More Related Content More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20) เรื่องศาสนาเชน1. เรื่อง : ศาสนาเชน
ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไรในศาสนาเชน
สอบถามเรื่อง: จากคุณ สมชาย IP : 202.12.73.10
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2547 เวลา 19:35:28
สนาเชน ศาสดา มหาวีระ หรือวรธมานะ แนวหลักการเกิดทุกข์อันที่จริงคล ้ายพุทธ
วิธีดับทุกข์ของเขานั้นต่างกัน เขาเน้นไปทางด ้านทรมานตนตามแบบฉบับ อินเดียเลย
ลมห่มฟ้า
มให ้อีกนิดน่ะ
พุทธประวัตินั้นผมได ้อ่านเรื่องพระเทวทัติทาให ้รู ้ว่าเขาคล ้ายกับพระมหาวีระเป็นอย่างม
ะเชนก็เกิดในสมัยเดียวกับพุทธ พระเทวทัติเป็นเชื้อking เช่นเดียวกับมหาวีระ
ะพยามปฏิบัติให ้เคร่งกว่าพุทธเจ ้า เทวทัติจึงมีสาวกมากมาย
หลังจากที่ตายพุทธประวัติก็ไม่ได ้กล่าวถึงสาวกเทวทัติเลย ผมจึงคิดว่ามหาวีระ
เทวทัติอาจเป็นคนเดียวกัน
กสนใจเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ วิถีของเชน ให ้หาหนังสือของศ.เสถียร พันธรังษี
นครับผมรู ้สึกว่าดีกว่าหลายๆท่าน
คาตออบ: จากคุณ st.carlos IP : 203.113.8
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2547 เวลา 23:49
ในฐานะที่เคยเรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามา
ขอแสดงความคิดเห็นว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ
เทวทัตต์ กับ ศาสดามหาวีระ เป็นคนละคนกัน
เทวทัตต์นั้นตามประวัติ เป็นเชื้อสายกษัตริย์ในวงศ์ "โกลิยะ"
เป็นพระภาดา (พี่ชาย) ของยโสธรา
ตายก่อนพระพุทธเจ ้าปรินิพพาน
ศาสนาเชน ซึ่งมีศาสดามหาวีระเป็นผู ้ให ้กาเนิด
ถือหลักเดียวกันกับ "อัตตกิลมถานุโยค"
หรือการทรมานตนให ้ได ้รับความลาบาก โดยวิธีต่าง ๆ กัน
ไม่มีเครืองปกปิด หรือเครื่องนุ่งหุ่ม
2. ซึ่งในพระพุทธศาสนาสอนว่า หลักการทรมานตน
(อัตตกิลมถานุโยค) และ"กามสุขัลลิกายุโยค"
(การประกอบตนให ้มัวเมาอยู่กับกาม หรือเสพกามมีประการต่าง
ๆ) เป็นหนทางที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะตึงและหย่อนเกินไป
ควรใช ้หลักปฏิบัติแห่งทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) นั่นก็คือ
มรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต ้อง/ความเห็นชอบ)
เป็นต ้น และมีสัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่น) เป็นที่สุด
ส่วนคาถามที่ว่า "ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไรในศาสนาเชน"
ขอแสดงความคิดเห็นว่า เพราะคาสอนของศาสนาเชน
เน้นเรื่องของการยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) เคร่งครัดเกินไป
ซึ่งคาสอนแตกต่างจากศาสนาพุทธที่ว่า
ศาสนาพุทธให ้ใช ้หลักปฏิบัติของทางสายกลาง
... เหมือนกับสายพิณที่ตึงเกินไป ... มันก็ขาด
... หย่อยเกินไป ... ก็ฟังแล ้วไม่ไพเราะ
... สายที่ตั้งให ้พอดี ... ฟังแล ้วก็รื่นโสตประสาท ฟังกี่ครั้ง ๆ
ก็ไพเราะ
ถูกไม่ถูก ขอท่านผู ้รู ้อธิบายให ้ความกระจ่างด ้วยครับผม
คาตออบ: จากคุณ อริน IP : 203.113.56.10
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 1:06:44
ขอถามสักนิดนะคะ คือถ ้าทากรรม หรือทาชั่ว
เพียงแค่สานึกผิดก็สามารถลบล ้างความผิด
และได ้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ ้าเลยหรือคะ และอีกข ้อหนึ่ง
คือเท่าที่อ่านหนังสือมา เซน เป็นการเน้นด ้านจิตใจไม่ใช่หรือ
ช่วยตอบข ้อสงสัยให ้กับคนไม่ค่อยรู ้เรื่องด ้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
คาตออบ: จากคุณ pong IP : 202.183.222.7
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 10:26:43
ขอตอบ คุณ pong IP : 202.183.222.7
**
3. ขอถามสักนิดนะคะ คือถ ้าทากรรม หรือทาชั่ว
เพียงแค่สานึกผิดก็สามารถลบล ้างความผิด
และได ้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ ้าเลยหรือคะ
---พระเทวทัต เขาได ้บาเพ็ญบารมีมามาก มีทั้งดีและชั่ว
หลายชาติผ่านมาแล ้ว
และก่อนที่จะได ้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ ้า
ก็ต ้องเกิดอีกหลายชาติ (ซึ่งขณะนี้อยู่ในนรก 2,500
กว่าปีล่วงมาแล ้ว ตั้งแต่ธรณีสูบสมัยพุทธกาล)
และอีกข ้อหนึ่ง คือเท่าที่อ่านหนังสือมา เซน
เป็นการเน้นด ้านจิตใจไม่ใช่หรือ
ช่วยตอบข ้อสงสัยให ้กับคนไม่ค่อยรู ้เรื่องด ้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
--เรื่องศาสนาเชน (ความจริง เราเรียกว่าศาสนากันเกล่อ
ก็ไม่ผิดเพราะไม่มีใครให ้นิยามคาว่าศาสนาเอาไว ้)
เชน เขาว่าอย่างไร ต ้องไปดูในสมัยพุทธกาล สาวก รุ่นหลัง
ต่างก็คิดค ้นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย
ไม่มีใครบอกได ้ แม้สาวกก็เถียงกันมานานแล ้ว
ว่าศาสดาของตนสอนอย่างไร
บางอย่างก็เอาจากศาสนาพุทธ หลักธรรมของศาสนาพุทธ
มีศาสนาอื่นเอาไปเป็นของตนเอง
คนที่เรียนจบเปรียญ 9
ถูกซื้อตัวไปแปลพระไตรปิฎกให ้ศาสนาอื่น
ผมก็ยินดี แม้ว่าจะพุทธแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันก็เสื่อมลง ๆ ๆ ๆ
ไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ
ศาสนาพุทธอยู่ได ้5,000 ปี
****
คาตออบ: จากคุณ ณัฐ IP : 203.154.169.133
4. เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 11:52:28
องพระเทวทัตที่ได ้กระทา มีหลายอย่างเท่าที่จาได ้บ ้าง
มุ่งจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ ้า) เช่น
้างตกมัน (จาชื่อไม่ได ้ ว่า ชื่อ ฮาฬาคีรี หรือเปล่าไม่แน่ใจ)
คยเห็นรูปตามผนังโบสถ์พระพุทธเจ ้าโปรดช ้างที่หมอบกราบ อย่างช ้าง
ตกจากภูเขา หมายให ้หล่นใส่พระพุทธองค์ จนทาให ้พระพุทธเจ ้า ถึง ห ้อพระโลหิต
หนักอย่างหนึ่ง ที่ทาได ้เพียงคนเดียว ไม่มีใครทาได ้อีกแล ้ว)
พุทธกาล เมื่อครั้งพระเทวทัตยังมีชีวิตอยู่
ตมีความคิดที่จะลอบสังหารพระพุทธองค์เพื่อที่ตนจะได ้สถาปนาตัวเองเป็นพระพุทธเจ
างแผนที่แยบยลมาก คือทาการคัดเลือกนายขมังธนูฝีมือเยี่ยมจานวน 31 คน (จากนาย
ดยได ้เลือกคนที่ยิงแม่นที่สุด และ ใจโหดเหี้ยมที่สุด ให ้เป็นผู ้ลงมือสังหารพระพุทธอง
ยวกันก็แอบสั่งให ้นายขมังธนูอีก 2 คนคอยดักสังหารนายขมังธนูคนแรกเมื่อลงมือสาเ
ปแอบสั่งให ้นายขมังธนูอีก 4 คนให ้คอยดักสังหารนายขมังธนูทั้ง 2 คนอีกทอดหนึ่ง
ปก็สั่งให ้นายขมังธนูอีก 8 คนคอยดักสังหารนายขมังธนู 4 คน มีการฆ่าตัดตอนเช่นนี้เป
ดท ้าย คือสั่งให ้นายขมังธนูถึง 16 คน คอยดักสังหารนายขมังธนู 8 คน สรุป
งฆ่าตัดตอนถึง 4 ชั้น ทั้งนี้เพื่อพระเทวทัตต ้องการจะปกปิดความชั่วของตน มิให ้ใครรู ้เ
้วยพระพุทธานุภาพ นายขมังธนูคนแรก ขณะที่ลงมือสังหารเกิดอาการชะงักงัน
ถยิงศรทาร ้ายพระพุทธองค์ได ้ทาให ้นายขมังธนูเกิดความหวาดกลัวเป็นอันมาก
ะมหากรุณาพระพุทธองค์ได ้ทรงสนทนาแนะนาให ้ข ้อคิดแก่นายขมังธนูผู ้นั้นด ้วยวาจา
ายขมังธนูผู ้นั้นเกิดความสานึก และ ซาบซึ้งใจจนน้าตาคลอ ทิ้งอาวุธ
บกล่าวคาขอขมาพระพุทธองค์ถึง 3 ครั้ง พระพุทธองค์ทรงให ้อภัยด ้วยน้าพระทัยที่เมต
ระพุทธองค์ทรงเห็นว่านายขมังธนูผู ้นั้นมีจิตใจดีงาม พร ้อมที่จะรับฟังธรรมอันลึกซึ้งแล
องค์จึงทรงแสดงธรรมแก่นายขมังธนูจนได ้บรรลุโสดาบัน (อริยบุคคลชั้นต ้น
ารกราบไหว ้บูชา) และ ก่อนที่นายขมังธนจะููทูลลากลับ
องค์ทรงรับสั่งมิให ้นายขมังธนูเดินทางกลับตามเส ้นทางที่พระเทวทัตสั่ง
อสังหารรออยู่) แต่ให ้กลับไปเส ้นทางอื่น นายขมังธนู 2 คนที่รอฆ่าตัดตอน
ปนเวลานาน ไม่เห็นมาสักที จึงได ้เดินสวนทางมาดู และ ได ้พบกับพระพุทธองค์
าได ้ทรงแสดงธรรมจนทั้งคู่ได ้บรรลุโสดาบัน และ
คู่จะทูลลากลับพระพุทธองค์ได ้ทรงแนะให ้ทั้งคู่เดินทางกลับไปเส ้นทางอื่นเช่นเดียวก
้ไม่ถูกฆ่าตัดตอนจากนายขมังธนู 4 คน )
5. ผนการณ์อันเลวร ้ายของพระเทวทัตได ้ล ้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
ยขมังธนูทุกคนที่ทราบข่าว ต่างดีใจที่ตนรอดตายจากแผนการณ์อันโหดเหี้ยมนี้
ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ จึงพร ้อมใจพากันออกบวชเป็นพระภิกษุ
ป็นพระอรหันต์กันทุกรูป สรุป คือ พระพุทธเจ ้าของเราสามารถช่วยให ้คนชั่ว 31 คน
ป็นคนดี และ รอดตายหมดทุกคน เอวัง ก็มีด ้วยประการะฉะนี้แล.....
าก
w.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=86383
คาตออบ: จากคุณ ณัฐ IP : 203.15
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา
ผมแค่เปรียบเทียบ
ผมก็ไม่ยืนยันน่ะแต่ที่แสดงให ้เห็นนั้นเป็นเพียงความคิดผมคนเดียว
ว่าเป็นคนเดียวดับเทวทัติ
แต่คุณรองคิดดูเชนเกิดเวลาเดียวกับพุทธ
แต่ทาไมไม่กล่าวถึงในไตรปิฏก
คาตออบ: จากคุณ st.carlos IP : 203.113.81.9
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 3:20:14
คุณ อริน กลับมาแล ้วหรือคะ ขอต ้อนรับค ้วยความยินดี
และดีใจมากด ้วยค่ะ
คาตออบ: จากคุณ วรรณ IP : 203.113.81.9
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 5:58:16
เรื่องนี้เคยพูดกันแล ้วในกระทู ้
คุณ สมชาย IP : 202.12.73.10 ก็ถามในกระทู ้ด ้วย
เป็นคนแปลก ๆ อยู่นะ
http://www.stou.ac.th/Thai/Schools/Slw/Webboard/Question.asp?GID=4231
6. มีคนเคยแสดงความเห็นในกระทู ้ที่นี่แหละว่า ศาสนาเชน
เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ
ที่จริงไม่ใช่นิกายหนึ่งของพุทธแน่นอนผมมั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นแล ้ว
ตอนนั้นผมไม่มีหลักฐาน
แต่ตอนนี้มีแล ้ว เพราะในพระไตรปิฎกเขียนไว ้ชัดเจนว่า
ศาสดาของศาสนาเชนคือท่านนิครนถนาฏบุตร
ได ้ดับขันธ์(คงไม่ปรินิพพาน)
แล ้วบรรดาลูกศิษย์มีปัญหาถกเถียงกันเรื่องคาสอนว่าศาสดาของตนสอนว่าอย่างไรแน
เพราะไม่ได ้รวบรวมเอาไว ้ พระสารีบุตรจึงกราบทูลพระพุทธเจ ้า ................
อยู่ใน (ที.ปว.11/108/139)
***อยากถามคุณอรินว่า (ที.ปว.11/108/139) คือพระไตรปิฎก
เล่มใด จะไปหาอ่านมา เพราะในเน็ตเขาลบทิ้งหมดแล ้ว
สอบถามเรื่อง: จากคุณ ณัฐ IP : 203.154.169.133
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 เวลา 11:37:51
ชื่อย่อของนิกาย (ที.ปว.) ที่คุณณัฐถามถึงนี่ หมายถึงในส่วนของพระสูตร (ทีฆนิกาย
= สูตรที่ยาว ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 5 คือ ที, ม, ส, อ, ขุ = ทั้ง 5 นี้เป็นชื่อย่อ)
อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ครับ
(11/108/139) 11 ก็หมายถึงเล่มที่ 11 หน้า 108 และหน้า 139) ส่วนรายละเอียดดูได ้ที่
http://www.geocities.com/Athens/Thebes/3654/sut.html
คาตออบ: จากคุณ ณัฐ IP : 203.154.169.133
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 9:28:15
ข ้อมูล ขอยืนยันว่า เทวทัตต์ กับ ศาสดามหาวีระ
เป็นคนละคนกัน และไม่มีข ้อมูลที่ไหนกล่าวไว ้ว่า
"เทวทัตต์ปฎิบัติสุดโต่ง"
7. หรือเคร่งอย่างศาสนาของศาสนามหาวีระ (เชน)
เทวทัตต์ได ้ปฏิบัติได ้แค่ อภิญญา 6 แสดงอิทธิฤทธิ์ได ้
เทวทัตต์อยากเป็นใหญ่ มักใหญ่ใฝ่ สูง
อยากปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ ้า แต่ในที่สุด อภิญญา 6
อย่าง ที่เทวท ้ตต์สาเร็จ ก็เสื่อมไป
แต่คุณความดีที่เทวทัตต์ทาไว ้ก็คือ ก่อนตาย
ได ้สานึกผิดต่อพระพุทธเจ ้า
และได ้ถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา (บูชาแก่พระพุทธเจ ้า)
พระพุทธเจ ้าทานายว่า ในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตร
เทวทัตต์จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ ้ามีพระนามว่า ...
(ขออภัยจาชื่อไม่ได ้) หากมีคาถามว่า ทาไม
เทวทัตต์ทาชั่วไว ้กับพระพุทธเจ ้ามากมายนานานับประการ
ถึงจะได ้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ ้า
นั่นก็เพราะความสานึกผิดในโทษที่ทาไว ้กับพระพุทธเจ ้า
ส่วนท่านที่สงสัยว่า เทวทัตต์ทากรรม
ทาชั่วอะไรไว ้กับพระพุทธเจ ้าบ ้าง? ก็สอบถาม
หรือหาข ้อมูลได ้จากตารับตาราที่วัดใกล ้บ ้านท่านนะครับ
คาตออบ: จากคุณ อริน IP : 203.113.56.76
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เวลา 9:31:50
จากข ้อความของคุณณัฐ "1. ปล่อยช ้างตกมัน (จาชื่อไม่ได ้ ว่า
ชื่อ ฮาฬาคีรี หรือเปล่าไม่แน่ใจ)"
ชื่อช ้างออกจะมีชื่อเหมือนภาษาญี่ปุ่ นนะครับ
(คุณณัฐมีอารมณ์ขันเหมือนกันนะครับ) ชื่อช ้าง "นาฬาคีรี"
ครับผม พระพุทธเจ ้าทรงเอาชนะช ้างได ้"เมตตาบารมี"
คาตออบ: จากคุณ อริน IP : 203.113.56.8
เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เวลา 23:29:39
เรื่อง : มีเรื่องอยากถาม คุณอริน
มีคนเคยแสดงความเห็นในกระทู ้ที่นี่แหละว่า ศาสนาเชน
เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ
8. ที่จริงไม่ใช่นิกายหนึ่งของพุทธแน่นอนผมมั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นแล ้ว
ตอนนั้นผมไม่มีหลักฐาน
แต่ตอนนี้มีแล ้ว เพราะในพระไตรปิฎกเขียนไว ้ชัดเจนว่า
ศาสดาของศาสนาเชนคือท่านนิครนถนาฏบุตร
ได ้ดับขันธ์(คงไม่ปรินิพพาน)
แล ้วบรรดาลูกศิษย์มีปัญหาถกเถียงกันเรื่องคาสอนว่าศาสดาของตนสอนว่าอย่างไรแน
เพราะไม่ได ้รวบรวมเอาไว ้ พระสารีบุตรจึงกราบทูลพระพุทธเจ ้า ................
อยู่ใน (ที.ปว.11/108/139)
***อยากถามคุณอรินว่า (ที.ปว.11/108/139) คือพระไตรปิฎก
เล่มใด จะไปหาอ่านมา เพราะในเน็ตเขาลบทิ้งหมดแล ้ว
สอบถามเรื่อง: จากคุณ ณัฐ IP : 203.154.169.133
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 เวลา 11:37:51
ขอบคุณ คุณอรินมากครับ ผู ้รู ้ตัวจริง
คาตออบ: จากคุณ ณัฐ IP : 203.154.169.133
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2546 เวลา 8:05:10
คววมทุกข์เกิดมาอย่างไรในศาสนาเชน
คาตออบ: จากคุณ สมชาย IP : 202.12.73.10
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2547 เวลา 19:32:50
ชื่อย่อของนิกาย (ที.ปว.) ที่คุณณัฐถามถึงนี่
หมายถึงในส่วนของพระสูตร (ทีฆนิกาย = สูตรที่ยาว
ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 5 คือ ที, ม, ส, อ, ขุ = ทั้ง 5 นี้เป็นชื่อย่อ)
อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค ครับ (11/108/139) 11 ก็หมายถึงเล่มที่ 11 หน้า 108
และหน้า 139) ส่วนรายละเอียดดูได ้ที่
http://www.geocities.com/Athens/Thebes/3654/sut.html
คาตออบ: จากคุณ อริน IP : 203.113.56.14
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2546 เวลา 0:21:40
9. ศาสนาเชน เป็นลัทธิหนึ่ง
ซึ่งมีถือกาเนิดเกิดในยุคสมัยเดียวกันกับศาสนาพุทธ
นักบวชในลัทธิเป็นพวกเปลือยกาย (อเจลกะ)
หรือทรมานตนด ้วยวิธีการต่าง ๆ ดูพระสูตรที่กล่าวถึง
คาตออบ: จากคุณ อริน IP : 203.113.56.14
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2546 เวลา 0:31:57
หาก link ดูพระสูตรที่กล่าวถึง เสีย หรือ link ไม่ได ้
ก็ให ้คลิกขวาตรง link เลือก properties แล ้วก็ทาการ copy ที่
address (URL) แล ้วไปวางตรงช่อง address ข ้างบน คลิก Go
หรือ Enter ก็เจอครับ
(ไม่รู ้ว่าผมสอนหนังสือสังฆราชหรือเปล่านี่?) คุณณัฐ search
เก่งอยู่แล ้ว คงไม่เกินความสามารถหรอกครับ
"อาจารย์ชุนเรียวนั้น
ใจไม่ได้ขนหินด้วย
เพราะปล่อยวาง "หิน" ทุกชนิด
ใจถึงพักผ่อน
สามารถช่วยกายให้ทางานได้ทั้งวัน"
เว้นวรรคชีวิต
พระไพศาล วิสาโล
การปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ (วัดป่ า)ถือว่าเป็นการเว้นวรรคให้แก่ชีวิต
10. ชีวิตต้องมีการเว้นวรรคบ้างเช่นเดียวกับลมหายใจของเรา
มีหายใจเข้าแล้วก็ต้องมีหายใจออก เราไม่สามารถที่จะหายใจเข้าได้ตลอด
ต้องเว้นจังหวะแล้วจึงหายใจออก
เราไม่สามารถหายใจออกหายใจเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้ตลอด
จะต้องมีการเปลี่ยนสลับกันไป การทางานก็เช่นเดียวกัน ทางานแล้วก็ต้องรู้จักหยุดบ้าง
ธรรมชาติให้เวลากลางวันคู่กับกลางคืนกลางวันทางานเต็มที่
พอถึงตอนกลางคืนก็ต้องพักผ่อน
ขอให้สังเกตดู
อะไรก็ตามเป็นไปได้ดีก็เพราะมีการเว้นจังหวะหรือมีช่องว่างที่เหมาะสม
หนังสือที่อ่านง่ายก็เพราะแต่ละประโยคมีการเว้นวรรคอย่างถูกจังหวะ
ถ้าตัวหนังสือติดกันเป็นพรืดไม่มีเว้นวรรคเลย จะน่าอ่านไหม ใครอ่านก็ต้องรู้สึกงงงวย
ไม่อยากอ่าน
ศิลปะอย่างหนึ่งของเขียนหนังสือให้น่าอ่านก็คือรู้จักเว้นช่องว่างระหว่างคา
ระหว่างประโยค และระหว่างย่อหน้า ทานองเดียวกันดนตรีที่ไพเราะ
ไม่ใช่เพราะมีเสียงดังเท่านั้น แต่เพราะมีช่วงที่เงียบแฝงอยู่ด้วยถ้ากลอง
กีต้าร์ไวโอลินส่งเสียงไม่หยุด ไม่รู้จักเว้นจังหวะเสียบ้าง เพลงนั้นก็คงไม่เพราะ
สาหรับคนเรา
การเว้นวรรคหรือเติมช่องว่างให้กับชีวิตอย่างการมาปฏิบัติธรรมนี้จะเรียกว่าเป็นการพัก
ผ่อนก็ได้ หรือจะถือว่าเป็น การชาร์จแบตเตอรี่ก็ได้
ชาร์จแบตเตอรี่เพื่อจะได้มีพลังสาหรับการทางานในโอกาสต่อไป
ที่จริงมันไม่สามารถแยกกันได้ระหว่างการหลีกเร้นเพื่อพักผ่อน กับการทางาน
สองอย่างนี้เสริมกันทางานอย่างเดียวโดยไม่ได้พักเลย ก็ทาไปได้ไม่ตลอด
หรือว่าเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างเดียวโดยไม่ได้เติมอะไรให้กับชีวิตเลย ในที่สุดก็หมดแรง
มีคนจานวนไม่น้อยเลยที่ไม่ค่อยเห็นความสาคัญของการพักหรือการหยุดเท่าไหร่
หยุดเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่ากาลังถอยหลัง ปล่อยให้คนอื่นแซงขึ้นหน้า
หรือไม่ก็กลัวว่าดอกเบี้ยจะโตเอา ๆ พักเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่าชีวิตมันว่างเกินไป
11. ถือว่าเป็นความฟุ่ มเฟื อยของชีวิตคนเหล่านี้เห็นว่า
จะต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลาถ้ามีเวลาเหลืออยู่น้อยนิดก็อยากจะเอาไปใช้ทางานทาการ
หรือหาเงินหาทองให้ได้มาก ๆ
พูดมาถึงตรงนี้ทาให้นึกถึงเรื่องของชายคนหนึ่งที่เลื่อยไม้อย่างเอาเป็นเอาตา
ย มีเพื่อนคนหนึ่งมาเห็นเข้าก็เลยถามว่าเลื่อยมานานหรือยัง
เขาบอกว่าเลื่อยมาตั้งแต่เช้าจนนี่ก็ค่าแล้วเพื่อนถามว่าเหนื่อยไหม เขาตอบว่าเหนื่อยสิ
เพื่อนถามต่อไปว่าทาไมไม่พักล่ะ เขาก็บอกว่ากาลงวุ่นอยู่กับการเลื่อยไม้ เพื่อนเป็นห่วง
ก็เลยพูดว่าไม่ลองหยุดพักซักหน่อยเหรอ หายเหนื่อยแล้วค่อยมาทางานต่อ
อย่างน้อยก็จะได้เอาตะไบมาลับคมเลื่อยให้มันคมขึ้น จะช่วยให้เลื่อยได้เร็วขึ้น
ชายคนนั้นก็ตอบว่าไม่เห็นหรือไงว่า กาลังวุ่นอยู่ ตอนนี้ยังทาอย่างอื่นไม่ได้ทั้งนั้น
ว่าแล้วก็เลื่อยหน้าดาคร่าเครียดต่อไป
บางครั้งคนเราก็เหมือนกับชายคนนี้ คือเอาแต่เลื่อยอย่างเดียวไม่ยอมหยุด
ทั้งๆ ที่การหยุดพักจะทาให้มีกลังดีขึ้น และถ้ารู้จักหยุดเพื่อลับคมเลื่อยให้คมขึ้น
ก็จะทาให้เลื่อยได้เร็วขึ้น ทุ่นทั้งแรงทุ่นทั้งเวลาแต่เขาก็ยังไม่ยอมเลย
เหตุผลที่เขาให้ก็คือกาลังวุ่นอยู่กับการเลื่อย เลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ไม่สนใจแม้กระทั่งการทาให้เลื่อยคมขึ้น เขาหาได้เฉลียวใจไม่ว่า
เพียงแค่เสียเวลานิดหน่อยก็จะทาให้การเลื่อยนั้นเร็วขึ้นดีขึ้นและเหนื่อยน้อยลง
เขาไม่ยอมหยุดเพราะคิดว่าจะทาให้เสียเวลา ลึก ๆ ก็เพราะคิดว่าทาอะไรมาก แล้วมันจะดี
แต่ที่จริงแล้วทาน้อยลงแต่อาจได้ผลดีกว่าก็ได้ ในประสบการณ์ของเรา
เราพบบ่อยไปว่าการทาอะไรให้ช้าลงกลับทาให้ได้ผลดีขึ้นนักเรียนที่ทาข้อสอบ
ตอบทุกข้อโดยไม่ทันคิดถี่ถ้วนเพราะกลัวหมดเวลาก่อน
บ่อยครั้งกลับได้คะแนนน้อยกว่าคนที่ทาเพียงไม่กี่ข้อแต่คิดถี่ถ้วนทุกข้อ และตอบทุกข้อ
การที่เรามาปลีกวิเวกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการมาลับคมเลื่อยก็ได้
เราวางเลื่อยเอาไว้ก่อน แล้วมาลับคมเลื่อย ก่อนที่จะเลื่อยต่อไป
การพักผ่อนในตัวมันเองก็เป็นการลับคมเลื่อยอยู่แล้ว แค่พักผ่อนร่างกายก็สาคัญไม่น้อย
12. เพราะว่าร่างกายชองเราก็คือตัวเลื่อยนั่นเอง แต่ตอนนี้มันบิ่นแล้วทางานมากมันก็บิ่น
มันไม่คมแล้ว เพียงแค่การมาพักร่างกายอย่างเดียวก็จะช่วยให้เลื่อยคมขึ้น
แต่ที่นี่เราไม่ได้มาพักเพียงแค่กาย เรามาพักใจด้วยการฝึกจิตให้สงบมีสติมีความมั่นคง
และทาให้ชีวิตมีสมดุล ก็เท่ากับว่าเลื่อยถูกลับให้คมขึ้นกว่าเดิม
ถ้าเรากลับไปเลื่อยต่อเมื่อไหร่ ก็แน่ใจได้ว่าจะเลื่อยได้ดีขึ้นเร็วขึ้น แต่ถ้าเราไม่พักเสียเลย
อย่างชายคนนั้นไม่พักเสียเลยแทนที่จะทาได้เร็วก็กลับทาได้ช้า
หรืออาจจะทาไม่เสร็จเลยก็ได้เพราะว่าล้มพับเสียก่อน
แทนที่จะเสร็จในตอนค่าก็มาเสร็จวันรุ่งขึ้นช้าไปอีกตั้งหลายชั่วโมง
เพราะว่าป่ วยเสียก่อน หรือไม่มือไม้ก็พองทาต่อไม่ได้ ยิ่งอยากจะให้เสร็จไว ๆ
กลับเสร็จช้า แต่ถ้าเว้นวรรคให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนบ้างก็จะทางานได้ดี
การหยุดพักนั้นดูเผิน ๆ เหมือนจะทาให้เสร็จช้าลง แต่ที่จริงทาให้เสร็จไวขึ้น
คนเรามักไปเน้นเรื่องผลหรือความสาเร็จมากไป
แต่ลืมต้นทุนที่จะเอาลงไปในงานนั้นๆ ผลสาเร็จหรือผลงานก็เหมือนกับผลไม้
ผลไม้ออกมาดีหรือไม่ต้องอาศัยต้นทุนคือต้นไม้ ถ้าต้นไม้นั้นเราเอาใจใส่ดูแลรักษา
รดน้าพรวนดิน ใส่ปุ
๋ ยต้นไม้เติบโตแข็งแรงก็ย่อมให้ผลดี ทั้งดกและหอมหวาน
ทานองเดียวกันกับดอกเบี้ยเงินฝากจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่ฝาก
ถ้าเงินต้นก้อนนิดเดียวดอกเบี้ยก็น้อยตามไปด้วยถ้าสนใจแต่ดอกเบี้ย
อยากได้ดอกเบี้ยเยอะ ๆแต่ไม่สนใจต้นทุนความอยากนั้นก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ
แต่ว่าคนจานวนมากก็ทาอย่างนั้นจริงๆ ก็คือว่าอยากจะให้งานออกมาดี
ประสบความสาเร็จเต็มที่ แต่ว่าไม่ได้เอาใจใส่ต้นทุนคือร่างกายและจิตใจ
ร่างกายและจิตใจเป็นต้นทุนสาคัญหรือปัจจัยพื้นฐานที่จานาไปสู่งานที่ดีได้
ถ้าร่างกายอ่อนแอจิตใจห่อเหี่ยว ท้อแท้อารมณ์ไม่ดี ความสาเร็จก็เกิดขึ้นได้ยาก
นิทานสอนเด็กบางครั้งก็มีคติเตือนใจเราได้มาก ถ้าเราจะลองพิจารณาดู
อย่างเรื่องห่านออกไข่เป็นทองคา เราเรียน และฟังมาตั้งแต่เล็ก
เรื่องมีว่าชายคนหนึ่งโชคดีได้ห่านมาห่านตัวนี้ออกไข่มาเป็นทองคาทุกวันๆ
เจ้าของดีใจมาก แต่ตอนหลังรู้สึกว่าได้วันละฟองมันน้อยไป ยากจะได้มากกว่านั้น
13. และก็เชื่อว่าในตัวห่านน่าจะมีไข่ที่เป็นทองคาอีกตั้งเยอะแยะ
ถ้าจะรอให้มันออกมาวันละฟอง ๆ มันช้าไปอย่ากระนั้นเลยคว้านท้องเอาไข่ออกมาดีกว่า
ก็เลยฆ่าห่านตัวนั้น ปรากฏว่าไม่ได้ไข่ทองคาแม่แต่ฟองเดียว
ชายคนนั้นลืมไปว่าถ้าอยากจะได้ไข่ทองคามากๆ ก็ต้องดูแลรักษาตัวห่านให้ดี
แต่นี่กลับไม่สนใจ มิหนาซ้าไปฆ่ามันเสีย ก็เท่ากับว่าไปฆ่าต้นทุนเสีย
จะมีผลงอกงามได้อย่างไร
นิทานเรื่องนี้นอกจากจะสอนว่า "โลภมากลาภมักหาย"
อย่างที่เราได้ยินครูสอนตอนเด็ก ๆ แล้วยังสอนผู้ใหญ่ด้วยว่า อยากได้ผล
ก็ต้องสนใจที่ต้นทุนหรือเหตุปัจจัย ถ้าอยากได้ไข่เยอะๆ ก็อย่าไปใช้ทางลัดเช่น
คว้านท้องห่านวิธีที่ถูกต้องก็คือ ดูแลห่านให้ดีให้มันกินอิ่มนอนนุ่ม มีสุขภาพดี
ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องตระหนักด้วยว่าห่านก็มีขีดจากัดในการให้ไข่ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งๆ
จะให้กี่ฟองก็ได้ตามใจเรา
นี้ก็เหมือนกับชีวิตของเราซึ่งมีขอบเขตจากัดในการทางานวันหนึ่งร่างกายข
องเราทางานได้อย่างมากก็ ๑๘ชั่วโมง ถ้าไปเร่งหรือบังคับทางานมากกว่านั้นเช่น
กินกาแฟหรือยาบ้าจะได้ไม่ต้องหลับ ไม่นานก็ต้องล้มพับ โรครุมเร้า
เท่ากับเป็นการทาร้ายร่างกายของเรา ไม่ต่างจากชายที่ฆ่าห่านเพื่อจะได้ไข่เยอะๆ
สุดท้ายก็ไม้ได้อะไรเลย ผลก็ไม่ได้ ต้นทุนที่เคยมีก็เสียไป
มีครูบาอาจารย์หลายท่านซึ่งน่าเสียดายว่า
หากท่านได้พักผ่อนไม่เร่งงานเยอะไป ท่านก็อาจมีชีวิตยืนยาวครูบาอาจารย์บางทาน
นอกจากจะสอนธรรมแล้ว ท่านยังต้องคุมงานด้านการก่อสร้าง คุมรถที่มาทาทาง
คุมคนงาตนที่มาสร้างกุฏิวิหาร ท่านอยากให้งานเสร็จไวๆ ทันใช้งาน
แต่เนื่องจากไม่คอยได้พักผ่อน จึงล้มป่ วยตอนหลังก็ลุกลามถึงขึ้นเป็นอัมพาต
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่าถ้าหากว่าท่านไม่เร่งงานไม่หักโหมเกินไป
14. ก็ยังสามารถที่จะทาอะไรได้เยอะได้มากกว่าที่ท่านเป็น นี่ก็เป็น
ข้อคิดบทเรียนที่สาคัญว่าคนเราจาเป็นที่จะต้องดูแลต้นทุนสุขภาพดีทั้งกายและใจ
ขณะเดียวกันก็ให้โอกาสร่างกายกับจิตใจได้พักผ่อนด้วย
การพักผ่อนของจิตใจนั้นอาจจะแตกต่างจากร่างกายอยู่บ้างร่างกายนั้นพักผ่
อนด้วยการไม่ใช้งานเบา ๆ แต่จิตใจนั้นสามารถพกผ่อนด้วยการใช้งาน
เป็นแต่ว่าไม่ได้ใช้งานด้วยการคิดๆๆ อย่างที่ใช้ในเวลาทางาน
เราผ่อนคลายจิตด้วยการทาสมาธิภาวนา คือฝึกจิตให้มีสติ
สมาธิสัมผัสกับความสงบและความสว่างไสวภายในการฝึกจิตอย่านี้เรียกว่าเป็นการใช้งา
นจิตได้อย่างหนึ่ง แต่ไม่ทาให้จิตเหนื่อยตรงกันข้ามจิตมีแต่จะเข้มแข็งขึ้น เพราะสติ
สมาธิ และปัญญานั้นเป็นสิ่งบารุงเลี้ยงจิตจิตทีมีสติ สมาธิ
และปัญญาเป็นจิตที่มีสุขภาพพลานามัยดี
ร่างกายคนเรานั้นมีข้อจากัด
นานวันร่างกายก็เสื่อมโทรมหากพ้นจุดหนึ่งไปแล้ว ก็ไม่มีทางที่จุทาให้ดีขึ้นได้
ทาได้อย่างมากเพียงแค่ประคับประคองเอาไว้ ไม่ให้มันทรุดเร็วเกินไป
กล้ามเนื้อมีแต่จะเสื่อมลงไป ๆ ส่วนเซลต่างๆ ก็มีแต่จะตายลง
ไม่สร้างขึ้นใหม่ก็ไม่เท่าของเก่า แต่ว่าจิตใจนั้นถ้าใช้เป็นใช้ถูก ยิ่งใช้ก็ยิ่งดีขึ้น
โดยเฉพาะสติและสมาธิ ถ้าเราใช้อยู่บ่อยๆ สติและสมาธิก็จะว่องไว
และเข้มแข็งมั่นคงขึ้น การมาปฏิบัติของเราจะว่าไปมันจึงไม่ได้เป็นแค่การพักใจ
แต่ยังเป็นการพัฒนาคุณภาพและความสามรถของจิตอีกด้วย
เป็นการพัฒนาโดยไม่ทาให้เหนื่อยจิต ผิดกับการพัฒนาร่างกาย มักทาให้เหนื่อยกาย
เพราะต้องออกแรงใช้กล้ามเนื้อ อย่างการเล่นกีฬา หรือเต้นแอโรบิค
ทาแล้วร่างกายเหนื่อยทั้งนั้นแต่ก็เป็นของดี
แม้กระนั้นก็ผิดกับการพัฒนาจิตซึ่งไม่ทาให้เหนื่อยอ่อน ถ้าพัฒนาหรือใช้จิตให้เป็น
แต่ถ้าใช้จิตไม่เป็น
อาจทาให้เราเหนื่อยอ่อนยิ่งกว่าเวลาออกกาลังกายหรือออกแรงหนัก ๆ ด้วยซ้า
16. พอนึกถึงวันจันทร์ต้องไปทางานหรือไปโรงเรียนก็ยิ่งละเหี่ยใจเข้าไปใหญ่
เฝ้าภาวนาให้เสร็จอาทิตย์มาถึงเร็ว จะได้ไป "พักผ่อน"อีก
จิตใจที่ถูกกระตุ้นเร้าขึ้นลงตลอดเวลาไม่เพียงจะเป็นจิตเหนื่อยอ่อนเท่านั้น
หากยังฉุดกายให้เหนื่อยอ่อนตามไปด้วย เพราะอารมณ์ขึ้นลงไม่ว่าบวกหรือลบ
ล้วนส่งผลกระตุ้นการทางานของหัวใจกล้ามเนื้อ และอวัยวะส่วนอื่น ๆ
ในทางตรงกันข้ามหากเรารู้จักรักษาจิตประคองใจให้สงบ มั่นคง เป็นปกติ
โดยมีสติเป็นเครื่องกากับ จิตของเราจะมีพลัง ใช่แต่เท่านั้น ยังส่งผลต่อร่างกายของเรา
อย่างน้อย ก็ไม่ทาให้ร่างกายของเราเหนื่อยอ่อนไปง่าย ๆ
การมีสติประคองจิตให้เป็นปกติและสงบนั้น
ไม่จาเป็นว่าต้องหลีกเร้นไปอยู่ที่เงียบ ๆ ห่างไกลผู้คน หรือไกลจากงานการ
ถ้ารู้จักใช้สติประคองใจแม้อยู่ในที่อึกทึก พบปะผู้คนมากมาย หรือทางานการ
จิตใจก็ยังสงบอยู่ได้ เพราะสติช่วยให้เรารู้จักปล่อยวางอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ
ทันทีที่รู้ว่าโกรธ หงุดหงิดฉุนเฉียว ก็ละวางจากอารมณ์เหล่านั้น
ทันทีที่รู้ว่าใจกาลังกังวลอยู่กับการนัดหมายข้างหน้า
หรือหมกมุ่นกับความผิดพลาดในอดีต
สติก็ดึงจิตกลับมาสู่การงานที่กาลังทาอยู่ในปัจจุบัน การมีสติจดจ่อยู่กับงานที่ทาล้วน
ไม่สนใจว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ใครจะว่าอย่างไร
ก็ไม่คานึงหรือยิ่งกว่านั้นคือมีสติจนปล่อยว่างจากความยึดถือในตัวตน
ไม่ยึดถือว่างานนั้นเป็นงานของฉัน มีแต่งานแต่ไม่มี "ฉัน" ผู้ทางาน
ก็ยิ่งจะทาให้ทางานได้อย่างมีความสุขอีกทั้งยังช่วยให้ทางานได้ดีและต่อเนื่องด้วย
ชุนเรียว ซูซูกิ
เป็นอาจารย์เซนผู้หนึ่งที่มีบทบาทสาคัญในการวางรากฐานพุทธศาสนาแบบเซนในสหรั
ฐอเมริกา เพื่อนของอาตมาเล่าว่า ตอนที่เริ่มสร้างวัดเซนในซานฟรานซิสโกนั้น
อาจารย์ซุนเรียวต้องลงมือขนหินด้วยตัวเอง หินทั้งใหญ่และหนัก
แถมต้องขนหินวันละหลาย ๆ ก้อน ลูกศิษย์ชาวอเมริกันเห็นก็สงสารอาจารย์
17. เพราะอาจารย์ตอนนั้นก็อายุ ๖๐ กว่าแล้วแถมยังตัวเล็ก
ลูกศิษย์จึงอาสาช่วยอาจารย์ขนหิน แต่ขนไปได้แค่ครึ่งวันก็หมดแรง
ตรงข้ามกับอาจารย์กลับขนได้ทั้งวัน ลูกศิษย์จึงสงสัยมากว่าทาได้อย่างไร
ขนาดคนอเมริกันซึ่งร่างใหญ่กว่าแถมหนุ่มกว่ายังทาได้แค่ครึ่งวัน
พอลูกศิษย์ไปถามอาจารย์ก็ได้คาตอบว่า"ก็ผมพักผ่อนตลอดเวลานี่"
อาจารย์ชุนเรียวขนหินไป ก็พักผ่อนไปด้วย มีแต่กายเท่านั้นที่ขนหิน
แต่ใจไม่ได้ขนด้วยใจนั้นปล่อยวางจากงานไม่คาดหวังความสาเร็จ
และไม่เร่งรัดให้เสร็จไว ๆ แต่คนทั่วไปนั้นเวลาขนหินไม่ได้ขนด้วยกายเท่านั้น
แต่ใจก็ขนไปกับเขาด้วยเวลาเหนื่อยก็ไม่ได้เหนื่อยแค่กาย แต่ใจก็เหนื่อยไปด้วย
เพราะคอยเร่งว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ ๆ ยิ่งเร่งให้เสร็จไว ๆ ก็ยิ่งเสร็จช้า
ก็เลยยิ่งหงุดหงิดลึกลงไปกว่านั้นเวลากายเหนื่อย
ก็ไม่ได้คิดว่ากายเท่านั้นที่เหนื่อยแต่ใจยังปรุงแต่งไปอีกว่า"ฉันเหนื่อย"
ใจก็เลยเหนื่อยตามไปด้วย อาจารย์ซุนเรียวนั้น ใจไม่ได้ขนหินด้วยเพราะปล่อยวาง
"หิน" ทุกชนิดใจจึงพักผ่อน สามารถช่วยกายให้ทางานได้ทั้งวัน
จิตที่มีคุณภาพระดับนี้ได้ต้องมีทั้งสติและปัญญา ซึ่งต้องอาศัยการฝึกปรือ
จิตฝึกปรือแบบนี้ได้
ต้องรู้จักเว้นวรรคชีวิตปล่อยวางจากกงานการและภารกิจในชีวิตประจาวันบ้าง
หาเวลาให้แก่ตัวเองมาฝึกปฏิบัติ
อาจจะต้องยอมเสียเวลาไป ๑ วัน๑ อาทิตย์ หรือ ๑
เดือนโดยที่ไม่ได้ทางานเลย แต่ว่าเวลาที่เสียไปก็ไม่ได้เสียเหล่า
เพราะเป็นการพักผ่อนและพัฒนาจิตไปด้วยในตัว
เมื่อเอาจิตที่พักผ่อนและพัฒนาแล้วไปทางานก็จะทาให้งานนั้นดีขึ้น
มีคุณภาพมากขึ้นและบางครั้งก็มีปริมาณมากขึ้นด้วยอย่างกรณีอาจารย์ซุนเรียว
อีกทั้งยังเสร็จได้เร็วขึ้นกว่าตอนที่ไม่ได้พัก
18. ฉะนั้นเวลาที่เราโหมงานหรือทางานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังก็ขอให้นึกถึงคนเลื่
อยไม้ที่ตะบี้ตะบันเลื่อยโดยไม่ยอมหยุดพัก ไม่ยอมแม้กระทั่งหยุดพักลับคมเลื่อย
เราอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเราเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่เกิดผลดีทั้งแก่ตัวเลื่อย
ตัวงานและตัวเราเอง ขอให้ระลึกว่า คนที่เอาแต่เดินจ้าเอา ๆ เพราะอยากถึงไวๆ นั้น
มักจะถึงช้ากว่า เพราะเหนื่อยเสียก่อนหรือขาแพลงเสียก่อน แต่คนที่ค่อยๆ เดิน
เดินไปเรื่อย ๆ ใจไม่เร่งรีบ ถือว่าพักทุกก้าวที่เดิน
หรือถ้าเหนื่อยก็รู้จักพักเอาแรงในที่สุดกลับถึงที่หมายได้เร็วกว่า
อย่างที่เขาว่าไปช้ากลับถึงเร็วดีกว่าไปเร็วกลับถึงช้า ขอให้เรามาเรียนรู้วิธีไปช้า
แต่ถึงเร็วกันดีกว่า นี้ไม่ใช่แค่ศิลปะของการเดินทางเท่านั้น
แต่เป็นศิลปะของการดาเนินชีวิตเลยทีเดียว.
จากหนังสือ ชีวิตทีจิตใฝ่ หา
พระไพศาล วิสาโล
พุทธศาสนาก็สอนเรื่องกรรม ฮินดู นิครนถ์
ก็สอนเรื่องกรรมทั้งนั้น ก็เข ้าใจว่าคาสอนใน
ศาสนาเหล่านี้เหมือนกัน ที่จริงไม่เหมือนในศาสนาฮินดู
เขามีหลักกรรมเหมือนกัน ที่ว่าในตัว
คนแต่ละคนมีอาตมัน บุคคคลแต่ละคนกระทากรรม
กรรมเป็นเครื่องปิดบังอาตมัน ด ้วยอานาจ
กรรมนี้ บุคคลจึงต ้องเวียนว่ายตายเกิด
ไปจนกว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ ้นอันนี้ ดูเผินๆก็คล ้ายกับของ
พุทธศาสนา
แต่ศาสนาฮินดูสอนหลักกรรมเพื่อเป็นฐานรองรับการแบ่งแ
ยกวรรณะ ส่วนพระ
พุทธศาสนาสอนหลักกรรมเพื่อหักล ้างเรื่องวรรณะ
หลักกรรมของศาสนาทั้งสอง จะเหมือน
กันได ้อย่างไรตรงกันแต่ชื่อเท่านั้น ส่วนในศาสนานิครนถ์
ก็มีความเชื่อในสาระสาคัญของกรรม
19. คล ้ายกันอย่างนี้
พระพุทธเจ ้าเคยตรัสเล่าความเชื่อเรื่องกรรมของนิครนถ์
"พระพุทธองค์ตรัสว่าภิกษุทั้งหลาย
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะมีทิฐิอย่างนี้ว่าสุขก็ดี
ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดที่ได้เสวย
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะกรรมที่ตัวได้ทาไว้ในปางก่อนโดย
นัยดังนี้ เพราะกรรมเก่าหมดสิ้นไปด้วยตบะไม่ทากรรมใหม่ก็จะไม่ถูก
บังคับต่อไปเพราะไม่
ถูกบังคับต่อไปก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรมก็สิ้นทุกข์เพราะสิ้นทุกข์ก็สิ้นเวทนา
เพราะสิ้นเวทนา
ก็เป็นอันสลัดทุกข์ได้หมดสิ้นภิกษุทั้งหลายพวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี้
อันนี้มาในเทวทหสูตร
พระไตรปิฎกเล่ม๑๔ มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์ พุทธพจน์ที่ยกมาอ้างนี้
แสดงลัทธินิครนถ์
หรือศาสดามหาวีระ นิครนถนาฏบุตร ที่เขาเรียกกันทั่วไปว่าศาสนาเชนศาสนาเชน ว่า
ปุพเพกตวาท
เมื่อเข้าใจหลักกรรมโดยการเปรียบเทียบกับ ๓ ลัทธิที่ว่ามานี้แล้ว
อาตมภาพเห็นว่าก็จะแก้
ไขข้อคลาดเคลื่อนสับสนข้างต้นให้หมดเหมือนกัน
คือความคลาดเคลื่อนในแง่ความหมาย
ของศัพท์อย่างที่เข้าใจกันทั่วไปก็ตาม หรือความคลาดเคลื่อนในแง่ทัศนคติก็ตาม
อันนี้แก้ไข
ได้หมดเพราะฉะนั้นเราจะต้องทาความเข้าใจหลักกรรมของเราให้ถูกต้อง
อย่าปนกับนิครนถ์
ในศาสนาของนิครนถ์ เขาถือลัทธิกรรมเก่าสุขทุกข์อะไร
เราจะได้รับอย่างไรก็เพราะกรรม
เก่าทั้งสิ้น เขาจึงสอนให้ทากรรมเก่านั้นให้หมดไปเสีย แล้วไม่ทากรรมใหม่
ทีนี้ กรรมเก่าจะหมดไปได้อย่างไร?
20. กรรมเก่าจะหมดไปได้ก็ด้วยการบาเพ็ญตบะพวกนี้ก็เลยบาเพ็ญทุกรกิริยา
ทาอัตตกิลมถานุ
โยคที่พระพุทธองค์ก็เคยทรงไปบาเพ็ญเมื่อก่อนตรัสรู้ มาบาเพ็ญอยู่ถึง ๖ ปี
จนแน่พระทัยแล้ว
ก็ทรงประกาศว่า เป็นข้อปฏิบัติที่ผิดไม่ได้ผลอะไรพวกนิครนถ์ไม่ต้องการทากรรมใหม่
กรรม
เก่าก็หมดไปด้วยตบะขอให้เทียบหลักนี้
กับคาสอนในทางพุทธศาสนาในสฬายตนวรรค สังยุต
ตนิกายพระไตรปิฎก เล่ม๑๘ มีพุทธพจน์ ว่าด้วยเรื่องกรรมไว้ในแง่หนึ่ง
พระองค์ตรัสว่า
"เราจะแสดงกรรมเก่ากรรมใหม่ความดับกรรม และทางดับกรรม"
แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า
"กรรมเก่าคืออะไร ?"กรรมที่พุทธศาสนาสอนไว้ในที่ต่างๆ แล้วจะเห็นว่า
มุ่งหมายให้เกิดการกระทาและที่พระ
พุทธเจ้าปฏิเสธหลักรรมในศาสนาเก่า ก็เพราะหลักกรรมในศาสนานั้น
ไม่ส่งเสริมให้เกิดฉันทะ
ความเพียรพยายามในการกระทา
เพราะฉะนั้น ถ้าหลักกรรมของเราได้สอนกันไปแล้ว
ทาให้ไม่เกิดฉันทะความเพียรพยายาม