2. Common noun แปล่วา “สามานยนาม” หมายถึง “นามที่เป็ นชื่อทัวไปของคน, สัตว์, สิ่งของ และสถานที่ ไม่ได้
่
ชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็ นคนนั้น คนนี้” เช่น :
The man works in the garden. ผูชายทางานอยูในสวน
้ ่
The bird sings sweetly in the bush. นกร้องอย่างไพเราะอยูในพุ่มไม้
่
The basket if full of oranges. กระจาดเต็มไปด้วยส้ม
There is a new house in a large city. มีบานใหม่หนึ่งหลังอยูในเมืองอันใหญ่โต
้ ่
คาว่า man, garden, bird, bush, basket, oranges, house และ city ที่พิมพ์ดวยตัวหนานั้ นเป็ น Common
้
Noun เพราะหมายถึง ผูชาย สวน นก พุ่มไม้ กระจาด ส้ม บ้านและเมืองทัวไปที่ไหนก็ได้ไม่ช้ ีเฉพาะเจาะจง
้ ่
Proper Noun แปลว่า “วิสามานยนาม” หมายถึง “นามที่เป็ นชื่อเฉพาะของคน, สัตว์, สิ่งของ และสถานที่ Proper
Noun เวลาเขียนต้องใช้ตวอักษรใหญ่ (Capital Letter) ขึ้นต้นเสมอไม่ว่าจะวางไว้ตรงไหนของประโยคก็ตาม
ั
(จุดนี้ขอให้เพื่อนๆจาไว้ให้ดีนะครับอย่าเผลอเด็ดขาดเรื่ องนี้)
เช่น :
Somchit lives at Paknam but works in Bangkok. สมจิตอยูปากน้ าแต่มาทางานอยูกรุ งเทพฯ
่ ่
Columbus discovered America by himself. โคลัมบัสค้นพบอเมริ กาด้วยตัวเขาเอง
London is the capital of England. ลอนดอนเป็ นเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ
Sony Television is more expensive than Sanyo. โทรทัศน์โซนี่แพงกว่าซันโย
คาว่า Somchit, Paknam, Bangkok, Columbus, America, London, England, Sony และ Sanyo ที่พิมพ์ดวย
้
ตัวหนานั้ นเป็ นชื่อเฉพาะของแต่ละอย่างไป จึงจัดเข้าในประเภท Proper noun.
Collective Noun แปลว่า “สมุหนาม” หมายถึง “นามที่เป็ นชื่อของหมู่คณะ, ฝูง, พวก, กลุ่ม ซึ่งปกติ
แล้ว Collective Noun จะใช้รวมกับ Common Noun เสมอทั้งนี้โดยมี of มาคันเพื่อเน้นให้ความเป็ นหมู่หรื อคณะ
่
นั้นชัดเจนยิงขึ้น ตามสูตรรู ปแบบของนามดังนี้
่
3. Collective Noun + of + Common Noun ภาษาไทยแปลว่า
A flock of sheep แกะฝูงหนึ่ง
A bunch of flowers ดอกไม้ช่อหนึ่ง
A herd of cattle โคฝูงหนึ่ง
A heap of stones หินกองหนึ่ง
A gang of thieves ขโมยแก๊งหนึ่ง
A flock of chickens ลูกไก่คอกหนึ่ง
A cluster of stars ดาวกลุ่มหนึ่ง
A crowd of people คนหมู่หนึ่ง
A group of students นักศึกษากลุ่มหนึ่ง
A tribe of citizens พลเมืองเผ่าหนึ่ง เป็ นต้น
อนึ่ง Collective Noun นอกจากจะเป็ นคาวลีผสมด้วย of แล้ว บางครั้งเป็ นคาคาเดียวก็มี ในเมื่อคาหรื อศัพท์น้ นมี
ั
ความหมายแสดงหมวดหมู่ กลุ่มก้อนในตัวของมันเอง โดยมากจะได้แก่คาต่อไปนี้
family ครอบครัว army กองทัพบก
team ทีม,คณะ,ชุด class ชั้น,ชนิด
jury คณะลูกขุน party พรรค,คณะ
fleet กองเรื อ governmentคณะรัฐบาล
mob หมู่คน regiment กรมทหาร
committeeคณะกรรมการcabinet คณะรัฐมนตรี
swarm ฝูงแมลง flock ฝูงสัตว์
หลังจากที่ได้อ่านรายละเอียดด้านบนผ่านมาแล้ว เพื่อนๆบางคนอาจสงสัยว่า ถ้าใช้ Collective Noun เป็ น
ประธานในประโยค กริ ยาของมันจะใช้รูปเอกพจน์ หรื อพหูพจน์ กันแน่
คาตอบก็คือ Collective Noun ถ้านามาใช้ทาหน้าที่เป็ นประธาน (Subject) ในประโยคจะใช้กริ ยา (Verb) เป็ น
เอกพจน์หรื อพหูพจน์น้ น อันนี้จะขึ้นอยูกบความมุ่งหมายของผูพด กล่าวคือ
ั ่ ั ้ ู
1) ถ้า Collective Noun ตัวนั้นผูพดหมายถึงกลุ่มเดียว คณะเดียว หรื อทั้งกลุ่มทั้งคณะนั้นเป็ นหน่วยเดียว ไม่ได้
้ ู
แยกเป็ นรายคนเช่นนี้ กริ ยาต้องใช้รูปเอกพจน์ (Singular Verb)
4. 2) ถ้า Collective Noun ตัวนั้น ผูพดหมายเอาเป็ นรายตัวรายบุคคล (Individual) โดยแยกแยะออกไปว่าต่างคนก็
้ ู
ต่างกระทาการเช่นนี้ กริ ยาต้องใช้รูปพหูพจน์ (Plural Verb) ขอให้ดูตวอย่างประโยคต่อไปนี้ :-
ั
A flock of sheep is worth one million bath. แกะฝูงหนึ่งมีราคาหนึ่งล้านบาท
(ใช้กริ ยาเป็ นเอกพจน์คือ is เพราะหมายถึงแกะทั้งฝูง ไม่ได้แยกเป็ นรายตัว)
A flock of sheep are standing under the tree. แกะฝูงหนึ่ง (ต่างก็) กาลังยืนอยูใต้ตนไม้)
่ ้
(ใช้กริ ยาเป็ นพหูพจน์คือ are เพราะหมายถึงแกะเป็ นรายตัวในฝูงต่างก็กาลังยืน)
The government is trying a new measure. คณะรัฐบาลกาลังลองใช้มาตรการอันใหม่
(ใช้กริ ยาเอกพจน์ คือ is เพราะหมายถึงทั้งคณะรวมเป็ นหน่วยเดียวไม่ได้แยกเป็ นรายบุคคล)
The government have discussed the flood of Bangkok for three hours. คณะรัฐบาล (ต่างคนก็) ได้ปภิปราย
เรื่ องน้ าท่วมกรุ งเทพฯ เป็ นเวลา 3 ชัวโมง
่
(ใช้กริ ยาเป็ นพหูพจน์คือ have เพราะหมายถึงแต่ละคนในคณะก็ได้อภิปรายกันเป็ นเวลานาน ภาพแห่งความนึก
คิดเรามักจะนึกถึงว่าต่างคนก็ต่างพูดกันอย่างหน้าดาคร่ าเครี ยดว่าจะแก้ปัญหาเรื่ องน้ าท่วมอย่างไรดี จึงมี
ความหมายเป็ นพหูพจน์)
Material Noun แปลว่า “วัตถุนาม” หมายถึง “นามที่เป็ นชื่อของวัตถุ ได้แก่ แร่ ธาตุ โลหะ ของแข็ง ของเหลว
หรื อบางครั้งจะเรี ยกว่า Mass Noun (นามมวลสาร) ก็ได้ เพราะนามจาพวกนี้อยูเ่ ป็ นกลุ่มก้อน แสดงความมาก
น้อยด้วยปริ มาณ (quantity) ไม่ใช่ดวยจานวน (Number) และนามชนิดนี้ไม่ใช้ Article นาหน้า” Material
้
Noun ได้แก่นามต่อไปนี้
sugar น้ าตาล bread ขนมปัง
cream ครี ม flour แป้ ง
rice ข้าว gold ทอง
coal ถ่าน soil ดิน
wood ไม้ cloth เสื้อผ้า
leather หนังสัตว์ copper ทองแดง
5. water น้ า oil น้ ามัน
ink น้ าหมึก air อากาศ
mud โคลน smoke ควัน
soap สบู่ furniture เครื่ องเรื ยน
ตัวอย่างประโยคเช่น
Copper is less valuable than gold. ทองแดงมีค่าน้อยกว่าทองคา
Mud is soil mixed with water. โคลนก็คือดินผสมกับน้ า
Living things cannot remain without air. สิ่งมีชีวิตจะคงอยูไม่ได้โดยปราศจากอากาศ
่
คาว่า copper, gold, mud, soil, water, air เป็ น Material Noun
เพื่อนๆอาจจะสงสัยกันว่า Material Noun เมื่อต้องการทราบจานวนหรื อเป็ นหน่วย จะมีวิธีทาได้อย่างไร
คาตอบก็คือ Material Noun โดยปกติแล้วถือเป็ นนามนับไม่ได้ เป็ นรู ปเอกพจน์อย่างเดียว ทาเป็ นรู ปพหูพจน์
ไม่ได้ ดังนั้นถ้าผูพดหรื อผูฟังประสงค์จะทราบจานวนหรื อหน่วยของ Material Noun ก็ให้ใช้ Common Noun มา
้ ู ้
ประกอบโดยมี of มาคัน และที่ Common Noun นั้นจะเป็ นผูกาหนดจานวนของ Material Noun อีกทีหนึ่งตาม
่ ้
สูตรดังนี้ :-
Numberal + Common Noun + of + Material Noun (Mass Noun) เช่น
a glass of milk นมหนึ่งแก้ว
two glasses of milk นมสองแก้ว
five pieces of chalk ชอล์ค 5 แท่ง
a cup of tea ชาหนึ่งถ้วย
two cup of coffee กาแฟ 2 ถ้วย
one kilogram of sugar น้ าตาลหนึ่งกิโล
three kilograms of meal เนื้อ 3 กิโล
ten bags of sand ทราย 10 กระสอบ
a loaf of bread ขนมปังหนึ่งก้อน
a bottle of ink น้ าหมึกหนึ่งขวด
6. ten loaves of sugar น้ าตาล 10 ก้อน
อนึ่ง อยากให้เพื่อนๆสังเกตไว้ดวยว่า เมื่อ Material Noun ที่กล่าวมานี้ไปทาหน้าที่เป็ น Subject ในประโยคจะ
้
ใช้ Verb เป็ นเอกพจน์หรื อพหูพจน์น้ นให้ถือเอาตาม Common Noun ที่ประกอบอยูหน้านั้นเป็ นเกณฑ์ นั้นคือถ้า
ั ่
Common Noun เป็ นเอกพจน์ ก็ใช้ Verb เอกพจน์ ถ้าเป็ นพหูพจน์ ก็ใช้พหูพจน์ เช่น
A piece of chalk is on the table. ชอล์คหนึ่งแท่งอยูบนโต๊ะ (เป็ นเอกพจน์ใช้ is)
่
Five kilograms of meat are worth two hundred bath. เนื้อ 4 กิโลราคา 200 บาท (เป็ นพหูพจน์ใช้ are)
นอกจากนี้แล้ว Material Noun ถ้าต้องการพูดถึงปริ มาณ “มาก” หรื อ “น้อย” มาขยายอยูขางหน้าให้ใช้เฉพาะมาก
่ ้
หรื อน้อยของคาบอกปริ มาณต่อไปนี้เท่านั้นมาประกอบอยูของหน้า ได้แก่
่ ้
Little, a little, much, a lot of, plenty of, a great deal of เช่น
He has little money in his pocket.
She has a little salt in the kitchen.
I have much ink in the bottle.
Jane wants to buy a lot of rice for his family.
There is plenty of sugar in the shop.
She has a great deal of fish left in the cupboard.
หมายเหตุ : อย่าใช้ many, several, few, a few, a large number of, a great number of มานาหน้า Material Noun
โดยเด็ดขาด ขอให้เพื่อนๆระมัดระวังด้วยนะครับ
Abstract Noun แปลว่า “อาการนาม” หมายถึง นามที่เป็ นชื่อของสภาวะ สถานะ คุณลักษณะ หรื อการกระทา
ของ คน สัตว์ สิ่งของต่างๆ ดังลักษณะต่อไปนี้ :-
Death comes to all men. ความตายย่อมมาสู่คนเราทุกคน
It gives me much pleasure to see you here. ยินดีมากที่ได้พบคุณที่นี่
7. I have no choice in this matter. ผมไม่มีทางเลือกในเรื่ องนี้
Prevention is better than cure. กันไว้ดีกว่าแก้
Beauty is wanted by everyone. ความสวยเป็ นที่ตองการของทุกๆ คน
้
Honesty is the best policy. ความซื่อสัตย์เป็ นนโยบายที่ดีที่สุด
คาว่า death, pleasure, choice, prevention, cure, beauty และ honesty ที่กล่าวมานี้เป็ น Abstract Noun และให้
สังเกตไว้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า Abstract Noun ไม่ใช้ Article นาหน้า เว้นไว้แต่จะนามากล่าวเป็ นลักษณะชี้เฉพาะ
ให้กบบุคคลใดบุคคลหนึ่งจึงจะใช้ The นาหน้าได้ เช่น :
ั
The death of Kitti calls for justice. ความตายของกิตติเรี ยกหาความยุติธรรม
The braveness of his father is well-known. ความกล้าหาญของบิดาของเขาเป็ นที่รู้จกกันดี
ั
ใช้ the นาหน้า death และ braveness ได้ ถึงแม้จะเป็ น Abstract Noun ก็ตาม เพราะเป็ นการชี้เฉพาะความตายของ
กิตติและความกล้าหาญของบิดาเขา มิได้หมายถึงความตายหรื อความกล้าหาญทัวไป แม้นยอื่นก็ให้เทียบเคียง
่ ั
ตามนี้
หลายคนอาจสงสัยว่า Abstract Noun มีรูปมาจากไหน
คาตอบก็คือ Abstract Noun มีรูปมาจาก Verb บ้าง, จาก Adjective บ้าง, และจาก Noun ด้วยกันเองบ้าง ซึ่งมี
ดังต่อไปนี้
1. Abstract Noun มีรูปมาจาก Verb :
เป็ น Verb คาแปล เป็ น Abstract Noun คาแปล
act กระทา acting การกระทา
live อาศัยอยู่ life ชีวิต
know รู้ knowledge ความรู้
please ทาให้พอใจ pleasure ความพอใจ
speak พูด speech การพูด
succeed สาเร็ จ success ความสาเร็ จ
decide ตัดสินใจ decision การตัดสินใจ
organize จัดการ organization การจัดการ
9. Noun-Equivalent แปลว่า “นามสมมูลย์” หมายถึง คาหรื อหมู่คาใดๆ ซึ่งตามรู ปลักษณะแล้วไม่ได้เป็ นนามแต่
นามาใช้ทาหน้าที่เช่นเดียวกับนามหรื อใช้เสมือนหนึ่งเป็ นนาม เรี ยกคานั้นว่า Noun-Equivalent ในภาษาอังกฤษ
ที่นามาใช้เป็ น Noun-Equivalent มีอยู่ 8 ชนิดได้แก่ :-
1. Infinitive ได้แก่กริ ยาที่มี to นาหน้า เช่น to go, to come, to walk, to sleep นามาใช้อย่าง Noun ได้เช่น
To sleep is necessary for health. การนอนหลับเป็ นสิ่งจาเป็ นต่อสุขภาพ
He wants to walk every morning. เขาต้องการเดินทุกๆเช้า
(to sleep และ to walk โดยรู ปแบบแล้วเป็ นกริ ยา แต่นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ตัวแรกเป็ น Subject
ในประโยคตัวหลังเป็ น Object ของกริ ยา wants)
2. Gerund ได้แก่ กริ ยาที่เติม ing (Verb-ing) เช่น running, walking, sleeping, eating, reading, etc. นามาใช้อย่าง
Noun ได้เช่น
Sleeping at midday is necessary for baby. การนนอนหลับเวลากลางวันเป็ นสิ่งจาเป็ นสาหรับเด็ก
(Sleeping นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ทาหน้าที่เป็ นประธานในประโยค)
Marisa likes reading after dinner. มาริ สาชอบอ่านหนังสือหลังทานอาหารค่า
(reading นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ทาหน้าเป็ นเป็ นกรรมของกริ ยา likes ในประโยค)
3. Adjective (คุณศัพท์) บอกลักษณะเช่น good(ดี), brave(กล้าหาญ), rich(ร่ ารวย), poor(ยากจน), etc. นามาใช้
อย่างนาม(Noun-Equivalent) ได้ แต่ตองใช้โดยมี the นาหน้าทุกครั้ง และให้ถือเป็ นพหูจน์ดวย เช่น :
้ ้
The good should be praised. คนดีท้งหลายควรได้รับการยกย่อง
ั
(good เป็ นคุณศัพท์แต่นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ทาหน้าที่เป็ นประธานของประโยค)
The rich must help the poor. คนรวยจะต้องช่วยคนจน
(rich และ poor เป็ นคุณศัพท์แต่นามาใช้อย่างนาม rich ทาหน้าที่เป็ นประธาน poor ทาหน้าที่เป็ นกรรม)
4. Phrase (วลี) นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ได้ เช่น :-
Where to go is not known. จะไปไหนยังไม่มีใครทราบ
(Where to go เป็ นวลีแต่นามาใช้อย่างนาม และทาหน้าที่เป็ นประธานในประโยคนี้)
10. I do not known what to say. ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี
(what to say เป็ นวลี แต่นามาใช้อย่างนาม และทาหน้าที่เป็ นกรรมของกริ ยา known)
5. Clause (อนุประโยค) นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ได้ เช่น :-
What he is doing now is difficult for us to know. เขากาลังทาอะไรอยูตอนนี้ยากสาหรับเราที่จะรู้ได้
่
(what he is doing now เป็ น clause (คือ Noun Clause) แต่นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ทาหน้าที่เป็ น
ประธานในประโยค)
No one understand why she cried. ไม่มีใครเข้าใจได้เลยทาไมเธอจึงร้องไห้
(why she cried เป็ น clause แต่นามาใช้อย่างนาม (Noun-Equivalent) ทาหน้าที่เป็ นกรรมของกริ ยา understand)
Compound Noun แปลว่า “นามผสม” หมายถึงการนาเอานาม 2 ตัวมาเขียนติดกันเป็ นคาเดียว หรื อจะเขียน
แยกกันอยูโดยมี Hyphen (-) มาคันด้วยหรื อไม่มีก็ได้ ก็ถือว่านามนั้นเป็ นนามผสม (Compound Noun) ได้ตาม
่ ่
ความหมายนี้ ดังนั้น นามผสมจึงมีแหล่งกาเนิดมาในหลายรู ปแบบได้หลายอย่างดังต่อไปนี้ :-
1. โดยการนาเอานาม 2 ตัวมาเขียนติดกัน แล้วกลายเป็ นนามผสมขึ้นมา (Compound Noun) ได้ เช่น
life + boat = lifeboat เรื อช่วยชีวิต moon + light = moonlight แสงจันทร์
cow + boy = cowboy โคบาล mail + box = mailbox ตูรับจดหมาย
้
door + man = doorman คนเฝ้ าประตูcountry + man = countryman = country คนบ้านนอก
2. โดยการนาเอา Ver-ing บ้าง, นามบ้าง มาเขียนเป็ นคาเดียวติดกันกับนามตัวอื่นโดยมีเครื่ องหมาย Hyphen (-)
คันเอาไว้ แล้วนามนั้นก็จะกลายเป็ นนามผสม (Compound Noun) ขึ้นมาทันที เช่น
่
court – martial = ศาลทหาร swimming – pool = สระว่ายน้ า
living – room = ห้องรับแขก hand – organ = หีบเพลง
looking – glass = กระจกส่องschool – boy = นักเรี ยนชาย
3. โดยการนาเอานามตัวหนึ่งไปประกอบหน้านามอีกตัวหนึ่ง ทั้งนี้นามตัวหลังเป็ นนามหลักหรื อนามยืน
ส่วนตัวหน้าเป็ นนามประกอบ (หรื อจะเรี ยกว่าเป็ น Adjective ก็ได้) แล้วนามทั้ง 2 ตัวที่มารวมกันนั้นก็กลายเป็ น
11. นามผสม (Compound Noun) ทันที และนามผสมตามข้อนี้ตองเขียนแยกกัน ไม่นิยมใช้ Hyphen (-) มาคันด้วย
้ ่
เช่น
Bangkok Bank ธนาคารกรุ งเทพฯ mango tree ต้นมะม่วง
football game กีฬาฟุตบอล salt water น้ าเค็ม
picnic basket ตะกร้าสาหรับไปเที่ยวfoot path ทางเดินเท้า
examination paper กระดาษสอบไล่ government school โรงเรี ยนรัฐบาล
Agent Noun แปล่วา “นามที่แสดงความเป็ นผูกระทา” นามชนิดนี้มีรูปมาจากกริ ยา หรื อนามโดยการเติมปัจจัย
้
(suffix) er, or, ent, ant, ist, และ ician ที่ทายกริ ยาหรื อนามตัวนั้นแล้วกริ ยาหรื อนามที่ถกปัจจัยเหล่านี้เติมก็จะ
้ ู
กลายเป็ น Agent Noun คือนามที่แสดงความเป็ นผูกระทาแล้วนามาใช้เช่นนามทัวๆไป ได้แก่
้ ่
Verb เดิมคาแปล เติมปัจจัยแล้วคาแปล
act กระทา actor ผูกระทา (แสดง)
้
sail แล่นเรื อ sailor กลาสีเรื อ
serve รับใช้ servant คนใช้
study ศึกษา, เรี ยน student นักเรี ยน
attend ตั้งใจ attendant ผูติดตาม้
piano เปี ยโน pianist นักเปี ยโน
preside เป็ นประธาน president ประธาน
music ดนตรี musician นักดนตรี
history ประวัติศาสตร์historian นักประวัติศาสตร์
visit เยียม
่ visitor ผูมาเยียม
้ ่
Countable Noun แปลว่า “นามนับได้” หมายความว่า นามตัวนั้นสามารถนับได้เป็ นรายชิ้น รายสิ่ง รายอัน และ
รายบุคคลโดยนามนั้นเองเป็ นเอกเทศ ไม่ตองอาศัยวัตถุเครื่ องชัง ตวง วัด อย่างอื่นมาช่วยนับ และนามนับได้ดง
้ ่ ั
12. ว่านี้ก็สามารถเติมเลขจานวนนับประกอบข้างหน้าได้ดวยเช่น one man, two men, three boys, four girls
้
etc. นอกจากนี้แล้วก็สามารถทาเป็ นพหูพจน์ได้ ดังนั้นนามทั้ง 8 ชนิดที่กล่าวมาก็จดเข้าในประเภท “เป็ นนาม
ั
นับได้” ดังนี้
Common Noun = สามานยนาม เช่น boy, book, cat, house
Proper Noun = วิสามานยนาม เช่น Sak, John, Marry, Jim
Collective Noun สมุหนาม เช่น a group of student, jury
Compound Nounนามผสม เช่น Living-room, cowboy
Agent Noun = นามแสดงความเป็ นผูกระทา เช่น sailor, visitor
้
ทั้ง 5 ชนิดนี้จดเข้าในประเภทเป็ นนามนับได้ ขอให้เพื่อนๆจดจาไว้ให้ดีนะจ๊ะ สรุ ปแล้วนามที่จะถือเป็ นนามนับ
ั
ได้น้ นต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างคือ :-
ั
1.นับได้เป็ นรายอันโดยนามนั้นเอง
2.ทาเป็ นพหูพจน์ได้
3.ใช้เลขนับจานวน one, two,three ประกอบข้างหน้าได้
Uncountable Noun แปลว่า “นามนับไม่ได้” หมายความว่านามตัวนั้นไม่สามารถนับได้เป็ นรายตัว รายสิ่ง ราย
อัน ต้องอยูรวมกันเป็ นกลุ่มก้อน แยกนับเป็ นรายตัวไม่ได้ แสดงความว่า “มาก” หรื อ “น้อย” ด้วยปริ มาณ เช่น
่
much water, little ink ไม่ใช้ดวยจานวนเป็ นหนึ่ง สอง สาม นอกจากนี้ก็ทาเป็ นเป็ นรู ปพหูพจน์โดยนามตัวนั้น
้
ไม่ได้ (แต่สามารถทาได้โดยวิธีอื่นจะอธิบายในด้านล่างนะครับ) ดังนั้นนามทั้ง 8 ชนิด เมื่อจัดเข้าในประเภทนับ
ไม่ได้ ก็จดได้ดงนี้ :-
ั ั
Material Noun (หรื อ Mass Noun) = วัตถุนาม หรื อนามมวลสาร เช่น gold, air, copper, ink, sand etc.
13. Abstract Noun = อาการนาม เช่น education, politics, goodness, wisdom, experience etc.
Non-Equivalent Noun = นามสมมูลย์ เช่น To walk, to eat, what to do, how to say, etc.
นามทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวมานี้จดเข้าในประเภท “นามนับไม่ได้” เพราะตัวนามนั้นเราไม่สามารถนับแยกเป็ นหนึ่ง
ั
สอง ได้ เพราะมันอยูรวมเป็ นกลุ่มก้อน สรุ ปแล้วลักษณะของนามนับไม่ได้มีอยู่ 3 อย่างคือ
่
1.นับไม่ได้เป็ นรายสิ่ง เพราะรวมกันเป็ นกลุ่มก้อน
2.ทาเป็ นรู ปพหูพจน์ไม่ได้ (มีรูปเอกพจน์อย่างเดียว)
3.แสดงจานวนด้วยปริ มาณมากหรื อน้อยเท่านั้น
การทานามนับไม่ได้ ให้ เป็ นนามนับได้
เพื่อนๆทุกคนครับ นามนับไม่ได้น้ นบางครั้งเมื่อจาเป็ นอยากทราบจานวน ก็ทาให้เป็ นเสมือนนามนับได้ แต่ท้งนี้
ั ั
ต้องอาศัย วัตถุ ภาชนะ หรื อ เครื่ องชัง ตวง วัด ชิ้น ส่วน อย่างอื่นเข้ามาเป็ นเครื่ องนับนามที่นบไม่ได้ ให้เป็ น
่ ั
นามนับได้แทน ตามสูตรการสร้างคาดังนี้ Common Noun + of + Material(Mass) Noun เช่น
รูปเอกพจน์ (Singular Noun)
a piece of paperกระดาษหนึ่งแผ่น
a drop of water น้ าหนึ่งหยด
an item of newsข่าวหนึ่งเรื่ อง
a bar of soap สบู่หนึ่งก้อน
a roll of cloth ผ้าหนึ่งม้วน
a loaf of bread ขนมปังหนึ่งก้อน
a bag of flour แป้ งหนึ่งถุง
14. a bottle of milk นมหนึ่งขวด
a basket of fruit ผลไม้หนึ่งกระจาด
a cup of tea ชาหนึ่งถ้วย
a glass of water น้ าหนึ่งแก้ว
a yard of ribbonริ บบ๊อนหนึ่งหลา
a ton of coal ถ่านหนึ่งตัน
a kilo of sugar น้ าตาลหนึ่งกิโล
a metre of silk ผ้าไหมหนึ่งเมตร
รูปพหูพจน์ (Plural Noun)
many pieces of paper กระดาษหลายแผ่น
three drops of water น้ า 3 หยด
two items of news ข่าว 3 เรื่ อง
five bars of soap สบู่ 5 ก้อน
few rolls of cloth ผ้า 2-3 ม้วน
six loaves of bread ขนมปัง 6 ก้อน
several bags of flour ถุงแป้ งหลายถุง
two bottles of milk ขวดนม 2 ขวด
four baskets of fruit ผลไม้ 4 กระจาด
15. cups of tea ชาหลายถ้วย
glasses of water น้ าหลายแก้ว
many metres of cloth ผ้าหลายเมตร etc. เช่น
He wants to buy many metres of cloth today. เขาต้องการซื้อผ้าหลายเมตรวันนี้
A yard of string is worth twenty baht. เชือกหนึ่งหลาราคา 20 บาท
อนึ่ง Common Noun บางชนิดเมื่อกล่าวถึงรู ปร่ างเป็ นตัวเป็ นตนถือเป็ น Countable Noun แต่ถากล่าวถึงหรื อ
้
หมายถึงส่วนที่แยกแยะชาแหละออกเป็ นชิ้นส่วนแล้วถือเป็ น Uncountable Noun ตัวอย่าง เช่น
เป็ น Countable Noun เป็ น Uncountable
cow, ox วัว beef เนื้อวัว
pig หมู pork เนื้อหมู
sheep แกะ mutton เนื้อแกะ
tree ต้นไม้ wood ไม้แปรรู ป
trousers กางเกงขายาวcloth ผ้า etc.
Noun ในภาษาอังกฤษมีอยู่ 8 ชนิด ได้แก่อย่างนั้นๆแล้วก็มาแบ่งตามการนับว่ามี 2 อย่างคือ นับได้และนับไม่ได้
นันไม่ได้หมายความว่า รู้นามจบแล้วหมดแล้วนะครับ แต่ยงต้องเรี ยนรู้เพิ่มเติมอีก เมื่อรู้ชนิดต่อไปก็ตองรู้หน้าที่
่ ั ้
(Function) หรื อวิธีใช้ของนามเสียก่อนว่า เอาไปใช้ทาหน้าที่เป็ นอะไรได้บางในประโยคต่างๆ ลาพังจะรู้แต่
้
เพียงชนิดและการนับ แต่ไม่รู้วิธีใช้ การรู้น้ นก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรได้มากมายนักในหลักภาษา
ั
ฉะนั้น ต่อแต่น้ ีไปเราจะได้มาเรี ยนรู้ถึงหน้าที่ของนามเสียก่อนว่า เมื่อนาไปพูดหรื อเขียนแล้วนามนั้นจะทาหน้าที่
อะไรได้บางในประโยค ขอให้เพื่อนๆจดจาแต่ละตัวอย่างให้ได้สาหรับการใช้นามทาหน้าที่น้ นๆ
้ ั
16. คาถามก็คือ Noun ในภาษาอังกฤษทาหน้าที่เป็ นอะไรได้บาง ดังนั้นผมจึงจะอธิบายให้เพื่อนๆได้เข้าใจพร้อมกับ
้
ยกตัวอย่างให้ได้เห็นด้วยนะครับ
Noun ในภาษาอังกฤษเมื่อนามาเขียนหรื อพูด ทาหน้าที่ได้ต่อไปนี้ :-
1) ทาหน้ าที่เป็ นประธานของกริยาในประโยคได้ (Subject of a Verb) เช่น
Somsak is a student of the English language. สมศักดิ์เป็ นนักศึกษาภาษาอังกฤษ
Mary loves her parent very much. แม่รี่รักพ่อแม่ของเธอมากๆ
This boy likes to have dinner at six in the evening. เด็กคนนี้ชอบทานอาหารค่าเวลา 6 โมงเย็น
(Somsak, Marry และ boy เป็ นนามที่มาทาหน้าที่เป็ นประธานของกริ ยา is,loves และ likes ในประโยค)
ข้ อสังเกต : การใช้นามที่ทาหน้าที่เป็ นประธาน จะวางไว้หน้ากริ ยาเสมอ
2) ทาหน้ าที่เป็ นกรรมของกริยา (Object of a Verb) ในประโยคได้ เช่น
Jack loves Jane. แจ็ครักเจน
We respect the teacher. เรานับถือคุณครู
I ate mangoes. ฉันทานมะม่วง
(Jane, teacher และ mangoes เป็ นนามที่มาทาหน้าที่เป็ นกรรมของกริ ยา loves, respect และ ate ในประโยค)
ข้ อสังเกต : นามที่ทาหน้าที่เป็ นกรรมของกริ ยาจะวางไว้หลังกริ ยาเสมอ
3) ทาหน้ าที่เป็ นกรรมของบุรพบท (Object of a preposition) ในประโยคได้ เช่น
We think of the teacher when we leave school. เราคิดถึงคุณครู เมื่อเราออกจากโรงเรี ยน(เรี ยนจบแล้ว)
He speak to his girl-friend every day. เขาพูดถึงคนรักของเขาทุกวัน
John has waited for Anne long time. จอห์นได้รอคอยแอนนานานแล้ว
(teacher, girl-friend และ Anne เป็ นนามมาทาหน้าที่เป็ นกรรมของบุรพบท of,to, และ for ตามลาดับ)
ข้ อสังเกต : นามที่ทาหน้าที่เป็ นกรรมของบุรพบทใด ให้เรี ยงไว้หลังบุรพบทตัวนั้น
17. 4) ทาหน้ าที่เป็ นส่ วนสมบูรณ์ของกริยาเพือขยายให้ ประธานได้ ความชัดเจนขึน(Subjective Complement) ได้
่ ้
ส่วนมากนามที่นามาใช้ตามข้อ 4 นี้มกจะเรี ยงตามหลัง Verb to be, become เช่น :
ั
Siri is a student. Amnat becomes a doctor. ศิริเป็ นนักศึกษา อานาจเป็ นนายแพทย์
She was a nurse two years ago. หล่อนเป็ นนางพยาบาลเมื่อ 2 ปี ก่อน
(student, doctor และ nurse เป็ นนาม นามาใช้ทาหน้าที่เป็ นส่วนสมบูรณ์ของกริ ยา is, become และ was ใน
ประโยค)
5) ทาหน้ าที่เป็ นส่ วนขยายกรรม เพือให้ กรรมตัวนั้นมีเนือความกระจ่างขึน (Objective Complement) หรื ออีก
่ ้ ้
ในหนึ่งจะเรี ยกว่า ทาหน้าที่เป็ นทั้งกรรม (Object) และส่วนสมบูรณ์ (Complement) พร้อมกันทีเดียวก็ได้ เช่น :-
We elected Mr.Sombat leader. เราเลือกนายสมบัติเป็ นหัวหน้า(ผูนา)
้
His parent named him Henry. บิดามารดาของเขาตั้งชื้อเขาว่าเฮนรี่
Everyone called him a coward. ทุกๆคนเรี ยกเขาว่าคนขี้ขลาด
(leader, Henry และ coward เป็ นคานาม แต่ในประโยคทั้ง 3 นี้นามาใช้ทาหน้าที่เป็ นตัวขยายกรรม (Object) ที่อยู่
ข้างหน้ามันคือ Sombat, him และ him)
ข้ อสังเกต : นามที่ไปทาหน้าที่ขยายกรรมใด ให้เรี ยงไว้หลังกรรมนั้นทุกครั้งไป
6) ทาหน้ าที่เป็ นนามซ้ อนนามที่อยู่ข้างหน้ า (in apposition) ได้ และระหว่างนามข้างหน้ากับนามที่ไปซ้อน
ตามหลังจะต้องใส่เครื่ องหมาย Comma (,) คันเอาไว้ทุกครั้ง และการไปซ้อนนั้นแยกออกเป็ น 2 กรณี คือ
่
ก. ซ้อนในส่วนที่เป็ นประธานของประโยค (noun in subjective apposition) ให้วางไว้หลังประธานตัวนั้น เช่น
Obama,the president of the U.S.A., visited Thailand. โอบาม่าประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริ กาได้มาเยือน
ประเทศไทย
Smai, my friend, can’t go to school as usual. สมัยเพื่อนของฉันไม่สามารถไปเรี ยนหนังสือได้ตามปกติ
Our country, Thailand, is the land of peace. ประเทศของเราคือประเทศไทยเป็ นดินแดนแห่งสันติสุข
(president, friend และ Thailand เป็ นคานามทั้งนั้น แต่ในที่น้ ีนามาใช้ทาหน้าที่ซอนนามที่อยูขางหน้า
้ ่ ้
คือ Obama , Smai และ country)
18. ข. ซ้อนในส่วนเป็ นเป็ นกรรมของกริ ยาในประโยค (Noun in Objective apposition) ให้วางไว้หลังกรรมตัวนั้น
เช่น :
We admire our teacher,Mr.Jackson. เรายกย่องครู ของเรา มิสเตอร์แจ็คสัน
Now I am reading EnglishleraningThailand.com,my website. ตอนนี้ฉนกาลังอ่านข้อมูล
ั
ใน EnglishleraningThailand.com เว็บไซต์ของฉัน
Do you want to see Samran, the writer of this book? คุณต้องการพบสาราญผูเ้ ขียนหนังสือเล่มนี้ไหม?
(Mr.Jackson,website และ writer ทั้ง 3 คาเป็ นนาม แต่ในที่น้ ีนามาใช้ทาหน้าที่เป็ นนามซ้อนตัวกรรมที่อยู่
ข้างหน้า ได้แก่คาว่า teacher, EnglishleraningThailand.com และ Samran)
7) ทาหน้ าที่เป็ นนามเรียกขาน (An Address) ในประโยคได้ (บางตาราเรี ยกว่าเป็ นนามเรี ยกชื่อ (Vocative) ก็ม)
ี
เช่น :-
Robert, please close the door. โรเบิร์ต กรุ ณาปิ ดประตูหน่อยครับ
You are right, Jimy, คุณถูกแล้วล่ะจิมมี
Teacher, explain it slowly. ครู ครับ อธิบายช้าๆหน่อย
Is it true, Jim, that he will come tomorrow? จริ งหรื อจิมที่เขาจะมาวันหรุ่ งนี้?
(Robert, Jimy, Teacher และ Jim ทั้งหมดเป็ นนาม แต่ในประโยคเหล่านี้ นามาใช้ทาหน้าที่เป็ นนามเรี ยกขาน)
ข้ อสั งเกต : นามที่ทาหน้าที่เป็ นนามเรี ยกขาน จะวางไว้ตรงไหนของประโยคก็ได้ ต้น กลาง ท้าย และให้สงเกต
ั
การใช้เครื่ องหมาย Comma (,) กับนามที่ทาหน้าเรี ยกขานไว้ให้แม่นยาด้วยสาหรับการวางแต่ละอย่าง
8 ) ทาหน้ าที่แสดงความเป็ นเจ้าของ (Possessive Case) ของนามทัวไปได้ ทั้งนี้โดยอาศัยเครื่ องหมาย
่
Apostrophe’s ทุกครั้ง เพื่อเชื่อมความเป็ นเจ้าของ เช่น :-
The teacher’s table is standing in the front of the class. โต๊ะของคุณครู ต้งอยูหน้าชั้น
ั ่
This is the lady’s handbag which is very dear. นี่คือกระเป๋ าถือของสุภาพสตรี ซ่ึงมีราคาแพงมาก
Do you know my principal’s house? คุณรู้จกบ้านอาจารย์ใหญของผมไหม?
ั
(teacher’s, lady’s และ principal’s เป็ นนาม แต่ในทั้ง 3 ประโยคนี้ นามาใช้เป็ นนามแสดงความเป็ นเจ้าของ ของ
อะไร? ก็ของนามที่ตามหลังนันเองครับ)
่
19. ข้ อสังเกต : นามที่ทาหน้าที่แสดงความเป็ นเจ้าของของนามใด ให้วางไว้หน้านามตัวนั้นทุกครั้งไป
9) ทาหน้ าที่เป็ นคุณศัพท์ (Adjectival Noun) ประกอบนามด้วยกันได้ โดยวางไว้หน้านามนั้น เช่น :-
The football match for today is very interesting. การแข่งขันฟุตบอลสาหรับวันนี้น่าสนใจมาก
Sompong is waiting for you at the bus stop. สงพงษ์กาลังรอคุณอยูที่ที่หยุดรถประจาทาง
่
There is my relative living in New York city. มีญาติของฉันคนหนึ่งอาศัยอยูที่เมืองนิวยอร์ค
่
(football, bus และ New York เป็ นคานาม แต่ในประโยคทั้ง 3 นี้ ทาหน้าที่ขยายนามหรื อเป็ นคุณศัพท์ของนาม
match (การแข่งขัน) stop (หยุด,ที่จอด) และ city (เมือง) ที่ตามหลัง)
ข้ อสังเกต : นามที่ทาหน้าที่เป็ นคุณศัพท์ประกอบนามกับนามใด ให้เรี ยงไว้หน้านามนั้น
10) ทาหน้ าที่เป็ นกรรมซึ่งมีลกษณะและความหมายเดียวกันกับกริยาที่อยู่ข้างหน้ า(Cognate Object) เช่น :-
ั
Dr.Boonsanong died an accident death. ดร.บุญสนองตายเพราะอุบติเหตุ
ั
Mali dreamt a good dream last night. เมื่อคืนนี้มะลิฝันดี
She smiled a sweet smile. หล่อนยิมหวาน
้
These boys laughed a merry laugh. เด็กเหล่านี้หวเราะอย่างมีความสุข
ั
They ran a lively race. เขาวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนาน
Mary sleft the sleep of the just. แม่รี่หลับฝันถึงความยุติธรรม
(คาว่า death, dream, smile, laugh, race และ sleep ในประโยคเหล่านี้เป็ นนาม คืออาการนาม (Abstract Noun)
แต่นามาใช้เป็ นกรรมของกริ ยาที่มีลกษณะและความหมายเดียวกัน)
ั
11) ทาหน้ าที่เป็ นประธานอิสระของกลุ่มคาที่เป็ นส่ วนของกริยาวลี (Absolute Subject of Participial
Phrase) แล้วไปทาหน้าที่ขยาย Subject ในประโยค Main Clause อีกทีหนึ่ง เช่น :-
Dinner being over, we all sat and talked. เมื่อ(ทาน)อาหารมื้อเย็นเสร็ จแล้ว พวกเราทุกคนก็นงคุยกัน
ั่
(Dinner เป็ นประธานอิสระของกลุ่มคา being ever และ Dinner being over ไปขยาย we ในประโยค Main
Clause)
20. Uthai having been elected the chairman of the parliment, I am sure the meeting will have outstanding
results. เมื่ออุทยได้รับคัดเลือกเป็ นประธานรัฐสภา ผมก็แน่ใจได้วา การประชุมจะมีผลเป็ นที่ น่าพอใจ (ดีเด่น
ั ่
ขึ้น)
(Uthai เป็ นคานาม นามาใช้เป็ นประธานอิสระ (Absolute Subject) ของกลุ่มคา Participle Phrase)
The sun having set, the farmers walked home. เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ชาวนาทั้งหลายก็กลับบ้าน
(sun เป็ นคานามนามาใช้เป็ นประธานอิสระ ของกลุ่มคา Participle Phrase)
อืม!!! เกือบลืมบอกเพื่อนๆนะครับว่าตัวประธานของประโยค Main Clause กับประธานอิสระ (Absolute
Subject) ของกลุ่มคา Participle Phrase นั้นต้องเป็ นคนละคนกัน และคาที่จะมาทาหน้าที่เป็ นประธานอิสระนั้น
เป็ นสรรพนาม (Pronoun) ก็ได้ ไม่จาเป็ นต้องเป็ นแต่นามอย่างเดียวครับ เช่น :-
He having finished his work, we left the office together. เมื่อเขาทางานเสร็ จแล้ว เราก็ออกจากสานักงานไป
ด้วยกัน เป็ นต้น