More Related Content Similar to การเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย
Similar to การเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย (17) More from Nurat Puankhamma
More from Nurat Puankhamma (13) การเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย1. 1
ตัวอย่างการเขียนตอบข้อสอบอุทาหรณ์/ข้อสอบตุ๊กตา
(ส่วนที่ 1) กรณีตามปัญหา (ประมวลกฎหมาย หรือ พระราชบัญญัติ)………
หลักกฎหมาย วางหลักกฎหมายไว้ว่า ……………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………
(ส่วนที่ 2) จากกรณีปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่…………………………………………………..
การปรับข้อเท็จจริง ……………………………………………………………………………………………..
เข้ากับหลักกฎหมาย ……………………………………………………………………………………………..
หรือ
จากกรณีปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 .........................................................................................
………………………………………………………………………………………………….
ประเด็นที่ 2………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………..
(ส่วนที่ 3) ด้วยเหตุผลดังที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น…………………………….................
สรุปคาตอบ …………………………………………………………………………….......................
แนวการเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย
อาจารย์นุรัตน์ ปวนคามา 1
หลายท่านอาจสงสัยว่าในเมื่อมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรายวิชากฎหมายที่เรียนอยู่นั้น อาจเพียงพอสาหรับการสอบในแต่ละครั้งแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าการรู้เทคนิคและวิธีการเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย จะทาให้การเขียนตอบข้อสอบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งนักศึกษามักจะมองข้ามและขาดการฝึกฝนก่อนที่จะ ลงสอบสนามจริง จึงทาให้เมื่อเจอข้อสอบมักจะเกิดคาถามอยู่ในใจว่าไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร จะเรียบ เรียงคาตอบอย่างไรเพื่อให้ได้คะแนน ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนทาข้อสอบเก่าหรือโจทย์ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับวิชาที่ เรียนบ่อยๆ จนชานาญ จะทาให้ผู้เรียนได้จัดระบบความคิดและความรู้ที่มีจากการอ่านและการเข้าเรียน กลั่นกรองผ่านลายลักษณ์อักษรให้ผู้ตรวจข้อสอบเห็นว่าผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในรายวิชาดังกล่าวและ สามารถปรับใช้หลักกฎหมายได้อย่างสมเหตุสมผล
อนึ่ง การเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย มี 2 ลักษณะ กล่าวคือ ลักษณะแรก เป็นการเขียนตอบ ข้อสอบอุทาหรณ์ หรือข้อสอบตุ๊กตา ซึ่งต้องการชี้วัดการนาหลักกฎหมายมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่โจทย์ กาหนดขึ้น และลักษณะที่สอง การเขียนตอบข้อสอบแบบบรรยายหรือเรียงความ เพื่อต้องการชี้วัดความเข้าใจ หลักกฎหมายโดยผ่านการอธิบาย และสะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนสามารถจัดระบบความคิดของตัวเองได้ ซึ่งการ เขียนตอบปัญหาข้อสอบกฎหมายทั้งสองลักษณะดังกล่าวข้างต้น มีโครงสร้าง ดังต่อไปนี้
1. การเขียนตอบข้อสอบอุทาหรณ์ หรือ ข้อสอบตุ๊กตา
1 อาจารย์ประจาสานักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ใข้ประกอบการสอนรายวิชากฎหมาย เอกเทศสัญญา 1 ประจาปีการศึกษา 2557 ภาคเรียนที่ 1 2. 2
ตัวอย่างเช่น
มีชัยทาสัญญาเช่าตึกแถวของรื่นเริงมีกาหนด 3 ปี สัญญาเช่าข้อหนึ่งระบุว่าถ้ามีการปลูกสร้าง ดัดแปลงหรือต่อเติมที่ผู้เช่าได้กระทาขึ้น โดยได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ดีให้ตกเป็นทรัพย์ของผู้ให้เช่า ก่อนครบ กาหนดอายุสัญญาเช่า มีชัยได้รื้อตึกแถวบางส่วนเพราะทรุดมากแล้วสร้างขึ้นใหม่เพื่อความสวยงามและความ ปลอดภัย โดยรื่นเริงอนุญาตและได้ทาสัญญาให้มีชัยเช่าต่อไปอีก 7 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่า มีชัยเช่า ตึกแถวตามสัญญาเช่าฉบับหลังได้ 3 ปี รื่นเริงบอกเลิกการเช่าและฟ้องขับไล่มีชัย แต่มีชัยไม่ยอมออก และได้ ต่อสู้ว่าสัญญาเช่ายังไม่ครบ 7 ปี ซึ่งสัญญาเช่าฉบับหลังเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา รื่น เริงจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าดังกล่าวได้ ดังนี้ ข้อต่อสู้ของมีชัยฟังขึ้นหรือไม่?2
แนวการเขียนตอบ
(ส่วนที่ 1) กรณีตามปัญหาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วางหลักกฎหมายไว้ว่า การเช่า อสังหาริมทรัพย์ หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสาคัญ จะ ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ แต่หากการเช่ามีกาหนดระยะเวลากว่า 3 ปีขึ้นไป และไม่ได้ทาเป็นหนังสือและจด ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าดังกล่าวนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้น (มาตรา 538)
(ส่วนที่ 2) จากกรณีปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าววินิจฉัยได้ดังต่อไปนี้
การที่รื่นเริงอนุญาตให้มีชัยรื้อถอนตึกแถวบางส่วนเพราะทรุดมากและให้สร้างขึ้นใหม่เพื่อ ความสวยงามและความปลอดภัยนั้น เป็นการกระทาที่มีชัยมุ่งหมายต่อผลประโยชน์ของตนโดยเฉพาะ ไม่ใช่ เป็นการก่อสร้างตึกแถวบางส่วนขึ้นใหม่เพื่อตอบแทนในการที่รื่นเริงให้เช่าตึกแถวทั้งหมดและไม่ใช่กรณีที่รื่น เริงตกลงให้มีชัยซ่อมแซมใหญ่เพื่อตอบแทนการได้เช่าตึกแถวนั้นต่อไป ส่วนที่รื่นเริงตกลงให้มีชัยเช่าต่อไปอีก 7 ปี เป็นเพียงการทาสัญญาเช่าธรรมดามิใช่สัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ทั้งข้อสัญญาเดิมที่ ระบุว่า ถ้ามีการปลูกสร้างดัดแปลงหรือต่อเติมที่ผู้เช่าได้กระทาขึ้นโดยได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ตาม ให้ตกเป็น ทรัพย์ของผู้ให้เช่านั้นก็มิใช่การกระทาที่เป็นการตอบแทนที่จะเป็นเหตุให้รื่นเริงต้องยอมให้มีชัยเช่าตึกแถว เพราะเป็นข้อตกลงที่มีชัยจะกระทาหรือไม่ก็สุดแล้วแต่มีชัย ข้อสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาต่าง ตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เมื่อสัญญาเช่าฉบับหลังไม่ได้จดทะเบียนจึงบังคับกันได้เพียง 3 ปี และเมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีชัยได้เช่ามาแล้ว 3 ปี รื่นเริงจึงมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าต่อมีชัยและให้มีชัยออกจาก ตึกแถวที่เช่าได้ ข้ออ้างของมีชัยจึงฟังไม่ขึ้น
(ส่วนที่ 3) ด้วยเหตุผลดังที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ข้ออ้างของมีชัยจึงฟังไม่ขึ้น มีชัยต้องออกจากตึกแถวที่ เช่าดังกล่าว
2 เทียบเคียงคาพิพากษาฎีกาที่ 1109/2534 3. 3
ตัวอย่างการเขียนตอบข้อสอบแบบบรรยาย/เรียงความ
(ส่วนที่ 1) อธิบายบทนิยาม/ความหมาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
……………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………….
(ส่วนที่ 2) เปรียบเทียบข้อเหมือน/ข้อแตกต่าง (ถ้ามี)
………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………….
2. การเขียนตอบข้อสอบแบบบรรยาย หรือเรียงความ
ตัวอย่างเช่น
จงเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แนวการเขียนตอบ
(ส่วนที่ 1 ) สัญญาเช่าทรัพย์ คือ สัญญาที่บุคคลคนหนึ่งตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่ เช่า โดยได้รับค่าตอบแทนและผู้เช่าตกลงจะชาระราคาเช่าเพื่อการนั้นเป็นการตอบแทน เช่น บูเก้ทาสัญญาเช่า ห้องพักห้องหนึ่งจากหลิว โดยหลิวคิดค่าเช่าเดือนละ 4,5000 บาท บูเก้มีหน้าที่ต้องชาระค่าเช่าในแต่ละเดือน ตามที่ตกลงกัน ในขณะที่หลิวมีหน้าที่ส่งมอบห้องเช่าให้กับบูเก้ได้ใช้ประโยชน์
สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาที่เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คามั่นว่าจะขายทรัพย์สิน นั้นหรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิของผู้เช่าซื้อ โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินเป็นจานวนเท่านั้นเท่านี้คราว
เช่น ลุงปันได้เช่าซื้อคอนโดมิเนียม 1 ห้องจากพรหล้า โดยตกลงชาระค่าเช่าซื้อกันทุกเดือน ๆ ละ 100,000 บาท เป็นเวลา 10 เดือน และเมื่อลุงปันชาระราคาครบทุกงวดแล้ว ลุงปันย่อมได้กรรมสิทธิ์ในคอนโดมิเนียม ห้องดังกล่าว
(ส่วนที่ 2) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของสัญญาเช่าทรัพย์ และสัญญาเช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น อาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ประการสาคัญ กล่าวคือ
ประการแรก ความเหมือนระหว่างสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อ กล่าวคือ
(1) เป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สัญญาต่างมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดในระหว่างกัน
(2) วัตถุแห่งทรัพย์ที่เช่า ซึ่งสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อมีลักษณะที่เหมือนกัน เนื่องจากมี ลักษณะของการนาทรัพย์สินออกให้เช่า
4. 4
ประการที่สอง ความแตกต่างระหว่างสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อ
(1) ในสัญญาเช่าทรัพย์ ผู้ให้เช่าไม่จาเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าก็สามารถทาสัญญาเช่าได้ แต่ในสัญญาเช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อ (มาตรา 572) เนื่องจากจะต้องมีการ โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อจากผู้ให้เช่าซื้อไปยังผู้เช่าซื้อ เมื่อมีการชาระค่าเช่าซื้อครบถ้วน
(2) วัตถุประสงค์ของสัญญาเช่าทรัพย์นั้น คือการให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า (มาตรา 537) ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ในวัตถุของสัญญาเช่า ในขณะที่สัญญาเช่าซื้อนั้น วัตถุประสงค์หลักคือการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อ
(3) ค่าตอบแทนในสัญญาเช่าทรัพย์ที่เรียกว่า “ค่าเช่า” นั้น จะเป็นเงินหรือเป็นสิ่งอื่นก็ได้ แต่ค่าเช่าซื้อ นั้นต้องเป็นเงินเสมอ (มาตรา 572)
(4) สัญญาเช่าทรัพย์ไม่ต้องทาตามแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์จะมี เพียงว่าสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะต้องทาตามหลักเกณฑ์ที่มาตรา 538 กาหนดไว้ ซึ่งมาตราดังกล่าวไม่ถือว่า เป็นบทบัญญัติในแบบของสัญญาเช่า เพราะมิได้กาหนดผลไว้ว่าถ้าไม่ทาแล้วจะทาให้สัญญาเช่านั้นตกเป็นโมฆะ ส่วนในสัญญาเช่าซื้อนั้น มาตรา 572 วรรคสอง กาหนดเรื่องแบบในการทาสัญญาเช่าซื้อไว้ และหากไม่ทาตาม เป็นหนังสือจะตกเป็นโมฆะ
(5) แม้ว่าสัญญาเช่าทรัพย์และสัญญาเช่าซื้อต่างก็เป็นสัญญาต่างตอบแทนด้วยกันและคู่สัญญาต่างมี สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดในระหว่างกัน การที่จะเลิกสัญญาได้นั้นโดยปกติจะเลิกตามความต้องการของฝ่าย หนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ ดังนั้นในสัญญาเช่าทรัพย์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาตามอาเภอใจไม่ได้ เว้นแต่เข้ากรณีที่ กฎหมายหรือสัญญากาหนดไว้ แต่ในสัญญาเช่าซื้อนั้น มาตรา 573 กาหนดให้ผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่บอกเลิกสัญญา เช่าซื้อในเวลาใดก็ได้ ไม่ว่าผู้เช่าซื้อจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลใดก็ตาม ซึ่งผู้ให้เช่าซื้อหาได้มีสิทธิดังกล่าวไม่
(6) สัญญาเช่าทรัพย์คานึงถึงคุณสมบัติของผู้เช่าเป็นสาระสาคัญ ผู้เช่าตายสัญญาเช่าย่อมระงับ แต่ใน สัญญาเช่าซื้อนั้น สัญญาเช่าซื้อไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์ธรรมดา แต่มีคามั่นว่าจะขายทรัพย์โดยมีเงื่อนไขการชาระ เงินคืนเป็นครั้งคราวรวมอยู่ด้วย ถ้าผู้เช่าซื้อชาระเงินแก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามเงื่อนไขก็ได้กรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินนั้น ซึ่งสิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลที่อาจสืบสิทธิกัน ได้