตัวหรือยืดตัวได้ (Extensibility) กล้ามเนื้อ
สามารถ ที่จะเปลี่ยน รูปร่างให้ยาวขึ้นกว่าความยาวปกติของมันได้ เมื่อถูก
ดึง เช่น กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ มดลูก เป็นต้น
• มีความยืดหยุ่นคล้ายยาง (Elasticity) คือ มีคุณสมบัติที่เตรียมพร้อมที่จะ
กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ภายหลังการถูกยืดออกแล้ว
• มีความสามารถที่จะดารงคงที่อยู่ได้ (Tonus) โดยกล้ามเนื้อมีการหดตัว
บ้างเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทางานอยู่เสมอ
การทางานของกล้ามเนื้อ
การทางานของกล้ามเนื้อนั้นจะต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ได้แก่
1. แคลเซียมไอออน หากขาดแล้วจะเกิดอาการชัก
2. พลังงาน ได้จากกระบวนการสลายอาหารภายในเซลล์
3. Myoglobin ทาหน้าที่นาออกซิเจนให้กล้ามเนื้อ
การทางานของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย
กล้ามเนื้อในร่างกายทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 792 มัด เป็นกล้ามเนื้อ
ชนิดที่อยู่ในอานาจจิตใจ 696 มัด ที่เหลืออีก 96 มัด เป็นกล้ามเนื้อที่เรา
บังคับได้ไม่เต็มสมบูรณ์ ซึ่งได้แก่กล้ามเนื้อ ที่ทาหน้าที่ในการ
หายใจ (Respiration) จาม (Sneezing) ไอ (Coughing)
กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
การขยายขนาดของทรวงอกและการลดขนาดของทรวงอก การ
ขยายขนาดทรวงอก จะทาให้เกิดช่องว่าง ซึ่งทาให้ความดันในปอด
ลดลง อากาศจากภายนอกจึงไหลเข้าสู่ปอดได้ ส่วนการลดขนาดก็เป็น
การเพิ่มความดัน ทาให้เกิดการหายใจออก อวัยวะที่ทาหน้าที่เพิ่มและลด
ขนาดของทรวงอก คือกล้ามเนื้อต่างๆ
กล้ามเนื้อที่ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอกเพื่อหายใจเข้า
• กระบังลม (diaphragm) เป็นกล้ามเนื้อที่สาคัญที่สุดของการหายใจเข้า
ในขณะพักการหดตัวจะทาให้เพิ่มขนาดของทรวงอกตามแนวตั้ง
• กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง กล้ามเนื้อนี้เกาะจากขอบล่างของซี่โคลงซี่บน
และวิ่งเป็นเส้นทะแยงมุมมาทางด้านหน้ามาเกาะที่ขอบบนของซี่โครง
ซี่ล่าง เวลาหดตัวจะช่วยยกซี่โครงและกระดูกหน้าอก(sternum) ขึ้นทา
ให้ทรวงอกขยายตัวโดยมาก จะเกิดเมื่อร่างกายจาเป็นต้องหายใจแรงๆ
เช่น ในขณะออกกาลังกาย
กล้ามเนื้อที่ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอกเพื่อหายใจเข้า
• กล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยเวลาหดตัวจะช่วยยก
ซี่โครง 2 ซี่บน และกระดูกหน้าอกขึ้นทาให้ทรวง
อกเกิดช่องว่าง โดยมากจะเกิดขึ้นขณะร่างกายออก
กาลังกาย
• กล้ามเนื้อที่ช่วยเหยียดหลังและศีรษะให้ตั้งตรง
เพื่อให้หายใจเข้าได้เต็มที่ในขณะออกกาลังกายอย่าง
หนัก คือ กล้ามเนื้อหลังรูปสามเหลี่ยมใหญ่
กล้ามเนื้อที่ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอกเพื่อหายใจออก
• กระบังลม เมื่อคลายตัวจะดันขึ้นสู่ด้านบนทาให้
ขนาดของทรวงอกแคบลง แรงดันของอากาศใน
ปอดเพิ่มสูงขึ้น จึงเกิดการหายใจออก
• กล้ามเนื้อท้อง (abdominals) จะหดตัวทาให้
ความดันในช่องท้องสูงขึ้น ความดันนี้จะไปดัน
กระบังลมซึ่งคลายตัวให้กลับขึ้นไปในทรวงอกได้
มากขึ้น
กล้ามเนื้อของแขน
กล้ามเนื้อของแขน แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้
(1) กล้ามเนื้อของไหล่ ที่สาคัญได้แก่ กล้ามเนื้อ deltoid เนื้อใหญ่
หนา มีรูปเป็นสามเหลี่ยมคลุมอยู่ที่ข้อไหล่ ตั้งต้นจากปลายนอกของ
กระดูกไหปลาร้า และกระดูกสะบัก แล้วไปยึดเกาะที่พื้นนอกตอนกลาง
ของกระดูกแขนท่อนบน ทาหน้าที่ยกต้นแขนขึ้นมาข้างบนให้ได้ระดับกับ
ไหล่เป็นมุมฉาก
กล้ามเนื้อของแขน (ต่อ)
(2) กล้ามเนื้อของต้นแขน ที่สาคัญได้แก่ - ไบเซฟส์แบรคิไอ (biceps
brachii) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของต้นแขน มีรูปคล้ายกระสวย ทา
หน้าที่งอข้อศอกและหงายมือ - ไตรเซฟส์แบรคิไอ (triceps brachii) เป็น
กล้ามเนื้อมัดใหญ่อยู่ด้านหลังของต้นแขน ปลายบนแยกออกเป็น 3 หัว
ช่วยทาหน้าที่เหยียดปลายแขนหรือข้อศอก
กล้ามเนื้อของแขน(ต่อ)
(3) กล้ามเนื้อของปลายแขน มีอยู่หลายมัด จาแนกออกเป็นด้านหน้า
และ ด้านหลัง ในแต่ละด้านยังแยกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นตื้น และชั้นลึก ทา
หน้าที่เหยียดข้อศอก เหยียดและงอมือ เหยียดนิ้วมือ กระดกข้อมือ งอ
ข้อมือ พลิกแขนและคว่าแขน ฯลฯ
กล้ามเนื้อของแขน(ต่อ)
(4) กล้ามเนื้อของมือ เป็นกล้ามเนื้อสั้นๆ ทาหน้าที่เคลื่อนไหวนิ้วมือ
โดยเมื่อสมองสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวและคลาย
ตัว ทางานประสานเป็นคู่ ๆ พร้อมกัน แต่ตรงข้ามกัน ในขณะที่กล้ามเนื้อ
มัดหนึ่งหดตัว กล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งจะคลายตัว
กล้ามเนื้อของแขน(ต่อ)
-การเหยียดและงอแขน โดยมีมัดกล้ามเนื้อไบเซพ (Biceps) อยู่
ด้านบน และไตรเซพ (Triceps) อยู่ด้านล่างของแขน
- ไบเซพ คลายตัว ไตรเสพ หดตัว »» แขนเหยียดออก
- ไบเซพ หดตัว ไตรเสพ คลายตัว »» แขนงอเข้า
กล้ามเนื้อของขา
กล้ามเนื้อของขาจาแนกออกเป็น
(1) กล้ามเนื้อตะโพก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดของตะโพก ได้แก่ กลู
เทียส แมกซิมัส (gluteus maximus) มีลักษณะหยาบ และอยู่ตื้น ช่วยทา
หน้าที่เหยียดและกางต้นขา นอกจากนี้ยังมีมัดเล็กๆ อยู่ใต้กล้ามเนื้อมัดใหญ่นี้
ช่วยกางและหมุนต้นขาเข้าข้างใน
(2) กล้ามเนื้อของต้นขา ประกอบด้วย
- กล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา มีหน้าที่เหยียดปลายขา
- กล้ามเนื้อด้านในของต้นขา มีหน้าที่หุบต้นขา
- กล้ามเนื้อด้านหลังของต้นขา มีหน้าที่งอปลายขา
กล้ามเนื้อของขากล้ามเนื้อของขา (ต่อ)
(3) กล้ามเนื้อของปลายขา ประกอบด้วย
- กล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา ทาหน้าที่งอเท้าขึ้นเหยียด
นิ้วเท้า และหันเท้าออกข้างนอก
- กล้ามเนื้อด้านนอกของปลายขา ช่วยทาหน้าที่เหยียดปลายเท้า
เหมือนกล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา
(4) กล้ามเนื้อของเท้า เป็นกล้ามเนื้อสั้นๆ เหมือนกับของมือ อยู่ที่
หลังเท้า และฝ่าเท้า มีหน้าที่ช่วยยึดเท้าให้เป็นส่วนโค้ง และเคลื่อนไหวนิ้วเท้า
ระบบต่อมไร้ท่อ
 คือ ต่อมไม่มีท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ
อมรพันธุ์ เสรีมาศพันธ์ , ภาควิชากายภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นระบบการทางานหนึ่งที่สร้างสารชีวะโมเลกุล และสารดังกล่าวจะถูกหลั่ง
ออกมาจากเซลล์ในร่างกายสู่กระแสเลือด เรียกว่า “ฮอร์โมน (Hormone)”
ฮอร์โมน
มีความสาคัญอย่างยิ่งในการควบคุมสมดุลของร่างกาย เป็นระบบการทางานที่
ช่วยสื่อสารข้อมูลระหว่างแหล่งสร้างฮอร์โมนต้นทางกับอวัยวะหรือเซลล์ปลายทางอย่าง
เหมาะสม
1. ต่อมใต้สมอง (Pituitary grand) 2. ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
3. ต่อมพาราไทรอย (Parathyroid gland) 4. ตับอ่อน (Pancrease)
5. ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) 6. ต่อมเพศ (Gonad)
7. ฮอร์โมนจากรก 8. ต่อมเหนือสมอง (Pineal gland)
9. ฮอร์โมนจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์
หน้าที่ของต่อมไร้ท่อ
 ควบคุมระบบสมดุลของร่างกาย
 ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย
 ช่วยในการปรับตัวต่อภาวะเครียดและความผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย
 ช่วยในการส่งเสริม ส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์
 ช่วยในการทางานสอดประสานกันของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
ต่อมไพเนียล
 อยู่ระหว่างเซรีบรัมซีกซ้ายและขวา
 ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน เมลาโทนิล (Melatonin)
เมลาโทนิล (Melatonin)
หน้าที่ ยับยั้งอวัยวะสืบพันธ์ไม่ให้เจริญเติบโตเร็วเกินไป
โรคที่เกิดจากความผิดปกติ
สาเหตุ อาการ
ฮอร์โมนมากเกินไป เป็นวัยรุ่นช้ากว่าปกติ
ฮอร์โมนน้อยเกินไป เป็นวัยรุ่นเร็วกว่าปกติ
ต่อมใต้สมอง (PITUITARY GLAND)
อาจารย์ภานุวัฒน์ ศิวะสกุลราช, การพัฒนาคน
 ต่อมใต้สมองหรือต่อมพิทูอิตารี่ เป็นต่อมไร้ท่อที่
สาคัญมากในร่างกาย
 มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วลันเตา
 อยู่บริเวณขมับด้านซ้ายใต้สมองส่วนไฮโปทาลามัส
(Hypothalamus)
 ทาหน้าที่ควบคุมต่อมอื่น ๆ อีก 7 ต่อมเพื่อผลิต
ฮอร์โมนได้เป็นปกติ
ต่อมใต้สมอง
 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า
2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง
3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง
 ขนาด 1 ถึง 1.5 เซนติเมตร
ต่อมใต้สมองส่วนหลัง
ไม่ได้สร้างฮอร์โมน แต่มีปลาย แอกซอล ของ นิวโร
ซีครีทอรีเซลล์ (neurosecretory cell)
ฮอร์โมน จากต่อมใต้สมอง
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ส่วนหนึ่งถูกควบคุมด้วย
ฮอร์โมนประสาทจากไฮโปทลามัส
1 โกรทฮอร์โมน (Growth hormone : GH)
- มีหน้าที่สาคัญในการในการควบคุมการเจริญเติบโตทั่ว ๆ ไปของร่างกาย
สาเหตุ อาการ
มากเกินไป ร่างกายสูงใหญ่ผิดปกติ
น้อยเกินไป เตี้ยแคระ
ความผิดปกติ : วัยเด็ก
สาเหตุ อาการ
มากเกินไป ส่วนที่เป็นกระดูกยังตอบสนองฮอร์โมน จะไม่
สูงขึ้น แต่ส่วนที่เป็นกระดูกจะใหญ่ผิดปกติ
น้อยเกินไป ไม่แสดงอาการ ทางกายภาพ
แต่จะมีระดับน้าตาลในเลือดน้อยกว่าคนปกติ ทา
ให้ร่างกายไม่ทนต่อความเครียดต่าง ๆ สมอง
อาจจะได้รับอันตรายได้ง่าย เพราะได้รับ
สารอาหารไม่เพียงพอ
ความผิดปกติ : วัยผู้ใหญ่
ความผิดปกติจาก
Growth hormone
เรียกย่อว่า GH
2 โกนาโดโทรฟิน (Gonodotrophin : Gn)
ประกอบด้วย
 ฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน (Follicle stimulating hormone)
เรียกว่า FSH
 และลูทิไนซิงฮอร์โมน (Luteinizing hormone) เรียกว่า LH
เพศชาย
FSH - กระตุ้นการเจริญของอัณฑะ และหลอดสร้างอสุจิ
LH - กระตุ้นกลุ่มเซลล์อินเตอร์สติเชียล (Interstitial cell) ที่แทรกระหว่าง
หลอดสร้างอสุจิในอัณฑะให้หลั่งฮอร์โมนเพศชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน
(testosterone)
เพศหญิง
FSH - กระตุ้นการสร้างการเจริญของ ฟอลลิเคิล (Follicle) ในรังไข่ ขณะฟอ
ลิเคิลเจริญจะสร้าง ฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen)
LH - จะกระตุ้นการตกไข่และเกิดคอร์ปัสลูเทียม คอปัสลูเทียมจะสร้าง
ฮอร์โมน โพรเจสเทอโรน (progesterone)
ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ทาหน้าที่รวมกับ ฮอร์โมนเอสโทรเจน ที่จะทาหน้าที่
เปลี่ยนแปลงรังไข่และมดลูก เพื่อรองรับการฝังตัวของเซลล์ไข่ที่ถูกผสม
3 โพรแลกทิน (prolactin)
กระตุ้นให้ต่อมน้านมสร้างน้านมเพื่อเลี้ยงลูกอ่อน
4 อะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิน (Adrenocorticotrophin)
เรียกย่อว่า ACTH ทาหน้าที่กระตุ้นต่อมหมวกไตส่วนนอกให้หลั่งฮอร์โมน
ตามปกติ
5 ไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน (Thyroid stimulating hormone)
เรียกว่า TSH หน้าที่หลักคือ กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนเป็นปกติ
6 เอนดอร์ฟิน (endorphin)
เป็นสารที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟิน พบว่ามีแหล่งสร้างจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและ
อาจจะสร้างจากเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ได้อีกด้วย เป็นสารที่มีฤทธิ์ระงับความ
เจ็บปวด หลั่งเมื่อออกกาลังกายหรืออารมแจ่มใส เรียกว่าสารแห่งความสุข
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid)
 ต่อมไร้ท่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย
 อยู่ติดกับกล่องเสียงมีลักษณะเป็น 2 พู และมีส่วนบาง ๆ ของเนื้อเยื่อของต่อม
พาราไทรอยด์ ติดต่ออยู่ด้วย 2 ต่อม
 ภายในต่อมไทรอยด์ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์จานวนมาก
 แต่ละกลุ่มเซลล์ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความหนาเพียงชั้น
เดียว
 มีช่องตรงกลาง เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล
(thyroid follicle) ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน ไทรอกซิน
(thyroxin)
 ไทรอกซิล (thyroxin) ซึ่งมีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบ แล้ว
ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด มีหน้าที่ควบคุม ระบบเมตาบอลิซึม
ของร่างกาย
ผลจากการขาดฮอร์โมนไทรอกซิน
สาเหตุ อาการ
ขาดฮอร์โมน (เด็ก) พัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองด้อยลง
ร่างกาย เตี้แคระ แขน ขาสั้น ผิวหยาบแห้ง ผม
บาง เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ ปัญญาอ่อน เรียกว่า
กลุ่มอาการ เครทินิซึท (cretinism)
ขาดฮอร์โมน (ผู้ใหญ่) อาการเหนื่อยง่าย น้าหนักเพิ่ม ทนความหนาว
ไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผมผิวหนังแห้ง หัวใจโต
ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ซึม เฉื่อยชา และ
ความจาเสื่อม กลุ่มอาการนี้เรียกว่า มิกซีดีมา
(Myxedema)
โรคคอพอก
 เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน
 เนื่องจากต่อมไทรอยด์ไม่สามารถสร้าง ไทรอกซิน ได้ อาการคล้ายซีนีมา
แต่จะมีคอโตด้วย
 เนื่องจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่ง TSH มากระตุ้นต่อมไทรอยด์มาก
เกินไป
โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic goiter)
 ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้นให้สร้างฮอร์โมนมากเกินไป ผู้เป็นโรคนี้จะมีคอ
หอยไม่โตมากนัก แต่จะมีตาโปนตามมาด้วย
 เนื่องมาจากเกิดอาการผิดปกติทางร่างกายทาให้ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้น
ให้ทางานตลอดเวลา ต่อมจึงขยายใหญ่ขึ้น และสร้างฮอร์โมนมากกว่าปกติ
ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid)
 สร้างฮอร์โมน พาราทอโมน (parathormone) หรือ พาราไทรอยด์ฮอร์โมน
(parathyroid) เรียกย่อว่า PTH
 PTH มีหน้าที่ ควบคุมสมดุลของแคลเซียมในเลือดให้คงที่และมีสมดุล
 มีผลต่ออวัยวะสาคัญ 3 แห่งคือ
 ทางเดินอาหารช่วยเร่งการดูดซึมของแคลเซียมในลาไส้เล็ก
 ผลต่อกระดูกช่วยเพิ่มอัตราการสลายแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่กระดูก
 ไต ช่วยเพิ่มการดูดกลับของแคลเซียม แต่จะเพิ่มการขับฟอสฟอรัสออกทาง
ปัสสาวะ
ผลกระทบ PTH
-น้อยกว่าปกติ ระดับแคลเซียมในเลือด
ต่า ทาให้กล้ามเนื้อเกร็งและชักกระตุก
ปอดไม่ทางาน การบีบตัวของหัวใจ
อ่อนลง อาจจะทาให้เสียชีวิตได้
- มากเกินไป จะมีการสลายแคลเซียม
จากกระดูกและฟันมายังกระแสเลือด
ทาให้แคลเซียมสูง กระดูกบาง ฟันผุ
ก. ควบคุมโดยแคลซิโทนิน
ข. ควบคุมโดย PTH
ตับอ่อน (Pancreas)
 ภายในตับอ่อน จะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า ไอส์
เลดออฟแลงเกอร์ฮานส์
(Islats of langerhans)
 ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่สาคัญ 2 ชนิด คือ
อินซูลิน (insulin) และกลูคาคอน (Glucagon)
ฮอร์โมนอินซูลิน
-สร้างจากกลุ่มเซลล์เบต้าเซลล์ ที่บริเวณส่วนกลางของไอซ์เลนออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทา
หน้าที่ลดระดับน้าตาลในเลือด ให้กลับสู่ภาวะปกติ
- เมื่อร่างกายมีระดับน้าตาลมากขึ้น อินซูลินก็จะถูกหลั่งออกมาสู่เซลล์ตับและกล้ามเนื้อ
มากขึ้น และเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกรโคเจนเพื่อเก็บสะสมไว้ ทาให้ระดับน้าตาลลดลง
กลูคากอน
- เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก แอลฟ่าเซลล์
- กลูคากอนจะไปกระตุ้นการสลายตัวของ ไกลโคเจนจากตับ และกล้ามเนื้อเป็น
น้าตาล กลูโคส แล้วปล่อยออกมาทาให้ระดับน้าตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
 ร่างกายไม่สามารถนาน้าตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีก
ทั้งประสิทธิภาพของตับในการเก็บกลูโคสไว้ในรูปไกลโคเจนลดลง
 ทาให้หลังรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ระดับน้าตาลในเลือดจะ
สูงมาก และนานกว่าร่างกายจะสามารถขับน้าตาลส่วนเกินออก
ทางปัสสาวะได้
 เมื่อร่างกายนาคาบอไฮเดรสไปผลิตพลังงานไม่เพียงพอทาให้
ร่างกายต้องใช้โปรตีนและไขมันแทน แต่การสลายโมเลกุลของ
โปรตีนและไขมันจะทาให้เกิด “กรดของเลือด” กลไกการหายใจจึง
ผิดปกติและมักส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความผิดปกติเสียชีวิตได้
ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลิน
ได้ การรักษา
ฉีดอินซูลิน ทุกวัน
ร้อยละ 90 มีสาเหตุมาจากตัวรับ
อินซูลินทางานผิดปกติ
ทาให้น้าตาลออกมาในเลือด
ผิดปกติ
ต่อมหมวกไต (adrenal gland)
• ต่อมนี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ส่วนคือ
ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex)
ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla)
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก
(adrenal cortex)
สร้างฮอร์โมนมากกว่า 50 ชนิด ที่สาคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่
ฮอโมนกลูโคคอร์ดิคอยด์ (glucocorticoids)
ทาหน้าที่หลักในการควบคุมเมเทบอลิซึมของคาบอไฮเดรต ตัวอย่าง
ฮอร์โมนกลุ่มนี้คือ คอร์ติซอล(cortisol) มีหน้าที่สาคัญคือ เพิ่มระดับน้าตาล
ในเลือด โดยกระตุ้นตับให้เปลี่ยนเป็นกรดอมิโนและกรดไขมัน เป็น คาบอร์ไฮ
เดรต และสะสมในรูปไกรโคเจน
หากมีฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์มากเกินไป ทาให้เกิด
โรคคูชชิง (Cushing’s syndrome)
-มีความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม ของคาบอไฮเดรต ไขมันและ
โปรตีน
-ระดับน้าตาลในเลือดสูงขึ้น
-กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากมีการสลายโปรตีนและไขมัน บริเวณแขน
ขา แต่มีการสะสมไขมันบริเวณแกนกลางของลาตัว เช่น ใบหน้า ต้น
คอ เป็นต้น
ฮอร์โมนมิเนราโลคอร์ดิคอยด์ (Mineralocorticoids)
 มีหน้าที่หลักในการควบคุมสมดุลของน้าและแร่ธาตุในร่างกาย ฮอร์โมนกลุ่มนี้คือ
แอลโดสเตอโรน (aldosterone) ทาหน้าที่ควบคุมการทางานของไตในการดูดน้าและ
แคลเซียมกลับสู่หลอดเลือด และขับโพแทสเซียมออกจากท่อหน่วยไตให้สมดุลกับความ
ต้องการของร่างกาย
ฮอร์โมนเพศ (sex hormone)
 ในภาวะปกติฮอร์โมนเพศสร้างจากต่อมหมวกไตส่วนนอกมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเทียบกับฮอร์โมนที่สร้างจากอวัยวะเพศ ถ้าต่อมนี้สร้างฮอโมนเพศมากเกินไปจะ
ทาให้มีความผิดปกติทางเพศได้
โรคแอดดิสัน
- เกิดจากต่อมหมวกไตถูกทาลาย จนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนได้
- อาการ ซูบผอม ผิวหนังตกกระ ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของแร่ธาตุ
ได้ อาจจะทาให้ถึงแก่ความตายได้
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนใน
(adrenal medulla)
ประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด
1. เอพิเนฟริน (epinephrine) หรืออะดรีนาลีน (adrenaline)
2. นอร์เอพิเนฟริน (norepinephine) หรือนออะดรีนาลีน
(noradrenaline)
อดรีนาลีน
 มีผลทาให้น้าตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น
 กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
 ทาให้หลอดเลือดขนาดเล็กที่อวัยวะต่าง ๆ ขยายตัว
 หลอดเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนังและช่องท้องหดตัว
นออดรีนาลีน
 คล้ายกับอดรีนาลีน คือ ทาให้ความดันหลอดเลือดสูงขึ้น แต่ต่างกันตรงที่
นออดรีนาลีนส่งผลทาให้หลอดเลือดขนาดเล็กที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ บีบตัว
อวัยวะเพศ
 อวัยวะเพศ ได้แก่ อัณฑะ (testis) และรังไข่ (ovary)
 เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นต่อมใต้สมองจะหลั่ง FSH และ LH เพิ่มขึ่น เพื่อ
กระตุ้นการเจริญเติบโตของอัณฑะและรังไข่ ทาให้สามารถสร้างเซลล์สืบ
พันธ์และฮอร์โมนได้
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
-เพศชาย เซลล์เลย์ดิกได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมน LH จากต่อมใต้สมอง
ส่วนหน้าให้สร้างฮอร์โมนเพศชายเรียกว่า แอนโดรเจน (Androgens)
- ประกอบด้วยฮอร์โมนที่สาคัญคือ เทสโทสเทอโรน มีหน้าที่สาคัญที่
ทาให้ผู้ชายสามารถสืบพันธ์ได้ มีลักษณะของการแตกเนื้อหนุ่ม
เพศหญิง
-มีรังไข่ นอกจากจะมีหน้าที่ในการผลิตไข่แล้วรังไข่ยังสามารถผลิตฮอร์โมนเพศ
ได้
-รังไข่มีแหล่งในการผลิตฮอร์โมน 2 แหล่งคือ ฟอลฮิเคิลและคอร์ปัสลูเทียม
 เมื่อรังไข่ได้รับ FSH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะมีการสร้าง ฟอลฮิเคิล
ร้อมรอบโอโอไซต์หลายชั้น ในระยะไข่สุกก่อนที่จะหลุดออกจากรังไข่จะมี
ช่องกลวงตรงกลาง
ในระยะตกไข่ฟอลฮิเคิ้ลจะสร้างฮอร์โมน อีสโทรเจน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทา
ให้มีลักษณธของเพศหญิง
 คอปัสลูเทียมจะสร้าง ฮอร์โมน โพรเจสเทอโรน ซึ่งจะทาหน้าที่ร่วมกับ
อีสโทรเจน เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเยื่อบุผนังมดลูกให้หนาขึ้น เพื่อรับไข่
ที่ถูกผสม
รก
หลังจากเอ็มบริโอฝังที่ผนังมดลูกแล้ว เซลล์ของรก จะเริ่มหลั่ง
ฮอร์โมน ฮิวแมน คอริโอนิก โกนาโดโทรฟิน เพื่อกระตุ้นคอร์ปัสลูเทียในรังไข่
ให้เจริญต่อไปและสร้างฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนมากขึ้น
ต่อมไทมีส (Thymus gland)
 มีลักษณะเป็นพู
 มีตาแหน่งตรงกลางกระดูกอกกับหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ
 มีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิต ที หรือ เซลล์ที
 การเจริญของเซลล์ที อาศัยฮอร์โมนไทโมซิน (thymosin) ซึ่ง
สร้างจากต่อมไทมัส
 ดังนั้นต่อมไทมัสจึงเกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
กระเพาะอาหารและลาไส้เล็ก
 กระเพาะอาหารสร้างฮอร์โมน แกสตริน (gastrin) มีหน้าที่กระตุ้นการ
หลั่งเอ็นไซน์และกรดไฮโดรคลอริก
 ส่วนลาไส้เล็กบริเวณดูโอดีนัมสร้าง ซีครีทีน (secretin) ทาหน้าที่
กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งเอนไซม์ และโซเดียมไฮโดรเจนคาบอเนต ตลอดจน
กระตุ้นดารบีบตัวของท่อน้าดี
ปัจจัยที่มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน
ได้แก่ สิ่งแวดล้อม แสงสว่าง อุณหภูมิ ฮอร์โมนอื่น ๆ เป็นต้น
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรมสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรม(Heredity) เป็นการถ่ายทอดคุณลักษณะทางด้านชีวภาพ
ที่มีอยู่ในยีน (Genes) และจะถ่ายทอดผ่านโครโมโซม( Chromosome) โดย
ลักษณะที่ปรากฏออกมาให้เห็นภายนอกได้เรียกว่า Phenotype ซึ่งถือเป็น
ลักษณะเด่น (Dominant) เช่น รูปร่าง หน้าตา สีผม สีผิว สีตา ฯลฯ ส่วน
ลักษณะที่แฝงไว้โดย ไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นในรุ่นลูก (แต่อาจปรากฏใน
รุ่น หลาน หรือรุ่นเหลน) เรียกว่า Genotype ซึ่งเป็นลักษณะ ด้อย
(Recessive) เช่น กลุ่มเลือด ตาบอดสี โรคลมบ้าหมู โรคเบาหวาน โรค
ปัญญาอ่อน โรคภูมิแพ้ และโรคบางชนิดที่ถ่ายทอดกันได้ทางสายเลือด
อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล
สิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของบุคคล
ในด้านต่างๆมากมาย ซึ่งคนเราจะได้รับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมจากการเรียนรู้
ทางสังคม ( Socialization) อันเป็นกระบวนการทางสังคมที่จะหล่อหลอม
และถ่ายทอดคุณลักษณะที่สังคมต้องการให้เกิดแก่บุคคล
สิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อบุคคลตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดาไป
จนกระทั่งคลอด ออกมาเป็นสมาชิกของสังคม โดยสิ่งแวดล้อมจะส่งผลต่อ
พัฒนาการของบุคคลได้ 3 ช่วง คือ สภาพแวดล้อมก่อนเกิด สภาพแวดล้อม
ขณะเกิด และสภาพแวดล้อมหลังเกิด
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด สิ่งแวดล้อม
ภายในครรภ์และการปฏิบัติตัวของแม่มีผลต่อ
ตัวอ่อนในครรภ์มารดา เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในด้านของพัฒนาการทางสมอง
ของบุคคล ซึ่งสภาพแวดล้อมก่อนเกิด มีดังนี้
1) สุขภาพของแม่ มีผลมากที่สุดต่อ
ทารกในครรภ์ โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรก
ของการตั้งครรภ์ เป็นระยะที่ตัวอ่อนมี
ความรู้สึกไวมากต่อการขาดออกซิเจน และ
การติดเชื้อต่างๆ
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด (ต่อ)
2) สุขภาพจิตของแม่ อารมณ์ของแม่
จะมีผลต่อลูกในครรภ์เป็นอย่างมาก หากแม่
มีอารมณ์ หวาดกลัว วิตกกังวล โกรธและ
เครียดมากๆ หรือเครียดนานๆ จะทาให้
ฮอร์โมนในเลือดของแม่ไม่สมดุล เป็นสาเหตุ
ให้เด็กเป็นปัญญาอ่อนได้
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
3) การบริโภคของแม่ สิ่งที่แม่บริโภคเข้า
ไปในร่างกายทุกชนิดจะถูกส่งไปยังทารกใน
ครรภ์ทางกระแสโลหิต ดังนั้นหากแม่บริโภคสิ่ง
ที่มีประโยชน์มีคุณค่าก็จะทาให้ทารกมี สุขภาพ
ดี มีสติปัญญาดี แต่หากแม่เป็นโรคขาดอาหาร
บริโภคสิ่งที่ไม่มีคุณค่า จะทาให้เด็กมี ความ
บกพร่องทางสมองและร่างกายผิดปกติ
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
4) การได้รับรังสี การที่แม่
ได้รับรังสีเอ็กซ์หรือเรเดียม จะมีผล
ทาลายทารกใน ครรภ์ได้และรังสี
บางอย่างอาจทาให้ยีนเกิดการ
เปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลต่อพันธุกรรม
ในรุ่นต่อๆไป
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
5) การได้รับเชื้อ HIV การที่แม่ได้รับ เชื้อHIV (โรคเอดส์) เชื้อจะถูก
ส่งผ่านจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ทาให้ทารกมีอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ
อาจเสียชีวิตได้
6) สภาวะของ Rh Factor หมายถึง การที่ระบบเลือดของแม่มีสาร
บางอย่างเข้าไปก่อปฏิกิริยาทาลายเม็ดเลือดแดง ของตัวอ่อนในครรภ์ ทา
ให้เกิดการแท้งหรือทารกตายหลังคลอดได้
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
7) อายุของมารดา โดยวัยเจริญพันธุ์ของสตรีที่เหมาะสมในการ
ตั้งครรภ์ คือ 18-30 ปี แต่หากไม่อยู่ในช่วงวัยนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนา
และทาให้คลอดยาก
สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
8) จานวนทารกภายในครรภ์ หากมีจานวนทารกภายในครรภ์มากก็
ย่อมจะ เกิดการแย่งอาหารกันเอง และอาจจะคลอดก่อนกาหนดได้
2. สภาพแวดล้อมขณะเกิด
ทารกจะได้รับการกระทบกระเทือนในขณะที่ทาคลอดได้ เช่น
1) สภาวะการขาดออกซิเจน เป็นเวลานานประมาณ 18 วินาที จะมี
ผลทาให้ เซลล์สมองของทารกแรกคลอดถูกทาลายได้ และถ้าขาดอากาศ
นานๆก็อาจถึงตายได้
2) เกิดการบาดเจ็บทางระบบประสาทในกรณีที่ทารก คลอดผ่านทาง
ช่องคลอด อาจมีการบีบตัวของช่องคลอด และถ้าแรงบีบมีมากขึ้นอาจจะ
ทาให้สมองและระบบประสาทถูกทาลายได้
สภาพแวดล้อมหลังเกิด
เมื่อทารกเกิดแล้วจะเข้าสู่กระบวนการ เรียนรู้ทางสังคม โดย
สิ่งแวดล้อมหลังเกิดที่มีอิทธิพลต่อบุคคลมากที่สุดเป็นอันดับแรก คือ เจต
คติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวจะมีผลต่อบุคคล
เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิดถึง 2 ปี เป็นช่วงสาคัญที่สุดของ
มนุษย์ เพราะเป็นระยะที่คนเรา เจริญเติบโตอยู่ภายในครอบครัว
สภาพแวดล้อมหลังเกิด
1) สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว เป็น
สังคมกลุ่มแรกที่ มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ
อารมณ์ ความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติ
ของบุคคลเป็นอย่างมาก ได้แก่ ทัศนคติ
ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก การอบรม เลี้ยงดู
และบรรยากาศในครอบครัว การเป็น
แบบอย่างที่ดีแก่ลูก จานวนพี่น้องและ
ลาดับการเกิด การให้โภชนาการใน
ครอบครัว ระดับ การศึกษาของพ่อแม่
และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
สภาพแวดล้อมหลังเกิด(ต่อ)
2) สิ่งแวดล้อมภายในสถานศึกษา เป็นกลุ่มสังคมที่อบรมสั่งสอน
บุคคลโดยการให้การเรียนรู้และอบรมบุคคลโดยตรง ซึ่งได้แก่ กฎระเบียบ
การปกครอง ทัศนคติและบุคลิกภาพ ของครู และกลุ่มเพื่อนโรงเรียนหรือ
สถาบันการศึกษา
สภาพแวดล้อมหลังเกิด(ต่อ)
3) สิ่งแวดล้อมในสังคม เป็นกลุ่มสังคมที่มีอิทธิพลหล่อหลอมบุคคล
ในทางอ้อม ให้บุคคลเกิดการเลียนแบบสังคม โดยกลุ่มสังคมที่มีอิทธิพลต่อ
บุคคลในสังคมมากที่สุด คือ สื่อมวลชนทุกประเภท
ความเกี่ยวข้องระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมมีบทบาทในพัฒนาการด้านต่างๆ ของ
บุคคล ไม่ อาจจะบอกได้ว่า ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมสิ่งใดจะมี
ความสาคัญมากกว่ากัน เพราะ ทั้งสองสิ่งล้วนแต่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
โดยพัฒนาการด้านหนึ่งพันธุกรรมอาจมีผลมากกว่าและ ได้รับการส่งเสริม
ต่อจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม แต่พัฒนาการอีกด้านหนึ่งอาจมีอิทธิพล
มากกว่าก็ได้
ความเกี่ยวข้องระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
1) พัฒนาการด้านสติปัญญา พบว่า พันธุกรรมจะมีอิทธิพลต่อระดับ
สติปัญญา ของบุคคลมากกว่าสิ่งแวดล้อม ซึ่งจาก การศึกษาของ โลวิงเจอร์
พบว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทาง สติปัญญา 75% และ
สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล 25% นอกจากนี้ พัฒนาการทางด้านร่างกายก็มีผลมา
จากพันธุกรรมมากกว่าสิ่งแวดล้อม
ความเกี่ยวข้องระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
2) พัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์และจริยธรรม รวมทั้งบุคลิกภาพ
โดยส่วนรวม พบว่า อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมมีผลต่อพัฒนาการในด้านนี้
มากกว่าพันธุกรรม โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมภายในครอบครัวและการ
อบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนในการพัฒนา บุคคลในด้านต่างๆมาก
เส้นตรงหรือเส้นเฉียง
เฮ่ย!!! หมุนได้อย่างไรนะ??
ความหมายและธรรมชาติของการรับรู้
การรับรู้
 กระบวนการที่เกิดขึ้นภายกลังจากสิ่งเร้ากระตุ้นการรู้สึกและถูก
ตีความหมายโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์และความเข้าใจของบุคคล
เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ถ้าหากขาดการเรียนรู้หรือประสบการณ์มีเพียงการ
รับสัมผัสเท่านั้น
พฤติกรรมการรับรู้
 กระบวนการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่ต่อเนื่องจากการรู้สึกสัมผัส
รับรู้ เป็นกระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาใน
กระบวนการรู้สึก
สิ่งเร้า
อวัยวะรับสัมผัส
ระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5
ระบบประสาทส่วนปลายส่งข้อมูลไป
ยังสมองผ่านทางไขสันหลัง
สมองตีความหมาย แปลผล
การรับรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยกระบวนการที่สาคัญ
ต่อไปนี้
1. การสัมผัส
2. ชนิดและธรรมชาติของสิ่งเร้า
3. การแปลความหมายจากการสัมผัส
4. การใช้ความรู้เดิมหรือการใช้ประสบการณ์เพื่อแปลความหมาย

More Related Content

What's hot

การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองsukanya petin
 
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5สำเร็จ นางสีคุณ
 
การทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทการทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทThitaree Samphao
 
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอก
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอกระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอก
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอกThanyamon Chat.
 
เซลล์ประสาทและการทำงาน
เซลล์ประสาทและการทำงาน เซลล์ประสาทและการทำงาน
เซลล์ประสาทและการทำงาน Thitaree Samphao
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง Thitaree Samphao
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkruchanon2555
 
Nerve cell
Nerve cellNerve cell
Nerve cellBiobiome
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทKPainapa
 
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท Thitaree Samphao
 
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2Kobchai Khamboonruang
 

What's hot (14)

การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5
Ppt ระบบประสาท (nervous system) ชีววิทยา ม.5
 
การทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาทการทำงานของระบบประสาท
การทำงานของระบบประสาท
 
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอก
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอกระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอก
ระบบประสาทส่วนกลางและรอบนอก
 
เซลล์ประสาทและการทำงาน
เซลล์ประสาทและการทำงาน เซลล์ประสาทและการทำงาน
เซลล์ประสาทและการทำงาน
 
การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง การรับรู้และตอบสนอง
การรับรู้และตอบสนอง
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
Nerve cell
Nerve cellNerve cell
Nerve cell
 
การรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนองการรับรู้และการตอบสนอง
การรับรู้และการตอบสนอง
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
 
Nervous
NervousNervous
Nervous
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาท
 
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
 
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
พื้นฐานทางสรีรวิทยาของพฤติกรรม Present2
 

Similar to พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการรับรู้

ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทyangclang22
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทkalita123
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทbowpp
 
ppt ระบบประสาท.pptx
ppt ระบบประสาท.pptxppt ระบบประสาท.pptx
ppt ระบบประสาท.pptxnatagarns
 
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptx
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptxระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptx
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptxKunchayaPitayawongro1
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทauttapornkotsuk
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาทikaen2520
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการWan Ngamwongwan
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemsupreechafkk
 
บทที่3 Basic Of Physiological
บทที่3  Basic Of  Physiologicalบทที่3  Basic Of  Physiological
บทที่3 Basic Of PhysiologicalTuk Diving
 
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)Natthaya Khaothong
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทKPainapa
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทKPainapa
 
บทท 8 ระบบประสาท (1)
บทท   8 ระบบประสาท (1)บทท   8 ระบบประสาท (1)
บทท 8 ระบบประสาท (1)Natthaya Khaothong
 

Similar to พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการรับรู้ (20)

ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
 
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 4 ชุดที่ 5
 
ppt ระบบประสาท.pptx
ppt ระบบประสาท.pptxppt ระบบประสาท.pptx
ppt ระบบประสาท.pptx
 
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptx
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptxระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptx
ระบบประสาท สอนพิเศษ ม.2.pptx
 
ประสาท
ประสาทประสาท
ประสาท
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
 
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
ศูนย์ที่ 1 ชุดที่ 5
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
ระบบประสาท
ระบบประสาทระบบประสาท
ระบบประสาท
 
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการการทำงานของระบบประสาทสั่งการ
การทำงานของระบบประสาทสั่งการ
 
ระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous systemระบบประสาท - Nervous system
ระบบประสาท - Nervous system
 
บทที่3 Basic Of Physiological
บทที่3  Basic Of  Physiologicalบทที่3  Basic Of  Physiological
บทที่3 Basic Of Physiological
 
1
11
1
 
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
ศ นย ควบค_มระประสาท (ต_อ)
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาท
 
มหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาทมหัศจรรย์ระบบประสาท
มหัศจรรย์ระบบประสาท
 
บทท 8 ระบบประสาท (1)
บทท   8 ระบบประสาท (1)บทท   8 ระบบประสาท (1)
บทท 8 ระบบประสาท (1)
 

พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการรับรู้