Testing how to upload file....

1. โครงสร้า งภาษาอัง กฤษ
PARTS OF SPEECH

2. จุด มุ่ง หมาในการเรีย นรู้
 นักเรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจ
โครงสร้างทางภาษาอังกฤษได้
 นักเรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษที่มี
โครงสร้างทางภาษาที่ยากขึ้นได้
 นักเรียนสามารถใช้ทักษะภาษาอังกฤษทั้งสี่
ด้านมาใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำาวัน
ได้
 นักเรียนสามารถนำาภาษาอังกฤษไป
ประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคต
ได้

3. OUTLINE OF ENGLISH
 Pre-test
– Pre-test
Section A: Parts of speech
Directions: Choose the types of parts of speech in the box, and write A, B, C,
D, E, F, G or H on the line at the left.
A. Noun B. Pronoun
C. Adjective D. Adverb
E. Verb F. Preposition
G. Conjunction H. Interjection

4. 1. ___________________ because  11. __________________ fortunately
2. ___________________ teacher  12. __________________ happy
3. ___________________ summer  13. __________________ sometimes
4. ___________________ oh  14. __________________ still
5. ___________________ forgive  15. __________________ statistics
6. ___________________ slowly  16. __________________ hippopotamus
7. ___________________ behold  17. __________________ themselves
8. ___________________ lovely  18. __________________ outdo
9. ___________________ near  19. __________________ cheerful
10. __________________ beautiful  20. __________________ improvement
Section B: Tenses
Directions: Choose the verb form in the brackets. Write it in the space at the
right.
1. I (do, did) my homework last night. _________________
2. Susan (gives, gave) me a money yesterday. _________________
3. They (don’t, doesn’t) have dinner yesterday. _________________
4. (Did, Does) she see a movie last week? _________________
5. Did you add flour, pour in the milk, and then (add, added) _________________
the eggs?

5. 6. Suda (were studying, was studying) when her sister called. _________________
7. Last night at 6 p.m., Somchai (is eating, was eating) dinner. _________________
8. I (like, likes) to listen to the radio. _________________
9. We (were waiting, are waiting) for Sam when we got off _________________
the plane.
10. I (was, were) at my house when you arrived. _________________
Directions: Put the given verbs in the brackets in the right form.
1. I (watch) ____________ TV when she called.
2. While he (visit) ____________ the websites, the computer suddenly went off.
3. Last month, we (not, travel) ____________ to Canada.
4. They (study) ____________ Korea for four years.
5. We (drink) ____________ milk every morning.
6. While I was eating, my sister (talk) ____________ to her friends.
7. I (not, like) ____________ reading magazines.
8. He (go) ____________ to the market yesterday.
9. He answered my question when I (pay) ____________ his one dollar
10. _________ (Do, Did) Thomas repair the car last Sunday?

6. PARTS OF SPEECH
NOUN
Noun (Kind)
คำา นาม (noun) คือ คำาทีใช้เรียกคน สัตว์ สถานที่ และสิ่งของ ทั้งทีมีรูปร่างและไม่มรูปร่าง รวม
่ ่ ี
ถึงคุณสมบัติ การกระทำา ความคิด และ
ความรู้สก ยกตัวอย่างเช่น
ึ
 คน (person) man, woman, boy, girl, George, William
 สัตว์ (animal) snake, dog, cat
 สิงของ (thing) ทังทีมีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง รวมถึงคุณสมบัติ การกระทำา ความคิด และความ
่ ้ ่
รู้สก เช่น pen, book, water, air, redness, humanity, arrival, departure, idea
ึ
ชนิด ของคำา นาม แบ่ง ตามการนับ และการใช้
ชนิด ของคำา นามแบ่ง ตามการนับ ได้ 2 ชนิด
Count Noun หรือ Countable Noun คือ นามทีสามารถแยกนับเป็นจำานวนหนึ่ง สอง สาม …
่
ได้ ไม่ว่าจะมีตวตนหรือไม่มี
ั
ตัวตนก็ตาม เช่น
 นามทีมีตวตน – chair, table, mango, city
่ ั
 นามทีไม่มีตวตน – day, month, year, feeling
่ ั
Non – Count Noun หรือ Uncountable Noun คือ นามที่ไม่สามารถแยกนับเป็นจำานวนหนึ่ง
สอง สาม … ได้ เนื่องจากไม่มีตัวตน หรือมีตัวตนแต่ก็ไม่อาจแยกนับได้ หรือไม่นิยมที่จะนับ
เช่น
 นามไม่มีตวตน – happiness, sadness, sorrow
ั
 นามทีมีตวตน (มีตวตนแต่นับไม่ได้) - water, air, blood, oil
่ ั ั

7. PARTS OF SPEECH
NOUN
ชนิด ของคำา นามแบ่ง ตามการใช้ มี 4 ชนิด ได้แ ก่
 Common Noun (สามานยนาม) นามทั่วไป
 Proper Noun (วิสามานยนาม) นามเฉพาะ
 Collective Noun (สมุหนาม) นามแสดงกลุ่ม
 Abstract Noun (อาการนาม) นามบอกอาการ
Noun (Number)
Number หมายถึง จำานวน หรือ พจน์ คำานามที่มหนึ่งพจน์ เรียกว่า “singular
ี
number” และคำานามที่มพจน์มากกว่าหนึ่ง เรียกว่า
ี
“plural number” ยกตัวอย่างเช่น
Singular Plural
pen pens
photo photos
boy boys
student students
man men

8. PARTS OF SPEECH
NOUN
 การทำาคำานามให้อยู่ในรูปพหูพจน์ (Plural Form) มีกฎเกณฑ์ดังนี้
1. โดยปกติค ำา นามนับ ได้ มีร ูป พหูพ จน์โ ดยการเติม s เช่น
Singular Plural
pen pens
photo photos
รูปคำานามพหูพจน์ทเกิดจากการเติม s เรียกว่า “พหูพ จน์ป กติ” (regular plurals)
ี่
รูปคำานามพหูพจน์อื่นๆทีนอกเหนือจากการเติม s เรียกว่า“พหูพ จน์อ ปกติ”
่
(irregular plurals) ซึงมีหลายกฎเกณฑ์ ดังนี้
่
1. คำา นามที่ล งท้า ยด้ว ย s, ss, sh, ch, x, z ให้เ ติม es เช่น
Singular Plural
glass glasses
brush brushes

9. PARTS OF SPEECH
NOUN
2. คำา นามที่ล งท้า ยด้ว ย o และหน้า o เป็น พยัญ ชนะ (consonant) ให้เ ติม
es เช่น
Singular Plural
hero heroes
mango mangoes
3. คำา นามที่ล งท้า ยด้ว ย o ถ้า หน้า o เป็น สระ (vowels) ให้เ ติม s เท่า นั้น
Singular Plural
bamboo bamboos
studio studios
 ยกเว้น คำา ต่อ ไปนี้ แม้ข ้า งหน้า o จะเป็น พยัญ ชนะก็ค งเติม เพีย ง s
Singular Plural
banjo banjos
bronco broncos
 คำา ต่อ ไปนี้จ ะเติม s หรือ es ก็ไ ด้ ได้ร ับ ความนิย มทั้ง สองแบบ
Singular Plural
buffalo buffaloes, buffalos
cargo cargoes, cargos

10. PARTS OF SPEECH
NOUN
4. คำา นามที่ล งท้า ยด้ว ย y และหน้า y เป็น พยัญ ชนะ ให้เ ปลี่ย น y เป็น i
แล้ว เติม es
Singular Plural
duty duties
lady ladies
แต่ถ ้า หน้า y เป็น สระเติม เพีย ง s
Singular Plural
day days
key keys
5. คำา นามที่ล งท้า ยด้ว ย f หรือ fe ให้เ ปลี่ย น f หรือ fe เป็น v แล้ว เติม es
Singular Plural
wife wives
knife knives
ยกเว้น คำา ต่อ ไปนี้ใ ห้เ ติม เพีย ง s
Singular Plural
chief chiefs
dwarf dwarfs

11. PARTS OF SPEECH
NOUN
6. คำา นามต่อ ไปนี้ท ำา เป็น พหูพ จน์โ ดยการเปลี่ย นสระภายใน
Singular Plural
man men
woman women
7. คำา นามต่อ ไปนี้เ มื่อ เป็น พหูพ จน์จ ะลงท้า ยด้ว ย en หรือ ne
Singular Plural
ox oxen
child children
8. คำา ต่อ ไปนี้ม ีร ูป พหูพ จน์เ หมือ นรูป เอกพจน์
Singular Plural
fish fish
deer deer
9. คำา นามต่อ ไปนี้ม ีร ูป เป็น พหูพ จน์ แต่ใ ช้เ หมือ นรูป เอกพจน์เ สมอ
Singular Plural
teens teens
news news

12. PARTS OF SPEECH
NOUN
10. คำา นามต่อ ไปนี้ม ีร ูป เป็น พหูพ จน์ และใช้ใ นความหมายพหูพ จน์ด ้ว ย
trousers shorts
pants arms
Noun (Gender)
คำานามทุกคำาในภาษาอังกฤษมี Gender อย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 ประเภทต่อไปนี้
 Masculine Gender such as boy, father, cock
 Feminine Gender such as girl, mother, hen
 Common Gender such as child, children, chicken, parents
 Neuter Gender such as water, chair, happiness

13. PARTS OF SPEECH
NOUN
Masculine – Feminine
การแสดงเพศชายและเพศหญิง อาจสรุปเป็นกฎ Masculine Feminine Rules
(MF - Rules) ได้ดังนี้
 MF – Rule 1 ทำาเพศชายให้เป็นเพศหญิงโดยเปลี่ยนเป็นคำาใหม่
Masculine Feminine
bachelor maid, spinster
boar sow
 MF – Rule 2 แสดงเพศโดยการเพิ่มคำาข้างหน้าหรือข้างหลังคำานาม
Masculine Feminine
bull-elephant cow-elephant
cock-sparrow hen-sparrow
 MF – Rule 3 แสดงเพศหญิงโดยการเติม ess ด้านหลังคำานามเพศชาย
Masculine Feminine
author authoress
giant giantess

14. PARTS OF SPEECH
NOUN
 MF – Rule 4 คำาทีลงท้ายด้วย er หรือ or เมื่อเติม ess ให้ตัด o หรือ e ออก
่
Masculine Feminine
actor actress
conductor conductress
 MF – Rule 5 คำาต่อไปนี้เป็นคำาพิเศษ ไม่ใช่คำาภาษาอังกฤษแท้ และมีวิธีแสดง
เพศท
แตกต่างกัน
Masculine Feminine
hero heroine
bridegroom bride
Common Gender
คำาเพศรวม คือคำาซึงอาจจะใช้เป็นเพศหญิงหรือเพศชายก็ได้ หรืออาจใช้รวมทังสอง
่ ้
เพศก็ได้
คำา ต่อ ไปนี้เ ป็น Common Gender
friend journalist
cousin lawyer

15. PARTS OF SPEECH
NOUN
 คำา ต่อ ไปนี้ใ ช้เ ฉพาะกับ เพศหญิง (feminine)
blonde, blond
dowager
 คำา นามที่เ กิด จากการเติม er, or, an ที่ค ำา กริย า ตามปกติเ ป็น เพศรวม
เสมอ เช่น
buyer caretaker
seller scholar
 คำา ต่อ ไปนี้ท างไวยากรณ์ถ ือ เป็น เพศหนึ่ง โดยเฉพาะ แต่ท างปฏิบ ัต ิ
ใช้เ ป็น เพศรวม
ส่ว นมากใช้ก ับ สัต ว์ (animal)
dog goose
horse fish
 คำา เพศรวมบางคำา แสดงเพศชายหญิง โดยการเติม male หรือ female
male relative female relative
male friend female friend

16. PARTS OF SPEECH
NOUN
Neuter Gender (Personification)
Neuter Gender หมายถึง สิ่งทีไม่มเพศ ได้แก่ วัตถุ สิ่งของต่างๆ ซึ่งรวมถึงนามที่
่ ี
ไม่มีรูป (abstract) เมือยกคำา
่
เหล่านี้มากล่าวคล้ายกับว่าคำานามนั้นเป็นบุคคล (ซึงเรียกว่า personify) คำานามที่
่
ถูกใช้อย่างบุคคล (personified) นั้นๆ
จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึนมา และมีเพศได้เช่นเดียวกับคนหรือสัตว์
้
Masculine คำาซึงเมือ personified แล้ว ถือว่าเป็นเพศชาย ได้แก่คำาซึงมีลักษณะ
่ ่ ่
แข็งแรง ดุดัน เช่น
Sun War
Wind Death
Winter Fear
Feminine คำาซึงเมือ personified แล้ว ถือว่าเป็นเพศหญิง ได้แก่คำาซึงมีลักษณะ
่ ่ ่
สวยงาม อ่อนโยน สมบูรณ์ เช่น
Hope Charity
Mercy Jealousy

17. PARTS OF SPEECH
NOUN
Noun (Case)
Case (กรณี) คือการบอกหน้าที่ (function) ของคำานาม (noun) หรือคำาเสมอนาม
(noun-equivalent) ทีใช้ในแต่ละ
่
ประโยค แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่
 Subjective Case (Nominative Case)
คำานามหรือคำาเสมอนามจะอยูใน Subjective Case เมือทำาหน้าที่เป็น
่ ่
Subject of Verb ประธานของกริย า เช่น
 Time flies
 Thompson was sixty years old.
Subject Absolute (Absolute Subject) – ประธานอภิบ ูร ณ์ห รือ ประธาน
ลอย (คำา ที่ใ ช้ค ล้า ยกับ เป็น ประธาน
แต่ไ ม่ใ ช่ เพราะไม่ม ีก ริย าแท้ เช่น
 We left the house, my brother having finishing his work.
 We arranged to share the money; my sister to have two-thirds.

18. PARTS OF SPEECH
NOUN
Subjective Complement (ส่ว นเติม เต็ม ของประธาน ) เช่น
 She is my sister.
 He was called Henry.
Subjective Appositive – ประธานซ้อ น ซึ่ง คือ คำา ที่แ ทรกเข้า ไปขยายความให้
คำา นามที่อ ยู่ข ้า งหน้า ได้ค วามชัด เจนยิ่ง ขึ้น เช่น
 Mr. Antony, my uncle, will return tomorrow.
 That is my friend, Robert.
Addressive (Vocative) – คำา เรีย ก คือ คำา ที่ใ ช้ร ้อ งเรีย กเพื่อ ทัก ทาย หรือ กล่า ว
ชื่อ ออกมาลอยๆ เช่น
 What time is it, Jane?
 Susan, come indoors at once!
 Objective Case (Accusative Case)
คำาที่อยู่ใน Objective Case คือคำาที่ทำาหน้าที่เป็นกรรม มี 5 กรณี คือ
Object of Verb – กรณีเ ป็น กรรมของกริย า ซึ่ง กรรมถูก แบ่ง ออกเป็น 2
ประเภท คือ กรรมตรง (Direct Object)
และ กรรมรอง (Indirect Object) เช่น
 Anderson answers my question. (Direct Object)
 He gave me a book. (Indirect Object)

19. PARTS OF SPEECH
NOUN
Object of Preposition – กรณีเ ป็น กรรมของบุพ บท (คำา ที่อ ยู่ห ลัง บุพ บท เรีย ก
ว่า เป็น กรรมของบุพ บท ซึ่ง วางอยู่ห ลัง บุพ บท
เหล่า นี้ เช่น of, in on, under, with, to, into เป็น ต้น ตัว อย่า งการใช้ค ือ
 Don’t stand with your hands in your pockets.
 My friends sit in the living room.
Objective Complement – คำา ที่เ ติม ข้า งท้า ยกรรมเพื่อ ประกอบกรรมให้ไ ด้
ความที่ส มบูร ณ์ เช่น
 They made him king.
 We elected him president.
Objective of Appositive – คำา ที่ข ยายความคำา นามหรือ สรรพนามที่อ ยู่ด ้า นหน้า
ซึ่ง ทำา หน้า ที่เ ป็น กรรมของประโยค เช่น
 We met Mr. Jones, the tailor.
 I visited Mary, my friend.
Objective Adverbial – คำา หรือ วลีท ี่ท ำา หน้า ที่ค ล้า ยคำา กริย าวิเ ศษณ์
(Adverb) เพื่อ ขยายคำา อื่น ๆในประโยค เพื่อ บอกเวลา ระยะทาง สถานที่ ราคา
ลัก ษณะอาการ การ
เปรีย บเทีย บ และอื่น ๆ เช่น
 Time : I have been here ten minutes.

20. PARTS OF SPEECH
NOUN
Possessive Case (Genitive Case)
คำาทีจัดเข้าอยู่ใน Possessive Case (กรณีเป็นเจ้าของ) คือคำาทีแสดงความเป็นเจ้าของ
่ ่
โดยมีเครื่องหมาย ’ s ติดอยู่กบคำานาม เช่น
ั
 He wanted Mr. Harry’s hat.
 Dang’s book is in my bag.
มี of อยูหน้าคำานาม เมือ of แปลว่า “ ของ”
่ ่
 ตามปกติการแสดงความเป็นเจ้าของจะอยูในรูป ’s เช่น Susan’s pen, Elizabeth’s bag
่
แต่ถ้าเจ้าของเป็นสิ่งไม่มชีวิต จะใช้ of แทน เช่น
ี
 the legs of the table
 the top of the house
Emphatic Possessive
 เมือต้องการ เน้น การเป็น เจ้า ของ นิยมเติม own (เอง) มี 2 วิธี เช่น
่
 I have my own car. = I have a car of my own.
 We have our own cars. = We have cars of our own.

21. EXERCISE
Section A: Countable Nouns and Uncountable Nouns
Directions: Identify which of the following words are countable nouns and which are
Uncountable nouns. Write NC or NU on the line at the left.
(NC= Countable Nouns and NU= Uncountable Nouns)
____________ 1. cotton _____________ 11. failure
____________ 2. brick _____________ 12. humanism
____________ 3. lion _____________ 13. rubber
____________ 4. epigram _____________ 14. coffee
____________ 5. pork _____________ 15. cheese
____________ 6. car _____________ 16. salt
____________ 7. uranium _____________ 17. helmet
____________ 8. nursery _____________ 18. goodness
____________ 9. knee _____________ 19. egg
____________ 10. butter _____________ 20. sugar

22. EXERCISE
Section B: Collective Nouns
Directions: Write collective nouns from the given words in the blanks.
1. นำ้า ตาล 8 ก้อ น (lump/sugar)
__________________________________________________
2. ส้ม 10 กิโ ล (kilo/orange)
____________________________________________________
3. ชา 3 ถ้ว ย (cup/coffee)
______________________________________________________
4. นำ้า 5 ขวด (bottle/water)
_____________________________________________________
5. นม 6 แก้ว (glass/milk)
______________________________________________________
6. ดิน สอ 10 กล่อ ง (box/pencil) ____________________­
______________________________
7. มะม่ว ง 9 ตะกร้า (basket/mango)
_______________________________________________
8. ข้า ว 9 กระสอบ (sack/rice)
____________________________________________________
9. ขนมเค้ก 2 ชิ้น (piece/cake)
___________________________________________________

23. PARTS OF SPEECH
PRONOUN
Pronoun (คำา สรรพนาม) คือคำาที่ใช้แทนคำานาม (noun) หรือคำาเสมอนาม (noun-
equivalent) เพื่อหลีกเลี่ยง
การกล่าวซำ้าของคำานาม หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง หรือแทน
สิ่งที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร เช่น
ใช้แ ทนสิง เดีย วกัน เพือ หลีก เลี่ย งการกล่า วซำ้า
่ ่
 Ladda is a girl. Ladda is my sister. Ladda is sixteen. Ladda is a good student.
ใช้สรรพนาม she แทน Ladda เป็น
 Ladda is a girl. She is my sister. She is sixteen. She is a good student.
ใช้แ ทนสิง ที่ร ก ัน อยูแ ล้ว ระหว่า งผูพ ูด และผู้ฟ ัง ว่า เป็น อะไร จึง ไม่
่ ู้ ่ ้
จำา เป็น ต้อ งเอ่ย ถึง
 This is good for me.
 Do you want all?
ใช้แ ทนสิ่ง ที่ย ง ไม่ร ู้ หรือ ไม่แ น่ใ จว่า เป็น อะไรหรือ ใคร
ั
 Someone is knocking at the door.
 Do you want anything?

24. PARTS OF SPEECH
PRONOUN
Kinds of Pronoun
คำาสรรพนาม (pronoun) ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 7 ประเภท คือ
 Personal Pronoun
Personal Pronoun คือ คำาสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของ ซึ่งใช้แทนตัวผู้
พูด(บุคคลทีหนึ่ง) ผู้ทพูดด้วย (บุคคลทีสอง)
่ ี่ ่
และผู้ทถูกกล่าวถึง (บุคคลทีสาม)
ี่ ่
First Person (บุคคลที่หนึ่ง) ได้แก่สรรพนามแทนตัวผูพูด คือ I, we
้
Second Person (บุคคลทีสอง) ได้แก่สรรพนามแทนตัวผู้ที่พดด้วย(ผู้ฟัง) คือ you
่ ู
Third Person (บุคคลทีสาม) ได้แก่สรรพนามแทนผู้ที่พดถึง หรือสิ่งทีกล่าวถึง คือ he,
่ ู
she, it, they
 Possessive Pronoun
Possessive Pronoun คือ คำาสรรพนามที่ใช้แทนคำานามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ได้แก่ คำาต่อไปนี้
mine yours ours theirs his hers its
ตัว อย่า งประโยคที่ใ ช้ส รรพนามแสดงความเป็น เจ้า ของ
 I don’t want your pens, mine are sufficient.

25. PARTS OF SPEECH
PRONOUN
 Reflexive Pronoun
Reflexive Pronoun คือ คำาสรรพนามที่สะท้อนตนเองหรือแสดงการเน้นยำ้าให้เห็นเด่นชัด มัก
นิยมเรียกว่า self-form of pronoun
ได้แก่คำาต่อไปนี้
myself yourself ourselves themselves himself herself itself
โดยปกติ –self ถูกใช้เพื่อ
แสดงการกระทำา ต่อ ตนเอง (Reflexive Use) เช่น
 He saw himself.
 You are not yourself today.
แสดงการเน้น (Emphatic Use) เช่น
 I myself did it.
 She herself bought it.
นอกจากนี้ self-form of pronoun ถูกใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “โดยลำา พัง ” (alone, without
help) ด้วยการเติม by –self
เช่น
 They wrote the report by themselves.
 The little girl can walk by herself.

26. PARTS OF SPEECH
PRONOUN
 Definite Pronoun
Definite Pronoun หรือ Demonstrative Pronoun คือ คำาสรรพนามทีใช้แทนคน สัตว์ หรือสิ่งต่างๆ ที่
่
ต้องการชี้ให้เห็นเด่นชัด เช่น
this that these those one such the former the latter
 Give me those, I don’t want these.
 Mary and Julie are good girls. The former is a bit more beautiful than the latter.
 Indefinite Pronoun
Indefinite Pronoun คือ คำาสรรพนามไม่เฉพาะเจาะจงใช้แทนคำานามทัวไปโดยไม่เจาะจงว่าเป็นอัน
่
นั้นอันนี้ คนนั้นคนนี้ เช่น
everyone everybody everything all someone somebody
something any anyone anybody anything either
no one nobody nothing much one some none
another
 Everyone loves somebody.
 He didn’t say anything.

27. PARTS OF SPEECH
PRONOUN
 Interrogative Pronoun
Interrogative Pronoun คือ สรรพนามคำาถามทีใช้แทนคำานามในการแสดงคำาถาม ได้แก่
่
Who? What? Which? Whom? Where? When?
 What do you do in the morning?
 Whom did you see at the shop?
 Relative Pronoun
Relative Pronoun คือ คำาสรรพนามที่ใช้แทนคำานามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า
ซึ่งทำาหน้าทีเชื่อมประโยคทังสองเข้าเป็นประโยค
่ ้
เดียวกัน
Relative Pronoun ได้แ ก่ค ำา ต่อ ไปนี้
who whom what which whose of which that
 The woman who understands me best is my mother.
 The man that spoke to you is my teacher.

28. EXERCISE
Directions: Write personal pronoun to replace a noun as a subject
in each sentence.
The students have gone home. _____________________________
The doctor arrived in time. ________________________________
A book is on the table. ____________________________________
This plane travels faster than sound. ________________________
Susan has a great deal of experience. _______________________
Most women admire beauty. _______________________________
Coffee is not good for health. ______________________________
Both you and I have passed two difficulties so far. _____________
A piece of cake looks delicious. ____________________________
Bangkok is the Venice of the East. _________________________
Antony is writing a letter. _________________________________
David is my friend. ______________________________________
Jenifer gave the boy a few coppers. _________________________
My brother has an evening paper. __________________________
Cocoa is very hot. _______________________________________

29. EXERCISE
Directions: Choose relative pronoun below and write it on the line.
who that whom what
The girl ____________ is talking to Nancy is my friend.
The students ______________ you punished yesterday are delinquents.
Tell us ____________ you mean.
The pen ___________ is on the table is mine.
______________ is good for you is to tell the truth.
The man ______________ is drinking milk is a good student.
The woman servant _______________ Jiffy talks to is very beautiful.
The photos ______________ are in your room belong to me.
The baby _______________ sits near Mary is very lovely.
_____________ you should do now is to read textbooks.

30. WEEK 3: PARTS OF SPEECH
ADJECTIVE
Adjective
Adjective (คำาคุณศัพท์) คือ คำาทีใช้ประกอบหรือขยายคำานาม เพื่ออธิบายคุณสมบัติ
่
สภาพ หรือบอกรายละเอียดให้ได้ความชัดเจน
ยิ่งขึน
้
Adjective มีรูปแบบการใช้อยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
ใช้ป ระกอบหน้า คำา นาม (Attributive Use)
 That is a good idea.
 Henry is an honest, hardworking boy.
 Dang has just bought a new, powerful, and very expensive car.
ใช้เ ป็น ส่ว นของกริย า (Predicative Use)
 That idea is good.
 Henry is honest and hardworking.
 I thought him very intelligent.

31. PARTS OF SPEECH
ADJECTIVE
Kinds of Adjective
คำาคุณศัพท์ (adjective) แบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท คือ
 Proper Adjective
Proper Adjective คือ คำาคุณศัพท์เฉพาะทีสร้างมาจากคำานามเฉพาะ (Proper
่
Noun) เพื่อบอกสัญชาติและภาษา เช่น
Proper Noun Proper Adjective
England English
America American
 Possessive Adjective
 Possessive Adjective คือ คำาคุณศัพท์แสดงเจ้าของ ใช้ประกอบหน้าคำานาม เช่น
my book, your friend, their house

32. PARTS OF SPEECH
ADJECTIVE
 Interrogative Adjective
Interrogative Adjective คือ คำาคุณศัพท์แสดงคำาถามโดยวางไว้ขางหน้าคำานาม ถ้าเมือใดใช้ลอยๆ
้ ่
ตัวเดียวแทนคำานาม จะเป็นสรรพนามแสดงคำาถาม (Interrogative Pronoun) เช่น
 What : What language does he speak? (Interrogative Adjective)
 What do you want? (Interrogative Pronoun)
 Descriptive Adjective
 Descriptive Adjective คือ คำาคุณศัพท์บรรยายทีใช้ขยายคำานามให้ได้ใจความชัดเจนยิ่งขึน
่ ้
เป็นการบ่งให้รู้ถึงคุณลักษณะ ความสำาคัญ คุณภาพ ความพิเศษ ความสวยงาม ขนาด สี อายุ
และอืนๆ คำาคุณศัพท์สวนใหญ่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทนี้ ตัวอย่างเช่น
่ ่
ancient modern
active passive
 Definite Adjective
Definite Adjective คือ คำาคุณศัพท์ทแสดงการชี้เฉพาะ และบอกความแน่นอนถึงคำานามทีมน
ี่ ่ ั
ประกอบ รวมทังการบอกจำานวนนับหรือลำาดับที่ดวย
้ ้
เช่น the this these that those such the same the other
 He is the man who came yesterday.
 She is the same woman.

33. PARTS OF SPEECH
ADJECTIVE
 Indefinite Adjective
Indefinite Adjective คือ คำาคุณศัพท์ทไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ระบุแน่ชัดว่าเป็นคนไหน สิ่ง
ี่
ไหน เป็นการบอกอย่างกว้างๆ ตัวอย่างของ
คำาคุณศัพท์ทไม่เฉพาะเจาะจงคือ
ี่
a, an, any, one, certain, some, other, another, much, many, little, few, all, no, whole,
enough, half, sufficient
 There is a man at the door asking to see you.
 I shall be rich some day.
 Few people came because it rained a lot.
 He bought some cards.

34. EXERCISE
Directions: Write proper adjectives from proper noun to identify nationalities.
Proper Noun Proper Adjective
Laos
Australia
Burma
Yemen
Singapore
Sweden
Brazil
Denmark
Taiwan
Botswana
Iraq

35. EXERCISE
Proper Noun Proper Adjective
Algeria
Peru
Ukraine
Russia
Slovenia
Norway
Kuwait
Portugal
Estonia

36. EXERCISEDirections: Write descriptive adjectives to modify nouns below.
________________________ boy
________________________ house
________________________ teacher
________________________ people
________________________ man
________________________ meal
________________________ speech
________________________ princess
________________________ actor
________________________ manner
________________________ elephant
________________________ student
________________________ friend
________________________ scarf
________________________ cake
________________________ wife
________________________ lion
________________________ lemonade
________________________ girl
________________________ information

37. WEEK 3:PARTS OF SPEECH
VERB
Verb (คำากริยา) คือคำาบอกอาการหรือการกระทำา ความมีอยู่หรือเป็นอยู่ รวมไปถึง
สภาวะความเป็นอยู่
Action Being State of
Birds fly. He is a boy. She seemed tired.
They are laughing. There is ice on Mars. This cake tastes good.
He has gone. I have a dog. Dogs can think.

38. PARTS OF SPEECH
VERB
 Verb Property
คำากริยาในแต่ละประโยค (ไม่ว่าจะเป็นกริยาตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มกริยา) จะแสดง
ลักษณะหรือคุณสมบัติ 3 ประการ ได้แก่
 แสดง mood (อารมณ์การพูด - มาลา)
 แสดง tense (เวลา - กาลภาวะ)
 แสดง voice (วิธีพด - วาจก)
ู
Mood (อารมณ์ก ารพูด - มาลา)
 Mood มาลา หรือ ลักษณะอารมณ์ในการพูด คือ คุณสมบัติของกริยาทีบ่งบอกสภาพ
่
ความรู้สึกในจิตใจของผู้พดว่าการกระทำานั้นเป็นความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง
ู
แสดงความปรารถนาหรือคำาสั่ง คำาขอร้อง มาลา (Mood) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
 Indicative Mood (แสดงความจริง )
กริยาทีอยู่ใน Indicative Mood ได้แก่ กริยาของประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และ
่
ประโยคคำาถาม เช่น
 The weather is hot.
 I don’t like him.

39. PARTS OF SPEECH
VERB
 Imperative Mood (แสดงคำา สั่ง )
กริยาที่อยู่ใน Imperative Mood ได้แก่ กริยาที่สั่งหรือขอร้องในประโยคคำาสั่งหรือ
คำาขอร้อง ประธาน (subject)
ของกริยาในประโยคคำาสั่งหรือขอร้อง ได้แก่ You ซึ่งถูกละไว้
 Come here.
 Let’s go out.
 Subjunctive Mood (แสดงความไม่จ ริง )
กริยาที่อยู่ใน Subjunctive Mood ได้แก่ กริยาที่แสดงความปรารถนา ซึ่งยังไม่เป็น
ความจริง หรือแสดงการสมมุติที่ตรง
ข้ามกับความจริง
แสดงความปรารถนา (wish, desire, purpose)
 God save the King.
 We eat that we may live.
แสดงการสมมุติที่ตรงข้ามกับความจริง (contrary-to-fact)
 If I were you, I wouldn’t do it.
 If only he were here!

40. PARTS OF SPEECH
VERB
 Tense (เวลา - กาลภาวะ)
Tense (เวลา - กาลภาวะ) คือ คุณสมบัติของกริยาที่บงบอกว่า การกระทำานันได้
่ ้
กระทำาในภาวะที่
เกี่ยวข้องกับเวลาอย่างไร ภาษาอังกฤษมี Tense หลักอยู่ 3 tenses ได้แก่
Present Tense, Past tense และ Future Tense ซึ่งในแต่ละ Tense
หลัก สามารถแยกออกเป็น 4 tenses
 Voice (วิธ พ ด - วาจก)
ี ู
Voice (วิธพูด - วาจก) คือ คุณสมบัติของกริยาที่บ่งบอกว่า การกระทำานั้นประธานเป็น
ี
ผูกระทำา (doer) หรือเป็นผู้ถูกกระทำา
้
(receiver)
ถ้าประธานเป็นผู้กระทำา เรียกว่า Active Voice (พูดตรง)
ถ้าประธานเป็นผู้ถูกกระทำา เรียกว่า Passive Voice (พูดกลับ)
 He saw her. (Active Voice)
 She was seen by him. (Passive Voice)

41. PARTS OF SPEECH
VERB
 Classification of Verbs
Transitive Verb – Intransitive Verb
เมื่อจำาแนกคำากริยาโดยยึดกรรม (object) สามารถแบ่งคำากริยาออกได้เป็น 2 ประเภท
ได้แก่
 Transitive Verb กริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ
เช่น He killed a snake.
 Intransitive Verb กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ
เช่น He walks.
Ordinary Verb – Anomalous Verb
เมื่อจำาแนกกริยาโดยยึดวิธใช้ (Usage) เป็นหลัก สามารถจำาแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
ี
1. Ordinary Verb (กริยาธรรมดา) คือ กริยาที่มีความหมายเป็นหลักในประโยค
เช่น go write read love eat feel
เมื่อเป็นปฏิเสธหรือคำาถาม ต้องใช้ verb to do เข้ามาช่วย
2. Special Verb (กริยาพิเศษ) คือ กริยาที่มีวิธใช้พิเศษ คือ ใช้ได้กบประธานทุกตัว
ี ั
โดยไม่ต้องเติม s เมื่อเป็นรูปปฏิเสธเติ

42. PARTS OF SPEECH
VERB
Principal Verb- Helping Verb
เมือจำาแนกกริยาโดยยึดความหมาย (Lexical Meaning) จะมี 2 ชนิด ได้แก่
่
Principal Verb (กริยาหลัก) ได้แก่ กริยาทีมความหมายหรือคำาแปลในประโยค
่ ี
Helping Verb (กริยาช่วย) ได้แก่ กริยาทีทำาหน้าที่ช่วยกริยาหลัก เพื่อแสดงกาลเวลา
่
(tense)มาลา (mood)
และวาจก (voice) เช่น
 They have gone home.
gone เป็นกริยาหลัก
have เป็นกริยาช่วย ทำาหน้าทีช่วยแสดงกาลเวลาว่าอยูใน Present Perfect Tense
่ ่
Regular-Irregular Verb
เมือจำาแนกคำากริยาโดยยึดการเปลี่ยนรูปคำา (conjugation) เป็นหลัก คำากริยาจะมี 2
่
ชนิด ได้แก่
1. Regular Verb (กริยาปรกติ) ได้แก่ กริยาทีเติม ed เมื่อเป็น past และ past participle
่
เช่น
walk walked walked
2. Irregular Verb (กริยาอปรกติ) ได้แก่กริยาที่มรูป past และ past participle แตกต่าง
ี
ไปจากรูปเดิม

43. EXERCISE
Base Past Tense Past Participle
swim
won
sit
rung
spoke
begun
arrived
work
repaired
cut
met
kick

44. EXERCISE
Base Past Tense Past Participle
think
turned
know
delivered
caught
choose
heard
outdid
let
get
fly
taught
strove
wed

45. PARTS OF SPEECH
ADVERB
Adverb (กริย าวิเ ศษณ์) คือ คำาที่ใช้ขยายกริยา
(verb)คำาคุณศัพท์ (adjective)
คำากริยาวิเศษณ์ (adverb) คำาบุพบท (preposition)คำาสันธาน
(conjunction)
เพื่อให้ได้ความหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
 He ran quickly. (adverb ขยาย verb)
 It’s very hot today. (adverb ขยาย adjective)
 He plays extremely well. (adverb ขยาย adverb)
 I hit him right on his nose. (adverb ขยาย preposition)
 He didn’t stop working even though he was very tired.
(adverb ขยาย conjunction)

46. PARTS OF SPEECH
ADVERB
 การจำาแนกชนิดของคำา Adverb
 จำาแนกโดยยึดถือหน้าทีเป็นหลัก (Function)
่
- Adverb of Manner (บอกลักษณะอาการ) เช่น
slowly, fast
- Adverb of Time (บอกเวลา) เช่น now, soon
- Adverb of Place (บอกสถานที่) เช่น here, there
 จำาแนกโดยยึดถือตำาแหน่งเป็นหลัก (Position)
- Front-position Adverb (Adverb ทีอยูต้นประโยค)
่ ่
- Mid-position Adverb (Adverb ทีอยู่กลางประโยค)
่
- End-position Adverb (Adverb ที่อยูท้ายประโยค)
่

47. PARTS OF SPEECH
ADVERB
 Classification of Adverbs by Function
- Adverb of Manner
คือ adverb ที่บอกว่าการกระทำานั้นได้กระทำาไปในลักษณะอาการ
อย่างไร (How?)
1. The little boy behaves badly.
2. Everyone fought bravely.
Adverb of Manner ที่ใช้บ่อย เช่น
actively อย่างกระฉับกระเฉง boldly อย่าง
กล้าหาญ
carefully อย่างรอบคอบ easily โดยง่าย
gladly อย่างดีใจ sincerely อย่าง
จริงจัง
Quickly อย่างเร็ว simply โดย

48. PARTS OF SPEECH
ADVERB
- Adverb of Time
คือ adverb ที่บอกว่าการกระทำานั้นเกิดขึ้นเมื่อไร (When?)
1. I will do the work tomorrow.
2. But you must do yours now.
Adverb of Time ที่ใช้บ่อย เช่น
before ก่อน presently ในเร็วๆนี้
soon เร็วๆนี้ yet ยังคง
still ยังคง when เมื่อ
already เรียบร้อยแล้ว immediately โดยทันที

49. PARTS OF SPEECH
ADVERB
 Adverb of Place
คือ adverb ทีบอกว่าการกระทำานั้นได้กระทำาทีไหน
่ ่
(Where?)
1. I shall stand here.
2. I’ve looked everywhere for my pen.
Adverb of Place
above บน around รอบๆ
below ใต้ up บน
where ที่ซง
ึ่ away ออกไป
Somewhere ที่ใดทีหนึง there
่ ่ ที่นน
ั่

50. PARTS OF SPEECH
ADVERB
 คำา เรีย กชื่อ
adverb ทีใ ช้ใ นโอกาสต่า งๆ
่
- Adverb of Question (Interrogative Adverb)
(แสดงการถาม)
เช่น Why did you say that?
- Adverb of Affirmation (แสดงการรับ)
เช่น Do you love Thailand? Of course.
- Adverb of Negation (แสดงการปฏิเสธ)
เช่น Will you do what he wants? Never!
- Adverb of Probability (แสดงการคาดคะเน)
เช่น Maybe the weather will change this evening.

51. PARTS OF SPEECH
ADVERB
 Classification of Adverbs by Position
Front-position Adverb ได้แก่
Adverb ทีแสดงคำาถาม เช่น
่
- How has he done?
Adverb ทีแสดงการรับและการปฏิเสธ เช่น
่
- Yes, I know him.
Adverb ทีขยายความทั้งประโยค เช่น
่
- Unfortunately, the weather was bad and we had to wait.
ในประโยคอุท าน มัก นิย มใช้ adverb นำา หน้า ประโยค เช่น
- Here he comes!
เมือต้องการเน้น adverb ก็อาจวางไว้หน้าประโยคได้ เช่น
่
- Sometimes he sits and thinks.

52. PARTS OF SPEECH
ADVERB
Mid-position Adverb
คือ adverb ที่แทรกอยู่ภายในประโยค ได้แก่ Adverb of
Frequency และ
Intensive Adverb เช่น
always เสมอ often บ่อย
already เรียบร้อยแล้ว usually เป็นปรกติ
probably บางที rather ค่อนข้าง
definitely อย่างแน่นอน quite ทีเดียว
การวางตำา แหน่ง Adverb
1. ถ้าประโยคมีกริยาตัวเดียวโดดๆ ให้วางไว้หน้ากริยานันๆ
้
เช่น
- He never forgets his wife’s birthday.
- I hardly know how to thank you.

53. PARTS OF SPEECH
ADVERB
2. แต่ถ้าเป็น verb to be หรือมีกริยาพิเศษ (anomalous)
ทำาหน้าที่เป็นกริยาช่วยอยู่ด้วยแล้ว ให้วางไว้หลังกริยา
พิเศษนั้น เช่น
- Jenney’s work is always carefully done.
- The baby can nearly walk.
3. ในประโยคที่ต้องการแสดงการเน้น ถ้าวาง adverb ไว้
ข้างหน้ากริยาพิเศษ (anomalous) จะทำาให้ประโยคหนัก
แน่นขึ้น เช่น
ธรรมดา : Sandy’s work seems carefully done. It is
always carefully done.
หนักแน่น : Sandy’s work seems carefully done.
It always is carefully done.

54. PARTS OF SPEECH
ADVERB
4. ในประโยคกล่าวตอบสั้นๆ (short answer)
ซึ่งใช้กริยาพิเศษ (anomalous)
ตัวเดียว ต้องวาง adverb ไว้ข้างหน้ากริยา
พิเศษเสมอ เช่น
- A: David isn’t a good footballer.
- B: He never was.

55. PARTS OF SPEECH
ADVERB
End-position Adverb
ประโยคทัวไป ส่วนใหญ่จะมีรูปประโยคเช่นนี้
่
ประธาน + กริยา + กรรม +
adverb
ดังนัน adverb โดยปกติจึงวางไว้ทายประโยค เช่น
้ ้
- She sang that song beautifully.
มีหลักอยู่ข้อหนึงว่า adverb จะแทรกตรงกลาง
่
ระหว่าง verb กับ object ไม่ได้ เช่น
- She sang beautifully that song.

56. WEEK 5: PREPOSITION
Preposition (บุพบท) คือ คำาที่ใช้เชื่อมคำาอื่นกับคำานาม เพื่อ
แสดงว่าคำาที่อยู่ด้านหน้ามี
ความสัมพันธ์กับคำานามนั้นอย่างไร
คำาอื่น + preposition + คำา
นาม
เช่น
- They met in Japan.
- I’ll be there on Sunday.

57. PREPOSITION
 การจำา แนกชนิด ของ preposition
Preposition อาจจำาแนกเป็น 4 ชนิด ได้แก่
1. Preposition of Time
คำาบอกเวลามี 2 กลุ่ม คือ บอกจุดเวลากับบอกระยะเวลา
คำาบอกจุดเวลา (point of time) ตอบคำาถาม When?
เช่น
at at noon, at seven o’clock
on on Monday, on Songkran Day
in in 2010, in April
since since noon, since July, 2010
by by July, by 2010

58. PREPOSITION
คำาบอกระยะเวลา (point of time) ตอบคำาถาม How
long?
เช่น
for for ten minutes, for many years
during during the war, during his absence
ตัวอย่างการใช้คำาบุพบท
at ใช้กับเวลา เช่น at noon, at night,
at four o’clock
on ใช้กับวัน เช่น on Monday, on his
birthday
in ใช้กับเดือน ฤดู ปี และเวลาทีมี
่

59. PREPOSITION
2. Preposition of Place
คำาบอกสถานที่ เช่น at, on, in, between, among,
over, above,
under, below, near, beside บางคำาซำ้ากับคำาบอกเวลา
at ใช้กับจุดหนึงของสถานที่, สถานทีเล็ก เช่น at
่ ่
the station, at the party, at Siam Square
on ใช้กับถนน ซอย สี่แยก เช่น on Sukhumwit
Road,
on Soi 44, on the corner
in ใช้กับเมือง ประเทศ ทวีป สถานที่ใหญ่ เช่น in
Bangkok,
in the world, in Thailand, in a town

60. PREPOSITION
Preposition of Direction
คำาบอกทิศทาง (direction) ได้แก่ คำาทีใช้บอกทิศทางของ
่
การเคลื่อนทีจากสิ่งหนึ่ง
่
ไปยังอีกสิงหนึง เช่น
่ ่
for ใช้กับ verb ทีแสดงการเคลื่อนที่ (for + สถานทีทมง
่ ่ ี่ ุ่
ไปสู่) เช่น
- They left for England.
against มีความหมายว่า พิงอยู่ ติดอยู่ ปะทะ เช่น
- She threw it against the wall.
at ใช้แสดงทิศทาง มักใช้คู่กับกริยาบางคำาเท่านัน เช่น
้
aim at เล็งไปยัง,

61. PREPOSITION
Preposition of means
Preposition Examples
in ใช้กับสิ่งที่สวมใส่ เช่น a girl in red, a woman in gold
เสื้อผ้า สร้อยคอ earrings
with ใช้กับสิ่งที่ถือ เช่น ไม้เท้า a woman with a black handbag,
กระเป๋าถือ หรือลักษณะ a man with brown hair
ภายนอกที่มองเห็น
with ด้วย (เครื่องมือ) He opened the can with
a knife.
with ด้วย (วัตถุ สิ่งของ) He helped me with my work.
of บอกลักษณะภายในที่มอง a man of violent temper,
ไม่เห็น เช่น นิสัย อายุ อารมณ์ a man of thirty-seven

62. CONJUNCTION
Conjunction (สันธาน) ได้แก่ คำาทีใช้เชื่อมคำา (word)
่
หรือข้อความ
(phrase) หรือประโยค (sentence, clause)
เชื่อ มคำา Two and two are four. (เชื่อมคำา
นาม)
He got up and walked downstairs. (เชื่อม
กริยา)
He is smart but unreliable. (เชื่อมคำา
คุณศัพท์)
เชื่อ มความ They went across the street and into
a shop.

63. CONJUNCTION
Conjunction มี 2 ชนิด ได้แ ก่
 Coordinate Conjunction (or Coordinator)
 Subordinate Conjunction (or Subordinator)

64. CONJUNCTION
 Coordinate Conjunction
Coordinate Conjunction (or Coordinator) ได้แก่คำา
เชื่อม
ประโยค ซึ่งแต่ละประโยคย่อย (clause) มีศกดิ์ทาง
ั
ไวยากรณ์เท่ากัน
(equal grammatical rank)
(คำาว่าศักดิ์เท่ากัน หมายความว่า แต่ละประโยคไม่ขึ้นต่อ
กัน เป็นอิสระต่อกัน) เช่น
- He went east and I went west.
- You are active but she seems tired.
ประโยคย่อยแต่ละประโยคไม่มความเกี่ยวข้องกันใน
ี

65. CONJUNCTION
 Coordinate Conjunction จำา แนกได้เ ป็น 4 กลุ่ม ได้แ ก่
1. Cumulative (เพิ่มเติม) ใช้เชื่อมข้อความใหม่เพิมเติมเข้ากับ
่
ข้อความเดิม ได้แก่ and
- He is tall and handsome.
2. Adversative (ขัดแย้ง) ใช้เชื่อมข้อความซึ่งตรงกันข้าม
(opposite) หรือแตกต่างกัน
(contrast) ได้แก่ but (และคำาอืนซึ่งมีความหมายเหมือน but)
่
- I was angry but I kept quiet.
3. Alternative หรือ Disjunctive (ทางเลือก) ใช้เชื่อมข้อความซึ่ง
เป็นทางเลือก
(choice) หลายทางเลือก ได้แก่ or หรือ nor
- He is not mad nor does he pretends to.
4. Illative (เหตุผล) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและ
กัน (cause and effect)
ได้แก่ for (เพราะว่า) และ so (ดังนั้น)

66. CONJUNCTION
 Subordinate Conjunction
Subordinate Conjunction (or Subordinator) ได้แก่ คำา
เชื่อม
ประโยค ซึ่งแต่ละประโยคย่อยมีศักดิ์ทางไวยากรณ์ไม่
เท่ากัน
ประโยคทีอยู่หลังคำาเชื่อม เป็นประโยคทีขึ้นอยูกับ
่ ่ ่
ประโยคแรก
ประโยคแรก เรียกว่า ประโยคหลัก (principal clause)
หรือ ประโยคสำา คัญ
(main clause)
ประโยคหลังคำาเชื่อม เรียกว่า ประโยคตาม (dependent
clause) หรือ
ประโยคแฝง (subordinate clause) เช่น
- This is the house that Jack built.

67. CONJUNCTION
 Subordinate Conjunction (or Subordinator)
ได้แก่
คำาเชื่อมต่อไปนี้
1. คำาแสดงคำาถามที่นำามาใช้เป็นคำาเชือม เช่น
่
what, how, where, when, why
2. That (เมื่อแปลว่า “ ว่า” )
3. if, whether, because, before, after, as, until,
while, though, although และคำาเชือมอื่นๆซึ่งมี
่
ความหมายเหมือนกัน

68. INTERJECTION
คำา อุท าน (Interjection) คือคำาหรือประโยคที่
แสดงออกมาทางอารมณ์อย่าง
ฉับพลัน เพื่อแสดงความรู้สกทีเกิดขึ้นในขณะนัน เช่น
ึ ่ ้
ดีใจ ตื่นเต้น ประหลาดใจ เป็นต้น
และเมือจบคำาอุทานแล้วต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรียหรือ
่ ์
เครื่องหมายตกใจ
(Exclamation mark) คือ ‘ !’ ทุกครั้ง
บางครั้งคำาอุทานเป็นเพียงเสียง หรืออาการต่าง ๆ เช่น
อ้าปากค้าง ตะโกนออกมาแบบ
ไม่ได้ศัพท์ หรือเป็นสียงและอาการต่าง ๆ ซึ่งบุคคลนั้น ๆ
จะแสดงออกมา

69. INTERJECTION
ตัว อย่า งคำา อุท านโดยทัว ๆ ไป
่
Aha! Ahem! All right! Gadzooks!
Gee Whiz! Good! Gosh! Yippee!
Hey! Hooray! Indeed! Nuts!
My Goodness! Oh no! Oops! Ouch!
Phew! Right on! Ugh! Dear me!
Whoopee! Wow! Yikes! Yoo-hoo!
Hey! Yuck! Tut! Pooh!

70. INTERJECTION
ชนิด ของคำา อุท าน
คำาอุทานนันแบ่งได้หลายชนิดแล้วแต่ลักษณะของอารมณ์ที่
้
อุทานในขณะนั้น ได้แก่
1. อารมณ์ยินดี (Joy) ได้แก่ Hurrah! (ฮูร่า) ไชโย, Ah! (อ้า),
Ha (ฮ้า) เช่น
Hurrah! We have won. ไชโยพวกเราชนะแล้ว
2. อารมณ์เศร้า (Sorrow) ได้แก่ Alas! (อนิจจา)
Alas! He is ruined. อนิจจาเขาแย่แล้ว
3. อารมณ์ประหลาดใจ (Surprise) ได้แก่ Ha! (ฮ้า), What!
(อะไรกันนี่), Oh! (โอ้)
Oh! What a fright. โอ้อะไรจะน่าตื่นเต้น
ขนาดนั้น
4. อารมณ์ตื่นเต้นและยินดี (Excitement, Approval) ได้แก่
Bravo! (ไชโย)

71. INTERJECTION
5. อารมณ์แห่งความสุข (Happiness) ได้แก่ Ah! (อ้า),
Ha! (ฮ้า)
Ha! I’m happy. ฮ้า ช่างสบายอะไรอย่าง
นี้
6. อารมณ์เงียบ ๆ (Silence) เช่น Hush! (จุ๊ ๆ) เช่น
Hush! The baby is asleep. จุ๊ ๆ เด็กนอนหลับอยู่
นอกจากนี้ยังมีคำาอุทานที่เป็นประโยค (Exclamation
Sentence) เช่น
What beautiful flowers! ดอกไม้ช่างสวยงามจัง
What a pity! น่าสงสารจัง

72. TENSE
Tense (กาลภาวะ) คือแบบของคำากริยา (verb) ซึ่งบอก
ความสัมพันธ์ระหว่าง
การกระทำากับเวลา หรือเงื่อนไขกับเวลา หรือภาวะอื่นๆ
ภาษาอังกฤษมี tense ใหญ่ 3 อย่าง ได้แก่ Present Tense,
Past Tense,
และ Future Tense ซึ่งแต่ละอย่างยังแบ่งออกได้อีก 4
ชนิด ได้แก่
- Simple Tense หรือ Indefinite Tense
- Progressive Tense หรือ Continuous Tense
- Perfect Tense หรือ Perfect Simple Tense
- Perfect Progressive Tense หรือ Perfect Continuous

73. TENSE
 The simple Tense
1. Simple Present Tense
Verb Form: กริย าช่อ งที่ 1 (ประธานเป็น เอกพจน์
Usage บุร ุษ ที่ 3 กริย าเติม s หรือ es)
1. ใช้ simple present กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงทั่วไป (general truth)
- The earth moves round the sun.
- Men wear thin clothes in summer.
2. ใช้ simple present กับการกระทำาซึ่งกระทำาเป็นประจำา (repeated or habitual
facts) ในปัจจุบัน
- He says hello to me every time he sees me.
- She gets up early every day.
3. ใช้ simple present กับสิ่งที่กำาหนดแน่นอนแล้วว่าจะกระทำาในอนาคต
- I leave by 6:20 train this evening.
- He sets sail tomorrow and comes back next week.
4. อาจใช้ simple present ในการสรุปเรื่อง เช่นนิยายหรือบทละคร

74. TENSE
2. Past Simple
Verb Form: กริย าช่อ งที่ 2 ๖(กับ
ประธานทุก ตัว )
Usage
1. ใช้ past simple กับการกระทำาซึ่งเกิดขึ้นและจบลงไป
แล้วในอดีต มักมี
คำาแสดงอดีตอยูด้วยเสมอ เช่น
่
- He arrived at four o’ clock yesterday morning.
- I lived in Korat for three years.
2. ใช้ past simple กับการกระทำาซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำาใน
อดีต (ปัจจุบันเลิกทำาแล้ว)
- He walked to school every day last year.
- When I was young, I used to get up early in the

75. TENSE
3. Future Simple
Verb form: will (shall) + กริย าช่อ ง
ที่ 1
Usage
1. ใช้ Future Simple กับการแสดงอนาคต
- I will go to the market tomorrow.
- Susan will wear her new dress next week.

76. TENSE
การแสดงความเป็น อนาคต (Futurity) โดยไม่ใ ช้ will,
shall
1. แสดงอนาคตโดยใช้ร ูป Present Progressive Tense
และ
Present Simple Tense
- We are flying tomorrow.
- We fly tomorrow.
2. การใช้ going to
แสดงความตั้วใจ: - I am going to write to Susan this
evening.
แสดงการคาดคะเนซ - I think it is going to rain.
แสดงความเชื่อมั่น: - my wife is going to have a baby.

77. TENSE
Verb Form: verb to be (is, am, are) + กริย า
-ing
 The Progressive (Continuous) Tense
1. Present Progressive
Usage
1. ใช้กับการกระทำาที่กำาลังดำาเนินอยู่ขณะที่พด
ู
- The sun is shining.
- What are you doing?
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำาเนินอยู่เป็นประจำาในขณะที่พด ช่วยให้มี
ู
ความหมายที่กระฉับกระเฉงดียิ่งขึ้น
- My son is working hard this semester.
- He is trying his best now.
3. ใช้แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่
- We are going to Paris on Sunday.
- What are you doing next week?

78. TENSE
2. Past Progressive
Verb Form: verb to be (was, were) + กริย า -ing
Usage
1. ใช้ลอยๆ กับเหตุการณ์เดียวได้เฉพาะในกรณีที่คำาบอกช่วงเวลากำากับไว้ใน
ประโยค คือบอกว่า เหตุการณ์นั้นๆ กำาลังดำาเนินอยูในอดีตตลอดเวลาที่
่
กำาหนดนั้น เช่น
- He was writing all day yesterday.
- He was writing all evening long.
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ซึ่งกำาลังดำาเนินอยูพร้อมๆ กันในอดีต (มักมีคำาเชื่อม
่
while)
- While one of the two thieves was working on the safe, the other was keeping
watch for policemen.
3. ใช้ past progressive คู่กับ past simple
เมื่อเหตุการณ์หนึ่งกำาลังดำาเนินอยู่ มีอีกเหตุการณ์เกิดขึน เหตุการณ์ที่กำาลัง
้
ดำาเนินอยู่ใช้ past progressive เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ past simple (มักมี
คำาเชื่อม when ,as, while)
- It was raining when I came home.

79. TENSE
3. Future Progressive
Verb Form: will be + กริย า -ing
Usage
1. ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า ณ เวลาหนึ่งในอนาคต จะมี
เหตุการณ์อย่างหนึ่งกำาลังดำาเนินอยู่
- At this time tomorrow I will be flying over Hong Kong.
- He will be busy working when we call.
2. ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งผู้พูดตัดสินใจแน่นอนแล้ว
ว่าจะทำาเช่นนั้น
- I will be working all day tomorrow.
- The Browns will be staying with us again this year.

80. TENSE
 The Perfect Tense
1. Present Perfect
Verb Form: verb to have (has, have) + กริย าช่อ งที่ 3
Usage
1. ใช้กับเหตุการณ์ซงเกิดขึ้นในอดีต แต่ดำาเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ึ่
- He has lived here since 2009.
- Ha has lived here for twenty years.
2. ใช้ present perfect แสดงการเคยหรือไม่เคย มักมีคำาว่า never, ever, once,
twice… อยูด้วย
่
- Have you ever been to U.S.A.?
- Yes, I’ve been there many times.
3. ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ทเพิ่งจบลงใหม่ๆ มักมีคำาว่า just, already, yet
ี่
อยูด้วย เช่น
่
- The train has just arrived.
- He hasn’t finished the work yet.
4. ใช้กับเหตุการณ์ซงความจริงจบลงไปแล้ว แต่ในใจผูพูดยังรู้สึกถึงผลของเหตุ
ึ่ ้
การณ์นั้นๆ อยู่
- I have finished the book.

81. TENSE
2. Past Tense
Verb form: had + กริย าช่อ งที่ 3
Usage
1. ใช้เมื่อมีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง
เหตุก ารณ์ท ี่เ กิด ขึ้น ก่อ นใช้
past perfect
เหตุก ารณ์ท ี่เ กิด ขึ้น ภายหลัง
ใช้ past simple
- Anong had learned English before she went to the United
States.
- I had lost my pen and was able to do the exercises.

82. TENSE
Past Tense
2. ใช้ past perfect กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเวลาจุด
หนึงในอดีต
่
- Jane had never seen a lion until yesterday.
- Soon the police arrived at the scene of the robbery.
But they were too late, the thieves had already gone.

83. TENSE
3. Future Perfect
Verb Form: will have + กริย าช่อ งที่ 3
Usage
1. ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต
เหตุการณ์อย่างหนึ่งจะจบสิ้นลง
- They will have finished the work by next week.
- They will have finished the work when we arrive.
2. อาจใช้ future perfect แสดงการคาดคะเน หรือสงสัย
- You will have heard, I expect, that Mary is going to get
married.

84. TENSE
 The Perfect Progressive Tense
1. Present Perfect Progressive
Verb Form: verb to have (has, have) been + กริย า -ing
Usage
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำาเนินติดต่อกันเรื่อยมา
จนถึงปัจจุบัน
- Bill has been living in Bangkok since 2008.
การใช้ present perfect progressive ก็เหมือนกับการใช้ present
perfect เพียงแต่ perfect progressive เน้นความต่อเนื่องของเวลา
มากกว่า perfect ธรรมดาเท่านั้น
ปกติ: Bill has lived in Bangkok since 2009.

85. TENSE
2. Past Perfect Progressive
Verb Form: had been + กริย า -ing
Usage
การใช้ past perfect progressive มีหลักการเช่นเดียวกับการใช้
past perfect ธรรมดา
คือ ปกติจะใช้ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ในอดีตสองเหตุการณ์
เหตุการณ์หเหตุก ารณ์ท ี่เเหตุขึารณ์หนึ่ง
นึ่งเกิดก่อนอีก กิด ก ้น ก่อ นใช้
past perfect
เหตุก ารณ์ท ี่เ กิด ขึ้น ภายหลัง
ใช้ past simple

86. TENSE
3. Future Perfect Progressive
Verb Form: will have been + กริย า-ing
Usage
หลักการเช่นเดียวกับการใช้ future perfect ธรรมดา แต่จะใช้
perfect progressive
เมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่อง คือ ใช้เมื่อต้องการบอกว่า เมื่อถึง
เวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึง ่
ซึ่งดำาเนินมาก่อนหน้านันก็ยังคงดำาเนินอยู่ และจะดำาเนินต่อไปอีก
้
- By eleven o’ clock I will have been working for four hours.

87. EXERCISE
 Tenses – Present Simple Tense, Past Simple Tense and
Present Perfect Tense
Directions: Put the given verbs in the brackets in the right form.
All pupils (be) ________________ present yesterday.
We (teach) ___________________ here since 2007.
The weather (be) ___________________ very hot in summer.
Candy (break) ____________________ several glasses last two weeks.
He (spend) ___________________ all last week in Hong Kong.
I (write) ____________________ many books since I lived in London.
She (read) _______________________ this book for two hours.
She (speak) ________________ English as well as she speaks her own
language.
They (come) ____________________ here three years ago.
Last week Tiger (play) _________________ very well but in the end
I (manage) ________________ to beat him.

88. EXERCISE
Yesterday David (arrive) ________________ at five o’ clock.
While he (live) _______________ in Bangkok, he (work)
____________________ in the office near her home.
We (move) ________________ from here by 6:30 bus this evening.
My mother usually (go) _____________________ to the market
every day.
She (be) ______________ more American than most Americans (be)
___________.
Neither of my friends (come) ____________________ yet.
We (not finish) ____________________our report yet.
I (love) ___________________ you.
The sun (not rise) _________________ in the west.
When I (be) child, I (get up) ________________ late every weekend.

89. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
 None – finite Verb
None – finite Verb คือคำากริยาที่มได้ทำาหน้าทีเป็นกริ
ิ ่
ยาจริง แม้จะมีรูปมา
จากกริยาก็ตาม แต่กลับทำาหน้าที่เป็นนามบ้าง , เป็น
คุณศัพท์บ้าง, เป็นกริยาวิเศษณ์บ้าง
,หรือเป็นอื่นใดก็ได้ อันไม่ใช่กริยาแท้.
None – finite Verb แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ.
1. Infinitive [ to Verb 1].
2. Gerund [Verb + ing]
3. Participle [ Verb + ing , Verb 3]

90. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
 Infinitive คือคำากริยาช่องที่ 1 ที่มี “ to” นำาหน้า ทำาหน้าที่
ได้ 6 อย่างคือ
1. เป็นประธานของกริยา เช่น
To walk in the morning is good for health.
2. เป็นกรรมของกริยา เช่น
He like to speak English with his friend.
3. เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา เช่น
She has to go now.
4. เป็นคุณศัพท์ขยายนาม(แต่ต้องเรียงไว้หลังคำานาม)
5. เมื่อเรียงตามหลังอกรรมกริยา เป็นกริยาวิเศษณ์ของ
อกรรมกริยาตัวนั้น.

91. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
Infinitive บางตัวที่ไม่ต้องใช้ “ to” นำาหน้า เรียกว่า
“Infinitive without to” ในกรณีทนำามาใช้ตาม
ี่
หลัง หรือขยายนามที่
ตามหลังคำากริยาพิเศษต่อไปนี้
do, does, did, will, would, shall, should, can, could, may,
might, must, need, dear ไม่ต้องใช้ to นำาหน้า
แต่ถ้าเป็นกริยาพิเศษ is, am, are, was, were, has, have,
had
infinitive ทีตามหลังต้องใช้ to นำาหน้า
่

92. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
 Gerund คือคำากริยาที่เติม “ ing” แล้วนำามาใช้อย่าง
นาม(กริยานาม)
“verbal noun” เช่น walking, studying etc. ทำาหน้าที่ได้ 5
อย่าง คือ
1. ใช้เป็นประธานของกริยาในประโยคเช่น Swimming is a
good exercise.
2. ใช้เป็นกรรมของสกรรมกริยาสกรรมกริยาเช่น She
remembered seeing me.
3. ใช้เป็นกรรมของบุพบทเช่น We are found of learning
English.
4. ใช้ทำาหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาเช่น His duty is
cleaning.

93. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
Participle คือคำากริยาที่เติม “ -ing” บ้าง หรือเป็นรูปกริยา
ช่อง 3 แล้วนำามาใช้
ทำาหน้าที่อย่างอื่น มิได้ใช้เป็นกริยาจริง แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
คือ.
1. Present Participle คือกริยาช่องที่ 1 เติม -ing แล้วนำามา
ใช้เป็น
ครึ่งกริยาครึ่งคุณศัพท์ ได้แก่going, walking, eating, sleeping,
coming, etc.
ซึ่งมีวิธใช้ดังนี้.
ี
1. เรียงตามหลัง Verb to be ทำาให้ประโยคนั้นเป็น Continuous
Tense.
2. เรียงไว้หน้านาม เป็นคุณศัพท์ของนามนั้น.
3. เรียงตามหลังกริยา เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา(มีสำาเนียงแปล

94. INFINITIVES, GERUNDS, PARTICIPLES
2. Past Participle คือกริยาช่องที่ 3 ซึ่งอาจมีรูปมทาจากการ
เติม -ed หรือมี
รูปมาจาก การผันก็ได้ ได้แก่กริยาต่อไปนี walked, slept, gone .
้
..etc. มีวิธีใช้
ดังนี้
1. เรียงไว้หลัง Verb to have ทำาให้ประโยคนั้นเป็น Perfect
tense.
2. เรียงตามหลัง Verb to be ทำาให้ประโยคนั้นเป็นกรรม
วาจก(Passive voice)
3. เรียงไว้หน้านามเป็นคุณศัพท์ของคำานามนั้น
4. ใช้เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา
5. ใช้เรียงตามหลังนามก็ได้ แต่ต้องมีบพบทวลีมาขยายเสมอ
ุ
3. Perfect Participle คือ
“Having + Verb 3” เช่น Having finish …+ Past Simple
Tense เป็นต้น ซึ่ง Perfect Participle นี้ ทำาหน้าที่เป็นคุณศัพท์ของ

95. EXERCISE
Gerund, Infinitive and Participle
Gerund and Infinitive
Directions: Fill in the blanks with either a gerund or an
infinitive.
 When the teacher enters the classroom, the students stop ( talk )
____________.
 You should remember ( use ) ____________ an infinitive after certain
verbs.
 When you are tired of studying, stop ( take ) ____________ a break.
 Do you remember ( study ) ____________ uses of the noun last
month?
 Some students do not remember ( do ) _____________ the
homework.
 I do not have time to stop ( talk ) ____________ now. I have an
appointment.

96. EXERCISE
Gerunds and Participles
Directions: Underline the correct answer
 washing man gerunds present participles
 parking car gerunds present participles
 running water gerunds present participles
 sleeping room gerunds present participles
 running water gerunds present participles

97. WEEK 12-13: ACTIVE VOICE AND PASSIVE
VOICE
 Active Voice
คือ ประโยคที่ประธาน (subject) เป็นผู้กระทำากริยา (verb)
โดยตรง เช่น
- My mother drinks coffee.
- He has turned down all our suggestions.
- I went to the market yesterday.
- Susan can speak English.
 Passive Voice
คือ ประโยคที่ประธาน (subject) เป็นผู้ถูกกระทำากริยา
(verb) โดยผู้อื่น หรือสิ่งอื่น โดยโครงสร้างประโยค
passive + verbคือ be + verb 3 (past participle) + (by)
subject voice to

98. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 การใช้ Verb to be ในประโยค passive จะเปลี่ยนไปตาม
ประธานของประโยค
ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ ใช้ verb to be ที่เป็นเอกพจน์ ถ้า
ประธานเป็นพหูพจน์ ใช้
verb to be ที่เป็นเอกพจน์ด้วย รวมทั้งต้องใช้ verb to be ให้ถูก
ต้องตรงตาม
กาลภาวะ (Tense) ด้วย เช่น
- A letter was written by me.
- An apple is eaten by him.
- The students are punished by the teacher.
- Letters have been written by him.

99. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 หลักการเปลี่ยนประโยค Active Voice เป็น Passive
Voice
1. เอากรรม (object) ของประโยค active ไปเป็นประธานใน
ประโยค passive
2. ใช้ Verb to be ให้สอดคล้องตามประธานและกาลภาวะที่
เปลี่ยนจากประโยค active
3. กริยาแท้ในประโยค active เมื่อนำามาใช้ในประโยค
passive ต้องเปลี่ยนเป็นกริยาช่องที่ 3 (Past participle)
เสมอ โดยวางไว้หลัง verb to be
กริย าในประโยค Passive Voice จะเป็น กริย าประเภท
4. นำาประธานในประโยค active ไปเป็นกรรมในประโยค
“Transitive Verb”
passive โดยมี by นำาหน้า
คือ กริย าที่ต ้อ งการกรรมมารองรับ

100. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยค Active Voice เป็น Passive
Voiceในแต่ละกาลภาวะ (Tense)
1. Present Simple Tense
Active Voice Subject + Verb 1
Passive Voice Subject + (is, am, are) + Verb 3 + (by)
เช่น
Active Voice = He eats an apple.
Passive Voice = An apple is eaten by him.

101. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 Present Continuous Tense
Subject + (is, am, are) + Verb -ing
Active Voice
Passive Voice Subject + (is, am, are) + being +Verb3 + (by)
เช่น
Active Voice = I am reading a textbook.
Passive Voice = A textbook is being read by me.

102. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 Present Perfect Tense
Subject + (has, have) + been +Verb 3 + (by)
Active Voice
Subject + Verb to have (has, have) + Verb 3
Passive Voice
เช่น
Active Voice = You have broken the desk.
Passive Voice = The desk has been broken by you.

103. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 Present Perfect Continuous Tense
Active Voice Subject + (has, have) +been + Verb -ing
Passive Voice Subject + (has, have) + been + being + Verb 3 + (by)
เช่น
Active Voice = Kim has been studying English for
two hours.
Passive Voice = English has been being studied for
two hours by Kim.

104. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 PastSimple Tense
Subject + Verb 2
Active Voice
Passive Voice Subject + Verb to be (was, were) +Verb 3 + (by)
เช่น
Active Voice = Richard broke the window
yesterday.
Passive Voice = The window was broken by
Richard yesterday.

105. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 PastContinuous Tense
Active Voice Subject + (was, were) + Verb -ing
Passive Voice Subject + (was, were) + being + Verb 3 + (by)
เช่น
Active Voice = We were playing tennis.
Passive Voice = Tennis was being played by us.

106. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 Past Perfect Tense
Active Voice Subject + had + Verb 3
Passive Voice Subject + had + been + Verb 3 + (by)
เช่น
Active Voice = I had visited my uncle before
I came here.
Passive Voice = My uncle had been visited by me
before I came here.

107. ACTIVE VOICE AND PASSIVE VOICE
 Future Simple Tense
Subject + (will, shall) + Verb 1
Active Voice
Subject + (will, shall) + be + Verb 3 + (by)
Passive Voice
เช่น
Active Voice = I will sing songs tonight.
Passive Voice = Songs will be sung by me tonight.