Multimedia
Pichai Lueang-aroon
Worapoj Duangngam
Narumol Nilpan
มัลติมีเดีย คือ ระบบสื่อสารข้อมูล
ข่าวสารหลายชนิด โดยผ่านสื่อทาง
คอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ
ฐานข้อมูล ตัวเลข กราฟิก ภาพ เสียง และ
วีดิทัศน์
มัลติมีเดีย คือ การใช้คอมพิวเตอร์สื่อความหมายโดยการ
ผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic
Art) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และวีดิทัศน์
เป็นต้น ถ้าผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตามต้องการ
ได้ระบบนี้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive
Multimedia)
มัลติมีเดีย คือ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อ
ในการนาเสนอโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งรวมถึงการนาเสนอข้อความ
สีสัน ภาพ กราฟิก (Graphic images)
ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound)
และภาพยนตร์วีดิทัศน์ (Full motion Video) ส่วนมัลติมีเดีย
ปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่
รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด (Keyboard) เมาส์
(Mouse) หรือตัวชี้ (Pointer) เป็นต้น
Text
Graphi
c
Anima
tion
Sound
video
Multimedia
การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้
สามารถเรียนรู้หรือทากิจกรรม รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วย
ตนเอง สื่อต่าง ๆ ที่นามารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ
เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย น่าสนใจ
และเร้าความสนใจ เพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้
มากยิ่งขึ้น
1. ข้อความหรือตัวอักษร (Text)
2. ภาพนิ่ง (Still Image)
3. ภาพเคลื่อนไหว (Animation)
4. เสียง (Sound)
5. ภาพวิดีโอ (Video)
องค์ประกอบ
เนื่องจากประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย ที่สามารนาเสนอได้ทั้งข้อความ
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิทัศน์ และอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ผนวกกับระบบติดต่อผู้ใช้ (GUI: Graphics User Interface) ที่ทาให้ผู้ใช้
มีความสะดวกในการใช้งาน สร้างสรรค์งาน ทาให้บทบาทของสื่อฯ มีมากขึ้น
ตามลาดับ มีการนาสื่อมัลติมีเดีย มาประยุกต์ใช้กับงานต่างๆ มากมาย เช่น
การเรียนการสอน การถ่ายทอดความรู้ การนาเสนอข้อมูลการประชาสัมพันธ์
เป็นต้น
หลักการทางานของ Multimedia
การจัดเตรียม
การออกแบบ
การเขียน Flow chart
การสร้าง story board
การสร้างและเขียนโปรแกรม
การประกอบเอกสารประกอบ
การประเมินและเเก้ไข
การสร้างสื่อมัลติมีเดียไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดๆก็ตามก็จะเริ่มที่การ
กาหนดหัวเรื่อง,เป้าหมาย,วัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ จากนั้นทา
การวิเคราะห์,ออกแบบ,พัฒนาสร้างสื่อ,ประเมินผลและนาเผยแพร่ต่อไป
การสร้างสื่อมัลติมีเดียมี 7 ขั้นตอน ดังนี้
1.การจัดเตรียม
-การกาหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์
-รวบรวมข้อมูล
-เนื้อหาสาระ
-การพัฒนาออกแบบ
-สื่อในการนาเสนอ
2.ขั้นตอนการออกแบบ
-ทบทวนความคิด
-วิเคราะห์และแนวความคิด
-ออกแบบขั้นแรก
-ประเมินและแก้ไขการออกแบบ
3.ขั้นตอนการเขียนผังงาน
เป็นการนาเสนอลาดับขั้นโครงสร้างของงาน
4.ขั้นตอนการสร้าง story board
เป็นการเตรียมนาเสนอข้อความ ภาพ รูปแบบมัลติเดียต่างๆ
5.ขั้นตอนการสร้างและเขียนโปรแกรม
เป็นกระบวนการเปลี่ยนสตอรี่ให้เป็นชิ้นงาน
6.ขั้นตอนการประกอบเอกสารประกอบ
แบ่งเป็น
-คู่มือการใช้
-คู่มือสาหรับการแก้ปัญหาเทคนิคต่างๆ
-เอกสารประกอบเพิ่มเติมทั่วไป
7.ขั้นตอนการประเมินและเเก้ไข
จะประเมินในการนาเสนอซึ่งผู้ที่มีการออกแบบจะสังเกตหลังจากใช้งาน
โปรแกรมที่ใช้สร้างงานมัลติมีเดีย
CBL:Classroom-Based Learning
CAL:Computer Aided Learning / e-Traning
การดู TV ฟังวิทยุ เล่นเกม หรือร้องเพลง
Video Conferencing
E-Product (ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์)
E-News / E-Advertising / Live Broadcasting
Cyberspace /อุปกรณ์ VR
ข้อความหรือตัวอักษรถือว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สาคัญ
ของมัลติมีเดีย ระบบมัลติมีเดียที่นาเสนอผ่านจอภาพของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ นอกจากจะมีรูปแบบและสีของตัวอักษรให้เลือก
มากมายตามความต้องการแล้วยังสามารถกาหนดลักษณะของการ
ปฏิสัมพันธ์(โต้ตอบ)ในระหว่างการนาเสนอได้อีกด้วย
ข้อความหรือตัวอักษร (Text)
ภาพนิ่งเป็นภาพที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด
และภาพลายเส้น เป็นต้น ภาพนิ่งนับว่ามีบทบาทต่อระบบงาน
มัลติมีเดียมากกว่าข้อความหรือตัวอักษร ทั้งนี้เนื่องจากภาพจะให้ผล
ในเชิงการเรียนรู้หรือรับรู้ด้วยการมองเห็นได้ดีกว่า นอกจากนี้ยัง
สามารถถ่ายทอดความหมายได้ลึกซึ่งมากกว่าข้อความหรือตัวอักษร
นั่นเองซึ่งข้อความหรือตัวอักษรจะมีข้อจากัดทางด้านความแตกต่าง
ของแต่ละภาษา แต่ภาพนั้นสามารถสื่อความหมายได้กับทุกชนชาติ
ภาพนิ่งมักจะแสดงอยู่บนสื่อชนิดต่างๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
หรือวารสารวิชาการ เป็นต้น
ภาพนิ่ง (Still Image)
ภาพเคลื่อนไหว หมายถึง ภาพกราฟิกที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อ
แสดงขั้นตอนหรือปรากฏ การณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น
การเคลื่อนที่ของอะตอมในโมเลกุล หรือการเคลื่อนที่ของลูกสูบของ
เครื่องยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสร้างสรรค์จินตนาการให้เกิดแรงจูงใจจาก
ผู้ชม การผลิตภาพเคลื่อนไหวจะต้องใช้โปรแกรมที่มีคุณสมบัติเฉพาะ
ทางซึ่งอาจมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่บ้างเกี่ยวกับขนาดของไฟล์ที่ต้องใช้พื้นที่
ในการจัดเก็บมากกว่าภาพนิ่งหลายเท่านั่นเอง
ภาพเคลื่อนไหว (Animation)
เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สาคัญของมัลติมีเดีย โดยจะถูก
จัดเก็บอยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอลซึ่งสามารถเล่นซ้ากลับไปกลับมาได้
โดยใช้โปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสาหรับทางานด้านเสียง หาก
ในงานมัลติมีเดียมีการใช้เสียงที่เร้าใจและสอดคล้องกับเนื้อหาในการ
นาเสนอ จะช่วยให้ระบบมัลติมีเดียนั้นเกิดความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความน่าสนใจและน่าติดตามในเรื่องราวต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากเสียงมีอิทธิพลต่อผู้ใช้มากกว่าข้อความหรือ
ภาพนิ่งนั่นเอง ดังนั้น เสียงจึงเป็นองค์ประกอบที่จาเป็นสาหรับ
มัลติมีเดียซึ่งสามารถนาเข้าเสียงผ่านทางไมโครโฟน แผ่นซีดี ดีวีดี เทป
และวิทยุ เป็นต้น
เสียง (Sound)
วิดีโอเป็นองค์ประกอบของมัลติมีเดียที่มีความสาคัญเป็นอย่าง
มาก เนื่องจากวิดีโอในระบบดิจิตอลสามารถนาเสนอข้อความหรือ
รูปภาพ (ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว) ประกอบกับเสียงได้สมบูรณ์
มากกว่าองค์ประกอบชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของการใช้
วิดีโอในระบบมัลติมีเดียก็คือ การสิ้นเปลืองทรัพยากรของพื้นที่บน
หน่วยความจาเป็นจานวนมาก เนื่องจากการนาเสนอวิดีโอด้วยเวลาที่
เกิดขึ้นจริง (Real-Time) จะต้องประกอบด้วยจานวนภาพไม่ต่ากว่า
30 ภาพต่อวินาที (Frame/Second)
วีดีโอ (Video)
ถ้าหากการประมวลผลภาพดังกล่าวไม่ได้ผ่านกระบวนการบีบอัด
ขนาดของสัญญาณมาก่อน การนาเสนอภาพเพียง 1 นาทีอาจต้องใช้
หน่วยความจามากกว่า 100 MB ซึ่งจะทาให้ไฟล์มีขนาดใหญ่เกิน
ขนาดและมีประสิทธิภาพในการทางานที่ด้อยลง ซึ่งเมื่อมีการพัฒนา
เทคโนโลยีที่สามารถบีบอัดขนาดของภาพอย่างต่อเนื่องจนทาให้ภาพ
วิดีโอสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและกลายเป็น
สื่อที่มีบทบาทสาคัญต่อระบบมัลติมีเดีย (Multimedia System)
ไฟล์วีดีโอรูปแบบหนึ่งที่พัฒนาโดยบริษัท Apple จะนามาใช้
กับงานด้านมัลติมีเดีย และเวปไซต์เป็นส่วนใหญ่ทั้งนี้ต้องติดตั้ง
Plug In ไว้ที่เวปเบราเซอร์ (IE , Netscape) ก่อนที่จะนาไฟล์
มัลติมีเดียประเภทนี้ (หาดาวน์โหลดได้ที่ www.apple.com)
นอกจากนี้ยังเป็นรูปแบบที่เครื่อง Macintosh สามารถนาเสนองาน
รูปแบบนี้ได้ดีอีกด้วยซึ่งสามารถเปิดผ่านโปรแกรม Quick Time
MOV (Movie)
เป็นไฟล์วีดีโอเช่นเดียวกัน โดยฟอร์แมตนี้จะถูกใช้งานบน
เครื่อง พีซี เช่นเมื่อโหลดภาพจากกล้องวีดีโอเข้ามาที่เครื่องคอมก็
จะต้องทาเป็นฟอร์แมต AVI ข้อเสียของมันก็คือขนาดใหญ่มากไฟล์
วีดีโอแค่ 1 นาที อาจจะต้องใช้พื้นที่เก็บประมาณ 5 – 10 MB
มักจะนาไฟล์รูปแบบนี้ไปใช้หรือทาการแปลงเป็นไฟล์รูปแบบอื่นๆ
เช่น Quick Time , MPEG และอื่นๆ ได้อีกด้วยคุณภาพของการ
แปลงไฟล์ ภาพและเสียงจะแตกต่างกันเล็กน้อย
AVI
( Audio Video Interleave )
เป็นรูปแบบของการบีบอัด
ไฟล์ข้อมูลเสียงหรือไฟล์ วีดีโอให้มี
ขนาดเล็กลง มักจะใช้ในการสร้างแผ่น
VideoCD – VCD SVCD DVD หรือ
KaraOk(ไฟล์ที่มีนามสกุล *.mpg)
จะต้องเปิดด้วยโปรแกรมเฉพาะ
อย่างเช่น Power DVD, XingMpeg
MPEG
( Motion Picture Expert Group )
MPEG -1
ถือกาเนิดขึ้นมาในปี 2535 ซึ่งเป็นรูปแบบของไฟล์ที่เข้ารหัสมาด้วย
การบีบอัดให้ได้ไฟล์ที่มี ขนาดเล็ก เพื่อสาหรับการสร้างวิดีโอ
แบบ VCD โดยจะมีการบีบอัดข้อมูลสูง มีค่าบิตเรตอยู่
ที่ 1.5 Mb/s ซึ่งมีคุณภาพใกล้เคียงกับเทปวิดีโอ
MPEG -2
ถือกาเนิดขึ้นในปี 2538 ซึ่งเป็นรูปแบบของไฟล์ที่เข้ารหัสมาเพื่อการ
สร้างภาพยนตร์โดยเฉพาะ โดยสามารถสร้างเป็น SVCD
หรือ DVD ก็ได้ ซึ่งอัตราการบีบอัดข้อมูลจะน้อยกว่า MPEG-1
ไฟล์ที่ได้จึงมีขนาดใหญ่กว่าและได้คุณภาพสูงกว่าด้วย
อีกทั้งค่าบิตเรตก็ไม่ตายตัว ทาให้สามารถกาหนดอัตราการบีบอัด
ข้อมูลได้เอง
MPEG -3
ถูกพัฒนาไปในรูปแบบของเสียงที่รู้จักกันดีคือ MP3
MPEG -4
เป็นรูปแบบของไฟล์แบบใหม่ที่ถือกาเนิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2541
จากความร่วมมือกันของวิศวกรทั่วโลกและได้เป็นมาตรฐานของ
นานาชาติเมื่อปี 2542 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการดิจิตอลวิดีโอ
เพราะมีรูปแบบการบีบอัดที่ดีกว่า MPEG-1 และ MPEG-2
โดยไฟล์ประเภทนี้จะมีคุณภาพของวิดีโอสูง สามารถสร้างรหัสภาพ
วิดีโอได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีจุดประสงค์เพื่อการใช้งานอยู่ 3
ประเภท คือ ระบบโทรทัศน์แบบดิจิตอล งานด้านแอพพลิเคชัน
กราฟิกและมัลติมีเดียต่างๆ ปัจจุบัน mp4 ใช้มากในสื่อบนโลก
ออนไลน์
รายละเอียดของเทคโนโลยี MPEG
มาตรฐานวิดีโอ MPEG-1 MPEG-2 MPEG-4
ความละเอียดสูงสุด 352 x 288 1920 x 1152 720 x 576
มาตรฐานในระบบ PAL 352 x 288 720 x 576 720 x 576
มาตรฐานในระบบ NTSC 352 x 288 640 x 480 640 x 480
ความถี่ของคลื่นเสียงสูงสุด 48 kHz 96 kHz 96 kHz
ช่องสัญญาณเสียงสูงสุด 2 8 8
จานวนเฟรมต่อวินาทีในระบบ PAL 25 25 25
จานวนเฟรมต่อวินาทีในระบบ NTSC 30 30 30
คุณภาพของวิดีโอ พอใช้ ดีถึงดีมาก ดีมาก
ประสิทธิภาพของระบบ ต่า สูง สูงมาก
เป็นรูปแบบหนึ่งของไฟล์มัลติมีเดียที่
พัฒนาขึ้นโดย RealNetwork Inc.
จะมีรูปแบบเฉพาะตัวในการเล่นไฟล์
มัลติมีเดียภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง
ที่ เรียกว่า Streaming โดยเฉพาะมี
โปรแกรมสาหรับเปิดไฟล์ปะเภทนี้
ได้แก่ RealPlayer RealAudio
สามารถนาเสนองานบนอินเตอร์เน็ต
ได้เป็นอย่างดี
RM,RPM
เทคโนโลยีที่นาทั้งภาพและเสียงและยังจะโต้ตอบกับผู้ ใช้งานได้ด้วย
เช่นการกดปุ่ม การเปลี่ยนภาพเมื่อคลิ้กที่ Flash สามารถเล่นเกมส์ได้
หลายอย่าง อย่างที่เราคุ้นเคยในรูปของเกมส์ Flash นามสกุล .swf
Shockwave Flash
มาตรฐานของวิดีโอแบบต่าง ๆ
มาตรฐานของวิดีโอมีอยู่ด้วยกัน 4รูปแบบ คือ VCD SVCD DVD
และ BD ซึ่งคุณภาพของ วิดีโอก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละ
ประเภท โดยแต่ละรูปแบบก็มีคุณสมบัติดังนี้
VCD เป็นรูปแบบของวิดีโอที่ได้รับความนิยมกันโดยทั่วไปประกอบด้วยภาพ
และเสียงแบบดิจิตอล ความจุของแผ่น VCD โดยปกติจะอยู่ที่ 74/80 นาที
หรือประมาณ 650/700 เมกกะไบต์ โดยได้รับการเข้ารหัสมาจากเทคโนโลยี
ของ MPEG – 1 มีความละเอียดของภาพอยู่ที่ 352 x 288 พิกเซลใน
ระบบ PAL และ 352 x 240 พิกเซลในระบบ NTSC คุณภาพของวิดีโอ
ใกล้เคียงกับเทป VHS ซึ่งสามารถเล่นได้กับเครื่องเล่นวีซีดีโดยทั่วไปหรือจาก
ไดรฟ์ซีดีรอมของเครื่องคอมพิวเตอร์ และแผ่นซีดีที่ใช้เขียน VCD ได้ก็จะมี
อยู่ 2 แบบคือแผ่น CD-R ซึ่งเป็นชนิดที่เขียนข้อมูลได้ครั้งเดียว และ
แผ่น CD-RW ที่สามารถเขียนและลบเพื่อเขียนข้อมูลลงไปใหม่ได้ แต่
แผ่น CD-RW มักจะอ่านไม่ได้จากจากเครื่องเล่น VCD หลายๆ รุ่น
VCD
( Video Compact Disc )
SVCD เป็นรูปแบบของวิดีโอที่คล้ายกับ VCD แต่จะให้คุณภาพ
ของวิดีโอทั้งในด้านภาพและเสียงที่ดีกว่า โดยเข้ารหัสมาจาก
เทคโนโลยีของ MPEG – 2 จะมีความละเอียดของภาพอยู่ที่
482 x 576 พิกเซลในระบบ PAL และ 480 x 480 พิกเซลใน
ระบบ NTSC ซึ่งแผ่นประเภทนี้ยังมีเครื่องเล่น VCD หลาย ๆ รุ่น
ที่ อ่ า น ไ ม่ ไ ด้ โ ด ย จ า เ ป็ น ต้ อ ง อ่ า น จ า ก เ ค รื่ อ ง
เล่น DVD หรือ VCD บางรุ่นที่สนับสนุนหรือเล่นจาก CD –
ROM จากเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
SVCD
( Super Video Compact Disc )
DVD เป็นรูปแบบการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ให้คุณภาพของวิดีโอสูงทั้ง
ด้านภาพและเสียงซึ่งมากกว่ารูปแบบของ VCD หลายเท่าตัว โดยให้
ความละเอียดของภาพอยู่ที่ 720 x 480 พิกเซลใน
ระบบ PAL และ 720 x 576 พิกเซลในระบบ NTSC โดย
มาตรฐานของแผ่น DVD ก็มีหลายประเภท เช่น DVD + R/RW
, DVD – R/RW , DVD + RDL และ DVD + RAM ซึ่งความจุของ
แผ่น DVD ก็มีให้เลือกใช้ตามชนิดของแผ่น โดยมี
ตั้งแต่ 4.7 กิกะไบต์ไปจนถึง 17 กิกะไบต์ ทาให้สามารถบันทึก
ภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้อย่างสบาย ซึ่งคาดการณ์กันว่าสื่อ
ประเภท DVD คงจะเข้ามาแทนที่ VCD ได้ในไม่ช้า
DVD
( Digital Versatile Disc )
มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray
Disc Association ซึ่งนาโดย ฟิลิปส์ และ โซนี เปรียบเทียบกับ HD-
DVD ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB
ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์
(Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และ
สองเลเยอร์มี 30 GB ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะ
มีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้า
เดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2 เลเยอร์
BD ( Blu-ray Disc )
อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single
Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-
Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB
แผ่น
BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบ
สองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น
Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ
วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต
ต่อ วินาที โดยมี นักวิทยาศาสตร์จาก NASA เป็น ผู้พัฒนาต่อจาก ระบบ
บันทึกข้อมูลที่ใช้ในโครงการอวกาศ
ชนิดของภาพ
รูปแบบชนิดของภาพแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
ภาพแบบ บิตแมป( Bitmap ) หรือ ราสเตอร์( Raster ) คือภาพที่
เกิดจากหน่วยภาพเล็กๆมารวมกันจนเป็นภาพใหญ่คล้ายจิ๊กซอร์
สามารถดูได้โดยการซูมภาพเข้าไปกล่าวคือภาพเหล่านี้ยิ่งซูม(ขยาย)
ยิ่งแตก จนดูไม่รู้เรื่อง เช่นภาพนามสกุล .JPEG, .TIFF,.GIF และ PNG
เป็นต้น
ภาพแบบเวคเตอร์( Vector ) คือภาพที่เกิดจากเส้นโค้ง, เส้นตรง และ
คุณสมบัติสีของเส้นนั้นๆที่เกิดจากการคานวณทางคณิตศาสตร์(ที่เรามอง
ไม่เห็นด้วยตา)กล่าวคือ ที่จุดๆหนึ่งของภาพที่เราซูมเข้าไปมันจะเกิดจาก
การกาหนดคุณสมบัติไว้ว่าภาพเกิดจากเส้นตรง หรือเส้นโค้งที่เอียงกี่
องศา เก็บค่ารหัสสีอะไรไว้ เมื่อเราซูมขยายภาพไม่ว่าจะขนาดเท่าไหร่ก็
ตามภาพมันจะไม่แตก(ไม่สูยเสียความละเอียดไป) เพราะการซูมภาพ
เป็นการคูณจานวนเท่า ลงไปที่คุณสมบัติภาพนั่นเองดังนั้น ถ้าเราแก้ไข
ภาพก็คือไปแก้ไขคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะย่อหรือขยายกี่ครั้ง
ภาพแบบนี้จะยังคมชัดเท่าเดิมภาพ Vector เหล่านี้ได้แก่
- ภาพ .wmf (Clipart ที่เราไว้ตกแต่งใน Microsoft Office นั่นเอง)
-ภาพใน Adobe Illustrator, Macromedia Freehand
จุดเด่น
•ภาพจะมีรายละเอียดที่สมบูรณ์
จุดด้อย
•ใช้เนื้อที่ในการเก็บจานวนมาก ทา
ให้ขนาดของไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่
BMP (Bitmap)
จุดเด่น
•สนับสนุนสีได้มากถึง 24 bit
•สามารถกาหนดคุณภาพและตั้งค่าการบีบ
อัดไฟล์ภาพได้
•ใช้ใน Internet (Worl Wild Web) มี
นามสกุล.jpg
•มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจานวนมาก
•เรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
•ไม่สนับสนุนภาพเคลื่อนไหวเพราะไม่สามารถ
เก็บภาพหลายๆภาพไว้ด้วยกันได้
JPEG
( Joint Graphics Expert Group )
จุดเด่น
•เป็นที่นิยมมากที่สุดสาหรับภาพที่จะแสดงบน
Web/Internet
•มีขนาดเล็กมาก
•สามารถทาพื้นให้เป็นแบบโปร่งใสได้
(Transparent/Opacity)
•สามารถทาเป็นภาพเคลื่อนไหวบน WebPage ได้
โดยใช้เครื่องมือช่วยสร้างเช่น JAVA, Flash
•มีโปรแกรมสนับสนุนในการสร้างจานวนมาก
•สามารถเรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
•แสงภาพได้เพียง 256 สีเท่านั้น
•ไม่เหมาะสาหรับการนาเสนอ
ภาพถ่ายหรืองานที่ต้องการความ
คมชัดสูง
GIF
( Graphics Interchange Format )
จุดเด่น
•เอาคุณสมบัติของ(JPEG+GIF) มาใช้คือ สีมากกว่า
256สีและโปร่งใสได้(Transparent)
•PNG มีการบีบอัดข้อมูลโดยไม่เสียคุณภาพ
•ทาให้โปร่งใสได้(Transparency)และยังสามารถ
ควบคุมองศาของความโปร่งใส(Opacity)ได้ด้วย
•เก็บบันทึกภาพด้วยสีจริง(True Color) ได้
เช่นเดียวกับตารางสี(Pallete) และสีเทา
(Grayscale)แบบ GIF
จุดด้อย
•ไม่สนับสนุนภาพเคลื่อนไหวเพราะไม่สามารถเก็บ
ภาพหลายๆภาพไว้ด้วยกันได้
JPG GIF PNG
PNG (Portable Network Graphics)
คือการเก็บไฟล์ภาพในลักษณะเดียวกับไฟล์แบบ BMP แต่ในไฟล์มี
Tagged File ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยโปรแกรมควบคุมการแสดงภาพ
เช่น การแสดงหรือไม่แสดงภาพบางส่วนได้ ภาพที่เก็บไว้ในลักษณะ
ของ TIFF จึงมีความพิเศษกว่าการเก็บแบบอื่น ที่กล่าวมา นอกจากนี้
ยังมีไฟล์ภาพแบบต่างๆ อีกหลายแบบ โดยแต่ละแบบจะมีจุดเด่น
แตกต่างกันไป มักนิยมใช่ในงานกราฟิกการพิมพ์
TIFF ( Tagged Image File Format )
ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์
ระบบการส่งสัญญาณโทรทัศน์มีอยู่ด้วยกัน 4 ระบบได้แก่
* ระบบ NTSC (National Televion Standards Committee)
* ระบบ PAL (Phase Alternation Line)
* ระบบ SECAM (SEQuentiel A Memorie("memory sequential")
* ระบบ HDTV (High-definition television)
เป็นระบบโทรทัศน์สีระบบแรกที่ใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกา
ตั้งแต่ปีค.ศ.1953 ประเทศที่ใช้ระบบนี้ต่อ ๆ มาได้แก่
ญี่ปุ่น แคนาดา เปอเตอริโก้ และเม็กซิโก เป็นต้น
NTSC
(National Televion Standards Committee)
ข้อดี
•สามารถมองเห็นภาพได้ 30 ภาพ/วินาที
ทาให้การสั่นไหวของภาพลดน้อยลง
ข้อเสีย
•เส้นสแกนภาพมีจานวนน้อย หากใช้จอภาพ
เครื่องรับโทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่รับภาพจะทาให้
รายละเอียดภาพมีน้อย ดังนั้นภาพจึงขาด
ความคมชัดและถ้าใช้เครื่องรับโทรทัศน์ขาว-ดา
สัญญาณสีที่ความถี่ 3.58 MHz
จะเกิดการรบกวนสัญญาณขาว-ดา ทาให้เกิด
ความผิดเพี้ยนของสี
เป็นระบบโทรทัศน์ที่พัฒนามาจากระบบ NTSC
ทาให้มีการเพี้ยนของสีน้อยลง เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปีค.ศ.1967
ในประเทศทางแถบยุโรป คือ เยอรมันตะวันตก อังกฤษ
ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม บราซิล เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน
สวิตเซอร์แลนด์ และมีหลายประเทศในแถบเอเซียที่ใช้กันคือ
สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
PAL
(Phase Alternation Line)
ข้อดี
•เป็นระบบที่ให้รายละเอียดของภาพสูง
ไม่มีความผิดเพี้ยนของสี ภาพที่ได้เป็น
ธรรมชาติ ความเข้มของภาพสูง (High
Contrast)
ข้อเสีย
•ข้อเสียคือภาพที่มองเห็นมีความสั่นไหว
มากกว่าระบบ NTSC เนื่องจากภาพที่
มองเห็น 25 ภาพ/วินาที
เป็นระบบโทรทัศน์อีกระบบหนึ่งคิดค้นขึ้นโดย Dr.Henry D.France
เริ่มใช้มาตั้งแต่ปีค.ศ.1967 นิยมใช้กันอยู่หลายประเทศแถบยุโรป
ตะวันออก ได้แก่ ฝรั่งเศส อัลจีเรีย เยอรมันตะวันออก ฮังการี
ตูนีเซีย รูมาเนีย และรัสเซีย เป็นต้น
SECAM
(SEQuentiel A Memorie("memory sequential")
ข้อดี
•เป็นระบบที่ไม่มีความผิดเพี้ยนของสี
รายละเอียดของภาพมีคุณภาพสูง
เทียบเท่ากันระบบ PAL ข้อเสีย
ข้อเสีย
•ภาพจะมีการสั่นไหวเหมือนระบบ PAL
•เกิดมีสีรบกวนในขณะรับชมรายการได้
บทสรุป สัญญาณโทรทัศน์สีในระบบต่างๆที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มีหลักการ
ออกแบบคล้ายกัน คือ การส่งโทรทัศน์สีจะต้องทาให้เครื่องรับโทรทัศน์
ขาว-ดาและเครื่องรับโทรทัศน์สีรับสัญญาณได้ โดยสัญญาณที่ส่งออก
อากาศจะต้องเป็นสัญญาณเดียวกัน ส่วนคุณภาพของภาพโทรทัศน์นั้น
ขึ้นอยู่กับข้อจากัดทางเทคนิคการกาหนดภาพที่เหมาะสมมี 2 ระบบหลัก
คือ 25 ภาพ/วินาที และ 30 ภาพ/วินาที สัญญาณโทรทัศน์สีในระบบ
analog นี้จะถูกเปลี่ยนเข้ารหัสเป็นระบบ digital ก่อนที่จะส่งเป็น
สัญญาณโทรทัศน์ระบบ digital
โทรทัศน์ความละเอียดสูง เป็นการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ที่มี
ความละเอียดของภาพมากกว่าสัญญาณโทรทัศน์แบบดั้งเดิม(NTSC,
SÉCAM,PAL)สัญญาณจะถูกแพร่ภาพในระบบโทรทัศน์ระบบdigital
การถ่ายทอดสัญญาณภาพHDเกิดขึ้นครั้งแรกของโลกในช่วงปี
ค.ศ.1980 สถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศระบบ HD แห่งแรกของโลกคือ
สถานีโทรทัศน์ NBCของสหรัฐอเมริกา จากนั้นเริ่มแพร่หลายไปใน ยุโรป
ช่วงยุคปี ค.ศ.1992 ในปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมามีข้อบังคับ
อยู่ว่าโทรทัศน์ที่ถูกผลิตหลังจากนี้เป็นต้นไปจะต้องมีตัวรับสัญญาณแบบ
HDTV อยู่ในตัวด้วย และสัดส่วนเป็น 16:9 ทั้งหมด
HDTV
(High-definition television)
ประเทศไทยกับระบบ HD เริ่มทดลองเป็นครั้งแรกมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2550 โดย ทรูวิชั่นส์ และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี
พ.ศ. 2553 ไทยเป็นประเทศที่สามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่ม
ออกอากาศโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแบบ HD สาหรับโทรทัศน์
ภาคพื้นดินนั้นยังไม่มีการออกอากาศระบบ HD เพราะต้องรอ กสทช.
อนุญาตในการส่งสัญญาณโทรทัศน์ระบบ digital เสียก่อนทรูวิชั่นส์
ได้ออกอากาศด้วยระบบ HD อย่างเป็นทางการเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ.
2553 ในระบบดาวเทียม เครือข่ายไทยคม 5 ระบบ Ku-Band ด้วย
เทคโนโลยี โทรทัศน์ระบบdigital DVB-S2 แบบ MPEG-2/HD และใน
ระบบเคเบิลทีวีระบบdigital DVB-C2 โดยเริ่มแรกที่เปิดให้บริการมี 3
ช่อง HD คือ True Sport HD, HBO HD และ True Reality HD
และในปีช่วงกลางปี พ.ศ. 2554 ได้เพิ่มช่อง HD อีก 8 ช่อง คือ True
Sport HD2, National Geographic Channel HD, Discovery
HD World, Star Movies HD, Fox Family Movies HD, AXN
HD, KMTV HD และ I Concerts HD โดยผู้รับต้องเปลี่ยนอุปกรณ์
ใหม่ที่รองรับระบบ HD III Broadband ผู้ให้บริการเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีบริการ 3BB HDTV แบบบอกรับเป็น
สมาชิกบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่ลูกค้า โดยสามารถต่อ
อุปกรณ์ Set Top Box เข้ากับเครื่องรับโทรทัศน์ที่รองรับเพื่อรับชม
รายการต่างๆ ซึ่งถือเป็น HDTV ด้วยเทคโนโลยี โทรทัศน์ระบบ
digital IPTV
รูปแบบไฟล์เสียง
ย่อมาจาก เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากกับโปรแกรมบนMac
เพราะ Apple เป็นผู้ริเริ่ม เป็นได้ทั้ง Mono และ Stereo
ความละเอียดเริ่มต้นที่ 8 Bit/22 kHz ไปจนถึง 24 bit/ 96
kHz และมากกว่านั้น
AIFF
(Audio Interchange File Format)
ไฟล์เสียง wave เป็นไฟล์เสียงที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด
ไฟล์ประเภทนี้มีนามสกุล .wav จัดเป็นไฟล์เสียงมารฐานที่ใช้กับ Windows
คุณสมบัติที่สาคัญคือครอบคลุมความถี่เสียงได้ทั้งหมด ทาให้คุณภาพเสียงดีมาก
และยังให้เสียงในรูปแบบสเตอริโอได้อีกด้วย
ข้อเสียคือไฟล์ .wav มีขนาดใหญ่ทาให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูลมาก
WAVE
ไฟล์ CDA เป็นไฟล์เพลงบนแผ่น CD ที่ใช้กับเครื่องเล่น CD ทั่วไป
ไฟล์ประเภทนี้เมื่อนามาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมสาหรับ
เล่น CD จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูปของแทร็กเสียง (Audio Tack)
แต่ถ้าดูด้วย Windows Explorer จะเห็นเป็นไฟล์มีนามสกุล .cda
ไฟล์ CDA มีคุณสมบัติทางเสียงเหมือนกับไฟล์ wave คือให้คุณภาพ
เสียงที่ดีเป็นธรรมชาติ จึงนิยมใช้บันทึกลงบนแผ่น CD เป็นสื่อดนตรี
เรียกทั่วไปว่า "CD เพลง "
CDA (CD Audio)
MP3
• Extension .mp3
• บีบอัดเล็กกว่า wave ประมาณ 10 เท่า
• คุณภาพเสียงดี
• โปรแกรมใช้งานมีมาก เช่น Winamp, MP3 Player,
Windows Media Player, Musicmatch Jukebox ฯลฯ
RealAudio
•Extension เป็น .ra หรือ .rm
•เป็นไฟล์ประเภท Streaming ใช้งานบน Internet
OGG
• Extenstion .ogg (ไฟล์ Ogg Vorbis)
• ใช้เทคโนโลยีบีบอัดแบบใหม่ เล็กกว่า MP3 แต่คุณภาพเสียงดีกว่า
• Open Source Project
• Streaming นิยมใน Internet
• เข้ารหัสเสียงได้หลายแบบทั้งmono,stereo
จนถึงระบบ 5.1 Surround Sound
ไฟล์เสียง MIDI ไฟล์ข้อมูลเสียงดนตรี โดยมีนามสกุล .midi
ไฟล์ MIDI จะบรรจุข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้เสียงดนตรี เมื่อเล่น
ไฟล์ MIDI ก็จะเป็นการสั่งให้อุปกรณ์นั้นๆให้มีเสียงดนตรีออกมา
เมื่อนามาเรียงกันก็จะกลายเป็นท่วงทานองดนตรีซึ่งก็คือเสียงเพลง
นั่นเอง MIDI มีขนาดของไฟล์ที่เล็กมากทาให้นิยมใช้ในการเก็บ
ข้อมูลที่เป็นเสียงดนตรี ดังจะเห็นได้จากวงดนตรีประเภทเล่นคน
เดียวจะใช้ข้อมูลเพลงจากแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว
MIDI
• รูปแบบไฟล์แบบหนึ่งของบริษัทไมโครซอฟต์
• ชื่อเต็มคือ Windows Media Audio
• Extenstion .wma ไฟล์ WMA เป็นคู่แข่งของ mp3 และ
Real Audio เพราะมีคุณสมบัติด้านการ Streaming
เช่นเดียวกัน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดของ
ไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ทาให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการ
ดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ต
• เดิมต้องเล่นผ่านโปรแกรม Windows Media Player เท่านั้น
WMA
แบบทดสอบ โปรแกรม Windows Movie Maker
ข้อที่ 1) โปรแกรม Windows Movie Maker
คือ โปรแกรมอะไร
1) โปรแกรมดูหนัง ฟังเพลง
2) โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ
3) โปรแกรมนำเสนอภำพนิ่ง
4) โปรแกรมกล้องวีดีโอ
ข้อที่ 2) สัญลักษณ์ใดเป็นสัญลักษณ์ของโปรแกรม
Windows Movie Maker
1
2
3
4
ข้อที่ 3) Timeline เป็นส่วนประกอบที่ใช้ ทำอะไร
1) ดูตัวอย่ำงวีดีโอ หรือภำพ
2) เป็นรำยกำรกลุ่มคำสั่งต่ำงๆ
3) เรียบเรียงเรี่องรำวของภำพวีดีโอ และเสียง
4) ปุ่มที่ใช้ควบคุมกำรแสดงตัวอย่ำงวีดีโอ หรือภำพ
ข้อที่ 4) ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ของ Storyboard
1) ดูตัวอย่ำงวีดีโอ หรือภำพได้
2) ใส่ Effect ระหว่ำงคลิปได้
3) ใส่ Transition ระหว่ำงคลิปได้
4) ใส่เพลงลงในวีดีโอ หรือรูปภำพได้
ข้อที่ 5) ข้อใด คือ นำมสกุลของโปรแกรม Windows Movie
Maker
1) .WMV
2) .AVI
3) .FLV
4) .GIF
ข้อที่ 6) Capture Video เป็นกลุ่มคำสั่งสำหรับทำอะไร
1) ปรับแต่ง และตัดต่อวีดีโอ
2) บันทึกวีดีโอจำกกล้อง นำเข้ำไฟล์ประเภทต่ำงๆ
3) เรียกดูคำแนะนำ และวิธีกำรใช้งำนในเรื่องต่ำงๆ
4) จัดกำรกับผลลัพธ์ของวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อที่ 7) Edit Movie เป็นกลุ่มคำสั่งสำหรับทำอะไร
1) ปรับแต่ง และตัดต่อวีดีโอ
2) บันทึกวีดีโอจำกกล้อง นำเข้ำไฟล์ประเภทต่ำงๆ
3) เรียกดูคำแนะนำ และวิธีกำรใช้งำนในเรื่องต่ำงๆ
4) จัดกำรกับผลลัพธ์ของวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อที่ 8) Finish Movie เป็นกลุ่มคำสั่งสำหรับทำอะไร
1) ปรับแต่ง และตัดต่อวีดีโอ
2) บันทึกวีดีโอจำกกล้อง นำเข้ำไฟล์ประเภทต่ำงๆ
3) เรียกดูคำแนะนำ และวิธีกำรใช้งำนในเรื่องต่ำงๆ
4) จัดกำรกับผลลัพธ์ของวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อที่ 9) Movie Making Tips เป็นกลุ่มคำสั่งสำหรับทำอะไร
1) ปรับแต่ง และตัดต่อวีดีโอ
2) บันทึกวีดีโอจำกกล้อง นำเข้ำไฟล์ประเภทต่ำงๆ
3) เรียกดูคำแนะนำ และวิธีกำรใช้งำนในเรื่องต่ำงๆ
4) จัดกำรกับผลลัพธ์ของวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อที่ 10) กำรกำหนดข้อควำมให้อยู่บนคลิป ที่อยู่ใน Timeline จะต้องให้คำสั่งใด
1) Add title before the selected clip in the timeline.
2) Add title on the selected clip in the timeline.
3) Add title after the selected clip in the timeline.
4) Add title at the beginning of the movie.
Multimedia 1

Multimedia 1