Download free for 30 days
Sign in
Upload
Language (EN)
Support
Business
Mobile
Social Media
Marketing
Technology
Art & Photos
Career
Design
Education
Presentations & Public Speaking
Government & Nonprofit
Healthcare
Internet
Law
Leadership & Management
Automotive
Engineering
Software
Recruiting & HR
Retail
Sales
Services
Science
Small Business & Entrepreneurship
Food
Environment
Economy & Finance
Data & Analytics
Investor Relations
Sports
Spiritual
News & Politics
Travel
Self Improvement
Real Estate
Entertainment & Humor
Health & Medicine
Devices & Hardware
Lifestyle
Change Language
Language
English
Español
Português
Français
Deutsche
Cancel
Save
Submit search
EN
Uploaded by
Porna Saow
642 views
คณิต
Read more
0
Save
Share
Embed
Embed presentation
Download
Downloaded 12 times
1
/ 62
2
/ 62
3
/ 62
4
/ 62
5
/ 62
6
/ 62
7
/ 62
8
/ 62
9
/ 62
10
/ 62
11
/ 62
12
/ 62
13
/ 62
14
/ 62
15
/ 62
16
/ 62
17
/ 62
18
/ 62
19
/ 62
20
/ 62
21
/ 62
22
/ 62
23
/ 62
24
/ 62
25
/ 62
26
/ 62
27
/ 62
28
/ 62
29
/ 62
30
/ 62
31
/ 62
32
/ 62
33
/ 62
34
/ 62
35
/ 62
36
/ 62
37
/ 62
38
/ 62
39
/ 62
40
/ 62
41
/ 62
42
/ 62
43
/ 62
44
/ 62
45
/ 62
46
/ 62
47
/ 62
48
/ 62
49
/ 62
50
/ 62
51
/ 62
52
/ 62
53
/ 62
54
/ 62
55
/ 62
56
/ 62
57
/ 62
58
/ 62
59
/ 62
60
/ 62
61
/ 62
62
/ 62
More Related Content
PDF
Math เฉลย (วิทย์)
by
masakonatty
PDF
7วิชาสามัญ คณิต เฉลยตอนที่ 2
by
sarwsw
PDF
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2555
by
Tonson Lalitkanjanakul
PDF
เฉลย คณิตรับตรงสามัญ 7วิชา มค 55 pr4
by
Ge Ar
PDF
1830
by
น้อง 'ภา' เจ้าค่ะ เจ้าขา
PDF
exam57
by
sarwsw
PDF
7 สามัญ คณิต
by
Mashmallow Korn
DOC
E0b882e0b989e0b8ade0b8aae0b8ade0b89ae0b881e0b8a5e0b8b2e0b887e0b8a0e0b8b2e0b88...
by
sirapraphachoothai1
Math เฉลย (วิทย์)
by
masakonatty
7วิชาสามัญ คณิต เฉลยตอนที่ 2
by
sarwsw
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2555
by
Tonson Lalitkanjanakul
เฉลย คณิตรับตรงสามัญ 7วิชา มค 55 pr4
by
Ge Ar
1830
by
น้อง 'ภา' เจ้าค่ะ เจ้าขา
exam57
by
sarwsw
7 สามัญ คณิต
by
Mashmallow Korn
E0b882e0b989e0b8ade0b8aae0b8ade0b89ae0b881e0b8a5e0b8b2e0b887e0b8a0e0b8b2e0b88...
by
sirapraphachoothai1
What's hot
PDF
เฉลยละเอียด ONET คณิตศาสตร์ ม.6 ปกศ 2559
by
ครู กรุณา
PDF
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2556
by
Tonson Lalitkanjanakul
PDF
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2557
by
Tonson Lalitkanjanakul
PDF
60 vector 3 d-full
by
Sutthi Kunwatananon
PDF
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2558
by
ครู กรุณา
PDF
58 statistics
by
Sutthi Kunwatananon
PDF
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
by
Tonson Lalitkanjanakul
PDF
สมการและคำตอบของสมการ โดย krooann
by
kru_ann
PDF
เฉลยข้อสอบคณิตศาสตร์ By:eduzones
by
flimgold
PDF
เฉลยละเอียด ONET คณิตศาสตร์ ม.6 ปกศ.2560
by
ครู กรุณา
PDF
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
by
ครู กรุณา
PDF
7 วิชาสามัญ คณิต 57+เฉลย
by
sm_anukul
PDF
เผยแพร่ผลงาน เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
by
pandachar
เฉลยละเอียด ONET คณิตศาสตร์ ม.6 ปกศ 2559
by
ครู กรุณา
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2556
by
Tonson Lalitkanjanakul
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2557
by
Tonson Lalitkanjanakul
60 vector 3 d-full
by
Sutthi Kunwatananon
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2558
by
ครู กรุณา
58 statistics
by
Sutthi Kunwatananon
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
by
Tonson Lalitkanjanakul
สมการและคำตอบของสมการ โดย krooann
by
kru_ann
เฉลยข้อสอบคณิตศาสตร์ By:eduzones
by
flimgold
เฉลยละเอียด ONET คณิตศาสตร์ ม.6 ปกศ.2560
by
ครู กรุณา
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.6 ปีการศึกษา 2555
by
ครู กรุณา
7 วิชาสามัญ คณิต 57+เฉลย
by
sm_anukul
เผยแพร่ผลงาน เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
by
pandachar
Viewers also liked
PDF
แยกเรื่อง 04-เลขยกกำลัง (และราก) pwk
by
คุณครูพี่อั๋น
PDF
ข้อสอบสังคม
by
Porna Saow
PDF
ข อสอบว ชาช_วว_ทยา
by
Porna Saow
PDF
ข้อสอบโควต้ามช เคมี
by
Porna Saow
PDF
เฉลย ฟิสิกส์ Ent 48
by
Unity' Aing
PDF
แสงเชิงฟิสิกส์
by
Chakkrawut Mueangkhon
PDF
01 ภาษาไทย
by
Porna Saow
PDF
Eng
by
Porna Saow
PDF
เฉลย ฟิสิกส์
by
Porna Saow
PDF
มวลแรงกฏการเคลื่อนที่
by
thanakit553
แยกเรื่อง 04-เลขยกกำลัง (และราก) pwk
by
คุณครูพี่อั๋น
ข้อสอบสังคม
by
Porna Saow
ข อสอบว ชาช_วว_ทยา
by
Porna Saow
ข้อสอบโควต้ามช เคมี
by
Porna Saow
เฉลย ฟิสิกส์ Ent 48
by
Unity' Aing
แสงเชิงฟิสิกส์
by
Chakkrawut Mueangkhon
01 ภาษาไทย
by
Porna Saow
Eng
by
Porna Saow
เฉลย ฟิสิกส์
by
Porna Saow
มวลแรงกฏการเคลื่อนที่
by
thanakit553
Similar to คณิต
PDF
Math เฉลย
by
หมูเฟิน ปิ๊งป่อง
PDF
Ctms15912
by
Tippatai
PDF
Pat15703
by
Theerapong Ketsingnoi
PDF
Pat15810
by
Theerapong Ketsingnoi
PDF
Pat one
by
Manop Amphonyothin
PDF
Ctms25912
by
Tippatai
PDF
สอบ 7 วิชา
by
ทอฟ ฌิกซ์กี๊ส
PDF
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
by
Aon Narinchoti
PDF
Pat1
by
Soraya Khamfu
PDF
Key o net-math6-y53
by
ครู กรุณา
PDF
Ans_TME54_jh2
by
คุณครูพี่อั๋น
PDF
Pre โควตา มช. คณิตศาสตร์1
by
yinqpant
PDF
เฉลย O net 53
by
GiveAGift
PDF
เฉลย Ent48 คณิตศาสตร์1
by
Unity' Aing
PDF
Conc mat กสพท54
by
Best Angkabsuwan
PDF
ตัวอย่างข้อสอบ Pre o net คณิตศาสตร์ม.6
by
ทับทิม เจริญตา
PDF
7 130630012816-phpapp01
by
loveyouatlast
PDF
Pat1
by
limitedbuff
PDF
Key o net53math
by
Warunchai Chaipunya
PDF
Key o net53math
by
yrcdevilboy
Math เฉลย
by
หมูเฟิน ปิ๊งป่อง
Ctms15912
by
Tippatai
Pat15703
by
Theerapong Ketsingnoi
Pat15810
by
Theerapong Ketsingnoi
Pat one
by
Manop Amphonyothin
Ctms25912
by
Tippatai
สอบ 7 วิชา
by
ทอฟ ฌิกซ์กี๊ส
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
by
Aon Narinchoti
Pat1
by
Soraya Khamfu
Key o net-math6-y53
by
ครู กรุณา
Ans_TME54_jh2
by
คุณครูพี่อั๋น
Pre โควตา มช. คณิตศาสตร์1
by
yinqpant
เฉลย O net 53
by
GiveAGift
เฉลย Ent48 คณิตศาสตร์1
by
Unity' Aing
Conc mat กสพท54
by
Best Angkabsuwan
ตัวอย่างข้อสอบ Pre o net คณิตศาสตร์ม.6
by
ทับทิม เจริญตา
7 130630012816-phpapp01
by
loveyouatlast
Pat1
by
limitedbuff
Key o net53math
by
Warunchai Chaipunya
Key o net53math
by
yrcdevilboy
More from Porna Saow
PDF
ข้อสอบโควต้ามช เคมี
by
Porna Saow
PDF
เฉลย ฟิสิกส์
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่6
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่6
by
Porna Saow
PDF
K10
by
Porna Saow
PDF
K10
by
Porna Saow
PDF
K9
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่ 3
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่4
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่8
by
Porna Saow
PDF
K11
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่5
by
Porna Saow
PDF
ใบงานท 2
by
Porna Saow
PDF
Blog
by
Porna Saow
PDF
ฟิสิกส์
by
Porna Saow
PDF
ใบงานที่7
by
Porna Saow
PDF
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
PDF
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
PDF
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
PDF
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
ข้อสอบโควต้ามช เคมี
by
Porna Saow
เฉลย ฟิสิกส์
by
Porna Saow
ใบงานที่6
by
Porna Saow
ใบงานที่6
by
Porna Saow
K10
by
Porna Saow
K10
by
Porna Saow
K9
by
Porna Saow
ใบงานที่ 3
by
Porna Saow
ใบงานที่4
by
Porna Saow
ใบงานที่8
by
Porna Saow
K11
by
Porna Saow
ใบงานที่5
by
Porna Saow
ใบงานท 2
by
Porna Saow
Blog
by
Porna Saow
ฟิสิกส์
by
Porna Saow
ใบงานที่7
by
Porna Saow
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
ปลาตะพัดหรือปลาอโรวาน่า
by
Porna Saow
คณิต
1.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 1 เฉลยข้อสอบโควตา ม.ขอนแก่น ปี 𝟐𝟓𝟓𝟎 วิชา คณิตศาสตร์(วิทย์) สอบวันที่ 𝟒 พฤศจิกายน 𝟐𝟓𝟓𝟎 ตอนที่ 𝟏 ข้อสอบแบบปรนัยแบบ 𝟒 ตัวเลือก จานวน 𝟏𝟒 ข้อ (ข้อ 𝟏 − 𝟏𝟒) ข้อละ 𝟐 คะแนน 𝟏. ให้ 𝒑 แทนประพจน์ "สาหรับจานวนจริง 𝒙 ทุกตัว ถ้า 𝒙 < 2 แล้ว 𝒙 𝟐 < 4" ให้ 𝒒 แทนประพจน์ "สาหรับจานวนจริง 𝒙 ทุกตัว มีจานวนจริง 𝒚 บางตัวที่ 𝒙 𝟐 𝒚 = 𝒙" ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ [𝟏] ~𝒑 ⇒ 𝒒 𝟐 ~𝒑 ⇒ ~𝒒 [𝟑] 𝒒 ⇒ ~𝒑 𝟒 ~𝒒 ⇒ ~𝒑 เฉลย 𝑝 แทนประพจน์ ∀𝑥 ∈ ℝ [𝑥 < 2 ⇒ 𝑥 2 < 4] เป็นเท็จครับ เพราะ มีจานวนจริงบางตัวที่ 𝑥 < 2 แล้ว 𝑥 2 ≮ 4 เช่น 𝑥 = −3 จะได้ −3 < 2 แต่ 𝑥 2 = (−3)2 = 9 ≮ 4 ดังนั้น 𝑝 จึงเป็นเท็จคับ 𝑞 แทนประพจน์ ∀𝑥∃𝑦[𝑥 2 𝑦 = 𝑥] กรณี 𝑥 = 0 เราเลือก 𝑦 ตัวไหนก็ได้ เพราะ 02 𝑦 = 0 เสมอ กรณี 𝑥 ≠ 0 เราเลือก 𝑦 = 1𝑥 จะทาให้ 𝑥 2 ∙ 1𝑥 = 𝑥 1 1 เช่น 𝑥 = −2 เลือก 𝑦 = (−2) จะได้ (−2)2 ∙ (−2) = −2 ดังนั้นทุกจานวนจริง 𝑥 เราสามารถหา 𝑦 ได้เสมอคับ ดังนั้นจะได้ 𝑞 เป็นจริง เมื่อพิจารณา ข้อ [1] ~𝑝 ⇒ 𝑞 ≡ ~𝐹 ⇒ 𝑇 ≡ 𝑇 ⇒ 𝑇 ≡ 𝑇 ข้อ [2] ~𝑝 ⇒ ~𝑞 ≡ ~𝐹 ⇒ ~𝑇 ≡ 𝑇 ⇒ 𝐹 ≡ 𝐹 ข้อ [3] 𝑞 ⇒ ~𝑝 ≡ 𝑇 ⇒ ~𝐹 ≡ 𝑇 ⇒ 𝑇 ≡ 𝑇 ข้อ [4] ~𝑞 ⇒ ~𝑝 ≡ ~𝑇 ⇒ ~𝐹 ≡ 𝐹 ⇒ 𝑇 ≡ 𝑇 ตอบข้อ [𝟐] วิเคราะห์ : ข้อนี้ต้องการตรวจสอบเราเรื่องตรรกศาสตร์คับ ต้องเข้าใจประพจน์บ่งชี้ปริมาณ จะเป็นจริงหรือเท็จเมื่อไหร่ ไม่ค่อยออกบ่อยเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าไม่ยากคับ สู้ๆ
2.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 2 𝟑 𝟐. ถ้า 𝑨 = {𝒑|𝒑 เป็นจานวนเฉพาะ และ 𝒑 หาร 𝟓𝟎𝟒 − 𝟐𝒑 ลงตัว} แล้ว ผลบวกของสมาชิกของเซต 𝑨 คือ ข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟗 𝟐 𝟏𝟎 [𝟑] 𝟏𝟏 𝟒 𝟏𝟐 เฉลย วิธีที่ 1 ข้อนีเราสามารถทาแบบเลือกสุมไปเรือยๆได้ เพราะเราเห็นตัวเลือกแล้ว มีคามากสุดคือ 12 เอง แสดงว่าจานวน ้ ่ ่ ่ เฉพาะนั้นไม่เยอะมาก เอาหละเรามาลองสุ่มตัวเลขกันดู 𝑝 = 2 ; จะได้ [504 − 2(2)]3 = [504 − 4]3 = 5003 พบว่า 𝑝|5003 ว้าวใช้ได้ 𝑝 = 3 ; จะได้ [504 − 2(3)]3 = [504 − 6]3 = 4983 พบว่า 𝑝|4983 ว้าวใช้ได้อีกแล้ว 𝑝 = 5 ; จะได้ [504 − 2(5)]3 = [504 − 10]3 = 4943 พบว่า 𝑝 ∤ 4943 ตัวนี้ไม่ลงตัวคับ 𝑝 = 7 ; จะได้ [504 − 2(7)]3 = [504 − 14]3 = 4903 พบว่า 𝑝|4903 ว้าวใช้ได้อีกแล้ว ดังนั้น 𝑝 ทั้งหมดคือ 2, 3, 7 บวกกันได้ 12 คับตัวเลือกข้อนี้สุดๆ แล้วคับ 3 3 2 2 3 วิธีที่ 2 เนืองจาก (𝐴 − 𝐵) = 𝐴 − 3𝐴 𝐵 + 3𝐴𝐵 − 𝐵 ่ หรือเราท่องกันจนชินปากว่า (หน้า − หลัง)3 = หน้า3 − 3หน้า2 หลัง + 3หน้าหลัง2 − หลัง3 2 ถ้ายังจากันไม่ได้ก็ นา 𝐴 − 𝐵 𝐴− 𝐵 = 𝐴2 − 2𝐴𝐵 + 𝐵2 𝐴 − 𝐵 อันนี้เป็นกาลังสองคงคุ้นกันนะคับ เอาหล่ะ คราวนี้เราจะมาพิจารณา 504 − 2𝑝 3 = 5043 − 3 504 2 2𝑝 + 3 504 (2𝑝)2 − (2𝑝)3 เนื่องจาก 𝑝|3 504 2 2𝑝 (เพราะมีตัวประกอบคือ 𝑝 อยู่ด้วยคับ) 𝑝|3(504)(2𝑝)2 (เพราะมีตัวประกอบคือ 𝑝 อยู่ด้วยคับ) 𝑝|(2𝑝)3 (เพราะมีตัวประกอบคือ 𝑝 อยู่ด้วยคับ) โดยหลักการของการหารลงตัว เรามีข้อสังเกตอยู่ว่า ถ้า 𝑎 𝑏 ± 𝑐 ± 𝑑 ± ⋯ ± 𝑦 ± 𝑧 และ 𝑎 𝑏, 𝑎 𝑐, 𝑎 𝑑, … , 𝑎|𝑦 เราสามารถสรุปได้ว่า 𝑎|𝑧 นั่นคือ 𝑝|5043 จะได้ว่า 𝑝|504 (เนื่องจากว่า ถ้า 𝑎 𝑏 𝑛 แล้ว 𝑎 𝑏 สาหรับทุก 𝑛 ที่เป็นจานวนเต็มบวกคับ ) เราจึงหาจานวนเฉพาะทั้งหมดที่หาร 504 ได้ทั้งหมด 3 ตัวคือ 2, 3, 7 โดยได้มาจากการแยกตัวประกอบ 504 = 23 ⋅ 32 ⋅ 7 ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : ข้อนี้ถ้าน้องคนไหนอ่อนเรื่องทฤษฎีจานวนสักหน่อย ก็แย่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการหารลง ตัวนี่ข้อสอบขาดไม่ได้ เห็นออกกันอยู่ทุกปี คับ ถ้าไม่คล่องทฤษฎีก็ไปอ่านมาซะนะ
3.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 3 𝟑. จานวนเต็มบวกจานวนหนึ่งมีสี่หลัก และหารด้วย 𝟗𝟎 ลงตัว ถ้าจานวนนี้มีตัวเลขหลักพันเป็น 𝟐 และหลัก ร้อยเป็น 𝟏 แล้วหลักสิบคือข้อใด [𝟏] 𝟔 𝟐 𝟕 [𝟑] 𝟖 𝟒 𝟗 เฉลย จากข้อมูลเราสามารถเขียนจานวนนี้คือ 2 1 𝑎 𝑏 แต่เนื่องจาก 90|21𝑎𝑏 เราจะเห็นได้ว่า 𝑏 = 0 ได้เพียงอย่างเดียว ดังนั้น เราจึงพิจารณาเพียง 9|21𝑎 โดยวิธีตั้งหารยาวเราจะได้ 𝑎 = 6 หลักสิบจึงเป็น 6 ตอบข้อ [1] ข้อนี้ง่ายจริงๆคับ ถ้าเป็นเราสอบต้องเก็บคะแนนข้อนี้ให้ได้นะ วิเคราะห์ : ข้อนี้ถือว่าออกมาให้กินคะแนนฟรีๆ (พะนะ !) ไม่ยากเลย แค่รู้จักคาว่า "หารลงตัว " 𝟒. เมตริกซ์ในข้อใดต่อไปนี้มีรูปขั้นบันไดแบบแถว (𝑹𝒐𝒘 𝒆𝒄𝒉𝒆𝒍𝒐𝒏 𝒇𝒐𝒓𝒎) 𝟏 𝟐 𝟑 𝟒 𝟏 𝟐 𝟑 𝟒 [𝟏] 𝟎 𝟓 𝟔 𝟕 𝟐 𝟎 𝟎 𝟏 𝟐 𝟎 𝟎 𝟎 𝟏 𝟎 𝟏 𝟎 𝟔 𝟏 𝟐 𝟑 𝟒 𝟏 𝟎 𝟎 𝟎 [𝟑] 𝟎 𝟎 𝟏 𝟕 𝟒 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟎 𝟏 𝟎 เฉลย เมตริกซ์ในรูปขั้นบันไดแถว (𝑅𝑜𝑤 𝑒𝑐𝑒𝑙𝑜𝑛 𝑓𝑜𝑟𝑚) คือเมตริกซ์ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นเมตริกซ์ที่มีตัวนาในแต่ละแถว เป็น 1 2. สมาชิกที่อยู่หน้าตัวนาทุกตัวต้องเป็น 0 3. ตัวนา 1 ในแต่ละคอลัมน์ต้องอยู่แบบเยื้องมาทางขวามือ (ห้ามอยู่ตรงกัน) เช่น 1 3 4 5 0 1 3 4 1 2 3 4 5 0 1 7 −1 , 0 0 1 1 , 0 1 1 4 5 0 0 1 −3 0 0 0 1 0 0 0 1 2
4.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 4 4. แถวที่มีสมาชิกเป็น 0 หมด (ถ้ามี) แถวนั้นต้องอยู่ล่างสุด 1 0 0 1 เช่น 0 1 0 0 0 0 0 0 จากตัวเลือกของข้อนี้ เราจะได้ข้อ [3] เป็น 𝑅𝑜𝑤 𝑒𝑐𝑒𝑙𝑜𝑛 𝑓𝑜𝑟𝑚 จริงๆแล้วถ้าใครไม่รู้จัก 𝑅𝑜𝑤 𝑒𝑐𝑒𝑙𝑜𝑛 𝑓𝑜𝑟𝑚 ก็ไม่แปลกครับ เนื้อหานี้อยู่ใน 𝑀𝑎𝑡𝑒𝑚𝑎𝑡𝑖𝑐𝑠 𝐼 ของคณะ วิทยาศาสตร์ น้องๆปี 1 ทุกคนต้องได้เรียน ครับ แต่เพื่อเตรียมความพร้อมของน้อง ม . 6 จึงเอามาออกสอบมั้งคับ ตอบข้อ [3] วิเคราะห์ : ข้อนี้ต้องการตรวจสอบนิยามของ 𝑅𝑜𝑤 𝑒𝑐𝑒𝑙𝑜𝑛 𝑓𝑜𝑟𝑚 ใครอ่านมาก็ได้ ใครไม่ได้อ่านมาก็ตัว ใครตัวมันคับ เพราะน้อยนักน้อยหน้าจะออกแบบนี้ 𝟓. กาหนดให้ 𝑻 = 𝟏, 𝟐, 𝟑, 𝟒, 𝟓, 𝟔 และความสัมพันธ์ 𝒓 = {(𝒙, 𝒚) ∈ 𝑻 × 𝑻|𝒙 > 5 หรือ 𝒚 ≤ 𝟐} และ 𝒔 = {(𝒙, 𝒚) ∈ 𝑻 × 𝑻|𝒙 ≤ 𝟓 หรือ 𝒚 > 2} ข้อใดต่อไปนี้ผิด [𝟏] 𝑹 𝒓 − 𝑹 𝒔 = ∅ 𝟐 𝑫𝒓 ∪ 𝑫𝒔 = 𝑻 [𝟑] 𝒓 ∪ 𝒔 = 𝑻 × 𝑻 𝟒 𝒓∩ 𝒔= ∅ เฉลย อย่างแรกเราต้องหา 𝑟 ก่อนนะ แต่พี่อยากให้น้องทบทวนก่อนว่า 𝑇 × 𝑇 (อ่านว่า 𝑇 ครอส 𝑇 ) มีสมาชิกกี่ตัว ก็มีเท่ากับ 𝑛(𝑇) ∙ 𝑛 𝑇 ครับ เท่ากับ 6 ∙ 6 = 36 ซึ่งได้แก่ { 1, 1 , 1, 2 , 1, 3 , … , 1, 6 , 2, 1 , 2, 2 , … , (6, 6)} จากโจทย์โดเมนของ 𝑟 ต้องมากกว่า 5 ดังนั้นคู่ลาดับที่สอดคล้อง คือ 6, 1 , 6, 2 , 6, 3 , 6, 4 , 6, 5 , 6, 6 ∈ 𝑟 มี 6 ตัวใช่ป่ะ จากเรนจ์ของ 𝑟 ต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ดังนั้นคู่ลาดับที่สอดคล้อง คือ 1, 1 , 1, 2 , 2, 1 , 2, 2 , 3, 1 , 3, 2 , 4, 1 , 4, 2 , 5, 1 , 5, 2 , 6, 1 , (6, 2) ∈ 𝑟 ดังนั้นนาสองเซตมายูเนียนกัน จะพบว่ามีบางสมาชิกซ้ากัน (ในเซตเราถือว่าเอามาตัวเดียวพอ) จะได้ 𝑟 = { 1, 1 , 1, 2 , 2, 1 , 2, 2 , 3, 1 , 3, 2 , 4, 1 , 4, 2 , 5, 1 , 5, 2 , 6, 1 , 6, 2 , 6, 3 , 6, 4 , 6, 5 , (6, 6)} ดังนั้น 𝐷 𝑟 = 1, 2, 3, 4, 5, 6 , 𝑅 𝑟 = {1, 2, 3, 4, 5, 6} (เท่ากันเยย) คราวนี้เรามาดูของ 𝑠 กันบ้างนะครับ
5.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 5 จาก 𝑠 = 𝑥, 𝑦 ∈ 𝑇 × 𝑇 𝑥 ≤ 5 หรือ 𝑦 > 2} โดเมนของ 𝑠 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 จะได้คู่ลาดับที่สอดคล้อง คือ 1, 1 , 1, 2 , 1, 3 , … , 1, 6 , 2, 1 , 2, 2 , 2, 3 , … , 2, 6 , 3, 1 , 3, 2 , 3, 3 , … , 3, 6 , ⋮ ⋮ 5, 1 , 5, 2 , 5, 3 , … , (5, 6) ∈ 𝑠 หรือ เรนจ์ของ 𝑠 มากกว่า 2 จะได้ คู่ลาดับที่สอดคล้อง คือ 1, 3 , 1, 4 , 1, 5 , 1, 6 , 2, 3 , 2, 4 , 2, 5 , 2, 6 , ⋮ ⋮ 6, 3 , 6, 4 , 6, 5 , (6, 6) ∈ 𝑠 จับสมาชิกของ 𝑠 ทั้งหมดมารวมกันจะได้ จะได้ 𝑠 = { 1, 1 , 1, 2 , 1, 3 , … , 1, 6 , 2, 1 , 2, 2 , 2, 3 , … , 2, 6 , 3, 1 , 3, 2 , 3, 3 , … , 3, 6 , ⋮ ⋮ 5, 1 , 5, 2 , 5, 3 , … , 5, 6 , 6, 3 , 6, 4 , 6, 5 , (6, 6)} 𝐷 𝑠 = 1, 2, 3, 4, 5, 6 , 𝑅 𝑠 = {1, 2, 3, 4, 5, 6} ดังนั้นตอนนี้สรุปว่า 𝐷 𝑟 = 𝑅 𝑟 = 𝐷 𝑠 = 𝑅 𝑠 = {1, 2, 3, 4, 5, 6} = 𝑇 พิจารณาตัวเลือกแต่ละข้อคับ 1 𝑅 𝑟 − 𝑅 𝑠 = ∅ ถูกแล้วคับ 2 𝐷 𝑟 ∪ 𝐷 𝑠 = 𝑇 มันถูกอีกแล้ว [3] 𝑟 ∪ 𝑠 = 𝑇 × 𝑇 ถูกต้องนะค้าบ ลองยูเนียนกันดูได้ครบทุกตัวคับ 4 𝑟 ∩ 𝑠 = ∅ ผิดคับ เพราะมีตั้งหลายตัวที่ซ้ากัน เป็นไปบ่ได้ดอกที่จะเป็นเซตว่าง อย่างน้อยๆก็มี (1,1) ล่ะเอ้า จริงๆแล้วตอนหาโดเมนกับเรนจ์ ข้อนี้เราไม่จาเป็นกระจาย จนกระจุยออกมาหมดเปลือกเหมือนอย่างพี่ก็ได้คับ เพราะโดเมน กับเรนจ์สุดๆก็มี 6 ตัว แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องหามันอยู่ดี เพราะข้อ 3 , [4] เราต้องรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : ข้อนี้ออกจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าได้ฝึกทาบ่อยๆ พี่ป๋อ ณัฐวุฒิ ยังเรียกพี่คับ มันออกจะถึกสักหน่อย แต่ก็คุ้มเพราะมีแค่เรื่องเซต และผลคูณคาร์ทีเซียน เรียนกันมาตั้งแต่ ม.𝟒 (แต่ก็คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว)
6.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 6 𝟔. ถ้ากราฟของสมการ 𝒚 = 𝒇(𝒙) เป็นฟังก์ชันเพิ่มและ 𝒄 เป็นจานวนจริงใดๆ แล้วกราฟของสมการในข้อใด ต่อไปนี้ไม่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม [𝟏] 𝒚 = 𝒇(𝒙 − 𝒄) 𝟐 𝒚= 𝒇 𝒙 + 𝒄 [𝟑] 𝒚 = 𝒇 −𝒙 − 𝒄 𝟒 𝒚 = −𝒇 −𝒙 + 𝒄 เฉลย เรามาดูนิยามของฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลดกันก่อนนะครับ ฟังก์ชันเพิ่ม สาหรับทุกค่า 𝑥1 , 𝑥2 ที่อยู่ในโดเมนของ 𝑓 ถ้า 𝑥1 > 𝑥2 แล้ว 𝑓 𝑥1 > 𝑓 𝑥2 (จาไว้ว่า เครื่องหมายเหมือนกัน ) นิยามของฟังก์ชันเพิ่มอาจนิยามได้อีกแบบคือ ถ้า 𝑥1 < 𝑥2 แล้ว 𝑓 𝑥1 < 𝑓 𝑥2 ฟังก์ชันลด สาหรับทุกค่า 𝑥1 , 𝑥2 ที่อยู่ในโดเมนของ 𝑓 ถ้า 𝑥1 > 𝑥2 แล้ว 𝑓 𝑥1 < 𝑓 𝑥2 (จาไว้ว่า เครื่องหมายต่าง ) นิยามของฟังก์ชันลดอาจนิยามได้อีกแบบคือ ถ้า 𝑥1 < 𝑥2 แล้ว 𝑓 𝑥1 > 𝑓 𝑥2 ข้อนี้ขอเสนอวิธีเช็ค ง่ายๆ โดยสมมติฟังก์ชันที่เป็นฟังก์ชันเพิ่มมาสัก 1 ตัว คือ 𝑦 = 𝑓 𝑥 = 𝑥 + 1 เราจะแสดงว่า 𝑓 เป็นฟังก์ชันเพิ่มดังนี้ ให้ 𝑥1 > 𝑥2 บวกด้วย 1 ทั้งสองข้างอสมการ จะได้ 𝑥1 + 1 > 𝑥2 + 1 ดังนั้น 𝑓 𝑥1 > 𝑓 𝑥2 (เพราะจากโจทย์ 𝑥1 + 1 = 𝑓(𝑥1 ) และ 𝑥2 + 1 = 𝑓(𝑥2 ) ) นั่นคือ 𝑓 เป็นฟังก์ชันเพิ่มครับ ตรวจสอบตัวเลือกข้อ 1 ครับ ให้ 𝑐 = 1 (ให้เป็นอะไรก็ได้ เพราะเป็นค่าคงที่ใดๆ) พิจารณา 𝑦 = 𝑓 𝑥 − 1 = 𝑥 − 1 + 1 = 𝑥 ได้ฟังก์ชันนี้คือ 𝑦 = 𝑓(𝑥) = 𝑥 เมื่อตรวจสอบโดยนิยามข้างต้นจะได้ 𝑓 เป็นฟังก์ชันเพิ่มครับ
7.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 7 ตรวจสอบข้อ [2] ให้ 𝑐 = 1 เหมือนเดิม 𝑦 = 𝑓 𝑥 + 𝑐 = 𝑥 + 1 + 1 = 𝑥 + 2 จะได้ 𝑦 = 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 2 เมื่อตรวจสอบโดยนิยามของฟังก์ชันเพิ่มจะได้ 𝑓 เป็นฟังก์ชันเพิ่มครับ ตรวจสอบข้อ 3 ให้ 𝑐 = 1 𝑦 = 𝑓 −𝑥 − 𝑐 = −𝑥 + 1 − 1 = −𝑥 จะได้ 𝑦 = 𝑓(𝑥) = −𝑥 เป็นฟังก์ชันลดครับ วิธีการพิสูจน์เป็นดังนี้ ให้ 𝑥1 > 𝑥2 คูณด้วย −1 ตลอดอสมการนี้ จะได้ −𝑥1 < −𝑥2 นั่นคือ 𝑓 𝑥1 < 𝑓(𝑥2 ) จะได้ 𝑓 เป็นฟังก์ชันลดครับ ส่วนข้อ [4] นั้นเป็นฟังก์ชันเพิ่มครับ ลองทาดูคล้ายๆกับตัวอย่างข้างบนครับ ตอบข้อ [3] วิเคราะห์ : ข้อสอบประเภทนี้ไม่ค่อยออกครับ แต่ก็ออกมาเพื่อทดสอบความรู้เรื่องนิยามฟังก์ชันเพิ่มฟังก์ชัน ลดครับ นิยามก็ไม่ยากที่จะจดจาครับ เพราะฉะนั้นข้อนี้ก็ไม่ยากเกินไปครับ 𝟕. กาหนดให้วงกลมอยู่ในครอดรันต์ที่ 𝟏 มีรัศมีเท่ากับ 𝟑 หน่วย และสัมผัสแกน 𝑿 และแกน 𝒀 ที่จุด 𝑨 และ 𝑩 ตามลาดับ ถ้า 𝑳 เป็นเส้นตรงที่ตัดแกน 𝑿 และแกน 𝒀 ที่จุด 𝑨 และ 𝑩 ตามลาดับ แล้วระยะห่างระหว่างจุด ศูนย์กลางของวงกลมกับเส้นตรง 𝑳 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟐 𝟑 𝟐 [𝟏] 𝟐 หน่วย 𝟐 𝟐 หน่วย [𝟑] 𝟐 𝟐 หน่วย 𝟒 𝟑 𝟐 หน่วย
8.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 8 เฉลย จากภาพเราจะได้จุดศูนย์วงกลมคือ (3,3) วิธีที่ 1 เนื่องจาก ∆𝐴𝑂𝐵 เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก เราสามารถหาความยาว 𝐵𝐴 ได้จากทฤษฎีบทปีทากอรัส นั่นคือ 2 𝐵𝐴 = 32 + 32 = 9 + 9 = 18 𝐵𝐴 = 18 = 3 2 เนื่องจาก พท.∆𝐴𝑂𝐵 คือ 1 1 1 ∙ ฐาน ∙ สูง = ∙ 𝐵𝐴 ∙ = ∙ 3 2 ∙ ______(1) 2 2 2 แต่เนื่องจาก พท.∆𝐴𝑂𝐵 (มองในทางกลับด้านกันนะ) 1 1 1 = ∙ ฐาน ∙ สูง = ∙ 𝐵𝐴 ∙ = ∙ 3 ∙ 3 _______(2) 2 2 2 ดังนั้น 1 = (2) 1 1 ∙3 2∙ = ∙3∙3 2 2 ดังนั้น 3 3 2 = = 2 2
9.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 9 วิธีที่ 1 (สาหรับคนที่ชื่นชอบเรขาคณิตวิเคราะห์) จากภาพเราจะหาสมการเส้นตรง 𝐿 จากจุดผ่าน 𝐴(3, 0) และ 𝐵(0, 3) หาความชัน 𝑦2 − 𝑦1 3 − 0 3 𝑚= = = = −1 𝑥2 − 𝑥1 0 − 3 −3 เนื่องจากสมการทั่วไปของเส้นตรง คือ 𝑦 = 𝑚𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑥, 𝑦 คือจุดผ่าน และ 𝑚 คือ ความชัน เราเลือกจุดผ่านเส้นตรงมา 1 จุด คือ (3, 0) (อันนี้เราสามารถเลือก (0, 3) ก็ได้) จะได้ 0 = (−1)(3) + 𝑐 นั่นคือ 𝑐 = 3 เราจะได้สมการเส้นตรงคือ 𝑦 = −𝑥 + 3 การหาสมการเส้นตรงทาได้อีกวิธีคือ แทนค่าในสูตร 𝑦 − 𝑦1 = 𝑚(𝑥 − 𝑥1 ) เมื่อ (𝑥1 , 𝑦1 ) คือจุดผ่าน เราจะ ได้สมการเส้นตรง 𝑦 − 0 = (−1)(𝑥 − 3) = −𝑥 + 3 ⟹ 𝑦 = −𝑥 + 3 จากสูตรของระยะห่างระหว่างเส้นตรง 𝐴𝑥 + 𝐵𝑦 + 𝑐 = 0 กับจุด (𝑥1 , 𝑦1 ) คือ 𝐴𝑥1 + 𝐵𝑦1 + 𝐶 𝑑= 𝐴2 + 𝐵 2 ดังนั้นระยะห่างระหว่างเส้นตรง 𝑥 + 𝑦 − 3 = 0 กับจุด 3, 3 คือ 1 3 + 1 3 −3 3 3 2 = = 12 + 12 2 2 ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : ข้อสอบประเภทนี้ถือว่าไม่ยากเพราะเลือกทาได้ตั้งสองวิธี ใครถนัดแบบไหนก็ทาแบบนั้นครับ ถึงแม้ว่าวิธีที่สอง จะยาวไปหน่อย แต่วิธีแรกก็อาจใช้ไม่ได้ ถ้า ∆𝑨𝑩𝑶 ไม่เป็นสามเหลี่ยมมุมฉากในขณะที่ วิธีที่สองทาได้หมดครับ เพราะฉะนั้นควรฝึกทั้งสองวิธี จะได้เก่งๆจริงมั้ย ในเรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ จาเป็นต้องจาสูตรพื้นฐานต่างๆ ให้ได้หมดไม่งั้นจะทาไม่ได้เลยครับ
10.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 10 𝟖. วงรีรูปหนึ่งมีความยาวของแกนเอกเท่ากับความยาวของเลตัสเรกตัมของพาราโบลา 𝒙 𝟐 − 𝟒𝒙 − 𝟖𝒚 + 𝟏 𝟐𝟖 = 𝟎 ถ้าวงรีนี้มีความเยื้องศูนย์กลางเท่ากับ แล้วความยาวของแกนโทของวงรีนี้ คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟐 [𝟏] 𝟐 หน่วย 𝟐 𝟐 𝟑 หน่วย [𝟑] 𝟒 หน่วย 𝟒 𝟒 𝟑 หน่วย เฉลย พิจารณาพาราโบลา เราต้องการความยาวลาตัสเรกตัม นั่นคือ 4𝑐 ขั้นแรกพยายามจัดรูปให้อยู่ในรูปมาตรฐาน คือ (𝑥 − )2 = 4𝑐 𝑦 − 𝑘 จาก 𝑥 2 − 4𝑥 − 8𝑦 + 28 = 0 𝑥 2 − 4𝑥 = 8𝑦 − 28 (𝑥 − 2)2 − 4 = 8𝑦 − 28 (𝑥 − 2)2 = 8𝑦 − 24 (𝑥 − 2)2 = 8(𝑦 − 3) ดังนั้น 4𝑐 = 8 นั่นคือ 4𝑐 = 8 เป็นค่า เลตัสเรกตัม (𝐿𝑅) ดังนั้นความยาวแกนเอกคือ 8 นั่นคือ 𝑐 2𝑎 = 8 จะได้ 𝑎 = 4 จากสูตรความเยื้องศูนย์กลางของวงรี คือ 𝑒 = (อันนี้ต้องจาหน่อยนะครับ) 𝑎 ดังนั้น 1 𝑐 𝑐 = = ⇒ 𝑐=2 2 𝑎 4 จากความสัมพันธ์ระหว่าง 𝑎, 𝑏 , 𝑐 ของวงรีคือ 𝑎2 = 𝑏2 + 𝑐 2 ( 𝑎 เป็นใหญ่ในวงรี 𝑐 เป็นใหญ่ใน 𝑦𝑝𝑒𝑟 ถ้าใน 𝑦𝑝𝑒𝑟 จะได้ 𝑐 2 = 𝑎2 + 𝑏2 ) ดังนั้น 42 = 𝑏2 + 22 จะได้ 𝑏 = 2 3 ดังนั้นความยาวแกนโทคือ 2𝑏 = 4 3
11.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 11 ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : ข้อสอบประเภทนี้ทดสอบเรื่องวงรีและพาราโบลาครับ ทุกสมการเราต้องจาให้ได้ครับ โดยเฉพาะสมการมาตรฐาน เพราะข้อสอบนิยมออกสอบแบบผสมผสานกันอย่างมากครับ และอย่าได้คิดว่าจาเรื่อง วงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเปอร์แล้วจะทาได้ เราต้องจาเรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ ด้วย โดยเฉพาะเรื่องเส้นตรง และสูตรต่างๆ ต้องหาเทคนิคจาให้ได้ 𝟐 𝒙 −𝟐 𝟐𝒙 𝟗. กาหนดให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริงและ 𝑨 = 𝒙 ∈ ℝ 𝟓 𝟗 = 𝟔𝟐𝟓 𝟐 } ผลบวกสมาชิกของ 𝑨 คือข้อใดต่อไปนี้ −𝟐 𝟏 [𝟏] −𝟏 𝟐 [𝟑] 𝟎 𝟒 𝟓 𝟓 เฉลย การแก้สมการหรืออสมการ ที่อยู่ในรูปเอกซ์โปเนนเชียล เราจาเป็นที่จะต้องทาฐานให้เท่ากันครับ 𝟐 𝒙 −𝟐 𝟐𝒙 𝟐𝒙 𝟐𝒙 𝟐 ∙𝟐 𝟐𝒙 𝟐𝒙+𝟐 𝟓𝟗 = 𝟔𝟐𝟓 𝟐 = (𝟓 𝟒 ) 𝟐 = (𝟓) 𝟒∙𝟐 = (𝟓) 𝟐 = (𝟓) 𝟐 เมื่อฐานเท่ากันแล้ว เราจะนาเลขชี้กาลังมาเท่ากันครับ จะได้ว่า 𝟗 𝟐 𝒙 − 𝟐 = 𝟐 𝟐𝒙+𝟐 𝟐 𝟐𝒙+𝟐 − 𝟗 𝟐 𝒙 + 𝟐 = 0 𝟒 ∙ 𝟐 𝟐𝒙 − 𝟗 𝟐 𝒙 + 𝟐 = 0_____(1) ต่อไปให้ 𝐵 = 2 𝑥 แทนใน (1) 4𝐵2 − 9𝐵 + 2 = 0 4𝐵 − 1 𝐵−2 =0 1 𝐵 = ,2 4 กรณี 𝐵 = 1 ⇒ 2 𝑥 = 1 = 2−2 ⇒ 𝑥 = −2 4 4 กรณี 𝐵 = 2 ⇒ 2 𝑥 = 2 ⇒ 𝑥 = 1 ดังนั้นผลบวกคาตอบ คือ −2 + 1 = −1
12.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 12 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบประเภทนี้ออกสอบทุกปีครับ อยู่ที่ว่าจะเอาคาตอบไปทาอะไรครับ เรื่องเอกซ์โปรเนี่ยมัน ยากตรงที่ทาฐานให้เท่ากัน และแปลงเป็นสมการกาลังสอง แล้วแยกตัวประกอบออกมา หาคาตอบครับ เรื่องการแยกตัวประกอบก็มีความสาคัญมากเหมือนกันครับ จาเป็นต้องมีพื้นฐานเรื่องนี้มาก −𝟒 𝟏𝟎. ค่าของ 𝒄𝒐𝒔 𝒂𝒓𝒄𝒕𝒂𝒏 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟑 −𝟒 −𝟑 𝟑 𝟒 [𝟏] 𝟐 𝟑 𝟒 𝟓 𝟓 𝟓 𝟓 เฉลย อย่างแรกเราต้องนึกถึง 𝑐𝑜𝑠(𝑎𝑟𝑐𝑐𝑜𝑠 𝑥) = 𝑥 −𝟒 ดังนั้นเราต้องหาค่า 𝑦 ที่ทาให้ 𝒂𝒓𝒄𝒕𝒂𝒏 𝟑 = 𝒂𝒓𝒄𝒄𝒐𝒔 𝒚 −4 −4 4 ให้ 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 3 = 𝜃 แสดงว่า 𝑡𝑎𝑛𝜃 = 3 = − 3 เราจึงเขียนสามเหลี่ยมมุมฉากได้สองรูปดังนี้
13.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 13 สังเกตเห็นว่ารูปทั้งสองให้ค่า 𝑡𝑎𝑛𝜃 = − 4 ทั้งคู่ แต่เราต้องเลือกมาพิจารณาเพียงรูปเดียวเท่านั้น สิ่งจะกาหนดได้ว่าเรา 3 −𝟒 จะเลือกรูปไหนคือ 𝜽 = 𝒂𝒓𝒄𝒕𝒂𝒏 𝟑 แต่ − 2𝜋 < 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 𝑥 < 2𝜋 นั่นคือ เรนจ์ของ 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 𝑥 มีค่าอยู่ระหว่าง ครอดรันต์ที่ 1 หรือ 4 เท่านั้น แต่ 𝑡𝑎𝑛 𝜃 มีเครื่องหมายลบ ทาให้ 𝜃 ต้องอยู่ในครอดรันต์ที่ 4 นั่นคือเราต้องเลือกรูปที่ 1 มาพิจารณานั่นเอง เพราะ 𝑐𝑜𝑠 𝜃 = 3 เป็นบวก สอดคล้องกับที่ 𝜃 อยู่ในครอดรันต์ที่ 4 5 ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องเครื่องหมายของค่าฟังก์ชันเหล่านี้ ให้ไปอ่านในหัวข้อ หลักการลดทอนมุมทางตรีโกณมิติ ในหัวข้อถัดจาก ข้อ 12 ทบทวน − 2𝜋 ≤ 𝑎𝑟𝑐𝑠𝑖𝑛 𝑥 ≤ 2𝜋 , 0 ≤ 𝑎𝑟𝑐𝑐𝑜𝑠 𝑥 ≤ 𝜋 , − 2𝜋 < 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 𝑥 < 2𝜋 จาได้มั้ยเอ่ย เมื่อได้สามเหลี่ยมมุมฉากรูปที่ 1 มาแล้ว ก็อย่าได้ให้สูญเปล่า เราจึงพิจารณาได้ดังนี้ −4 3 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 = 𝜃 = 𝑎𝑟𝑐𝑐𝑜𝑠 ) ( 3 5 นั่นคือ −4 3 3 𝑐𝑜𝑠 𝑎𝑟𝑐𝑡𝑎𝑛 = 𝑐𝑜𝑠 𝑎𝑟𝑐𝑐𝑜𝑠 = 3 5 5 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้อาจต้องใช้ความรู้เรื่องโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน 𝒂𝒓𝒄𝒕𝒂𝒏 มาช่วย ตรงนี้สาคัญ มากครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ควรทาความเข้าใจให้ถ่องแท้ซะ เพราะข้อสอบออกบ่อยมากๆ แทบทุกปี มีข้อสอบ แบบนี้แต่เปลี่ยนฟังก์ชันไปเรื่อยๆ อาจเป็น 𝒔𝒊𝒏, 𝒄𝒐𝒔, 𝒕𝒂𝒏 มันไม่ยากถ้าหากเราใส่ใจมันสักนิด
14.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 14 𝟐 𝟐 𝟏𝟏. กาหนดให้ 𝒖 และ 𝒗 เป็นเวกเตอร์ซึ่ง 𝒖 + 𝒗 + 𝒖− 𝒗 = 𝟐𝟐 และ 𝒖 = 𝟑 ถ้ามุมระหว่าง 𝒖 และ 𝒗 เป็น 𝟔𝟎° แล้วค่าของ 𝒖 ∙ 𝒗 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟐 𝟐 𝟔 [𝟑] 𝟏𝟐 𝟒 𝟏𝟖 เฉลย จากสูตรการดอทกันของเวกเตอร์ 𝑢 ∙ 𝑣 = 𝑢 𝑣 𝑐𝑜𝑠𝜃____________(1) เมื่อ 𝜃 เป็นมุมระหว่าง 𝑢 และ 𝑣 เนื่องจาก 2 2 𝑢+ 𝑣 + 𝑢− 𝑣 = 𝑢 2+2 𝑢∙ 𝑣 + 𝑣 2 + 𝑢 2 −2 𝑢∙ 𝑣 + 𝑣 2 =2 𝑢 2+2 𝑣 2 = 22 ดังนั้นเราจะได้ 2 2 𝑢 + 𝑣 = 11 แต่ 𝑢 = 3 ดังนั้น 3 + 𝑣 2 = 11 ⇒ 𝑣 = 8 จาก (1) 1 𝑢 ∙ 𝑣 = 𝑢 𝑣 𝑐𝑜𝑠𝜃 = 3 ∙ 8 ∙ 𝑐𝑜𝑠60° = 3 ∙ 8 ∙ = 6 2 ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้ถ้าจานิยามของการดอท และสูตรกาลังสองของเวกเตอร์ก็ทาได้แล้วครับ ถือว่าไม่ ยาก แต่ก็ออกสอบทุกปีเหมือนกัน
15.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 15 𝟏𝟎 𝟏+ 𝟑𝒊 𝟏𝟐. ถ้า 𝒛 = แล้ว ตัวผกผันของการบวกของ 𝒛 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟏− 𝟑𝒊 𝟏 𝟑 𝟏 𝟑 [𝟏] − 𝟐 + 𝒊 𝟐 − 𝟐− 𝒊 𝟐 𝟐 𝟏 𝟑 𝟏 𝟑 [𝟑] + 𝒊 𝟒 − 𝒊 𝟐 𝟐 𝟐 𝟐 เฉลย พิจารณา 1 + 3𝑖 (1 + 3𝑖) 1 + 2 3𝑖 + ( 3𝑖)2 = 1 − 3𝑖 (1 + 3𝑖) 1 − ( 3𝑖)2 1 + 2 3𝑖 − 3 = 1 − (−3) 1 + 2 3𝑖 − 3 = 4 −2 + 2 3𝑖 = 4 −1 3𝑖 = + 2 2 อืมมม…..ต้องยกกาลัง 10 เชียวรึเนี่ยว จะยกยังไงไหวเนี่ย เพราะมันต้องยาวขึ้นเรื่อยๆแน่ เราต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปเชิงขั้วก่อนถึงจะง่ายครับ 555 + + มาดูวิธีทาให้อยู่ในรูปเชิงขั้วก่อนครับ (ต้องจาซะหน่อยนะ) และจะชี้ให้เห็นด้วยว่า ถ้าไม่คูณด้วยสังยุค เพื่อจัดรูปก่อนจะยาว กว่าที่จัดรูปมากน้อยแค่ไหน มาดูกันเลย พิจารณา ให้ 𝑧1 = 1 + 3𝑖 = 𝑎 + 𝑏𝑖 𝑏 3 𝜋 𝑡𝑎𝑛𝜃 = = ดังนั้น 𝜃 = 60° = (อยู่ในครอดรันต์ที่ 1 , 𝑎 เป็น + และ 𝑏 เป็น+) 𝑎 1 3 และ 𝑟 = 𝑎2 + 𝑏 2 = 12 + ( 3)2 = 4 = 2 ดังนั้น 𝑧1 = 𝑟 𝑐𝑜𝑠𝜃 + 𝑖𝑠𝑖𝑛𝜃 = 2(𝑐𝑜𝑠 3𝜋 + 𝑖𝑠𝑖𝑛 3𝜋 ) การหามุมถ้าใครยังสงสัยให้ไปดูที่ หลักการหามุมเพื่อเขียนจานวนเชิงซ้อนในรูปเชิงขั้ว ในหัวข้อหลังจากข้อนี้
16.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 16 ให้ 𝑧2 = 1 − 3𝑖 = 𝑎 + 𝑏𝑖 𝑏 − 3 5𝜋 𝑡𝑎𝑛𝜃 = = ดังนั้น 𝜃 = 300° = (อยู่ในครอดรันต์ที่ 4, 𝑎 เป็น + และ 𝑏 เป็น−) 𝑎 1 3 และ 𝑟 = 𝑎2 + 𝑏 2 = 12 + (− 3)2 = 4 = 2 5𝜋 5𝜋 ดังนั้น 𝑧1 = 𝑟 𝑐𝑜𝑠𝜃 + 𝑖𝑠𝑖𝑛𝜃 = 2[𝑐𝑜𝑠 3 + 𝑖𝑠𝑖𝑛 3 ] จากสูตรการหารจานวนเชิงซ้อนในรูปเชิงขั้วจะได้ 𝑧1 𝑟1 2 𝜋 5𝜋 𝜋 5𝜋 = 𝑐𝑜𝑠 𝜃1 − 𝜃2 + 𝑖𝑠𝑖𝑛 𝜃1 − 𝜃2 = 𝑐𝑜𝑠 − + 𝑖𝑠𝑖𝑛 − 𝑧2 𝑟2 2 3 3 3 3 4𝜋 4𝜋 = 𝑐𝑜𝑠 − + 𝑖𝑠𝑖𝑛(− ) 3 3 4𝜋 4𝜋 = 𝑐𝑜𝑠 + 𝑖𝑠𝑖𝑛(− ) 3 3 𝑧1 10 ต่อไปหา 𝑧2 โดยสูตรของเดอร์มัวร์ 𝑧 𝑛 = 𝑟 𝑛 (𝑐𝑜𝑠( 𝑛𝜃) + 𝑖𝑠𝑖𝑛(𝑛𝜃)) ดังนั้น 𝑧1 10 4𝜋 4𝜋 = 110 [𝑐𝑜𝑠 10 ∙ + 𝑖𝑠𝑖𝑛(−10 ∙ )] 𝑧2 3 3 40𝜋 40𝜋 = 𝑐𝑜𝑠 − 𝑖𝑠𝑖𝑛( ) 3 3 เนื่องจาก 40𝜋 = 13𝜋 + 3𝜋 ตกอยู่ในครอดรันต์ที่ 3 ดังนั้น 𝑐𝑜𝑠 40𝜋 1 40𝜋 3 = − 2 และ 𝑠𝑖𝑛 =− 3 3 3 2 ดังนั้น 𝑧1 10 1 3 =− + 𝑖 𝑧2 2 2 โจทย์ต้องการตัวผกผันการบวก ซึ่งก็คือ เมื่อนามาบวกกับตัวมันแล้วได้เอกลักษณ์ คือ 1 3 𝑧1 10 ดังนั้นเราจึงได้ตัวผกผันคือ 2 − 2 𝑖 ซึ่งนามาบวกกับ 𝑧2 แล้วได้ 0 ต่อไปนี้ขอเสนออีกวิธีหนึ่งซึ่งเกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนแรกด้วยการคูณด้วยสังยุคของตัวมันเอง ให้ 𝑧 ′ = −1 + 3𝑖 2 2 ทาให้อยู่ในรูปเชิงขั้วแล้วยกกาลัง 10 เราจะได้ว่า
17.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 17 2 2 −1 3 −1 3 2𝜋 𝑎= , 𝑏= , 𝑟= + = 1, 𝜃 = 2 2 2 2 3 2𝜋 2𝜋 ดังนั้น 𝑧′ = 𝑟 𝑐𝑜𝑠𝜃 + 𝑖𝑠𝑖𝑛𝜃 = 𝑐𝑜𝑠 3 + 𝑖𝑠𝑖𝑛 3 นามายกกาลัง 10 โดยใช้สูตรของเดอร์มัวร์จะได้ 2𝜋 2𝜋 1 3𝑖 𝑧 = (𝑧′)10 = 𝑐𝑜𝑠 10 ∙ + 𝑖𝑠𝑖𝑛 10 ∙ =− + 3 3 2 2 ตัวผกผันการบวกของ 𝑧10 คือ 1 − 3𝑖 2 2 เห็นไหมล่ะว่าสังยุคมีประโยชน์มากนะครับวิธีที่สองง่ายกว่าเยอะเลยครับ ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้ถือว่ายากครับพ่อแม่พี่น้องครับ เพราะต้องใช้ความรู้หลายอย่างเลย รวมถึงตรีโกณ ด้วยครับ แต่ถ้าจาหลักการและฝึกทาบ่อยๆ จะจาได้เองครับ เป็นอัตโนมัติเชียวแหละไม่ต้องกังวล ข้อนี้ถือว่า ต้องใช้เวลามากพอสมควร (ถ้าทามาถูกวิธีก็ไม่ยาวหรอกครับ) แต่ถ้าได้หลักการเหล่าแล้ว เรื่องตรีโกณก็จะ เบาขึ้นมากครับ หลักการหามุมเพื่อเขียนจานวนเชิงซ้อนให้อยู่ในรูปเชิงขั้ว จาก 𝒛 = 𝒂 + 𝒃𝒊 ให้อยู่ในรูป 𝒛 = 𝒓(𝒄𝒐𝒔𝜽 + 𝒊𝒔𝒊𝒏𝜽) เนื่องจากเราทราบกันดีแล้วว่า เราสามารถหา 𝒓 ได้จาก 𝒓 = 𝒂𝟐 + 𝒃𝟐 แต่ที่เป็นปัญหาคือ เราจะหา 𝜃 มาใส่ได้ถูกต้องหรือไม่ เราจะศึกษาจากตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ 1 จงเขียน 𝑧 = − 3 + 𝑖 ให้อยู่ในรูปเชิงขั้ว
18.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 18 เริ่มแรกเลย จากโจทย์ 𝑎 = − 3 , 𝑏 = 1 และ 𝑟 = (− 3)2 + 12 = 2 และจาก 𝑡𝑎𝑛𝜃 = 𝑏𝑎 = −1 โดยที่ 𝜃 เป็นมุมทีวัดจากแกน 𝑋 3 และ 𝑎 เป็นหน่วยความยาวที่วัดจากแกน 𝑋 , 𝑏 เป็นหน่วยความยาวที่วัดจากแกน 𝑌 พิจารณาดังภาพ ต่อไปพิจารณาสามเหลี่ยมมุมฉากที่เกิดขึ้นครับ เป็นสามเหลี่ยมที่มีความยาวด้านตรงข้ามมุม 𝜃 เป็น 1 และความยาวด้าน ประชิดมุมเป็น 3 ดังนั้น 𝜃 = 30° = 6𝜋 แต่มุมที่เราจะระบุในเชิงขั้ว เป็นมุมที่วัดจากแกน 𝑋 ทางบวกในทิศทวนเข็ม นาฬิกา ตามลูกศรเส้นปะดังภาพ ดังนั้น 𝜃 ที่เราจะใส่ในเชิงขั้ว คือ 𝜃 = 𝜋 − 6𝜋 = 5𝜋 = 150° 6 ( 𝜋 คือครึ่งรอบวงกลม = 180° นาไปลบ 𝜃 ออก จะได้มุมที่ต้องการครับ) 5𝜋 5𝜋 ดังนั้น 𝑧 = 𝑟 𝑐𝑜𝑠𝜃 + 𝑖𝑠𝑖𝑛𝜃 = 2[𝑐𝑜𝑠 6 + 𝑖𝑠𝑖𝑛 6 ] ตัวอย่างที่ 2 จงเขียน 𝑧 = 3 − 3 3𝑖 ให้อยู่ในรูปเชิงขั้ว เริ่มแรกเลย จากโจทย์ 𝑎 = 3 , 𝑏 = −3 3 และ 𝑟 = 32 + (−3 3)2 = 6 และจาก 𝑡𝑎𝑛𝜃 = 𝑏𝑎 = −33 3 โดยที่ 𝜃 เป็นมุมทีวัดจากแกน 𝑋 และ 𝑎 เป็นหน่วยความยาวที่วัดจากแกน 𝑋 , 𝑏 เป็นหน่วยความยาวที่วัดจากแกน 𝑌 พิจารณาดังภาพ
19.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 19 ต่อไปพิจารณาสามเหลี่ยมมุมฉากที่เกิดขึ้นครับ เป็นสามเหลี่ยมที่มีความยาวด้านตรงข้ามมุม 𝜃 เป็น 3 3 และความยาว ด้านประชิดมุมเป็น 3 ดังนั้น 𝜃 = 60° = 3𝜋 แต่มุมที่เราจะระบุในเชิงขั้ว เป็นมุมที่วัดจากแกน 𝑋 ทางบวกในทิศทวนเข็ม นาฬิกา ตามลูกศรเส้นปะดังภาพ ดังนั้น 𝜃 (ที่เราจะใส่ในเชิงขั้ว)คือ 𝜃 = 2𝜋 − 3𝜋 = 5𝜋 = 300° 3 (2𝜋 คือรอบวงกลม 1 รอบ = 360° นาไปลบ 𝜃 ออก จะได้มุมที่ต้องการครับ) ถ้าใครอ่านทั้งสองตัวอย่างยังไม่รู้เรื่อง ผมมีอีกวิธีครับ จากตัวอย่างที่ 1 จะเขียน 𝑧 = − 3 + 𝑖 ในรูปเชิงขั้ว ขั้นแรกให้เรานึกถึง 𝑡𝑎𝑛𝜃 = 𝑏𝑎 = 1 𝜋 (ยังไม่ต้องคิดเครื่องหมายใดๆทั้งสิ้น ) จะได้ 𝜃 = 3 6 แต่เนื่องจาก 𝜃 ตกอยู่ในครอดรันต์ที่ 2 (ตอนนี้คิดเครื่องหมายของ 𝑎 และ 𝑏 ทาให้ได้ 𝜃 อยู่ใน 𝑄2 ) ดังภาพ
20.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 20 หลังจากนั้นให้เราไล่มุมเริ่มจาก ตัวเลขที่ปรากฏ 1, 5, 7, 11 คือ ตัวเลขเรียงถัดไป และมี ห .ร.ม กับ กับ 6 เป็น 1 (หรือคิดง่ายๆ ตัวเลขที่เอาเลขอะไรไปตัดกับ 6 ไม่ได้นั่นเอง) 𝜋 5𝜋 7𝜋 11𝜋 ⟹ ⟹ ⟹ 6 6 6 6 𝑄1 𝑄2 𝑄3 𝑄3 หมายความว่า ถ้ามุมตกอยู่ในครอดรันต์ที่ 2 ( 𝑄2 ) เราจะได้ว่า 𝜃 = 5𝜋 ครับ ถ้าตกอยู่ในครอดรันต์ที่ 3 ก็กลายเป็นมุม7𝜋 6 6 นั่นเองครับ (แนะนาว่าให้ไล่ 1, 2, 3, 4, ,5, … ไปเรื่อยๆและดูว่าตัวเลขตัวไหนที่เอาอะไรตัดกับ 6 ไม่ได้) ตัวอย่างที่ 2(วิธีที่ 2) จงเขียน 𝑧 = 3 − 3 3𝑖 ให้อยู่ในรูปเชิงขั้ว ขั้นแรกให้เรานึกถึง 𝑡𝑎𝑛𝜃 = 𝑏𝑎 = −33 3 = 3 (ยังไม่ต้องคิดเครื่องหมายใดๆทั้งสิ้น คิดแค่ 𝑡𝑎𝑛 𝜃 = 3) จะได้ 𝜋 𝜃 = 3 แต่เนื่องจาก 𝜃 ตกอยู่ในครอดรันต์ที่ 4 (ตอนนี้คิดเครื่องหมายของ 𝑎 และ 𝑏 ทาให้ได้ 𝜃 อยู่ใน 𝑄2 ) ดังภาพ หลังจากนั้นให้เราไล่มุมเริ่มจาก 𝜋 2𝜋 4𝜋 5𝜋 ⟹ ⟹ ⟹ 3 3 3 3 𝑄1 𝑄2 𝑄3 𝑄4
21.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 21 เราจะได้ว่า มุมที่เราต้องการคือ 𝜃 = 5𝜋 3 หลักการลดทอนมุมทางตรีโกณมิติ เริ่มต้นจากการท่องว่า 𝐴𝐿𝐿 ⟹ 𝑠𝑖𝑛 ⟹ 𝑡𝑎𝑛 ⟹ 𝑐𝑜𝑠 ดูภาพประกอบนะครับ คาอธิบาย : ครอดรันต์ที่ 1 𝐴𝐿𝐿 ทุกฟังก์ชันถ้ามุมตกอยู่ในครอดรันต์นี้ ค่าที่ได้จะมีค่าเป็นบวกหมดครับ ไม่ว่าจะเป็น 𝑠𝑖𝑛, 𝑐𝑜𝑠, 𝑡𝑎𝑛, 𝑠𝑒𝑐, 𝑐𝑜𝑠𝑒𝑐, 𝑐𝑜𝑡 1 ครอดรันต์ที่ 2 𝑠𝑖𝑛 และส่วนกลับของ 𝑠𝑖𝑛 คือ 𝑐𝑜𝑠𝑒𝑐 ที่เป็นบวก เพราะ 𝑠𝑖𝑛 𝜃 = 𝑐𝑜𝑠𝑒𝑐 𝜃 1 ครอดรันต์ที่ 3 𝑡𝑎𝑛 และส่วนกลับของ 𝑡𝑎𝑛 คือ 𝑐𝑜𝑡 ที่เป็นบวก เพราะ 𝑡𝑎𝑛 𝜃 = 𝑠𝑖𝑛 𝜃 1 ครอดรันต์ที่ 4 𝑐𝑜𝑠 และส่วนกลับของ 𝑐𝑜𝑠 คือ 𝑠𝑒𝑐 ที่เป็นบวก เพราะ 𝑐𝑜𝑠 𝜃 = 𝑠𝑒𝑐 𝜃 4𝜋 เมื่อเราต้องการหา 𝑐𝑜𝑠 3 ให้เราหาก่อนว่า 4𝜋 ตกอยู่ในครอดรันต์ใด 3 4 1 พิจารณา 3 เราสามารถเขียนเป็น 1 + 3 1 1+ 3 เพราะ 1 คือผลหาร และ 1 คือ เศษที่เกิดจากการหาร
22.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 22 ดังนั้น 4𝜋 𝜋 𝜋 = 𝜋+ 3 3 มุมนี้อยู่ในแนวราบ จากสูตร 𝑐𝑜𝑠(ราบ ± 𝜃) = ±𝑐𝑜𝑠 𝜃 จะได้บวกหรือลบขึ้นอยู่กับว่ามุมตกอยู่ในควอดรันต์ที่เท่าไหร่ 4𝜋 𝜋 เนื่องจากเราพิจารณา 𝑐𝑜𝑠 3 = 𝑐𝑜𝑠 𝜋 + 3 𝜋 3 4𝜋 𝜋 ดังนั้นมุมตกอยู่ในควอดรันต์ที่ 3 𝑡𝑎𝑛 กับ 𝑐𝑜𝑡 เท่านั้นที่เป็นบวก ดังนั้น 𝑐𝑜𝑠 3 = 𝑐𝑜𝑠 𝜋 + 3 = 𝜋 −1 −𝑐𝑜𝑠 = 3 2 นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณามุมอื่นๆได้อีกด้วย มีสูตรดังต่อไปนี้ 𝑐𝑜𝑠(ราบ ± 𝜃) = ±𝑐𝑜𝑠 𝜃 𝑠𝑖𝑛(ราบ ± 𝜃) = ±𝑠𝑖𝑛 𝜃 𝑡𝑎𝑛(ราบ ± 𝜃) = ±𝑡𝑎𝑛 𝜃 𝑐𝑜𝑡(ราบ ± 𝜃) = ±𝑐𝑜𝑡 𝜃 𝑠𝑒𝑐(ราบ ± 𝜃) = ±𝑠𝑒𝑐 𝜃 𝑐𝑒𝑠𝑒𝑐(ราบ ± 𝜃) = ±𝑐𝑜𝑠𝑒𝑐 𝜃 𝑐𝑜𝑠(ราบ ± 𝜃) = ±𝑐𝑜𝑠 𝜃 เครื่องหมาย บวกหรือลบที่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามุมตกอยู่ในครอดรันต์ที่เท่าใด และมุมในแนวราบในที่นี้คือ 0, 𝜋, 2𝜋, 3𝜋, …
23.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 23 𝟏𝟑. ถ้าให้ 𝑨 = {𝟏, 𝟐, 𝟑} และ 𝑩 = {𝟏, 𝟐, 𝟑, 𝟒, 𝟓} แล้ว จานวนของฟังก์ชันจาก 𝑨 ไปยัง 𝑩 ที่เป็นฟังก์ชัน เพิ่มคือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟏𝟎 𝟐 𝟏𝟐 [𝟑] 𝟏𝟒 𝟒 𝟏𝟔 เฉลย นิยามของฟังก์ชันเพิ่ม คือ ถ้า 𝑥1 < 𝑥2 แล้ว 𝑓 𝑥1 < 𝑓(𝑥2 ) เราสามารถแยกเป็นกรณีเพื่อพิจารณาได้ดังนี้ กรณี 𝑓 1 = 1 (นั่นคือ ให้ 𝑓 ส่ง 1 ไปที่ 1) จะทาให้ 𝑓(2) ส่งไปที่ 2 หรือ 3 หรือ 4 (ส่งไปที่ 5 ไม่ได้นะ เพราะจะไม่เหลือค่าให้ส่ง 3 อย่าลืมว่าเงื่อนไขเราต้องการ ฟังก์ชันเพิ่ม) ดูจากภาพ 1 1 2 2 3 3 4 5 เราไม่สามารถหาตัวที่ส่งไป 3 ไปได้ สมมติถ้า 𝑓(3) = 2 จะส่งผลทาให้ฟังก์ชันที่ได้ไม่เป็นฟังก์ชันเพิ่มครับ เพราะ 2 < 3 แต่ 𝑓(2) ≮ 𝑓(3) ต่อไปพิจารณาถ้า 𝑓(2) = 2 จะได้ว่า 𝑓 3 เลือกส่งได้ 3 วิธี ถ้าเราจะจาแนกเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 1 1 1 2 1 2 2 2 2 3 2 3 3 4 3 4 3 4 3 5 5 5 𝑓(2) = 3 จะได้ว่า 𝑓 3 เลือกส่งได้ 2 วิธี ถ้าเราจะจาแนกเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 1 2 1 2 2 3 2 3 3 4 3 4 5 5
24.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 24 𝑓(2) = 4 จะได้ว่า 𝑓 3 เลือกส่งได้ 1 วิธี ถ้าเราทาเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 2 2 3 3 4 5 รวมทั้งหมด คือ 3 + 2 + 1 = 6 วิธี กรณี 𝑓 1 = 2 (นั่นคือ ให้ 𝑓 ส่ง 1 ไปที่ 1) จะทาให้ 𝑓(2) ส่งไปที่ 3 หรือ 4 𝑓(2) = 3 จะได้ว่า 𝑓 3 เลือกส่งได้ 2 วิธี ถ้าเราจะจาแนกเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 1 2 1 2 2 3 2 3 3 4 3 4 5 5 𝑓(2) = 3 จะได้ว่า 𝑓 3 เลือกส่งได้ 1 วิธี ถ้าเราจะจาแนกเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 2 2 3 3 4 5 รวมทั้งหมด คือ 2 + 1 = 3 วิธี
25.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 25 กรณี 𝑓 1 = 3 จะได้ 𝑓 2 = 4, 𝑓 3 = 5 ทาได้ 1 วิธีถ้าเราจะจาแนกเป็นแผนภาพก็ได้ดังนี้ครับ 1 1 2 2 3 3 4 5 เราจะรวมทุกกรณีได้ 6 + 3 + 1 = 10 วิธี ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบแนวนี้นาฟังก์ชันมาประยุกต์ใช้กับเรื่องการเรียงสับเปลี่ยน และการจัดหมู่ ถือว่าเป็น ข้อสอบที่แวกแนวอีกแบบ แต่ถ้าเข้าใจพื้นฐานเรื่องการนับเบื้องตันก็ไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ แค่ส่วนใหญ่ เรื่องนี้มักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆ 14. กาหนดตารางแจกแจงความถี่ต่อไปนี้ คะแนน ความถี่ 21 − 30 90 31 − 40 𝐴 41 − 50 50 51 − 60 𝐵 61 − 70 10 ถ้าคะแนนในตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 𝟓𝟎 คือ 𝟒𝟎. 𝟓 แล้วค่าของ 𝑨 − 𝑩 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] −𝟒𝟎 𝟐 − 𝟑𝟎 𝟑 𝟑𝟎 𝟒 𝟒𝟎 เฉลย พิจารณาตารางแจกแจงความถี่และความถี่สะสมได้ดังนี้นะครับ คะแนน ความถี่ ความถี่สะสม 21 − 30 90 90 31 − 40 𝐴 90 + 𝐴 41 − 50 50 140 + 𝐴 51 − 60 𝐵 140 + 𝐴 + 𝐵 61 − 70 10 150 + 𝐴 + 𝐵
26.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 26 𝑘𝑁 ทบทวนก่อนนะครับ ตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 𝑘 คือ 𝑃 𝑘 = 100 𝑘𝑁 ตาแหน่งเดไซล์ ที่ 𝑘 คือ 𝐷 𝑘 = 10 (เพิ่มให้นะครับ แต่อย่าลืมว่าเป็นตาแหน่งของข้อมูลที่มีการแจกแจงความถี่แล้วเท่านั้น นะ ถ้าข้อมูลยังไม่แจกแจงความถี่ เราต้องใช้อีกสูตร ลองกลับไปทบทวนดูว่ามันเป็นอย่างไรนะ) 𝑘𝑁 ตาแหน่งคลอไทล์ที่ 𝑘 คือ 𝑄 𝑘 = 4 ต่อไปเป็นสูตรคานวณหาเปอร์เซ็นไทล์ เดไซล์ และคลอไทล์ นะครับ 𝑘𝑁 𝐼 100 − 𝐹 𝑃 𝑃𝑘 = 𝐿 + 𝑓𝑃 𝑘𝑁 𝐼 10 − 𝐹 𝐷 𝐷𝑘 = 𝐿 + 𝑓𝐷 𝑘𝑁 𝐼 − 𝐹𝑄 4 𝑄𝑘 = 𝐿 + 𝑓𝑄 เมื่อ 𝑃 𝑘 , 𝐷 𝑘 , และ 𝑄 𝑘 คือ ค่าของเปอร์เซ็นไทล์ เดไซล์ และ คลอไทล์ ตามลาดับ 𝐿 คือ ขอบล่างของชั้นที่มี 𝑃 𝑘 , 𝐷 𝑘 , และ 𝑄 𝑘 ทั้งนี้เราจะรู้เมื่อหาตาแหน่งออกมาแล้วนะครับ 𝐼 คือ ความกว้างอันตรภาคชั้น 𝑘𝑁 𝑘𝑁 𝑘𝑁 100 10 , ,คือตาแหน่งของเปอร์เซ็นไทล์ เดไซล์ และคลอไทล์ตามลาดับ 4 𝐹 𝑃 , 𝐹 𝐷 , 𝐹 𝑄 คือ ความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นที่มีค่าต่ากว่าอันตรภาคชั้นที่มีเปอร์เซ็นไทล์ เดไซล์ และคลอไทล์ อยู่ตามลาดับ 𝑓𝑝 คือ ความถี่ในชั้นที่มี 𝑃 𝑘 , 𝐷 𝑘 , และ 𝑄 𝑘 อยู่ตามลาดับ 𝑁 คือจานวนข้อมูลทั้งหมดที่มี เราอาจเอามาจากความถี่สะสมในชั้นสุดท้ายก็ได้นะ จากโจทย์ ตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 คือ 𝑃50 = 50 150+𝐴+𝐵 = 150+𝐴+𝐵 100 2 ดังนั้น 𝑘𝑁 𝐼 100 − 𝐹 𝑃 𝑃50 = 40.5 = 40.5 + 𝑓𝑃 150 + 𝐴 + 𝐵 10 2 − (90 + 𝐴) = 40.5 + 50
27.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 27 150 + 𝐴 + 𝐵 − 2(90 + 𝐴) 2 = 40.5 + 5 150 + 𝐴 + 𝐵 − 180 − 2𝐴) = 40.5 + 2 (−30 − 𝐴 + 𝐵) = 40.5 + 2 ดังนั้น (−30 − 𝐴 + 𝐵) 40.5 = 40.5 + ===≫ −30 − 𝐴 + 𝐵 = 0 ===≫ 𝐴 − 𝐵 = −30 2 ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : ข้อสอบแนวนี้จาสูตรได้ก็ได้แหละครับกุญแจสาคัญอยู่ที่สูตร เพราะมันเยอะซะจนปวดหัวไปหมด พยายามจาแบบมีหลักการ แล้วแยกแยะให้ดีระหว่างข้อมูลที่แจกแจงและไม่แจกแจงความถี่ เพราะสูตร บางอย่างไม่เหมือนกันครับ ตอนที่ 2 ข้อสอบแบบปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 14 ข้อ (ข้อ 15-28) ข้อละ 3 คะแนน 15. ให้ 𝒑, 𝒒, 𝒓 และ 𝒔 เป็นประพจน์ใดๆ พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก) ถ้า ~𝒑 ↔ 𝒔 ∧ ∼ 𝒓 → 𝒒 → (𝒓 ∨∼ 𝒔) มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้วค่าความจริงของ ให้ 𝒑, 𝒒, 𝒓 และ 𝒔 เป็นจริง เท็จ เท็จ และ จริงตามลาดับ ข) ถ้า (𝒑 →∼ 𝒒) ∨ 𝒓 มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้ว 𝒑 ↔ 𝒓 → (𝒒 ∨ 𝒔) มีค่าความจริงเป็นจริง ข้อใดต่อไปนี้ถูก [𝟏] ก) ถูก และ ข) ถูก 𝟐 ก) ถูก และ ข) ผิด [𝟑] ก) ผิด และ ข) ถูก 𝟒 ก) ผิด และ ข) ผิด เฉลย เรื่องนี้มีหัวใจอยู่ที่ค่าความจริงการเชื่อมประพจน์ ของ ∧, , →, ↔, ∼ ครับ เราอาจเห็นเป็นตารางให้ดูตาราง เทียบกันหลักการจาต่อไปนี้ คือ ∧ เป็นจริง เพียงกรณีเดียว คือ 𝑇 ∧ 𝑇 นอกนั้นเป็นเท็จหมด ไม่ว่าจะเป็น 𝐹 ∧ 𝑇, 𝑇 ∧ 𝐹, 𝐹 ∧ 𝐹 เชื่อมกันเป็นเท็จ หมด เราจึงจาเป็นต้องจาให้ได้เพียงกรณีเดียวพอครับ เพราะนอกนั้นก็จาว่ามันเป็นเท็จหมดครับ ∨ เป็นเท็จ เพียงกรณีเดียวคือ 𝐹 ∨ 𝐹 นอกนั้นอีก 3 กรณีที่เหลือเป็นจริงหมดครับ น้องลองคิดเอานะว่ามีอะไรบ้าง → เป็นเท็จ กรณีเดียว คือ 𝑇 → 𝐹 นอกนั้นเป็นจริงหมด
28.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 28 ↔ เป็นจริง 2 กรณีเมื่อค่าความจริงเหมือนกัน ได้แก่ 𝑇 ↔ 𝑇, 𝐹 ↔ 𝐹 เป็นจริงเพียง 2 กรณีนี้ ถ้าต่างกันก็เป็นเท็จนั่นเอง จากโจทย์เราจะได้ว่า จากแผนภาพข้างบนอธิบายได้ว่า เนื่องจากการเชื่อมด้วย → เป็นเท็จกรณีเดียวคือ 𝑇 → 𝐹 ใส่ 𝑇 และ 𝐹 ในบรรทัดที่สอง ดังภาพ พิจารณา ขวามือ การเชื่อมด้วย ∨ เป็นเท็จกรณีเดียวคือ 𝐹 ∨ 𝐹 ดังนั้น 𝑟 ≡ 𝐹 (อ่านว่า 𝑟 เป็น เท็จนะ) และจะ ได้ ∼ 𝑠 ≡ 𝐹 ด้วย ดังนั้น 𝑠 ≡ 𝑇 พิจารณาซ้ายมือ การเชื่อมด้วย ∧ เป็นจริงได้เมื่อเชื่อมด้วย 𝑇 ∧ 𝑇 นาค่าความจริงที่ ได้จากขวามือมาใส่ทางซ้ายมือ จะได้ ∼ 𝑟 ≡ 𝑇 (เพราะ 𝑟 ≡ 𝐹 มาก่อนครับ) แต่การเชื่อมกันด้วย ∧ เป็นจริงได้เพียงกรณี เดียวดังนั้น 𝑞 ≡ 𝑇 นาค่าความจริงของ 𝑠 จากฝั่งขวามือมาใส่ แต่เนื่องจากการเชื่อมกันด้วย ↔ เป็นจริงได้เมื่อเชื่อมกัน ด้วยค่าความจริงที่เหมือนกัน ดังนั้นจะได้ ∼ 𝑝 ≡ 𝑇 นั่นคือ 𝑝 ≡ 𝐹 ตอนนี้เราได้ค่าความจริงของประพจน์แต่ละตัวหมดแล้วนะครับ พบว่าข้อความ ก) ไม่เป็นจริงเพราะ 𝑞 ≡ 𝑇 ครับ พิจารณาข้อ ข) (𝑝 →∼ 𝑞) ∨ 𝑟 (𝑝 →∼ 𝑞) ∨ 𝑟 𝐹 𝐹 𝐹 𝑇 𝐹 𝑇 ดังนั้น 𝑝 ≡ 𝑇, 𝑞 ≡ 𝑇, 𝑟 ≡ 𝐹 นาค่าความจริงไปแทนใน 𝑝 ↔ 𝑟 → 𝑞 ∨ 𝑠 จะได้ดังนี้
29.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 29 ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ค่าความจริงของ 𝑠 แต่เราต้องสามารถสรุปได้ว่า การเชื่อมด้วย ∨ ถ้ามี 𝑇 อยู่ข้างใดข้างหนึ่งเมื่อเชื่อมแล้วจะ ได้จริงเสมอนะครับ ดังนั้น ข) เป็นจริงครับ ตอบข้อ [3] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้หัวใจอยู่ที่ค่าความจริงของการเชื่อมประพจน์อย่างที่บอกแต่แรกครับ และ ตรรกศาสตร์เกือบทั้งบทใช้พื้นฐานนี้อย่างมากเลย เพราะฉะนั้นถามตัวเองก่อนว่าจาค่าความจริงของการ เชื่อมประพจน์ได้หรือยัง ถ้ายัง … ก็ทาความเข้าใจซะ ก่อนที่จะสายไป 𝟏𝟕. กาหนดให้ 𝒙 เป็นจานวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดที่หาร 𝟏𝟔, 𝟒𝟎 และ 𝟏𝟎𝟎 แล้วมีเศษเหลือเท่ากัน และ 𝒚 เป็นจานวนเต็มบวกที่น้อยที่สุดที่หารด้วย 𝟏𝟔, 𝟒𝟎 และ 𝟏𝟎𝟎 แล้วมีเศษเหลือเป็น 𝟏 ค่าของ 𝒚 − 𝒙 คือข้อใด [𝟏] 𝟑𝟖𝟗 𝟐 𝟒𝟎𝟎 𝟑 𝟒𝟖𝟗 𝟒 𝟓𝟎𝟎 เฉลย ให้ 𝑥 เป็นจานวนเต็มที่หาร 16, 40 และ 100 แล้วมีเศษเหลือเท่ากัน ดังนั้นเราสามารถเขียนสมการได้ว่า (สมการนี้เราต้องเขียนเป็นนะครับเวลาโจทย์ให้มา) 16 = 𝑥𝑘1 + 𝑟__________(1) 40 = 𝑥𝑘2 + 𝑟__________(2) 100 = 𝑥𝑘3 + 𝑟__________(3) สาหรับบางจานวนเต็ม 𝑘1 , 𝑘2 , 𝑘3 พิจารณาการลบกันของสมการเป็นคู่ๆดังนี้ (2) − (1); 24 = 𝑥(𝑘2 − 𝑘1 ) (3) − (2); 60 = 𝑥(𝑘3 − 𝑘2 ) (3) − (1); 84 = 𝑥(𝑘3 − 𝑘1 )
30.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 30 จะได้ว่า 𝑥|24, 𝑥|60, 𝑥|84 (อ่านว่า 𝑥 หาร 24 ลงตัว, 𝑥 หาร 60 ลงตัว , 𝑥 หาร 84 ลงตัว) ค่า 𝑥 ที่มากที่สุดคือ ห.ร.ม ของ 24, 60, 84 ซึ่งก็คือ 12 ให้ 𝑦 เป็นจานวนเต็มที่หารด้วย 16, 40 และ 100 แล้วมีเศษเหลือ 1 ดังนั้นเราสามารถเขียนสมการได้ดังนี้ 𝑦 = 16𝑘1 + 1__________(4) 𝑦 = 40𝑘2 + 1__________(5) 𝑦 = 100𝑘3 + 1__________(6) สาหรับบางจานวนเต็ม 𝑘1 , 𝑘2 , 𝑘3 ดังนั้นเราจะได้ว่า 𝑦 − 1 = 16𝑘1 𝑦 − 1 = 40𝑘2 𝑦 − 1 = 100𝑘3 ดังนั้น 16|𝑦 − 1, 40|𝑦 − 1, 100|𝑦 − 1 𝑦 − 1 ที่น้อยที่สุดคือ ค.ร.น ของ 16, 40 และ 100 ซึ่งก็คือ 400 ดังนั้น 𝑦 − 1 = 400 นั่นคือ 𝑦 = 401 โจทย์ต้องการหา 𝑦 − 𝑥 = 401 − 12 = 389 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้เกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีจานวน โดยเฉพราะเรื่อง การหาร , ค.ร.น, ห .ร.ม เพราะฉะนั้นถ้า ยังไม่เข้าใจเรื่องดังกล่าวควรทบทวนด่วนแล้วนะครับ เพราะข้อสอบออกไม่ยากเลย เก็บคะแนนได้ง่ายๆ 𝟏𝟖. โดยกระบวนการดาเนินการตามแถว พบว่า 𝑥 2 −3 1 0 0 ~ 1 0 0 −5 4 −3 2 𝑦 0 0 1 0 0 1 0 10 −7 6 4 −2 𝑧 0 0 1 0 0 1 9 −6 5
31.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 31 ค่าของ 𝒙 + 𝒚 + 𝒛 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] −𝟗 𝟐 − 𝟕 𝟑 𝟓 𝟒 𝟖 เฉลย เพื่อความสะดวกเราจะทาจากขวามือมาเป็นซ้ายมือ โดยมีข้อกาหนดเบื้องต้นว่า ถ้าเขียน 1 1 − 5 𝑅1 → 𝑅1 หมายถึง เอา − 5 คูณกับเมตริกซ์ในแถวที่ 1 แล้วเก็บค่าที่ได้ไปไว้ในแถวที่ 1 −10𝑅1 + 𝑅2 → 𝑅2 หมายถึง เอา −10 คูณกับเมตริกซ์ในแถวที่ 1 บวกกับเมตริกซ์ในแถวที่ 2 แล้วเก็บค่าที่ได้ไปไว้ใน แถวที่ 2 1 0 0 −5 4 −3 0 1 0 10 −7 6 จากโจทย์ 0 0 1 8 −6 5 1 4 3 −5 0 0 1 −5 1 5 − 5 𝑅1 → 𝑅1 0 1 0 10 −7 6 0 0 1 8 −6 5 1 4 3 −5 0 0 1 −5 5 −10𝑅1 + 𝑅2 → 𝑅2 2 1 0 0 1 0 0 0 1 8 −6 5 1 4 3 −5 0 0 1 −5 5 −8𝑅1 + 𝑅3 → 𝑅3 2 1 0 0 1 0 8 2 1 0 1 0 5 5 5 3 0 2 1 0 1 2 1 0 0 1 0 2𝑅3 + 𝑅1 → 𝑅1 8 2 1 0 1 0 5 5 5 3 0 2 1 0 1 2 1 0 0 1 0 2 4 2 1 − 5 𝑅2 + 𝑅3 → 𝑅3 −5 1 0 0 5 5 3 0 2 1 0 1 5𝑅3 → 𝑅3 2 1 0 0 1 0 4 −2 5 0 0 1
32.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 32 −1 2 −3 1 0 0 −𝑅3 + 𝑅1 → 𝑅1 2 1 0 0 1 0 4 −2 5 0 0 1 ดังนั้นจะได้ 𝑥 + 𝑦 + 𝑧 = −1 + 1 + 5 = 5 ตอบข้อ [3] วิเคราะห์ : ข้อสอบประมาณนี้ไม่ค่อยเห็นมากนัก แต่ในชุดนี้มีข้อสอบประเภทนี้ถึงสองข้อด้วยกัน แสดงให้ เห็นว่า ทางมหาลัยอยากจะเน้นการโอเปอเรชันทางแถวอย่างมาก เพราะการโอเปอเรชันทางแถวจัดได้ว่าอยู่ ในเนื้อหาของ Math I และ Numerical Analysis I ที่ใช้เมตริกซ์เป็นพื้นฐาน เอาเป็นว่า ยังไงเราก็หนีมันไม่พ้น ถ้าหนี ตอนนี้ก็ได้เจอกันตอนหน้าในอนาคตก็แล้วกันครับ 𝟏𝟗. กาหนดให้ 𝒇(𝒏) คือ เศษที่เกิดจากการหาร 𝒏 ด้วย 𝟒 และ 𝒈(𝒏) = 𝒏 𝟐 + 𝟏 𝟐𝟓𝟓𝟎 ค่าของ 𝒏=𝟏 𝒇𝒐𝒈 𝒏 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟐𝟓𝟓𝟎 𝟐 𝟑𝟖𝟐𝟓 𝟑 𝟓𝟏𝟎𝟎 𝟒 𝟔𝟐𝟕𝟓 เฉลย โดยคุณสมบัติของการคอมโพสิทฟังก์ชันเราจะได้ว่า 𝑓𝑜𝑔(𝑛) = 𝑓(𝑔(𝑛)) = 𝑓(𝑛2 + 1) แต่ 𝑓(𝑛2 + 1) คือเศษที่เกิดจากการหาร (𝑛2 + 1) ด้วย 4 พิจารณาอนุกรมต่อไปนี้ 2550 𝑓𝑜𝑔 𝑛 = 𝑓𝑜𝑔(1) + 𝑓𝑜𝑔(2) + ⋯ + 𝑓𝑜𝑔(2550) 𝑛=1 = 𝑓(12 + 1) + 𝑓(22 + 1) + ⋯ + 𝑓(25502 + 1) = 𝑓(2) + 𝑓(5) + 𝑓(10) + 𝑓(17) … + 𝑓(25502 + 1) = 2 + 1 + 2 + 1 + 2 + ⋯ + 2 + 1 (คิดดูนะครับ ทาไมตัวสุดท้ายถึงเป็น 1) สังเกตว่า มี 2 ทั้งหมด 1275 ตัว และ มี 1 ทั้งหมด 1275 ตัว ดังนั้นผลรวมจะได้ดังนี้ 2550 𝑓𝑜𝑔 𝑛 = 2(1275) + 1275 = 3825 𝑛=1
33.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 33 ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : โจทย์ข้อนี้เป็นการประยุกต์ระหว่างทฤษฎีจานวนกับเรื่องอนุกรม แต่ก็อนุกรมก็ถือได้ว่าไม่ยาก เกิดไป และใช้การสังเกตอีกนิดหน่อย ข้อสอบแต่ละข้อมีแนวของมัน ถ้าเราได้ฝึกทาบ่อยๆ จะมองออกเองว่า จะทาไปอย่างไร โดยบางทีเราไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้า อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ สาหรับใครที่ฝึกทาโจทย์น้อยมากควร พิจารณาตัวเองได้แล้วนะครับ 𝟐𝟎. ให้ 𝑳 𝟏 เป็นเส้น 𝟐𝒙 − 𝟑𝒚 − 𝟔 = 𝟎 ที่ตัดแกน 𝑿 และแกน 𝒀 ที่จุด 𝑨 และ 𝑩 ตามลาดับ ถ้า 𝑪 เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างจุด 𝑨 และ 𝑩 และ 𝑳 𝟐 เป็นเส้นตรงที่ตั้งฉากกับ 𝑳 𝟏 ที่จุด 𝑪 และตัดแกน 𝑿 ที่จุด 𝑫 แล้ว พื้นที่ของสามเหลี่ยม 𝑨𝑪𝑫 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟏𝟑 𝟏𝟑 [𝟏] 𝟏𝟐 ตารางหน่วย 𝟐 𝟖 ตารางหน่วย 𝟏𝟑 𝟏𝟑 [𝟑] 𝟔 ตารางหน่วย 𝟒 𝟒 ตารางหน่วย เฉลย การหาจุดตัดของเส้นตรงบนแกน สามารถหาได้อย่างง่ายๆ และเป็นวิธีที่นิยมหาเพื่อเขียนกราฟอย่างคร่าวๆ ได้อีก ด้วย โดย แทน 𝑥 = 0 จะได้จุดตัดบนแกน 𝑌 แทน 𝑦 = 0 จะได้จุดตัดบนแกน 𝑋 (เป็นอย่างไรครับ พอไหวมั้ย ?) พิจารณาเส้นตรง 𝟐𝒙 − 𝟑𝒚 − 𝟔 = 𝟎 แทน 𝑥 = 0 ⟹ 2(0) − 3(𝑦) − 6 = 0 ⟹ 3𝑦 = −6 ⟹ 𝑦 = −2 ⟹ ตัดแกน 𝑌 ที่จุด (0, −2) แทน 𝑦 = 0 ⟹ 2𝑥 − 3(0) − 6 = 0 ⟹ 2𝑥 = 6 ⟹ 𝑥 = 3 ⟹ ตัดแกน 𝑋 ที่จุด (3, 0)
34.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 34 ดูภาพประกอบเลยนะครับ เริ่มแรกเราจะหาจุด 𝐶 จากสูตรการหาจุดกึ่งกลางระหว่างจุดสองจุดดังนี้ 𝑥1 + 𝑥2 𝑥= จุดศูนย์กลางระหว่าง 2 𝑥1 , 𝑥2 และ (𝑦1 , 𝑦2 ) คือ (𝑥 , 𝑦) 𝑦1 + 𝑦2 𝑦= 2 พิจารณา 𝑥 = 3+0 = 3 , 𝑦 = 0+(−2) = −1 2 2 2 ต่อไปพิจารณา สมการเส้นตรง 𝐿1 ; 2𝑥 − 3𝑦 − 6 = 0 ⇒ −3𝑦 = −2𝑥 + 6 ⇒ 𝑦 = −2 𝑥 + −3 = 2 𝑥 − 2 6 −3 3 เปรียบเทียบสมการ 𝑦 = 2 𝑥 − 2 กับสมการรูปทั่วไปของเส้นตรง คือ 𝑦 = 𝑚𝑥 + 𝑐 3 เราจะได้ 𝑚 = 2 นั่นคือ ความชันของ 𝐿1 คือ 2 3 3 แต่เนื่องจากเส้นตรงที่ตั้งฉากกันคูณกันมีค่าเท่ากับ −1 ให้ 𝑚2 เป็นความชันของ 𝐿2 จะได้ 𝑚 ∙ 𝑚2 = −1 ⇒ 2 ∙ 𝑚2 = −1 ⇒ 𝑚2 = −3 3 2 เนื่องจากเราต้องการหาสมการของ 𝐿2 ซึ่งสามารถหาได้จากสูตร 𝑦 − 𝑦1 = 𝑚 𝑥 − 𝑥1 เมื่อ (𝑥1 , 𝑦1 ) และ 𝑚 คือ จุดผ่าน และความชันตามลาดับ เราจะแทนจุดผ่าน (𝑥1 , 𝑦1 ) = (3 , −1) และความชัน 𝑚 = −3 จะได้สมการคือ 2 2 −3 3 𝑦 − (−1) = 𝑥− 2 2 −3 9 𝑦+1 = 𝑥+ 2 4 3 5 𝑦+ 𝑥− = 0 2 4
35.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 35 ต่อไปหาจุดตัดของ 𝐿2 บนแกน 𝑋 โดยให้ 𝑦 = 0 3 5 3 5 5 2 5 0+ 𝑥− =0⟹ 𝑥= ⟹ 𝑥= ∙ = 2 4 2 4 4 3 6 5 ดังนั้น จุด 𝐷 คือ 6 ,0 ต่อไปเราจะหาพื้นที่ ∆𝐴𝐶𝐷 ซึ่งสามารถหาได้ 2 วิธี วิธีที่ 1 พิจารณาจากภาพด้วยนะครับ เริ่มจากหาความยาว 𝐷𝐴 จากการนาค่า 𝑥 มาลบกัน (ทาไม ?) ดังนี้ 5 13 3− = 6 6 และความสูงของ ∆𝐴𝐶𝐷 คือ 1 (ดูจากค่าของ 𝑦 ของจุด 𝐶 ลองหาเหตุผลซิว่าทาไม) ดังนั้น พื้นที่ ∆𝐴𝐶𝐷 = 1 ⋅ ฐาน ⋅ สูง = 1 ⋅ 13 13 ⋅ 1 = 12 2 2 6 วิธีที่ 2 วิธีนี้เป็นการหาพื้นที่รูป 𝑛 เหลี่ยมใดๆ เลยทีเดียว และไม่ว่ารูปนั้นจะอยู่ในลักษณะใดก็หาได้ทั้งหมด (เพราะ บางทีเราอาจหา ฐาน และสูงของสามเหลี่ยมไม่ได้) โดยพิจารณาจุดยอดของรูป 𝑛 เหลี่ยมใดๆบนระนาบ 𝑋𝑌 ในที่นี้ก็คือรูป สามเหลี่ยม จะพิจารณาวนทวนเข็มหรือตามเข็มก็ได้ (ตามใจชอบครับ) ในที่นี้ผมขอวนทวนเข็มนะครับ เป็น 𝐴 𝑥1 , 𝑦1 ⟶ 𝐶 𝑥2 , 𝑦2 ⟶ 𝐷 𝑥3 , 𝑦3 ⟶ 𝐴 𝑥1 , 𝑦1 สามารถเลือกจุดเริ่มต้นใดก็ได้ แต่ต้องวนกลับมา ณ จุด เดิมเสมอ สูตรการหาพื้นที่ 𝑥2 𝑦1 + 𝑥3 𝑦2 + 𝑥1 𝑦3 1 𝑥1 𝑥2 𝑥3 𝑥1 ∆𝐴𝐶𝐷 = 2 𝑦1 𝑦2 𝑦3 𝑦1 𝑥1 𝑦2 + 𝑥2 𝑦3 + 𝑥3 𝑦1 แล้วนา 1 (ล่าง − บน) นั่นคือ 2 1 ∆𝐴𝐶𝐷 = 𝑥 𝑦 + 𝑥2 𝑦3 + 𝑥3 𝑦1 − (𝑥2 𝑦1 + 𝑥3 𝑦2 + 𝑥1 𝑦3 ) 2 1 2 1 อย่าลืม 2 นะครับ ไม่ว่าจะเป็นรูป 𝑛 เหลี่ยมใดๆ ก็ต้องมีนะครับ ซึ่งจากข้อมูลหาพื้นที่ได้ดังนี้ 5 0 + −6 + 0 1 3 3/2 5/6 3 = 2 0 −1 0 0 −3 + 0 + 0 พื้นที่ ∆𝐴𝐶𝐷 = 1 −3 − − 5 = 1 −3 + 5 = 1 − 13 = 1 13 13 = 12 2 6 2 6 2 6 2 6
36.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 36 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : โจทย์ข้อนี้เป็นเรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ ก็วิเคราะห์สมชื่อครับ ผู้ที่จะทาโจทย์ประเภทนี้ได้ดี ต้อง จาสูตรสาคัญๆ ได้หมด เป็นต้นว่า ระยะห่างระหว่างจุด สมการเส้นตรง วงกลม วงรี พาราโบลา ไฮเพอร์โบลา จุดกึ่งกลางระหว่างจุดสองจุด ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง ระยะห่างระหว่างเส้นตรงสองเส้นที่ขนานกัน หรือแม้กระทั้งสูตรการหาพื้นที่ 𝒏 เหลี่ยมใดๆ ที่ผมให้ไว้ ณ ข้อนี้ก็ต้องทาความเข้าใจ สูตรทุกสูตรสาคั ญไม่ น้อยกว่ากันเลย เพราะต้องทาเป็นขั้นเป็นตอน และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ประสบการณ์จากการทาโจทย์ประเภท นี้จะทาให้คุณมองออกได้ว่าจะทาไปในทิศทางใด 𝟐𝟏. ไฮเปอร์โบลารูปหนึ่งมีจุดโฟกัสอยู่ที่ 𝟑, 𝟎 และ −𝟑, 𝟎 และผ่านจุด 𝟓, 𝟒 พื้นที่ของสี่เหลี่ยมมุมฉาก ศูนย์กลาง คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟐 𝟓 ตารางหน่วย 𝟐 𝟒 𝟓 ตารางหน่วย [𝟑] 𝟖 𝟓 ตารางหน่วย 𝟒 𝟏𝟔 𝟓 ตารางหน่วย พิจารณารูปตามเลยนะครับ เราอยากหาพื้นที่ “สี่เหลี่ยมมุมฉากศูนย์กลาง” ดังที่ระบายสี แต่เนื่องจาก ความยาวของ สี่เหลี่ยมมีค่าเป็นความยาวแกนตามขวาง (2𝑎) และ ความกว้างของสี่เหลี่ยม เป็นความยาวแกนสังยุค (2𝑏) ของไฮเปอร์ โบลา ดังนั้นตอนนี้เราต้องการหาค่า 2𝑎 ⋅ 2𝑏 (ตามสูตรกว้างคูณยาว)
37.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 37 เริ่มแรกพิจารณาจากสิ่งที่โจทย์ให้มา คือ จุดโฟกัส 3, 0 และ −3, 0 จึงทาให้เรารู้ได้เลยว่า เป็นไฮเปอร์โบลาที่มีแกน ตามขวาง (แกนยาว) ขนานแกน 𝑋 และจุดศูนย์กลาง (, 𝑘) = (0, 0) สมการของไฮเปอร์โบลาคือ 2 2 𝑥− 𝑦− 𝑘 − =1 𝑎2 𝑏2 อันนี้เราต้องจาเองนะ แต่พี่มีข้อแนะนาคือ จาให้ได้ว่า ในไฮเปอร์ก้อนไหนเป็นบวก แกนทางยาวขนานแกนนั้น 𝑥− 2 เช่น ในที่นี้ เนื่องจากเรารู้แล้วว่า แกนทางยาว (แกนตามขวาง) ขนานแกน 𝑋 ทาให้ก้อน 𝑎2 มีค่าเป็นบวกนั่นเอง ส่วน อีกก้อนก็ต้องเป็นลบไป เพราะไฮเปอร์ต้องมีก้อนที่เป็นบวกกับก้อนที่เป็นลบเสมอ แล้วมีคนสงกะสัยว่า แล้ว จะรู้ได้ไงว่าจะ ใส่ 𝑎 หรือ 𝑏 ดี ในก้อนที่บวก ไม่ต้องสงสัยเลยครับ เพราะมันจะเป็น 𝑎 เสมอ และอีกในก้อนก็จะเป็น 𝑏 ไปโดยปริตา เอ้ย! ปริยายครับ คาว่า 𝑎 หรือ 𝑏 ของผมในที่นี้คือ 𝑎2 หรือ 𝑏2 นะครับ แต่ผมอธิบายให้สั้นลง เฉยๆนะ เราจึงได้สมการไฮเปอร์ออกมาว่า 2 𝑥−0 𝑦−0 2 − =1 𝑎2 𝑏2 𝑥2 𝑦2 − 2 =1 𝑎2 𝑏 แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ ของ 𝑎 , 𝑏 และ 𝑐 ในไฮเปอร์คือ 𝑐 2 = 𝑎2 + 𝑏2 จะสังเกตเห็นว่า 𝑐 จะมีค่ามากสุด ผิดกับวงรี ที่เป็นสมการ 𝑎2 = 𝑏2 + 𝑐 2 สองพี่น้องสมการนี้ทาเอาหลายคนจาสับกันอยู่บ่อยครั้ง ผมจะเสนอวิธีการท่องว่า "𝒂 เป็นใหญ่ในวงรี 𝒄 เป็นใหญ่ในไฮเปอร์" (คาว่าเป็นใหญ่คงรู้กันนะครับ ว่าผมหมายถึงอะไร) เอาหละครับ มาต่อกันที่สมการเลยนะ เนื่องจากสมการของไฮเปอร์ผ่านจุด (5, 4) แสดงว่าแทนในสมต้องเป็นจริง ดังนั้น เราจึงได้ว่า 52 42 − 2=1 𝑎2 𝑏 25 16 − 2=1 𝑎2 𝑏 25𝑏2 − 16𝑎2 = 𝑎2 𝑏2 _______(∗) เนื่องจาก 𝑐 2 = 𝑎2 + 𝑏2 และรู้ว่า ระยะห่างจุดศูนย์กลางถึง โฟกัส มีระยะเป็น 𝑐 ดังนั้นจะได้ 𝑐 = 3 แทนค่า 32 = 𝑎2 + 𝑏2 ==≫ 9 = 𝑎2 + 𝑏2 ==≫ 𝑎2 = 9 − 𝑏2 แทนในสมการ (* ) จะได้ 25𝑏2 − 16(9 − 𝑏2 ) = (9 − 𝑏2 )𝑏2 25𝑏2 − 144 + 16𝑏2 = 9𝑏 2 − 𝑏4 𝑏4 + 32𝑏2 − 144 = 0 วิธีการหาค่า 𝑏 ทาได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายในที่นี้คือ แยกตัวประกอบให้คล้ายกับสมการกาลังสอง ดังนี้ 𝑏2 − 4 𝑏2 + 36 = 0 ดังนั้น 𝑏 = 2, −2 ส่วน 𝑏2 + 36 คาตอบเป็นจานวนเชิงซ้อนเราก็ไม่ต้องสน และเราเลือก 𝑏 = 2
38.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 38 เพราะค่า 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 ทั้งในไฮเปอร์ และวงรี มีค่าเป็นบวกทั้งหมด เพราะเป็นหน่วยความยาว แทนค่า 𝑏 = 2 ในสมการ 𝑎2 = 9 − 𝑏2 ==≫ 𝑎 = 5 ดังนั้นพื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉากที่เราต้องการคือ 2𝑎 ⋅ 2𝑏 = 2 5 ⋅ 2(2) = 8 5 ตอบข้อ [3] วิเคราะห์ : โจทย์ข้อนี้เป็นเรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์อีกแล้วครับพี่น้อง แต่เข้ามาเล่นกับไฮเปอร์โบลาลึก หน่อย ถ้าจับจุดได้ไม่ยากครับ แต่ผมอธิบายแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมาก ก็เลยดูยาวไป ความจริงทาไม่ถึง 𝟐 นาทีด้วยซ้าไป ถ้าทาคล่องนะครับ ก็แล้วแต่ประสบการณ์ แต่ยังไงก็ยืนยันคาเดิม เรื่องสูตรต้องแม่นครับ 𝟏 𝟒 𝒍𝒐𝒈 𝟐𝟕 𝟔𝟒 𝟐𝟐. ค่าของ 𝟐𝟓 𝒍𝒐𝒈 𝟑 𝟓 + 𝟗 + 𝟐 𝒍𝒐𝒈 𝟑 𝟏𝟔 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟐𝟓 𝟐 𝟐𝟔 𝟑 𝟐𝟕 𝟒 𝟐𝟖 เฉลย 1 4 25 𝑙𝑜𝑔 3 5 + 9 𝑙𝑜𝑔 27 64 + 2 𝑙𝑜𝑔 3 16 1 = 25 𝑙𝑜𝑔 5 3 + 9 𝑙𝑜𝑔 27 64 + 24𝑙𝑜𝑔 16 3 (จากสูตร = 𝑙𝑜𝑔 𝑎 𝑏) 𝑙𝑜𝑔 𝑏 𝑎 3 = 52 𝑙𝑜𝑔 5 3 + 32 𝑙𝑜𝑔 33 4 + 24𝑙𝑜𝑔 24 3 2 2 = 5 𝑙𝑜𝑔 5 3 + 3 𝑙𝑜𝑔 3 4 + 2 𝑙𝑜𝑔 2 3 = 32 + 42 + 3 = 9 + 16 + 3 = 28 (จากสูตร 𝑎 𝑙𝑜𝑔 𝑎 𝑏 = 𝑏) ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : เรื่องลอกาลิทึม ทาเอาหลายคน ทึมกันไปเลยนะครับ เพราะสูตรจุกจิกเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ต้อง จาสูตรให้ได้ แต่ต้องใช้ให้เป็นด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น จาเป็นต้องเจอกับมันบ่อยๆ โดยเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะ มากับ เอกซ์โปเนนเชียล ครับ ข้อนี้ถือว่าไม่ยาก ถ้าพลิกแพลงและจาสูตรได้ ก็น่าจะได้คะแนนแล้วครับ 𝟏−𝟑 𝒄𝒐𝒔 𝟐 𝜽 𝟐𝟑. กาหนดให้ 𝑨 = {𝜽 ∈ [𝟎, 𝝅] | 𝒄𝒐𝒕 𝜽 (𝟏 − 𝒄𝒐𝒔 𝜽) = } ผลบวกของสมาชิกของ 𝑨 คือข้อใด 𝒔𝒊𝒏 𝜽 ต่อไปนี้ 𝝅 𝟐𝝅 𝟒𝝅 [𝟏] 𝟐 𝟑 𝝅 𝟒 𝟑 𝟑 𝟑 เฉลย พิจารณา 𝑐𝑜𝑠 𝜃 1 − 3 𝑐𝑜𝑠 2 𝜃 (1 − 𝑐𝑜𝑠 𝜃) = 𝑠𝑖𝑛 𝜃 𝑠𝑖𝑛 𝜃 𝑐𝑜𝑠 𝜃 − 𝑐𝑜𝑠 2 𝜃 = 1 − 3 𝑐𝑜𝑠 2 𝜃
39.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 39 2 𝑐𝑜𝑠 2 𝜃 + 𝑐𝑜𝑠 𝜃 − 1 = 0 2 𝑐𝑜𝑠 𝜃 − 1 𝑐𝑜𝑠 𝜃 + 1 = 0 1 จะได้ 𝑐𝑜𝑠 𝜃 = 2 , −1 กรณี 𝑐𝑜𝑠 𝜃 = 1 ==≫ 𝜃 = 3𝜋 2 กรณี 𝑐𝑜𝑠 𝜃 = −1 ==≫ 𝜃 = 𝜋 อย่าลืมค่ามุมที่ได้ต้องพิจารณาภายในช่วง [0, 𝜋] ดังนั้นผลบวกคาตอบคือ 3𝜋 + 𝜋 = 4𝜋 3 หลายคนโดนหลอก ตอบ 4𝜋 และในตัวเลือกก็มีซะด้วยครับ หารู้ไม่ว่า ที่เราตัด 𝑠𝑖𝑛 𝜃 ออกตั้งแต่เริ่มทาบรรทัดแรกจะได้ 3 𝜋 𝑠𝑖𝑛 𝜃 ≠ 0 ==≫ 𝜃 ≠ 𝜋 (เพราะส่วนเป็นศูนย์ไม่ได้นะครับ ) ดังนั้นคาตอบที่แท้จริงมีคาตอบเดียวคือ 3 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างที่บอกไว้ครับ เพราะการแก้อะไรก็แล้วแต่ เงื่อนไขที่สาคัญลักษณะ นี้จะลืมไม่ได้ ลืมเป็นผิด เพราะจะมีตัวเลือกมาหลอกเสมอครับ และอีกอย่างเรื่องตรีโกณถือว่าเป็นเรื่อง สาคัญอีกเรื่องครับ น้องหลายคนกลัวเรื่องนี้มาก จนทาให้ไม่อยากทา ส่วนคนที่ใจสู้ก็จะได้คะแนนไปครับ และในแต่ละปีก็จะมีตรีโกณออกมาเยอะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงขาดเสียมิได้ ในฟิสิกส์ก็ต้องใช้ ครับ ดังนั้นอย่าเพิ่งถอยตั้งแต่ตอนยังไม่ได้สู้นะครับ
40.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 40 𝟐𝟒. พิกัดของจุดในข้อต่อไปนี้เป็นจุดมุมของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีจุดมุมคือ (𝟏, 𝟐, 𝟑), (𝟏, 𝟐, 𝟒), (𝟐, 𝟐, 𝟑), (𝟏, 𝟑, 𝟑) [𝟏] (𝟑, 𝟏, 𝟐) 𝟐 (𝟑, 𝟐, 𝟒) 𝟑 (𝟐, 𝟑, 𝟒) 𝟒 (𝟐, 𝟒, 𝟑) B(1, 2, 4) A(1, 2, 3) D(2, 2, 3) C(1, 3, 3) x y เมื่อพิจารณารูปออกมาคร่าวๆ จะดังรูปนะครับ ดังนั้นจุดมุมที่เหลืออีก 4 คือจุดมุมดังในภาพต่อไปนี้
41.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 41 เราต้องการหาจุดพิกัด 𝐻, 𝐸, 𝐹 และ 𝐺 (ความจริงแล้ว ถ้าเราหาจุดใดได้แล้วมีในตัวเลือก ก็ไม่ต้องหาจุดอื่นอีก) ในที่นี้จะหาให้ดูทุกจุด เริ่มจากจุด 𝐻 (อันนี้บางคนก็ดูรูปแล้วตอบได้เลยนะครับ แต่ผมจะใช้เทคนิคการดูเป็นฝา) ฝาในที่นี้ เป็นด้านที่ประกอบด้วยจุด 4 จุด(รวมเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า) เช่น ฝา 𝐴𝐵𝐻𝐶 เป็นฝาที่ตั้งฉากกับแกน 𝑋 ดังนั้นจุด 𝐴, 𝐵, 𝐶 และ 𝐻 จะมีพิกัดของ 𝑥 เหมือนกันทุกจุด จะได้จุด 𝐻 คือ (1, … , … ) ต่อไปดูที่ฝา 𝐹𝐶𝐻𝐺 ซึ่งฝานี้ตั้งฉากกับแกน 𝑌 จึงมีพิกัด 𝑦 เหมือนกัน จะได้ พิกัดแต่ละจุดคือ 𝐹(… ,3, … ), 𝐶(1, 3, 3), 𝐻(1, 3, … ), 𝐺(… , 3, … ) ต่อไปพิจาณา ฝาล่าง 𝐴𝐶𝐹𝐷 ตั้งฉากกับแกน 𝑍 ทาให้จุด 𝐴, 𝐶, 𝐹 และ 𝐷 มีพิกัด 𝑧 เท่ากัน นั่นคือจะได้ 𝐹(… , 3, 3) พิจารณาทานองเดียวกันนี้ ที่ฝา 𝐷𝐹𝐺𝐸 ได้จุด 𝐺(2, 3, … ) , 𝐸(2, . . , … ) ฝา 𝐸𝐵𝐻𝐺 ได้จุด 𝐸(2, … ,4), 𝐺(2, 3, 4), 𝐷(1, 3, 4) ฝา 𝐸𝐵𝐴𝐷 ได้จุด 𝐸(2, 2, 4) ได้ครบทุกจุดครับ ซึ่งเป็นจุดมุมของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก เทคนิคนี้ใช้ได้ตลอดกับทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากใดๆนะครับ หรือแผ่น ระนาบใดๆเรื่องนี้เป็นเทคนิคที่ผมคิดขึ้นเองครับ เพื่อหาวิธีการให้เด็กคนหนึ่งมองรูปสามมิติได้ง่ายขึ้น โดยพิจาณาเป็นฝา ที่ตั้งฉาก มีหลักการว่า
42.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 42 ฝาที่ตั้งฉากกับแกน 𝑿 จุดที่อยู่บนฝานั้นจะมีพิกัด 𝒙 เหมือนกันทุกจุด ฝาที่ตั้งฉากกับแกน 𝒀 จุดที่อยู่บนฝานั้นจะมีพิกัด 𝒚 เหมือนกันทุกจุด ฝาที่ตั้งฉากกับแกน 𝒁 จุดที่อยู่บนฝานั้นจะมีพิกัด 𝒛 เหมือนกันทุกจุด หรือจะท่องสั้นๆว่า ฉาก 𝑿 --->𝒙 เหมือน ฉาก 𝒀 --->𝒚 เหมือน ฉาก 𝒁 --->𝒛 เหมือน จุดที่ปรากฏในตัวเลือกคือ จุด 𝐸(2, 3, 4) ครับ ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบแบบนี้เพิ่งเคยทาครับ ไม่ค่อยได้เห็นกันนัก แต่ก็เห็นบ้างในเวกเตอร์ครับ สรุปคือ เราต้อง รู้ก่อนว่าโจทย์ต้องการหาอะไร อย่างข้อนี้ต้องการจุดอีกจุดที่เป็นจุดมุมของรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากครับ โดย พลอทจุดคร่าวๆเหมือนรูปแรก หลังจากนั้นก็สร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาที่มีจุดเดิมเป็นจุดมุมตามโจทย์และ ก็หาจุดที่เหลือให้ได้ครับ ไม่ยากใช่มั้ยล่ะ ยากโคตะระ!! คณิตศาสตร์ง่ายเปล่าเพื่อน 𝟐𝟓. ถ้า 𝒛 𝟏 และ 𝒛 𝟐 เป็นจานวนเชิงซ้อนที่ (𝟐 − 𝒊) + (𝟏 + 𝒊)𝒛 𝟏 = 𝟑 + 𝟐𝒊 และ 𝒛 𝟏 𝒛 𝟐 + (𝟏 − 𝟐𝒊)𝒛 𝟐 − 𝟐 = 𝟎 แล้วค่าของ 𝒛−𝟏 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟐 𝟑 𝟑 𝟐 [𝟏] 𝟐 𝟐 𝟐 [𝟑] 𝟑 𝟒 𝟑 𝟐 เฉลย ให้ 𝑧1 = 𝑎 + 𝑏𝑖, 𝑧2 = 𝑐 + 𝑑𝑖 (เราต้องการหา 𝑧2 ให้ได้ นั่นคือ 𝑐 และ 𝑑 คืออะไร โดยนิยามของสังยุคเราจะได้ว่า 𝑧1 = 𝑎 − 𝑏𝑖 ต่อไปพิจารณา (2 − 𝑖) + (1 + 𝑖)𝑧1 = 3 + 2𝑖 (2 − 𝑖) + (1 + 𝑖)(𝑎 − 𝑏𝑖) = 3 + 2𝑖 (2 − 𝑖) + 𝑎 − 𝑏𝑖 + 𝑎𝑖 − 𝑏𝑖 2 = 3 + 2𝑖
43.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 43 (2 − 𝑖) + 𝑎 − 𝑏𝑖 + 𝑎𝑖 + 𝑏 = 3 + 2𝑖 2 + 𝑎 + 𝑏 + (𝑎 − 𝑏 − 1)𝑖 = 3 + 2𝑖 เมื่อเราเทียบสัมประสิทธิ์จะได้ว่า 2 + 𝑎 + 𝑏 = 3_____(1) 𝑎 − 𝑏 − 1 = 2______(2) นา (1) + (2) ; 2𝑎 + 1 = 5 ==> 𝑎 = 2 แทน 𝑎 = 2 ใน (1) ; 2 + 2 + 𝑏 = 3 ==≫ 𝑏 = −1 ดังนั้น 𝑧1 = 2 − 𝑖 ต่อไปพิจารณา 𝑧1 𝑧2 + (1 − 2𝑖)𝑧2 − 2 = 0 (2 − 𝑖)(𝑐 − 𝑑𝑖) + (1 − 2𝑖)(𝑐 − 𝑑𝑖) − 2 = 0 (𝑐 − 𝑑𝑖)[2 − 𝑖 + 1 − 2𝑖] − 2 = 0 (𝑐 − 𝑑𝑖)[3 − 3𝑖] − 2 = 0 3𝑐 − 3𝑐𝑖 − 3𝑑𝑖 + 3𝑑𝑖 2 − 2 = 0 3𝑐 − 3𝑐𝑖 − 3𝑑𝑖 − 3𝑑 − 2 = 0 3𝑐 − 3𝑑 − 2 + (−3𝑐 − 3𝑑)𝑖 = 0 = 0 + 0𝑖 เมื่อเราเทียบสัมประสิทธิ์จะได้ว่า 3𝑐 − 3𝑑 − 2 = 0______(3) 3𝑐 − 3𝑑 = 0______(4) −1 นา (3) + (4) ; −6𝑑 − 2 = 0 ⟹ 6𝑑 = −2 ⟹ 𝑑 = 3 −1 −1 1 แทน 𝑑 ใน (4) ; −3𝑐 − 3( 3 ) = 0 ⟹ −3𝑐 + 1 = 0 ⟹ 𝑐 = −3 = 3 ดังนั้น 𝑧2 = 𝑐 + 𝑑𝑖 = 1 − 1 𝑖 3 3 *** เราจะหาอินเวอร์สของ 𝑧2 จากสูตร 𝑎 𝑏 อินเวอร์สการคูณของ 𝑎 + 𝑏𝑖 คือ 𝑎 2 +𝑏 2 − 𝑎 2 +𝑏 2 𝑖 1 2 1 2 1 1 2 พิจารณา 𝑐 2 + 𝑑 2 = 3 + −3 = 9+9= 9 ดังนั้น 1 1 𝑐 𝑑 −3 1 9 1 9 3 3 −1 3 𝑧2 = 2 − 2 𝑖= − 𝑖= − − 𝑖= + 𝑖 𝑐 + 𝑑 2 𝑐 + 𝑑 2 2 2 3 2 3 2 2 2 9 9 −1 ต่อไปเราจะหา 𝑧2 จากสูตร ให้ 𝑧 = 𝑎 + 𝑏𝑖 ค่าสัมบูรณ์ของ 𝑧 หรือ ขนาดของ 𝑧 เขียนแทนด้วย 𝑧 คือ 𝑎2 + 𝑏2
44.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 44 −1 3 2 3 2 9 9 18 9 9 3 3 2 3 2 ดังนั้น 𝑧2 = 2 + 2 = 4 +4= 4 = 2 = 2 = 2 = 2 ⋅ 2 = 2 จากบรรทัด *** เราสามารถทาได้อีกวิธีที่ง่ายกว่า โดยเราต้องรู้จักสูตรนี้ก่อน 1 𝑧 −1 = 𝑧 −1 = 𝑧 1 2 −1 2 2 เนื่องจากเราหา 𝑧2 = 3 + 3 = 3 ดังนั้น −1 −1 1 3 3 2 𝑧2 = 𝑧2 = = = 𝑧2 2 2 ได้คาตอบเท่ากันครับ ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้ทบทวนเรื่องจานวนเชิงซ้อนได้เกือบทั้งหมดครับ แต่ก็ไม่วายจะต้องแก้สมการเชิง เส้นสองตัวแปรตั้งสองครั้ง ซึ่งเป็นพื้นฐานหลัก ที่เรียนกันมาแต่อ้อนแต่เอาะ ดังนั้นถ้าใครยังขาดพื้นฐานส่วน ไหนควรเร่งแก้ไขด่วน ห้ามอายเด็ดขาด ก่อนที่จะสายเกินแก้ และข้อสอบข้อนี้ก็ตบท้ายด้วยเรื่องอินเวอร์ส ซึ่งก็คงจะไม่ยากมากมายนัก (ถ้าจาสูตรได้นะ อิอิ) อือมม … . เอ้ย ! อย่าเพิ่งนอน ขออีก 5 นาที อ่าน math ต่อ 𝟐𝟔. กล่องใบหนึ่งมีบัตร 𝟗 ใบ โดยบัตรแต่ละใบจะมีหมายเลข และมีเลข 𝟏, 𝟐, 𝟑, … , 𝟗 ตามลาดับ ถ้าสุ่ม หยิบบัตรขึ้นมาสองใบ แล้วความน่าจะเป็นที่ผลรวมของหมายเลขทั้งสองบัตรมากกว่า 𝟏𝟎 คือข้อใดต่อไปนี้ 𝟏 𝟏𝟑 [𝟏] 𝟐 𝟑 𝟑𝟔 𝟓 𝟒 [𝟑] 𝟒 𝟏𝟐 𝟗
45.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 45 เฉลย ให้บัตรทั้งหมดเป็นดังนี้ 𝟏 𝟐 𝟑 𝟒 𝟓 𝟔 𝟕 𝟖 𝟗 ผลรวมของทั้งสองบัตรรวมกันมากกว่า 𝟏𝟎 แสดงว่าผลรวมที่เป็นไปได้ คือ 𝟏𝟏, 𝟏𝟐, 𝟏𝟑, 𝟏𝟒, 𝟏𝟓, 𝟏𝟔, 𝟏𝟕 หลักการหาความน่าจะเป็น คือ 𝑛(𝐸) 𝑃(𝐸) = 𝑛(𝑆) เราจะหา 𝑛(𝑆) (แซมเปิลสเปซ)ก่อน ในการสุ่มหยิบไพ่ 𝟐 ใบขึ้นเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด คือ 𝟏 𝟐 𝟏 𝟑 𝟏 𝟒 𝟏 𝟓 𝟏 𝟔 𝟏 𝟕 𝟏 𝟖 𝟏 𝟗 ( 8 เหตุการณ์ ) 𝟐 𝟑 𝟐 𝟒 𝟐 𝟓 𝟐 𝟔 𝟐 𝟕 𝟐 𝟖 𝟐 𝟗 ( 7 เหตุการณ์ ) 𝟑 𝟒 𝟑 𝟓 𝟑 𝟔 𝟑 𝟕 𝟑 𝟖 𝟑 𝟗 ( 6 เหตุการณ์ ) 𝟒 𝟓 𝟒 𝟔 𝟒 𝟕 𝟒 𝟖 𝟒 𝟗 ( 5 เหตุการณ์ ) 𝟓 𝟔 𝟓 𝟕 𝟓 𝟖 𝟓 𝟗 ( 4 เหตุการณ์ ) 𝟔 𝟕 𝟔 𝟖 𝟔 𝟗 ( 3 เหตุการณ์ ) 𝟕 𝟖 𝟕 𝟗 ( 2 เหตุการณ์ ) 𝟖 𝟗 ( 1 เหตุการณ์ )
46.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 46 *หมายเหตุ การสุ่มหยิบได้ 𝟏 𝟐 หรือ 𝟐 𝟏 ถือเป็นเหตุการณ์เดียวกัน นับเป็นหนึ่งนะครับ กรณีอื่นก็ เช่นเดียวกัน เช่น 𝟐 𝟑 หรือ 𝟑 𝟐 เราสามารถรวมเหตุการณ์ทั้งหมดได้ 8 + 7 + 6 + 5 + 4 + 3 + 2 + 1 = 36 การแจกแจงทั้งหมดอาจพิจารณาสูตรการเลือกของ 2 สิ่งจากของที่แตกต่างกันทั้งหมด 9 สิ่งทาได้ 9 9! 9! 9 × 8 × 7! = = = = 9 × 4 = 36 2 (9 − 2)! 2! 7! 2! 7! × 2! ต่อไปพิจารณาหา 𝑛(𝐸) เหตุการณ์ในการสุ่มหยิบบัตร 2 ใบแล้วมีผลรวมมากกว่า 10 คือ 𝟐 𝟗 𝟑 𝟖 𝟑 𝟗 𝟒 𝟕 𝟒 𝟖 𝟒 𝟗 𝟓 𝟔 𝟓 𝟕 𝟓 𝟖 𝟓 𝟗 𝟔 𝟕 𝟔 𝟖 𝟔 𝟗 𝟕 𝟖 𝟕 𝟗 𝟖 𝟗 𝑛(𝐸) 16 4 รวมเหตุการณ์ทั้งหมดได้ 16 เหตุการณ์ ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะหยิบได้ผลรวมมากกว่า 10 คือ 𝑛(𝑆) = 36 = 9
47.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 47 ตอบข้อ [4] วิเคราะห์ : เรื่องความน่าจะเป็นถ้าโจทย์เป็นลักษณะนี้ก็ถือว่าไม่ยากนัก แต่เชื่อมั้ยล่ะว่า โจทย์ความน่าจะ เป็นเนี่ยแหละครับที่น่ากลัวมาก เพราะคาตอบที่เราหาได้มักจะมีในตัวเลือกเสมอ เป็นตัวลวงที่ดีมาก เรา ความน่าจะเป็นมีวิธีคิดหลายวิธี และถ้าไม่แม่นจริงๆส่วนใหญ่ก็โดนหลอกครับ เพราะฉะนั้นวิธีเดียวที่จะทา ได้คือ … “ทาใจครับ ” ล้อเล่น ทาโจทย์ครับ เมื่อไหร่จะอ่านเสร็จเนี่ย อ่านมา 3 เดือนแย้ววว….วัยรุ่นเซ็ง…. 𝟐𝟕. ถ้า 𝒙 𝟏 , 𝒙 𝟐 , 𝒙 𝟑 , 𝒙 𝟒 เป็นข้อมูลชุดหนึ่ง ที่มีฐานนิยม และมัธยฐานคือ 𝟎 มีพิสัยคือ 𝟏𝟐 และมีค่าเฉลี่ยเลข 𝟒 คณิตคือ 𝟏 แล้ว ค่าของ 𝒊=𝟏(𝒙 𝒊 − 𝟏) 𝟐 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟕𝟔 𝟐 𝟕𝟖 [𝟑] 𝟖𝟎 𝟒 𝟖𝟐 เฉลย สมมติให้ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , 𝑥4 เป็นข้อมูลที่เรียงจากน้อยไปหามาก จากสมบัติของค่ามัธยฐานของข้อมูล จะได้ 𝑥2 + 𝑥3 =0 2 ดังนั้น 𝑥2 + 𝑥3 = 0 จากสมบัติของพิสัยจะได้ว่า 𝑥4 − 𝑥1 = 12___________(1) 𝑥 1 +𝑥 2 +𝑥 3 +𝑥 4 และค่าเฉลี่ยเลขคณิต 4 = 1 ดังนั้น 𝑥1 + 𝑥2 + 𝑥3 + 𝑥4 = 4 แต่ 𝑥2 + 𝑥3 = 0 ดังนั้น 𝑥1 + 𝑥4 = 4_____________(2) นา (1) + (2); 2𝑥4 = 16 ⟹ 𝑥4 = 8 แทน 𝑥4 = 8 ใน (2) จะได้ 𝑥1 + 8 = 4 ⟹ 𝑥1 = −4 พิจารณา −4, 𝑥2 , 𝑥3 , 8 เหลือแต่ค่า 𝑥2 , 𝑥3 ซึ่งเรารู้ว่า 𝑥2 + 𝑥3 = 0 ดังนั้นค่าที่เป็นไปได้ของ 𝑥2 , 𝑥3 คือ 𝑥2 = −4, 𝑥3 = 4 หรือ 𝑥2 = −3, 𝑥3 = 3 หรือ 𝑥2 = −2, 𝑥3 = 2 หรือ 𝑥2 = 0, 𝑥3 = 0 หรือ …. เยอะแยะมากมาย แต่จะมีคู่เดียวเท่านั้นที่ใช้ได้คือ 𝑥2 = 0, 𝑥3 = 0 (ทาไม ?คาใบ้อยู่ในโจทย์นะครับ) ดังนั้นเมื่อเราได้ครบทุกค่า จะได้ 4 𝑖=1(𝑥 𝑖 − 1)2 = (−4 − 1)2 + (0 − 1)2 + (0 − 1)2 + (8 − 1)2 = 76
48.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 48 ตอบข้อ [1] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้เกี่ยวกับสถิติครับ จะพบว่าทดสอบนิยามเราเกือบหมดทีเดียวไม่ว่าจะเป็น พิสัย ฐาน นิยม มัธยฐาน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต แต่ที่ไม่ยากเพราะยังไม่เป็นข้อมูลที่มีการแจกแจงอันตรภาคชั้นครับ จึงให้ อยากให้เตรียมตัวในส่วนนั้นด้วย สูตรก็เยอะอีกแล้วครับเรื่องนี้ ถ้าเราค่อยๆอ่าน ค่อยเป็นค่อยไป พี่ว่าคงไม่ เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทาเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องง่ายได้ครับ ฮืออ…ฮือมม…อ่านยังไงก็ไม่ทันอ่ะ จะ อ่านไม่ทัน อ่านไม่ทัน อ่าน สอบแล้ว เครียด ไม่ทัน….ๆๆๆๆๆ ค่อยๆอ่านซิ มีสมาธิหน่อย ตั้งสติ แล้วเริ่มอ่านได้แล้ว มัวแต่ ร้อง มัวแต่หัวชนฝา เมื่อไหร่จะได้อ่าน 𝟐𝟖. กาหนดข้อมูลดังต่อไปนี้ 𝒙 𝟎 𝟏 𝟐 𝟑 𝒚 𝟏 𝒓 𝒔 𝟕. 𝟓 ถ้าข้อมูลชุดนี้ มีสมการที่ใช้ประมาณค่า 𝒚 คือ 𝒚 = 𝟐𝒙 + 𝟏 แล้วค่าของ 𝒔 คือข้อใดต่อไปนี้ [𝟏] 𝟑. 𝟓 𝟐 𝟒 [𝟑] 𝟒. 𝟓 𝟒 𝟓 เฉลย พิจารณา 𝑦 = 2𝑥 + 1 _______(∗) จากคุณสมบัติของ Summation 4 4 4 4 𝑦𝑖 = (2𝑥 𝑖 + 1) = 2 𝑥𝑖 + 1 𝑖=1 𝑖=1 𝑖=1 𝑖=1 4 พิจารณาจากตารางจะได้ว่า 𝑖=1 𝑦 𝑖 = 1 + 𝑟 + 𝑠 + 7.5 = 𝑟 + 𝑠 + 8.5 , 4 4 2 𝑖=1 𝑥 𝑖 = 2(0 + 1 + 2 + 3) = 12 และ 𝑖=1 1 =4 ดังนั้น 𝑟 + 𝑠 + 8.5 = 12 + 4 = 16 ⟹ 𝑟 + 𝑠 = 7.5 ____________(1) นา 𝑥 คูณ (∗) จะได้ว่า 𝑦𝑥 = 2𝑥 2 + 𝑥 จากสมบัติของ Summation จะได้ว่า
49.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 49 4 4 4 4 𝑦𝑖 𝑥𝑖 = (2𝑥 2 + 𝑥 𝑖 ) = 2 𝑖 𝑥2 + 𝑖 𝑥𝑖 𝑖=1 𝑖=1 𝑖=1 𝑖=1 4 พิจารณา 𝑖=1 𝑦 𝑖 𝑥 𝑖 = 1 ⋅ 0 + 𝑟 ⋅ 1 + 𝑠 ⋅ 2 + 7.5 ⋅ 3 = 𝑟 + 2𝑠 + 22.5 4 2 𝑖=1 𝑥 2 + 4 𝑥 𝑖 = 2(02 + 12 + 22 + 32 ) + 6 = 28 + 6 = 34 𝑖 𝑖=1 ดังนั้น 𝑟 + 2𝑠 + 22.5 = 34 ⟹ 𝑟 + 2𝑠 = 11.5 ____________(2) จาก (1) และ (2) แก้สมการหา 𝑟 และ 𝑠 โดย (2) − (1); 𝑠 = 4 (เราไม่จาเป็นต้องหา 𝑟 ก็ได้เพราะโจทย์ไม่ต้องการ) ตอบข้อ [2] วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้เป็นเรื่องการประมาณค่า ซึ่งเป็นข้อที่ไม่ค่อยพบเห็นกันมากนัก โดยข้อนี้ได้รับความ ช่วยเหลือจาก ธนิต เพื่อนที่เรียนด้วยกัน ต้องขอบคุณอย่างมาก ที่ช่วยเหลือ เพราะลืมเนื้อหาส่วนนี้ไปแล้ว ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะทายังไง ถ้าจะแทน 𝟐 ลงในตัว 𝒚 = 𝟐𝒙 + 𝟏 ได้ 𝒙 = 𝟓 ก็นึกอยู่ว่าโจทย์จะให้ 𝒓 มาเพื่อ....จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า มันน่าจะมีอะไรแน่ๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดอย่างที่เห็นครับ จึงเป็นบทเรียนจากโจทย์ว่า การที่โจทย์ให้ข้อมูลเรามาแต่ไม่ได้ใช้ มันน่าจะมีอะไรแน่ๆ ให้คิดไว้ก่อน เพราะบาง ทีก็อาจจะไม่ได้ใช้จริงๆก็เป็นได้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ข้อมูลจนครบครับ ถึงจะแก้โจทย์ข้อนั้นออก เหนื่อยนัก ก็ฟังเพลงที่คุณชอบ แล้วจะพบว่า คลายเครียดดีออก ตอนที่ 𝟑 ข้อสอบอัตนัยแบบเติมคาตอบ จานวน 𝟏𝟎 ข้อ ข้อ 𝟑 คะแนน 𝟏. กาหนดให้ 𝒙 เป็นจานวนเต็มบวก ที่ประกอบด้วยเลขโดด 𝟒 หลัก ถ้า 𝟐, 𝟑, 𝟒, 𝟓, 𝟔, 𝟏𝟎, 𝟏𝟏, 𝟏𝟐, 𝟏𝟑 และ 𝟏𝟓 หาร 𝒙 ลงตัว แล้วจงหาค่าของ 𝒙 เฉลย เริ่มจากเราจะหา ค.ร.น. ของ 2, 3, 4, 5, 6, 10, 11, 12, 13, 15 เราสามารถตัดตัวเลขบางตัวออกได้ถ้าหารกันลง ตัว เพราะ ค.ร.น. จะเป็นตัวมาก เช่น ระหว่าง 3, 5, 15 ตัด 3, 5 ทิ้งเหลือไว้แค่ 15 (เพราะทั้งคู่ หาร 15 ลงตัว) 2, 4, 6, 12 ตัด 2, 4, 6 ทิ้งเหลือไว้แค่ 12 (เพราะทั้งสาม หาร 12 ลงตัว) ตอนนี้เราจะเหลือแค่ 10, 11, 12, 13, 15 ค.ร.น. 10, 12, 15 คือ 60 (อันนี้เราสามารถเลือกหา ค .ร.น.ระหว่างตัวไหนก่อนก็ได้) ค.ร.น. 60, 11, 13 คือ 8580 ดังนั้น 𝑥 = 8580 ข้อสังเกต ถ้าเรานา 8580 ⋅ 2 = 17180 คือตัวเลขถัดไปที่หารด้วย 2, 3, 4, 5, 6, 10, 11, 12, 13, 15 ลงตัวแต่ ไม่ใช่ตัวเลข 4 หลักตามที่เราต้องการ เพราะฉะนั้น 𝑥 = 8580 เพียงตัวเดียว
50.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 50 ตอบ 𝑥 = 8580 วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้เป็นเรื่อง ค .ร.น ที่อยู่ในเรื่องทฤษฎีจานวนที่ดูเหมือนเป็นบทเล็กๆ แต่ก็เล็กพริกขี้หนู นะครับ เพราะนามาออกข้อสอบได้หลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าเราเจอโจทย์ประเภทนี้บ่อยๆจากการทาโจทย์ เราก็จะพบว่า ไม่ยากเกินความสามารถหรอกครับ 1 2 2. กาหนดให้ 𝐴 = จงหาค่าของ 𝑑𝑒𝑡(𝐴 + 𝐴2 + 𝐴3 +⋅⋅⋅ +𝐴50 ) 0 1 เฉลย พิจารณา 1 2 ดังนั้น 𝐴 ⋅ 𝐴 = 𝐴2 = 1 2 1 2 = 1 4 0 1 0 1 0 1 0 1 เสนอวิธีการคูณของเมตริกซ์ดังต่อไปนี้ ตั้ง 𝐴2 = 𝐴 ⋅ 𝐴 ไว้ดังภาพ เลข 1 มาจาก นา (1 × 1) + (2 × 0) = 1 เลข 4 มาจาก นา (1 × 2) + (2 × 1) = 1 ดังนั้น 1 2 1 2 = 1 4 เป็นอย่างไรบ้างครับ ง่ายขึ้นมั้ย 0 1 0 1 0 1 เลข 0 มาจาก นา (0 × 1) + (1 × 0) 3 0 2 = เลข 1 มาจาก นา (0 × 2) + (1 × 1) = 1 โดยการพิจารณาการคูณเช่นเดียวกันจะได้ว่า 𝐴 = 𝐴 ⋅ 𝐴 = 0 1 1 2 = 1 6 0 4 0 1 0 1 1 6 1 2 1 8 𝐴4 = 𝐴3 ⋅ 𝐴 = = 0 1 0 1 0 1 18 1 2 1 10 𝐴5 = 𝐴4 ⋅ 𝐴 = = 01 0 1 0 1 𝑛 𝑛−1 1 2𝑛 และเราสังเกตว่า 𝐴 = 𝐴 ⋅ 𝐴 = 0 1 ดังนั้น 𝐴 + 𝐴2 + 𝐴3 +⋅⋅⋅ +𝐴50 = 1 2 + 1 4 + 1 6 + 1 8 + ∙∙∙ + 1 100 0 1 0 1 0 1 0 1 0 1 50 2550∗ = 0 50 จาก * เราพิจารณาจาก
51.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 51 2 1 + 50 50 2 + 4 + 6 + 8 + ∙∙∙ +100 = 2(1 + 2 + 3 + 4 + ∙∙∙ +50) = = 2550 2 𝑛 1+𝑛 𝑛 (จากสูตรผลรวม 𝑖=1 𝑖 = 1 + 2 + 3 + ∙∙∙ +𝑛 = 2 ) หรือ ท่องว่า “ต้นบวกปลาย คูณปลาย หารสอง ” ดังนั้น 𝑑𝑒𝑡(𝐴 + 𝐴2 + 𝐴3 +⋅⋅⋅ +𝐴50 ) = 𝑑𝑒𝑡 50 2550 = (50 × 50) − (0 × 2550) = 2500 0 50 ตอบ 2500 วิเคราะห์ : ข้อสอบข้อนี้เป็นเรื่องเมตริกซ์ผสมกับอนุกรมเล็กน้อยครับถือว่าไม่ยากสมกับคะแนน เพราะฉะนั้นไม่ได้คะแนนก็น่าเสียดายแย่ เพราะใช้แค่การคูณเมตริกซ์ และหาดีเทอร์มิเนนท์ และผลรวม แบบง่ายๆ ขอนแก่น ขอนแก่น ขอนแก่น ธรรมศาสตร์ จุฬา มหิดล เอาอะไรดีน้อ ? 𝟑. ให้ [𝒙] หมายถึง จานวนเต็มบวกที่มากที่สุดที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 𝒙 ถ้า 𝒇(𝒙) = 𝟏𝟎(𝒙 − [𝒙]) และ 𝒚 = (𝒇𝒐𝒇𝒐𝒇)(𝟏𝟐. 𝟑𝟒𝟓𝟔𝟕) แล้ว จงหาค่าของ [𝒚] เฉลย เนื่องจากคุณสมบัติของคอมโพสิทฟังก์ชัน (𝑓𝑜𝑓𝑜𝑓)(𝑥) = 𝑓 𝑓 𝑓 𝑥 พิจารณา 𝑓(𝑥) = 10(𝑥 − [𝑥]) ⟹ 𝑓(12.34567) = 10(12.34567 − [12.34567]) = 10(12.34567 − 12) = 10(0.34567) = 3.4567 พิจารณา 𝑓 𝑓 12.34567 = 𝑓(3.4567) = 10(3.4567 − [3.4567]) = 10(3.4567 − 3) = 10(0.4567) = 4.567 ขั้นสุดท้ายแล้วครับ 𝑓 𝑓 𝑓 12.34567 = 𝑓(4.567) = 10(4.567 − [4.567]) = 10(4.567 − 4)
52.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 52 = 10(0.567) = 5.67 ตอบ 5.67 วิเคราะห์ : ข้อนี้ก็ค่อนข้างง่ายมากอีกแล้วครับ แค่เข้าใจแบรงค์เก็ต [ ] ว่าเป็นจานวนเต็มบวกที่มากที่สุดที่ น้อยกว่าค่าที่อยู่ใน [ ] เช่น [𝟑. 𝟐] = 𝟑, [𝟒. 𝟔𝟕𝟖𝟗] = 𝟒 และเข้าใจเรื่องคอมโพสิทฟังก์ชันนิดหน่อยก็ได้ คะแนนแล้วบางทีง่ายกว่าข้อละ 𝟐 คะแนนด้วยซ้า ไม่ควรพลาดนะครับข้อนี้ มีส้ม 5 ผลอยู่ในกล่อง 1 ใบ จะแบ่งส้มให้คน 5 คน อย่างไร เพื่อให้แต่ละคน ได้ส้มไปคนละผล แต่มีส้ม 1 ผลอยู่ในกล่อง และห้ามฉีกส้มตอนแบ่ง _______ 𝟒. ให้ 𝑨(𝟒, 𝟓) เป็นจุดบนพาราโบลา 𝒚 𝟐 − 𝟐𝒚 − 𝟒𝒙 + 𝟏 = 𝟎 ซึ่งมีจุด 𝑽 เป็นจุดยอดและ 𝑭 เป็นจุด โฟกัส ถ้า 𝑳 𝟏 เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุด 𝑨 และ 𝑭 𝑳 𝟐 เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุด 𝑽 และขนานกับ 𝑳 𝟏 จงหาระยะห่าง ระหว่างเส้นตรง 𝑳 𝟏 และ 𝑳 𝟐 เฉลย พิจารณาสมการพาราโบลา 𝑦 2 − 2𝑦 − 4𝑥 + 1 = 0 ดังนี้ 𝑦 2 − 2𝑦 = 4𝑥 − 1 𝑦 2 − 2𝑦 + 12 = 4𝑥 − 1 + 12 = 4𝑥 − 1 + 1 = 4𝑥(ดูแนวคิดจากข้อ 8 ตอนที่ 1) (𝑦 − 1)2 = 4(𝑥 − 0) เมื่อเทียบกับรูปมาตรฐานของสมการพาราโบลา (𝑦 − 𝑘)2 = 4𝑐(𝑥 − ) จะได้ ( , 𝑘) = (0, 1), 4𝐶 = 4 ⟹ 𝐶 = 1 เรามาทบทวนเกี่ยวกับรูปแบบมาตรฐานของพาลาโบลากันก่อนดีกว่า 2 𝑥− = 4𝑐(𝑦 − 𝑘) ⟹ 𝑦 กาลังเดี่ยว แกนสมมาตรขนานแกน 𝑦 𝑐 > 0 ⟹ กราฟหงาย , 𝑐 < 0 ⟹ กราฟคว่า 2 𝑦− 𝑘 = 4𝑐(𝑥 − ) ⟹ 𝑥 กาลังเดี่ยว แกนสมมาตรขนานแกน 𝑥 𝑐 > 0 ⟹ กราฟตะแคงขวา , 𝑐 < 0 ⟹ กราฟตะแคงซ้าย
53.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 53 จากสมการมาตรฐาน (𝑦 − 1)2 = 4(𝑥 − 0) มี 𝑥 กาลังเดี่ยว (ดีกรีหนึ่งครับ) จะได้แกนสมมาตรขนานแกน 𝑥 และ 𝑐 > 0 ทาให้เราทราบว่ากราฟตะแคงขวา เราพิจารณาวาดกราฟคร่าวๆได้ดังนี้ และเนื่องจากจุด โฟกัสของพาราโบลา อยู่ห่างจากจุดยอด (, 𝑘) = (0, 1) เป็นระยะ 𝑐 = 1 = 1 เสมอจะได้ จุด โฟกัสคือ 𝐹(1, 1) ต่อไปพิจารณา 𝐿1 เป็นเส้นตรงที่ผ่าน 𝐴(4, 5) และ 𝐹(1, 1) ดังภาพ และ 𝐿2 เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุด (0, 1) และขนาน 𝐿1 ดังภาพ เราต้องการหาระยะห่างระหว่างเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 ให้เป็นระยะ 𝑑 ดังภาพ การหา ระยะห่างระหว่างจุดสองจุดเราจาเป็นต้องหาสมการของเส้นตรงทั้งสองเส้นเสียก่อน 𝑦2 −𝑦1 พิจารณา 𝐿1 มีความชัน 𝑚 = 𝑥 2 −𝑥 1 เมื่อรู้จุดผ่านสองจุดคือ (𝑥1 , 𝑦1 ) และ (𝑥2 , 𝑦2 ) จะได้ 𝑚 = 5−1 = 4 ดังนั้นสมการเส้นตรง 𝐿1 คือ 𝑦 − 𝑦1 = 𝑚(𝑥 − 𝑥1 ) เมื่อ (𝑥1 , 𝑦1 ) คือจุดผ่านเส้นตรง 4−1 3 หาสมการเส้นตรง 𝐿1 ได้ดังนี้ 𝑦 − 𝑦1 = 𝑚(𝑥 − 𝑥1 ) 4 𝑦 − 5 = 3 (𝑥 − 4) 3𝑦 − 15 = 4𝑥 − 16
54.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 54 0 = 4𝑥 − 3𝑦 − 1 นั่นคือ 𝐿1 : 4𝑥 − 3𝑦 − 1 = 0 ต่อไปหาสมการ 𝐿2 เนื่องจาก 𝐿1 //𝐿2 ดังนั้นความชัน 𝐿2 และ 𝐿1 เท่ากัน สมการ 𝐿2 คือ 4 𝑦 − 1 = 3 (𝑥 − 0) 3𝑦 − 3 = 4𝑥 0 = 4𝑥 − 3𝑦 + 3 นั่นคือ 𝐿2 : 4𝑥 − 3𝑦 + 3 = 0 สูตรระยะห่างระหว่างเส้นตรง 𝐿1 : 𝐴𝑥 + 𝐵𝑦 + 𝑐1 = 0 กับ 𝐿2 : 𝐴𝑥 + 𝐵𝑦 + 𝑐2 = 0 คือ 𝑐1 − 𝑐2 𝑑= 𝐴2 + 𝐵 2 ดังนั้น −1 − 3 −4 4 𝑑= = = 42 + (−3)2 5 5 ตอบ 0.8 วิเคราะห์ : ข้อนี้เช่นเคยครับน้องๆ เรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ ต้องทายาวกันหน่อย เพราะต้องวิเคราะห์อย่าง ละเอียดและทาเป็นขั้นเป็นตอน ทีสาคัญคือสูตรแหละครับ ที่ขาดไม่ได้เลย ฝึกทาแล้วต้องจาสูตรให้ได้ด้วย นะครับ ถ้า ผู้ชาย 4 คน ขุดหลุม 4 หลุม ใช้ เวลา 8 วัน แล้วผู้ชายคนเดียวขุดหลุมครึ่งหลุมใช้ เวลากี่วัน ?
55.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 55 𝟓. กาหนดให้ 𝒂, 𝒃 เป็นคาตอบสมการ 𝒍𝒐𝒈 𝟓 𝒙 + 𝟐 𝒍𝒐𝒈 𝒙 𝟓 = 𝟑 โดยที่ 𝒂 < 𝑏 ถ้า 𝑰+ แทนเซตของจานวน เต็มบวก และ 𝑨 = {𝒙 ∈ 𝑰+|𝒙 ∈ [𝒂, 𝒃] และ 𝟑 หาร 𝒙 ลงตัว} แล้วจงหาจานวนสมาชิกของเซต 𝑨 เฉลย 𝑙𝑜𝑔5 𝑥 + 2𝑙𝑜𝑔 𝑥 5 = 3 2 1 𝑙𝑜𝑔5 𝑥 + = 3 (จาก 𝑙𝑜𝑔 𝑎 𝑏 = ) 𝑙𝑜𝑔 5 𝑥 𝑙𝑜𝑔 𝑏 𝑎 ให้ 𝐴 = 𝑙𝑜𝑔5 𝑥 จะได้ว่า 2 𝐴+ 𝐴=3 𝐴2 + 2 = 3𝐴 𝐴2 − 3𝐴 + 2 = 0 (𝐴 − 2)(𝐴 − 1) = 0 𝐴 = 2, 𝐴 = 1 ดังนั้น 𝑙𝑜𝑔5 𝑥 = 2 ⟹ 𝑥 = 52 ⟹ 𝑥 = 25 (จาก 𝑙𝑜𝑔 𝑎 𝑥 = 𝑏 ⟹ 𝑥 = 𝑎 𝑏 ) จาก 𝑙𝑜𝑔5 𝑥 = 1 ⟹ 𝑥 = 51 ⟹ 𝑥 = 5 แสดงว่า 𝑎 = 5, 𝑏 = 25 (โจทย์ให้ 𝑎 < 𝑏) ต่อไปพิจารณาเซต 𝐴 = {𝑥 ∈ 𝐼 +|𝑥 ∈ [𝑎, 𝑏] และ 3 หาร 𝑥 ลงตัว} พิจารณา 𝑥 ∈ [𝑎, 𝑏] = [5, 25] ⟹ 𝑥 = 5, 6, 7, 8, … , 25 และ 3 หาร 𝑥 ลงตัวจะได้ 𝑥 ทั้งหมดคือ 𝑥 = 6, 9, 12, 15, 18, 21, 24 จานวนสมาชิกของ 𝐴 คือ 7 ตอบ 7 วิเคราะห์ : ไม่ยากครับข้อนี้ได้คะแนนเน้นๆแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่าใดนัก และเรื่องลอการิทึมและ เอกซ์โปเนนเชียลต้องแม่นซักหน่อยนะครับ ถ้าทาบ่อยก็คงไม่มีปัญหาครับ มีคนรักอยู่ไกลเอาใจยาก แฟนเขามากเราไม่รู้ดูไม่เห็น ความรักเขาเปรียบเสมือนสายลมเย็น เมื่อไม่เห็นหน้าเราเขาก็ลืม แฟนเขามากเราไม่รู้ดูไม่เห็น ความรักเขาเปรียบเสมือนสายลมวามรักเขาเปรียบเสมือนสายลมเย็น เมื่อไม่เห็นหน้าเราเขา
56.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 56 𝟔. ให้ 𝑨𝑩𝑪𝑫 เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน 𝑴 และ 𝑵 เป็นจุดบนด้าน 𝑩𝑪 และ 𝑪𝑫 ตามลาดับโดยที่ อัตราส่วน 𝑩𝑴: 𝑴𝑪 = 𝑫𝑵: 𝑵𝑪 = 𝟏: 𝟐 ถ้า 𝑨𝑪 = 𝜶𝑨𝑴 + 𝜷𝑨𝑵 แล้วจงหาค่า 𝜶 + 𝜷 เฉลย 𝐴 𝐵 𝑀 𝐷 𝑁 𝐶 ดูภาพประกอบเลยนะครับ ตอนแรกเราต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับเวกเตอร์เล็กน้อย เมื่อกล่าวถึง 𝐴𝐵 หมายถึง เวกเตอร์ที่มีจุดเริ่มต้นที่จุด 𝐴 และมีจุด ปลายที่ 𝐵 เวกเตอร์จะเท่ากันก็ต่อเมื่อ มีทิศทางเดียวกัน และขนานกันด้วย ในภาพเราจะสังเกตเห็นว่า 𝐴𝐵 = 𝐷𝐶 และสังเกตได้อีกว่า 𝐵𝑀 = 1 𝐵𝐶 เพราะ 𝐵𝑀: 𝑀𝐶 = 1: 2 จึงแบ่ง 𝐵𝐶 3 ออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน และ 𝐵𝑀 ก็จะเป็นหนึ่งในสามของทั้งหมดนั่นเอง ตอนนี้เราจะเริ่มหาแล้วนะครับ เนื่องจาก 𝐴𝑀 = 𝐴𝐵 + 𝐵𝑀 = 𝐴𝐵 + 1 𝐵𝐶 และ 𝐴𝑁 = 𝐴𝐷 + 𝐷𝑁 = 𝐵𝐶 + 1 𝐷𝐶 = 𝐵𝐶 + 1 𝐴𝐵 3 3 3 1 1 4 4 4 4 ดังนั้น 𝐴𝑀 + 𝐴𝑁 = 𝐴𝐵 + 3 𝐵𝐶 + 𝐵𝐶 + 3 𝐴𝐵 = 3 𝐴𝐵 + 3 𝐵𝐶 = 3 ( 𝐴𝐵 + 𝐵𝐶) = 3 𝐴𝐶 3 นั่นคือ 𝐴𝐶 = 4 𝐴𝑀 + 3 𝐴𝑁 จะได้ 𝛼 = 3 , 𝛽 = 3 ⟹ 𝛼 + 𝛽 = 3 + 3 = 6 = 3 4 4 4 4 4 4 2 ตอบ 1.5 วิเคราะห์ : เรื่องเวกเตอร์ที่ออกประมาณนี้ก็เห็นเยอะเหมือนกันครับ แต่ถ้าเราทาไม่ถูกทางก็งมอยู่นาน เหมือนกัน ทาให้เสียเวลาเยอะ เพราะโจทย์ประเภทนี้ทาได้หลากหลายทางแต่จะได้คาตอบเดียวกัน และส่วน ใหญ่ก็จะไปไม่ถึงฝั่งกันครับ เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียวที่จะพิชิตโจทย์ประเภทนี้ได้คือ ทาบ่อยๆครับ รักคนบ้านไกลเอาใจยาก แฟนเขามากเราไม่รู้ดูไม่เห็น เขารักเราเขาก็รักคนอื่นเป็น เขาไม่เห็นหน้าเราเขาก็ลืม
57.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 57 𝟕. ให้ 𝑨 = {𝒛|𝒛 𝟐 − (𝟐 − 𝒊)𝒛 − 𝟐𝒊 = 𝟎} และ 𝑩 = {𝒛|𝒛 𝟐 = 𝟓 − 𝟏𝟐𝒊} ถ้า 𝑪 = { 𝒛 𝟐 |𝒛 ∈ 𝑨 ∪ 𝑩} แล้วจงหาค่าผลบวกของสมาชิกของ 𝑪 เฉลย พิจารณาหาคาตอบของสมการ 𝑧 2 − (2 − 𝑖)𝑧 − 2𝑖 = 0 จากสูตร −𝑏 ± 𝑏 − 4𝑎𝑐 𝑧= 2𝑎 จากสมการจะได้ 𝑎 = 1, 𝑏 = −(2 − 𝑖), 𝑐 = −2𝑖 ดังนั้น 2− 𝑖±−(2 − 𝑖) 2 − 4(1)(−2𝑖) 𝑧= 2(1) 2 − 𝑖 ± 4 − 4𝑖 + 𝑖 2 + 8𝑖 = 2 2 − 𝑖 ± 4𝑖 + 3 𝑧= ________(∗) 2 พิจารณารากของสมการ 𝑧 2 = 𝑎 + 𝑏𝑖 คือ 𝑟+ 𝑎 𝑟− 𝑎 𝑧=± + 𝑖 2 2 โดย 𝑟 = 𝑧 = 𝑎2 + 𝑏 2 ดังนั้นเราจะหา 3 + 4𝑖 จากสูตร 𝑟+ 𝑎 𝑟− 𝑎 𝑧= + 𝑖 (ทาไมต้องเป็นค่าบวกคิดหน่อยนะ) 2 2 5+3 5−3 𝑧= + 𝑖 = 2− 𝑖 2 2 จาก (∗) จะได้ว่า 2 − 𝑖 ± (2 − 𝑖) 2− 𝑖+2+ 𝑖 2− 𝑖−2− 𝑖 𝑧= คาตอบมีสองค่าคือ 𝑧 = และ 𝑧 = = −𝑖 2 2 2 พิจารณา 𝐵 = {𝑧|𝑧 2 = 5 − 12𝑖} พิจารณาคาตอบของ 𝑧 2 = 5 − 12𝑖 ดังนี้
58.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 58 𝑟+ 𝑎 𝑟− 𝑎 𝑧=± + 𝑖 2 2 13 + 5 13 − 5 =± + 𝑖 2 2 = ±(3 + 2𝑖) 𝑧 = 3 + 2𝑖, 𝑧 = −3 − 2𝑖 ดังนั้น 𝐴 ∪ 𝐵 = {2, −𝑖, 3 + 2𝑖, −3 − 2𝑖} พิจารณา 𝐶 = { 𝑧 2 |𝑧 ∈ 𝐴 ∪ 𝐵} ถ้า 𝑧 = 2 ⟹ 𝑧 = 22 + 02 = 2 ⟹ 𝑧 2 = 22 = 4 ถ้า 𝑧 = −𝑖 ⟹ 𝑧 = 02 + (−1)2 = 1 ⟹ 𝑧 2 = 1 2 ถ้า 𝑧 = 3 + 2𝑖 ⟹ 𝑧 = 32 + 22 = 13 ⟹ 𝑧 2 = 3 = 13 2 2 ถ้า 𝑧 = −3 − 2𝑖 ⟹ 𝑧 = −3 2 + −2 2 = 13 ⟹ 𝑧 = 3 = 13 ดังนั้น 𝐶 = {4, 1, 13} ผลบวกของสมาชิกในเซต 𝐶 คือ 4 + 1 = 13 = 18 ตอบ 18 วิเคราะห์ : เรื่องจานวนเชิงซ้อนเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรแต่สังเกตเห็นไหมว่าในข้อนี้ ใช้สูตรหาคาตอบ เหมือนเรื่องจานวนจริงถ้าเราจาได้ตั้งแต่เรื่องจานวนจริงก็ไม่จาเป็นต้องท่องอีก และเรื่องจานวนเชิงซ้อนยัง มีหัวข้ออื่นที่นามาออกข้อสอบบ่อยเช่น รากของจานวนเชิงซ้อน การยกกาลังของจานวนเชิงซ้อน คาตอบ ของสมการ เป็นต้น หัวกระโหลกกาลังมีแทงปอด ตีด้วยน็อตฟาดด้วยชามตามด้วยไห หนีบด้วยคีบจิ้มด้วยเกลือลนด้วยไฟ ทาอย่างไรก็ไม่หายคิดถึงเธอ 𝟖. ให้ 𝑮 เป็นกราฟที่มีเซตของจุดยอดเท่ากับเซตของจานวนเฉพาะหกตัวแรก โดยที่จุดยอด 𝒊 และ 𝒋 มีเส้นเชื่อม ระหว่างสองจุดยอดนี้ก็ต่อเมื่อ 𝒊 ≠ 𝒋 และ 𝒊 + 𝒋 < 10 จงหาจานวนเส้นที่น้อยที่สุดที่สามารถเพิ่มให้กับ 𝑮 เพื่อ ทาให้ 𝑮 เป็นกราฟออยเลอร์ เฉลย จากเงื่อนไขของโจทย์ถ้าลองวาดกราฟอย่างคร่าวๆ โดยการลงจุดและลงเส้น และเงื่อนไข 𝑖 ≠ 𝑗 และ 𝑖 + 𝑗 < 10 เราจะได้ดังภาพ 2 3 5 7 11 13
59.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 59 เนื่องจากกราฟออยเลอร์คือกราฟที่เราสามารถลากจากจุดเริ่มต้น(จุดใดก็ได้) ไปยังจุดสุดท้ายโดยที่ซ้าจุดเดิมได้แต่ห้ามซ้า เส้นและต้องกลับมา ณ จุดเริ่มต้นเสมอ เราจะอาศัยทฤษฎีบทหนึ่งที่สาคัญมากๆเกี่ยวกับกราฟออยเลอร์นั่นคือ กราฟจะเป็นกราฟออยเลอร์ได้ก็ต่อเมื่อดีกรีทุกจุดในกราฟเป็นคู่หมด ดังนั้นเราจะต้องเพิ่มเส้นเชื่อมให้น้อยที่สุดเพื่อทุกจุดมีดีกรีเป็นคู่นั่นเอง ทาได้หลายวิธีแต่ใช้อย่างน้อยที่สุดคือ 3 เส้นดังภาพ 2 3 5 7 11 13 ตอบ 3 วิเคราะห์ : เรื่องกราฟอาจเป็นเรื่องใหม่สาหรับทุกคน เพราะเพิ่งเพิ่มเข้ามาในหลักสูตรเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตอนพี่เรียนมัธยมก็ไม่เคยได้เรียนเลย เพิ่มมาเรียนตอนเรียนปริญญาตรีนี่เอง เรื่องกราฟถ้าสังเกตแล้วก็ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อ่านแป็บเดียวก็น่าจะเสร็จ และข้อสอบก็เลือกที่จะออกไม่ยากนัก ส่วนใหญ่ก็วนอยู่กับ กราฟออยเลอร์เนี่ยแหละครับ แต่อย่าลืมทุกส่วนก็มีความสาคัญไม่น้อยเหมือนกัน ไม่อยากเป็นบิ๊กเเอสเล่นของสูง ไม่อยากเป็นเเคลชที่ถามหาไออุ่นรัก ไม่อยากเป็นไอนําที่อกหัก เเค่อยากเป็นคนที่ถูกรักเหมือนบอดี้สเเลม 𝟗. กาหนดจุด 𝟗 จุดบนเส้นรอบวงกลมวงหนึ่ง ถ้า 𝒙 และ 𝒚 เป็นจานวนรูปหลายเหลี่ยมที่บรรจุภายในวงกลม โดยใช้จุดเหล่านี้เป็นจุดยอดมุมและมีจานวนเหลี่ยมเป็นคี่ และคู่ตามลาดับแล้วจงหาค่า 𝒙 − 𝒚 เฉลย เมื่อวาดรูปวงกลมและมีจุด 9 จุดเป็นจุดบนเส้นรอบวงดังภาพ
60.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 60 ให้ 𝑥 เป็นจานวนรูปหลายเหลี่ยมที่มีจานวนเหลี่ยมเป็นคี่ มีความเป็นไปได้คือ 3, 5, 7, 9 เหลี่ยม กรณี 3 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 84 รูป 3 กรณี 5 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 126 รูป 5 กรณี 7 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 36 รูป 7 กรณี 9 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 1 รูป 9 ดังนั้น 𝑥 = 84 + 126 + 36 + 1 = 247 ให้ 𝑦 เป็นจานวนรูปหลายเหลี่ยมที่มีจานวนเหลี่ยมเป็นคี่ มีความเป็นไปได้คือ 4, 6, 8 เหลี่ยม กรณี 4 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 21 รูป 4 กรณี 6 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 84 รูป 6 กรณี 8 เหลี่ยมมีได้ทั้งหมด 9 = 9 รูป 8 ดังนั้น 𝑦 = 21 + 84 + 9 = 144 ดังนั้น 𝑥 − 𝑦 = 247 − 144 = 133
61.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 61 ตอบ 133 วิเคราะห์ : เรื่องนี้เราประยุกต์ใช้กับการเลือก ซึ่งถ้าเคยทาข้อประมาณนี้ก็คิดไม่ยากเลยครับ คิดเลขนิดเดียว ก็ได้คะแนนตั้ง 𝟑 คะแนนแล้ว อย่างนี้ต้องฝึกทาโจทย์ประเภทนี้บ่อยๆนะครับ เทอคบคายรักคายฉันม่ายว่า แต่อย่ามาควงแขนหั้ยฉานเหง ฉานม่ายช่ายมนุษย์ที่จายเย็น ถ้าฉานเหงถีบกระเด็นทั้งคู่ไม่รู้ตัว 𝟏𝟎. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์และภาษาไทยมีการแจกแจงแบบปกติและมีมัธฐานเท่ากัน เด็กหญิงดาว พบว่าคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ของตนอยู่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 𝟕𝟖. 𝟖𝟏 ซึ่งเท่ากับเปอร์เซ็นไทล์ของคะแนน ภาษาไทยที่ได้พอดี แต่คะแนนคณิตศาสตร์นั้นมากกว่าคะแนนภาษาไทยอยู่ 𝟐𝟎 คะแนน ถ้า 𝑨 และ 𝑩 เป็นส่วน เบี่ยงเบนมาตราฐานของคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาไทยตามลาดับ แล้ว จงหาค่าของ 𝑨 − 𝑩 𝒛 𝟎. 𝟕𝟎 𝟎. 𝟖𝟎 𝟎. 𝟗𝟎 พื้นที่ใต้เส้นโค้ง 𝟎. 𝟐𝟓𝟖𝟎 𝟎. 𝟐𝟖𝟖𝟏 𝟎. 𝟑𝟏𝟓𝟗 เฉลย เนื่องจากทั้งสองวิชามีการแจกแจงปกติ และมัธยฐานเท่ากัน ดังนั้น จึงมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากันด้วย เนื่องจากคะแนนวิชาคณิตศาสตร์อยู่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 78.81 คิดเป็นพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ 0.7881 ดังภาพ พิจารณาคะแนนคณิตศาสตร์ 𝑥−𝜇 𝑥−𝜇 𝑥−𝜇 จากสูตร 𝑧 = 𝜎 ⟹ 𝑧= 𝐴 ⟹ 𝐴= 𝑧 ______(1) พิจารณาคะแนนภาษาไทย 𝑥−𝜇 𝑦−𝜇 𝑥−20−𝜇 𝑥−20−𝜇 จากสูตร 𝑧 = 𝜎 ⟹ 𝑧= 𝐵 = 𝐵 ⟹ 𝐵= 𝑧 _________(2)
62.
เฉลยข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ โควตา ม
.ขอนแก่น ปีการศึกษา 2550 โดย พี่เปี๊ยก 62 จากโจทย์ต้องการหาค่า 𝐴 − 𝐵 เราจะหาจาก (1) − (2) 20 20 𝐴− 𝐵= = = 25 𝑧 0.8 ตอบ 25 วิเคราะห์ : เรื่องนี้ก็ยากสาหรับผมครับเพราะผมไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เป็นทุกเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ทบทวนก็คิด ว่าไม่เกินความสามารถหรอกครับ น้องๆก็เหมือนเรื่องสถิติเป็นเรื่องสาคัญมากๆ เพราะเรียนตั้งแต่ม . 𝟑 ยัน ม.𝟔 กันเลยทีเดียว และออกข้อสอบหลายข้อเลยทีเดียวเรื่องนี้อาจจาเป็นต้องท่องสูตรสักหน่อยแต่ถ้าขยัน อ่านขยันท่องก็ไม่เกินความสามารถหรอกครับ I love you คู่ฟ้าสตาร์ดับ The sun ลับขอบฟ้าหมดราศี and the moon สิ้นแสงแห่งราตรี But for me I love you รู้หรือยัง พีหวังว่าทุกคนคงได้อะไรบ้างจากการอ่านเอกสารเล่มนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยด้วย หวังว่าโอกาสหน้าคงได้ปรับปรุงตัวใหม่และ ่ ทําให้ดีกว่านี้ ถ้ามีอะไรที่อยากแนะนํา กรุณาเมลล์มาที่ mercedesbenz_3010@hotmail.com ขอบคุณคร้าบ
Download