SlideShare a Scribd company logo
1
ปทกุสลมาณวชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๖. ปทกุสลมาณวชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๓๒)
ว่าด้วยมาณพผู้ฉลาดในการสะกดรอย
(ภรรยากล่าวกับนายปาฏลีผู้เป็ นสามีว่า)
[๔๙] แม่น้าคงคาย่อมพัดพาพี่ปาฏลีผู้คงแก่เรียน ขับเพลงได้ไพเราะ
แน่ะพี่ผู้กาลังถูกน้าพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่พี่
ขอพี่จงให้บทเพลงแก่น้องสักบทหนึ่งเถิด
(สามีกล่าวว่า)
[๕๐] น้าใดที่เขาใช้รดคนประสบทุกข์หรือคนกระสับกระส่าย
เรากาลังจะตายในท่ามกลางน้านั้น ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(ช่างหม้อกล่าวว่า)
[๕๑] แผ่นดินใดที่พืชทั้งหลายงอกขึ้นได้หรือที่สัตว์ทั้งหลายดารงอยู่
แผ่นดินนั้นกาลังบีบศีรษะของข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(ชายคนหนึ่งกล่าวว่า)
[๕๒] ไฟใดที่เขาใช้หุงข้าว หรือที่เขาใช้บาบัดความหนาว
ไฟนั้นกาลังไหม้ตัวข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(ชายคนหนึ่งกล่าวว่า)
[๕๓] ข้าวใดที่พวกพราหมณ์และกษัตริย์จานวนมากใช้ยังชีพ
ข้าวนั้นข้าพเจ้าบริโภคแล้วกาลังจะฆ่าข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(ชายคนหนึ่งกล่าวว่า)
[๕๔] ลมใดในเดือนท้ายของฤดูร้อนที่พวกบัณฑิตปรารถนา
ลมนั้นกาลังทาลายตัวข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(พญานาคกล่าวว่า)
[๕๕] ต้นไม้ใดที่นกพากันมาอาศัย ต้นไม้นั้นกาลังพ่นไฟ
นกทั้งหลายพากันหลบหนีไปยังทิศทั้งหลาย ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(หญิงชรากล่าวกับลูกชายว่า)
[๕๖] หญิงสะใภ้ใดผู้มีความพอใจ ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้
ลูบไล้ด้วยจันทน์หอมที่เรานามา หญิงสะใภ้นั้นกาลังไล่เราออกจากเรือน
ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(ชายชราคร่าครวญว่า)
[๕๗] ลูกคนใดที่เกิดมาแล้วเป็ นเหตุให้เรายินดี
และปรารถนาความเจริญ ลูกคนนั้นกาลังไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
(พระโพธิสัตว์กล่าวว่า)
2
[๕๘] ขอชาวชนบทและชาวนิคมที่มาประชุมพร้อมกันจงฟังข้าพเจ้า
ที่ใดมีน้า ที่นั้นกลับร้อน ที่ใดปลอดภัย ที่นั้นกลับมีภัย
[๕๙] พระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตปล้นแว่นแคว้น
ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตัวอยู่เถิด ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง
ปทกุสลมาณวชาดกที่ ๖ จบ
-----------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ปทกุศลมาณวชาดก
ว่าด้วย ภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภทารกคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ทารกนั้นเป็ นบุตรของกุฎุมพีในนครสาวัตถี
ได้เป็นผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ในเวลาที่ตนมีอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น.
ครั้งนั้น บิดาของเขาคิดว่าจักทดลองลูกคนนี้
จึงได้ไปเรือนของเพื่อนโดยที่ทารกนั้นไม่รู้เลย ทารกนั้นก็มิได้ถามที่ไปของบิดา
เดินไปโดยสังเกตรอยเท้าของบิดา ได้ไปยืนอยู่ที่สานักของบิดา
อยู่มาวันหนึ่ง บิดาได้ถามทารกนั้นว่า ลูกรัก
เมื่อพ่อไปก็ไปโดยมิให้เจ้ารู้ แต่เจ้ารู้ที่ไปของพ่อได้อย่างไร?
เขากล่าวตอบบิดาว่า พ่อจ๋า ฉันจารอยเท้าของพ่อได้
ฉันฉลาดในการสังเกตรอยเท้า.
ลาดับนั้น บิดาของเขาต้องการจะทดลองอีก เมื่อบริโภคอาหารเช้าแล้ว
ออกจากเรือนไปยังเรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดๆ กัน
แล้วออกจากเรือนนั้นไปยังเรือนที่ ๓ ออกจากเรือนที่ ๓
มายังประตูเรือนของตนอีก
แล้วออกจากประตูเรือนของตนไปยังประตูเมืองทิศอุดร
ออกประตูนั้นอ้อมเมืองไปทางซ้าย ไปถึงพระเชตวันวิหาร
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่งฟังธรรมอยู่.
ทารกถามพวกบ้านว่า พ่อฉันไปไหน เมื่อได้รับคาตอบว่า ไม่ทราบ
จึงได้สังเกตรอยเท้าของบิดา ตั้งต้นแต่เรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดๆ กัน
ไปตามทางที่บิดาไปนั่นแหละ จนถึงพระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
ไปยืนอยู่ใกล้ๆ บิดา เมื่อบิดาถามว่า ลูกรัก เจ้ารู้ว่าพ่อมาในที่นี้หรือ? เขาตอบว่า
ฉันจารอยเท้าพ่อไปจึงได้มา โดยสังเกตรอยเท้า.
พระศาสดาตรัสถามว่า พูดอะไรกันอุบาสก? เมื่อกุฎุมพีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เด็กคนนี้ฉลาดสังเกตรอยเท้า
ข้าพระองค์ทดลองเด็กนี้จึงได้มาโดยอุบายนี้
3
แลเด็กนี้ครั้นไม่เห็นข้าพระองค์ในเรือน ได้มาโดยสังเกตรอยเท้าข้าพระองค์
จึงตรัสว่า อุบาสก การจารอยเท้าบนพื้นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิตก่อนๆ
จารอยเท้าในอากาศได้
กุฎุมพีนั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว
จึงทรงนาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระอัครมเหสีของพระองค์ประพฤตินอกใจ
เมื่อพระราชาตรัสถามก็สบถสาบานว่า ถ้าหม่อมฉันประพฤตินอกใจพระองค์
ขอให้หม่อมฉันเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า.
ต่อจากนั้น พระนางได้สิ้นพระชนม์ เกิดเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า
ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งอยู่ในคูหา จับมนุษย์ที่สัญจรไปมาในดงใหญ่
ในทางที่ไปจากต้นดงถึงปลายดง เคี้ยวกินเป็นอาหาร
ได้ยินว่านางยักษิณีนั้นไปบาเรอท้าวเวสวัณอยู่ ๓ ปี
ได้รับพรให้เคี้ยวกินมนุษย์ได้ในที่ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์.
อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์รูปงามคนหนึ่งเป็ นผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก
แวดล้อมไปด้วยมนุษย์จานวนมาก เดินมาทางนั้น
นางยักษิณีเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงวิ่งไป
พวกมนุษย์ผู้เป็ นบริวารพากันหนีไปหมด นางยักษิณีวิ่งเร็วอย่างลม
จับพราหมณ์ได้แล้วให้นอนบนหลังไปคูหา
เมื่อได้ถูกต้องกับบุรุษเข้าก็เกิดสิเนหาในพราหมณ์นั้นด้วยกิเลส
จึงมิได้เคี้ยวกินเขาเอาไว้เป็ นสามีของตน แล้วทั้ง ๒
ต่างก็อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีตั้งแต่นั้นมา
นางยักษิณีก็เที่ยวจับมนุษย์ถือเอาผ้า ข้าวสารและน้ามันเป็ นต้น
มาปรุงเป็นอาหารมีรสเลิศต่างๆ ให้สามี ตนเองเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์
เวลาที่นางจะไปไหนนางได้เอาหินแผ่นใหญ่ปิดประตูถ้าก่อนแล้วจึงไป
เพราะกลัวพราหมณ์จะหนี
เมื่อเขา ๒ คนอยู่กันอย่างปรีดาปราโมทย์เช่นนี้
พระโพธิสัตว์เคลื่อนจากฐานะที่พระองค์เกิด
มาถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางยักษิณีนั้น เพราะอาศัยพราหมณ์ พอล่วงไปได้ ๑๐
เดือน นางยักษิณีก็คลอดบุตร นางได้มีความสิเนหาในบุตรและพราหมณ์มาก
ได้เลี้ยงดูคนทั้งสองเป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว
นางยักษิณีได้ให้บุตรเข้าไปภายในถ้าพร้อมกับบิดาแล้วปิดประตูเสีย
ครั้นวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์รู้ว่านางยักษิณีนั้นไปแล้ว
จึงได้เอาศิลาออกพาบิดาไปข้างนอก นางยักษิณีมาถามว่า ใครเอาศิลาออก
4
เมื่อพระโพธิสัตว์ตอบว่า ฉันเอาออกจ้ะแม่ ฉันไม่สามารถนั่งอยู่ในที่มืด
นางก็มิได้ว่าอะไรเพราะรักบุตร.
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ถามบิดาว่า พ่อจ๋า
เหตุไรหน้าของแม่ฉันจึงไม่เหมือนหน้าของพ่อ. พราหมณ์ผู้เป็ นบิดากล่าวว่า
ลูกรัก แม่ของเจ้าเป็นยักษิณีที่กินเนื้อมนุษย์ เราสองพ่อลูกนี้เป็ นมนุษย์.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อจ๋า ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในที่นี้ทาไม ไปเถิดพ่อ
เราไปแดนมนุษย์กันเถิด. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก
ถ้าเราหนีแม่ของเจ้าก็จักฆ่าเราทั้งสองเสีย พระโพธิสัตว์พูดเอาใจบิดาว่า
อย่ากลัวเลยพ่อ ฉันรับภาระพาพ่อไปให้ถึงแดนมนุษย์.
ครั้นวันรุ่งขึ้น เมื่อมารดาไปแล้วได้พาบิดาหนี
นางยักษิณีกลับมาไม่เห็นคนทั้งสองนั้น จึงวิ่งไปเร็วอย่างลม
จับคนทั้งสองนั้นได้แล้วกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านหนีทาไม
ท่านอยู่ที่นี้ขาดแคลนอะไรหรือ? เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า น้องรัก
เธออย่าโกรธพี่เลย ลูกของเธอพาพี่หนีดังนี้ นางก็มิได้ว่าอะไรแก่เขา
เพราะความสิเนหาในบุตร
ปลอบโยนคนทั้งสองให้เบาใจแล้วพาไปยังที่อยู่ของตน. ในวันที่ ๓
นางยักษิณีก็ได้นาคนทั้งสองซึ่งหนีไปอยู่อย่างนั้นกลับมาอีก.
พระโพธิสัตว์คิดว่า แม่ของเราคงจะมีที่ที่เป็นเขตกาหนดไว้
ทาอย่างไรเราจึงจะถามถึงแดนที่อยู่ในอาณาเขตของแม่นี้ได้
เมื่อถามได้เราจักหนีไปให้เลยเขตแดนนั้น. วันหนึ่ง
พระโพธิสัตว์กอดมารดานั่งลง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า แม่จ๋า
ธรรมดาของที่เป็นของแม่ย่อมตกอยู่แก่พวกลูก
ขอแม่ได้โปรดบอกเขตกาหนดพื้นดินที่เป็นของแม่แก่ฉัน
นางยักษิณีบอกที่ซึ่งยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์
มีภูเขาเป็นต้นเป็นเครื่องหมายในทิศทั้งปวงแก่บุตร แล้วกล่าวว่า ลูกรัก
เจ้าจงกาหนดที่นี้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ไว้
ครั้นล่วงไปได้สองสามวัน เมื่อมารดาไปดงแล้ว
พระโพธิสัตว์ได้แบกบิดาขึ้นคอวิ่งไปโดยเร็วอย่างลม ตามสัญญาที่มารดาให้ไว้
ถึงฝั่งแม่น้าอันเป็ นเขตกาหนด นางยักษิณีกลับมาเมื่อไม่เห็นคนทั้งสอง
ก็ออกติดตาม พระโพธิสัตว์พาบิดาไปถึงกลางแม่น้า
นางยักษิณีไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้า รู้ว่าคนทั้งสองล่วงเลยเขตแดนของตนไปแล้ว
จึงยืนอยู่ที่นั้นเอง วิงวอนบุตรและสามีว่า ลูกรัก เจ้าจงพาพ่อกลับมา
แม่มีความผิดอะไรหรือ? อะไรๆ ไม่สมบูรณ์แก่พวกท่าน เพราะอาศัยเราหรือ?
กลับมาเถิด ผัวรัก ดังนี้.
ลาดับนั้น พราหมณ์ได้ข้ามแม่น้าไปแล้ว นางยักษิณีวิงวอนบุตรว่า
5
ลูกรัก เจ้าอย่าได้ทาอย่างนี้ เจ้าจงกลับมาเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่
ฉันและพ่อเป็นมนุษย์ แม่เป็นยักษิณี ฉันไม่อาจอยู่ในสานักของแม่ได้ตลอดกาล
ฉะนั้น ฉันกับพ่อจักไม่กลับ. นางยักษิณีถามว่า เจ้าจักไม่กลับหรือลูกรัก.
พระโพธิสัตว์ตอบว่า ใช่ ลูกจะไม่กลับดอกแม่ นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก
ถ้าเจ้าจักไม่กลับก็ตามเถิด ขึ้นชื่อว่าชีวิตในโลกนี้เป็ นของยาก
คนที่ไม่รู้ศิลปวิทยาไม่อาจที่จะดารงชีพอยู่ได้ แม่รู้วิชาอย่างหนึ่งชื่อจินดามณี
ด้วยอานุภาพของวิชานี้อาจที่จะติดตามรอยเท้าของผู้ที่หายไปแล้วสิ้น ๑๒
ปีเป็นที่สุด วิชานี้จักเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตเจ้า ลูกรัก
เจ้าจงเรียนมนต์อันหาค่ามิได้นี้ไว้ ว่าดังนั้นแล้ว ทั้งๆ
ที่ถูกความทุกข์เห็นปานนั้นครอบงา นางก็ได้สอนมนต์ให้ด้วยความรักลูก.
พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ในแม่น้านั่นเอง
ไหว้มารดาแล้วประณมมือเรียนมนต์ ครั้นเรียนได้แล้วได้ไหว้มารดาอีก
แล้วกล่าวว่า แม่ ขอแม่จงไปเถิด นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก
เมื่อเจ้าและพ่อของเจ้าไม่กลับ ชีวิตของแม่ก็จักไม่มี แล้วกล่าวคาถาว่า :-
ลูกรัก เจ้าจงมาหาแม่ จงกลับไปอยู่กับแม่เถิด
อย่าทาให้แม่ไม่มีที่พึ่งเลย เมื่อแม่ไม่ได้เห็นลูกก็ต้องตายในวันนี้.
ครั้นกล่าวแล้ว นางยักษิณีได้ทุบหน้าอกของตนเอง ทันใดนั้น
หทัยของนางได้แตกทาลาย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร
นางตายแล้วล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง. ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ทราบว่ามารดาตาย
จึงเรียกบิดาไปใกล้มารดาแล้วทาเชิงตะกอนเผาศพมารดา
ครั้นเผาเสร็จแล้วได้บูชาด้วยดอกไม้นานาชนิด พลางร้องไห้คร่าครวญ
พาบิดาไปนครพาราณสี ยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์
ให้กราบทูลแด่พระเจ้าพาราณสีว่า
มีมาณพผู้ฉลาดสังเกตรอยเท้ามายืนอยู่ที่พระทวารขอเข้าเฝ้ า
เมื่อได้รับเชื้อเชิญว่า ถ้าเช่นนั้นจงเข้ามาเถิด
ได้เข้าไปถวายบังคมพระเจ้าพาราณสี
เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้ารู้ศิลปวิทยาอะไร?
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ข้าพระองค์รู้วิชาที่สามารถไปตามรอยเท้าแล้วจับคนที่ลักสิ่งของไปแล้วนานถึง
๑๒ ปีได้.
พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรับราชการอยู่กับเรา.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์ได้รับพระราชทานทรัพย์วันละพัน
จึงจะขอรับราชการ พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ดีแล้วพ่อ เจ้าจงรับราชการเถิด
พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์วันละพันทุกวันแล้ว.
อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า
6
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เราทั้งหลายไม่รู้ว่ามาณพนั้นจะมีศิลปะนั้นหรือไม่มี
เพราะเขายังมิได้ทากรรมอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยอานุภาพของศิลปวิทยา
ควรจักทดลองมาณพนั้นก่อน พระราชารับสั่งว่า ดีแล้ว
ทั้งสองคนจึงให้สัญญาแก่เจ้าพนักงานรักษารัตนะ
แล้วถือเอาแก้วดวงสาคัญลงจากปราสาท เดินวนเวียนภายในพระราชนิเวศน์ ๓
ครั้ง แล้วพาดบันไดลงข้างนอกปลายกาแพง เข้าไปศาลยุติธรรม
นั่งในศาลนั้นแล้วเดินกลับมา พาดบันได
ลงภายในพระราชนิเวศน์ทางปลายกาแพง
เดินไปยังฝั่งสระโบกขรณีภายในพระราชวัง เวียนสระโบกขรณี ๓ รอบ
แล้วลงไปวางสิ่งของไว้ในสระโบกขรณี แล้วจึงไปขึ้นปราสาท.
วันรุ่งขึ้นได้เกิดโกลาหลกันว่า ได้ยินว่า
พวกโจรลักแก้วไปจากพระราชนิเวศน์ พระราชาทาเป็นทรงทราบ
รับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า แก้วมีค่ามาก
ถูกโจรลักไปจากพระราชนิเวศน์ เอาเถิด เจ้าควรติดตามแก้วนั้นมาให้ได้.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
สิ่งของที่โจรลักไปแล้วนานถึง ๑๒ ปี ข้าพระองค์ยังสามารถติดตามรอยเท้า
โจรนาคืนมาได้อย่างไม่น่าแปลกสิ่งของที่ถูกลักไปเมื่อคืนนี้
ข้าพระองค์จักสามารถนามาได้ในวันนี้แน่
ขอพระองค์อย่าได้ทรงปริวิตกถึงสิ่งของนั้นเลย
พระราชารับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงนามาเถิด
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วยืนขึ้นที่ท้องพระโรง
ไหว้มารดาร่ายมนต์จินดามณี แล้วกราบทูลว่า รอยเท้าของโจร ๒
คนปรากฏพระเจ้าข้า
แล้วตามรอยเท้าของพระราชาและปุโรหิตเข้าไปยังห้องสิริมงคล
ออกจากห้องนั้นลงจากปราสาทวนเวียนอยู่ในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง
แล้วไปใกล้กาแพงตามรอยเท้านั่นแหละ ยืนบนกาแพงแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พ้นจากกาแพงในที่นี้ไปแล้วรอยเท้าปรากฏในอากาศ
ขอพระองค์จงพระราชทานบันได แล้วให้พาดบันไดลงทางปลายกาแพง
ไปศาลยุติธรรมตามรอยเท้านั่นแหละ แล้วเดินกลับมายังพระราชนิเวศน์อีก
ให้พาดบันไดแล้วลงทางปลายกาแพงไปสระโบกขรณี เดินเวียนขวาสระโบกขรณี
๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรลงสระโบกขรณีนี้
แล้วลงไปนาสิ่งของซึ่งดุจตนวางไว้เองมาถวายพระเจ้าพาราณสี แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โจร ๒ คนนี้เป็นมหาโจรที่พระองค์ทรงรู้จักดี
จึงได้ขึ้นพระราชนิเวศน์ตามทางนี้
มหาชนพากันชื่นชมยินดีต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่ บางพวกก็ยกผ้าขึ้นโบก.
7
พระราชาทรงพระดาริว่า มาณพนี้เดินไปโดยสังเกตรอยเท้าเห็น
จะรู้แต่ตาแหน่งสิ่งของที่พวกโจรวางไว้เท่านั้น แต่ไม่อาจจับโจรได้ที่นั้น
พระราชาจึงได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า เจ้านาสิ่งของที่พวกโจรลักไปมาให้เราได้
แต่ไม่อาจจับพวกโจรมาให้เราได้ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรอยู่ในที่นี้แหละมิได้อยู่ไกลเลย
พระราชามีพระดารัสว่า ใครเป็ นโจร ใครเป็นโจร? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดย่อมอยากได้อยู่ผู้นั้นแหละเป็ นโจร
เมื่อได้สิ่งของของพระองค์มาแล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเล่า
ขอพระองค์อย่าได้ถามถึงเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า
เราให้ทรัพย์แก่เจ้าวันละพันทุกวัน เจ้าจงจับพวกโจรมาให้เรา.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ทรัพย์ที่หายไปพระองค์ก็ได้แล้ว
จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า
เราได้พวกโจรเหมาะกว่าได้ทรัพย์.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น
ข้าพระองค์จักไม่กราบทูลแด่พระองค์ว่า คนเหล่านี้เป็นโจร
แต่จักนาเรื่องที่เป็นไปแล้วในอดีตมากราบทูลพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงพระปรีชา
ก็จะทรงทราบเรื่องนั้น
ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ได้นาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ในอดีตกาล
มีมาณพนักฟ้ อนคนหนึ่งชื่อปาฏลี อยู่ในบ้านน้อยริมฝั่งแม่น้าไม่ไกลพระนครพาร
าณสีนัก วันหนึ่งมีการมหรสพ เขาพาภรรยาไปพระนครพาราณสี
ฟ้ อนราขับร้องได้ทรัพย์
ครั้นเลิกการมหรสพแล้ว
ได้ซื้อสุราอาหารเป็นจานวนมากเดินกลับบ้านของตน
ถึงฝั่งแม่น้าเห็นน้าใหม่กาลังไหลมา
จึงนั่งบริโภคอาหารดื่มสุราเมาจนไม่รู้กาลังของตน เอาพิณใหญ่ผูกคอแล้วลงน้า
จับมือภรรยาพูดว่า เราไปกันเถิด แล้วว่ายข้ามแม่น้าไป.
น้าได้เข้าไปตามช่องพิณ.
ครานั้น พิณนั้นได้ถ่วงเขาจมลงในน้า ฝ่ายภริยาของเขารู้ว่าสามีจมน้า
จึงสลัดเขาขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง. มาณพนักฟ้ อนจมน้าผลุบโผล่ๆ อยู่
ดื่มน้าเข้าไปจนเต็มท้อง ลาดับนั้น ภรรยาของเขาจึงคิดว่า
สามีของเราจักตายในบัดนี้ เราจักขอเพลงขับไว้สักบทหนึ่ง
เอาไว้ขับในท่ามกลางบริษัทเลี้ยงชีพ คิดดังนี้แล้วจึงได้กล่าวว่า พี่ พี่กาลังจะจมน้า
ขอท่านจงให้เพลงขับแก่ฉันบทหนึ่ง ฉันจักเลี้ยงชีพด้วยเพลงขับนั้น
แล้วกล่าวคาถาว่า:-
8
แม่น้าคงคาพัดพาเอามาณพชื่อปาฏลี ผู้คงแก่เรียน
มีถ้อยคาไพเราะให้ลอยไป พี่ผู้ถูกน้าพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่พี่
ขอพี่จงให้เพลงขับบทน้อยๆ แก่ฉันสักบทหนึ่งเถิด.
ลาดับนั้น ปาฏลีนักฟ้ อนได้กล่าวกะภรรยาว่า
น้องรักพี่จักให้เพลงขับแก่เจ้า อย่างไรได้ น้าซึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน บัดนี้
กาลังจักฆ่าพี่อยู่แล้ว แล้วกล่าวคาถาว่า :-
ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่ได้รับความทุกข์ด้วยน้าใด
ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่เร่าร้อนด้วยน้าใด เราจักตายในท่ามกลางน้านั้น
ภัยเกิดแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระโพธิสัตว์แสดงคาถานี้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
น้าเป็ นที่พึ่งของมหาชนฉันใด แม้พระราชาทั้งหลายก็เป็ นที่พึ่งของมหาชนฉันนั้น
เมื่อภัยเกิดแต่สานักของพระราชาเหล่านั้นแล้ว ใครจักป้ องกันภัยนั้นได้ ดังนี้แล้ว
กราบทูลอีกว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เรื่องโจรลักพระราชทรัพย์นี้เป็นเรื่องลับ
แต่ข้าพระองค์กราบทูลอย่างที่บัณฑิตจะรู้ได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด
พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า
เราจะรู้เรื่องลี้ลับเห็นปานนี้ได้อย่างไร เจ้าจงจับโจรมาให้เราเถิด ลาดับนั้น
พระมหาสัตว์ได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น
พระองค์ทรงสดับเรื่องนี้แล้วจะทรงทราบ แล้วนาเรื่องมาเล่าถวายอีกเรื่องหนึ่ง
ดังต่อไปนี้ :-
ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนที่บ้านใกล้ประตูพระนครพาราณสีนี้
มีช่างหม้อคนหนึ่ง เมื่อจะนาดินเหนียวมาเพื่อต้องการปั้นภาชนะ
ได้ขุดเอาดินเหนียวในที่แห่งเดียวนั่นเอามาเป็นนิจ จนเป็ นหลุมใหญ่
ภายในเป็นเงื้อม
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อช่างหม้อนั้นกาลังขุดเอาดินเหนียว
เมฆก้อนใหญ่ตั้งเค้าขึ้นในเวลาไม่ใช่ฤดูฝน
ให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่น้าไหลท่วมหลุมพังทะลายลงไปทับศีรษะนายช่างหม้อนั้นแ
ตก
นายช่างหม้อร้องคร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :-
พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดินใด
สัตว์ทั้งหลายดารงอยู่ได้บนแผ่นดินใด แผ่นดินนั้นก็พังทับศีรษะของเราแตก
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์
แผ่นดินใหญ่เป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ได้ทาลายศีรษะของนายช่างหม้อฉันใด
เมื่อพระราชาผู้เป็ นจอมแห่งนรชนเป็ นที่พึ่งอาศัยแห่งสัตวโลกทั้งหมด
เสมอด้วยแผ่นดินใหญ่ มากระทาโจรกรรมอย่างนี้ ใครเล่าจักป้ องกันได้
9
ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์สามารถที่จะทรงทราบตัวโจรที่ข้าพระองค์กราบทูลปกปิดไว้ได้ด้วยอุปม
าอย่างนี้.
พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เหตุที่เราจะปกปิดนั้นไม่มี
เจ้าจงจับโจรให้แก่เราโดยชี้ว่าคนนี้แหละเป็นโจรดังนี้
พระโพธิสัตว์ เมื่อจะรักษาพระเกียรติคุณพระราชา
จึงมิได้กล่าวว่าพระองค์เป็ นโจร ได้นาตัวอย่างมากราบทูลถวายอีกเรื่องหนึ่งว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อน
เมื่อไฟไหม้บ้านของบุรุษคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ เขาใช้คนๆ หนึ่งว่า
เจ้าจงเข้าไปข้างในขนสิ่งของออก
เมื่อคนนั้นกาลังเข้าไปขนของอยู่ประตูเรือนปิด
เขาตามืดเพราะถูกควันหาทางออกไม่ได้เกิดทุกข์ขึ้นเพราะความร้อน
ยืนคร่าครวญอยู่ข้างใน กล่าวคาถาว่า :-
ชนทั้งหลายหุงอาหารด้วยไฟใด บรรเทาความหนาวด้วยไฟใด
ไฟนั้นก็มาไหม้ตัวเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
มนุษย์คนหนึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ราวกะว่าไฟเป็ นที่พึ่งอาศัยฉะนั้น
ได้ลักสิ่งของคือรัตนะไป ขอพระองค์อย่าตรัสถามถึงโจรกะข้าพระองค์เลย
พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงบอกโจรให้แก่เราเถิด
พระโพธิสัตว์มิได้กราบทูลพระราชาว่า พระองค์เป็นโจร
ได้นาตัวอย่างมาถวายอีกเรื่องหนึ่งว่า :-
ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ
บริโภคอาหารมากเกินไป ไม่อาจย่อยได้ ได้รับทุกขเวทนา คร่าครวญอยู่
กล่าวคาถาว่า :-
พราหมณ์และกษัตริย์ทั้งหลาย เป็นจานวนมากเลี้ยงชีพด้วยข้าวสุกใด
ข้าวสุกนั้นเราบริโภคแล้ว ก็มาทาเราให้ถึงความพินาศ
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
คนคนหนึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน เหมือนข้าวสุกได้ลักสิ่งของไป
เมื่อได้สิ่งของนั้นคืนมาแล้ว พระองค์จะถามถึงโจรทาไม
พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เมื่อเจ้าสามารถก็จงนาโจรมาให้เรา
พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า:-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อน
ลมได้ตั้งขึ้นพัดประหารร่างกายของคนคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ
คนคนนั้นคร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :-
10
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาลมในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน
ลมนั้นมาพัดประหารร่างกายเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยด้วยประการดังนี้ ขอพระองค์จงทราบเรื่องนี้เถิด.
พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงจับโจรเถอะ.
เพื่อที่จะให้พระราชาทรงทราบ
พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า :-
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ในอดีตกาล ในหิมวันตประเทศ
มีต้นไม้ใหญ่สมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ เป็ นที่อยู่อาศัยของนกหลายพันตัว
กิ่งสองกิ่งของต้นไม้นั้นเสียดกันจนมีควันเกิดขึ้น แล้วเชื้อไฟหล่นลง
นกนายฝูงเห็นดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
นกทั้งหลายพากันอาศัยต้นไม้ใดที่งอกแต่แผ่นดิน
ต้นไม้นั้นก็พ่นไฟออกมา นกทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็พากันหลบหนีไป
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์
ต้นไม้เป็ นที่พึ่งอาศัยของนกทั้งหลายฉันใด
พระราชาก็เป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชนฉันนั้น เมื่อพระราชานั้นกระทาโจรกรรม
ใครเล่าจะป้ องกันได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดพระพุทธเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงจับโจรให้แก่เราเถิด
ลาดับนั้น
พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลพระราชาอีกเรื่องหนึ่งว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ที่บ้านของชาวกาสีตาบลหนึ่ง
มีแม่น้าที่มีจระเข้อยู่ด้านหลังของตระกูลๆ หนึ่ง
และตระกูลนั้นมีบุตรคนเดียวเท่านั้น เมื่อบิดาของเขาตายเขาได้ปฏิบัติมารดา
มารดาได้นากุลธิดาคนหนึ่งมาให้เขาโดยที่เขาไม่ปรารถนาเลย ตอนแรกๆ
นางกุลธิดานั้นก็รักใคร่แม่ผัวดี ภายหลังเจริญด้วยบุตรและธิดา
จึงอยากจะขับไล่แม่ผัวเสีย แม้มารดาของนางก็อยู่ในเรือนนั้นเหมือนกัน
ครั้งนั้น นางกล่าวโทษแม่ผัวมีประการต่างๆ ต่อหน้าสามี แล้วกล่าวว่า
ฉันไม่อาจที่จะเลี้ยงดูมารดาของพี่ได้ จงฆ่ามารดาของพี่เสีย เมื่อสามีกล่าวว่า
การฆ่ามนุษย์เป็นกรรมหนักฉันจักฆ่าแม่ได้อย่างไร จึงกล่าวว่า ในเวลาที่แกหลับ
เราช่วยกันพาแกไปทั้งเตียงทีเดียว โยนลงแม่น้าที่มีจระเข้
แล้วจระเข้ก็จักฮุบแกไปกิน
สามีถามว่า มารดาของเธอนอนที่ไหน นางตอบว่า นอนอยู่ใกล้ๆ
กับมารดาพี่นั่นแหละ สามีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงไปเอาเชือกผูกเตียงที่มารดาของฉันนอนทาเครื่องหมายไว้
11
ครานั้นนางได้กระทาเช่นนั้นแล้วบอกว่า ฉันได้กระทาเครื่องหมายไว้แล้ว
สามีกล่าวว่า รอสักหน่อยให้คนทั้งหลายหลับเสียก่อน ตนเองก็นอนทาเป็ นหลับ
แล้วไปแก้เชือกนั้นมาผูกที่เตียงของมารดาภรรยา
ปลุกภรรยาขึ้นแล้วทั้งสองคนก็ไปช่วยกันยกขึ้นทั้งเตียงทีเดียว โยนลงไปในน้า
จระเข้ทั้งหลายได้ยื้อแย่งกันเคี้ยวกินมารดาของหญิงนั้นในแม่น้านั้น.
วันรุ่งขึ้น นางรู้ว่ามารดาถูกเปลี่ยนตัวจึงกล่าวว่า พี่
มารดาของฉันถูกฆ่าแล้ว ต่อไปนี้พี่จงฆ่ามารดาของพี่ เมื่อสามีตอบว่า
ถ้าเช่นนั้นตกลง จึงกล่าวว่า เราช่วยกันทาเชิงตะกอนในป่าช้า
แล้วจับแกใส่เข้าไปในไฟให้ตาย
ลาดับนั้น คนทั้งสองได้นามารดาผู้กาลังหลับอยู่ไปวางไว้ที่ป่าช้า
สามีกล่าวกะภรรยาที่ป่าช้านั้นว่า เธอนาไฟมาแล้วหรือ?
ภรรยาตอบว่า ไม่ได้นามาเพราะลืม
สามีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปนามา
ภรรยากล่าวว่า ฉันไม่อาจไปคนเดียว แม้เมื่อพี่ไป
ฉันก็ไม่อาจอยู่คนเดียว เราไปกันทั้งสองคนเถิด เมื่อผัวเมียสองคนไปกันแล้ว
หญิงแก่ตื่นขึ้นเพราะลมหนาว รู้ว่าที่นั่นเป็ นป่าช้าจึงใคร่ครวญดูว่า
ผัวเมียสองคนนี้คงจะประสงค์จะฆ่าเรา มันคงไปเพื่อเอาไฟมาเผาเป็นแน่ คิดว่า
มันไม่รู้กาลังของเราดังนี้ แล้วจึงได้เอาซากศพศพหนึ่งขึ้นนอนบนเตียง
เอาผ้าเก่าคลุมข้างบน แล้วตนเองหนีเข้าถ้าที่เร้นลับใกล้ป่าช้านั้นแหละ
ผัวเมียสองคนนาไฟมาแล้วเผาซากศพด้วยเข้าใจว่า เป็ นหญิงแก่ แล้วหลีกไป.
ก็ครั้งนั้น ในถ้าที่เร้นลับนั้น โจรคนหนึ่งเอาสิ่งของไปเก็บไว้ก่อน
โจรนั้นคิดว่า เราจักไปเอาสิ่งของนั้น
จึงได้มาเห็นหญิงแก่เข้าใจว่าเป็ นยักษิณีตนหนี่ง
สิ่งของของเราเกิดมีอมนุษย์หวงแหนเสียแล้ว จึงได้ไปนาหมอผีมาคนหนึ่ง
ครั้นหมอผีเดินร่ายมนต์เข้าไปในถ้า หญิงแก่จึงกล่าวกะหมอผีนั้นว่า
ฉันไม่ใช่ยักษิณีท่านจงมาเถิด เราทั้งสองจักบริโภคทรัพย์นี้ หมอผีพูดว่า
เราจะเชื่อได้อย่างไร? หญิงแก่พูดว่า ท่านจงเอาลิ้นของท่านวางบนลิ้นของเรา
หมอผีได้กระทาอย่างนั้น ทันใดนั้นหญิงแก่ได้กัดลิ้นของหมอผีขาดตกไป
หมอผีมีโลหิตไหลจากลิ้นคิดว่า หญิงแก่นี้เป็นยักษิณีแน่จึงร้องวิ่งหนีไป
ฝ่ายหญิงแก่นั้น ครั้นวันรุ่งขึ้น
ก็นุ่งผ้าเนื้อเลี่ยนถือเอาสิ่งของคือรัตนะต่างๆ ไปเรือน ลาดับนั้น
หญิงลูกสะใภ้เห็นดังนั้นจึงถามว่า แม่จ๋า แม่ได้สิ่งของนี้ที่ไหน? หญิงแก่ตอบว่า
ลูก คนที่ถูกเผาบนเชิงตะกอนไม้ในป่าช้านั้น ย่อมได้ทรัพย์สิ่งของเห็นปานนี้
หญิงลูกสะใภ้ถามว่า แม่จ๋า ถ้าเช่นนั้นอย่างฉันนี้อาจที่จะได้ไหม?
หญิงแก่ตอบว่า ถ้าจักเป็นอย่างเราก็จักได้
12
ครั้งนั้นด้วยความโลภในสิ่งของเครื่องประดับ
นางได้บอกแก่สามีแล้วให้เผาตนในป่าช้านั้น.
ครั้นในวันรุ่งขึ้นสามีไม่เห็นภรรยากลับมา จึงพูดกะมารดาว่า แม่
ก็แม่มาในเวลานี้ แต่ลูกสะใภ้ทาไมจึงไม่มา. หญิงแก่ได้ฟังดังนั้นจึงดุลูกชายว่า
เฮ้ยไอ้คนเลว! ขึ้นชื่อว่าคนที่ตายแล้วจะมาได้อย่างไร แล้วกล่าวคาถาว่า :-
เรานาหญิงใดผู้มีความโสมนัส ทัดระเบียบดอกไม้
มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลืองมา หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน
ภัยเกิดแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
ข้อนี้อธิบายว่า
เราเข้าใจว่าบุตรของเราจักเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย เพราะอาศัยหญิงนี้
เรานาหญิงใด ผู้มีความโสมนัส ทัดระเบียบดอกไม้
มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลือง
มาประดับตกแต่งให้เป็นสะใภ้ด้วยหวังว่าจักเลี้ยงดูเราในเวลาแก่
หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน ในวันนี้ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้วดังนี้.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระราชาเป็ นที่พึ่งของมหาชน เหมือนหญิงสะใภ้เป็ นที่พึ่งของแม่ผัว
เมื่อภัยเกิดแต่พระราชานั้นแล้วใครอาจจะทาอะไรได้
ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด พระเจ้าข้า
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า
เหตุการณ์ที่เจ้านามาเล่านี้เราไม่รู้ เจ้าจงมอบโจรให้เถิด
พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักรักษาเกียรติคุณพระราชา
จึงได้นาเรื่องมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า :-
ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษผู้หนึ่งในพระนครนี้แหละ
ตั้งความปรารถนาแล้วก็ได้บุตร ในเวลาที่บุตรเกิดเขาเกิดปิติโสมนัสว่า
เราได้บุตรแล้ว เลี้ยงดูบุตรนั้นเป็นอย่างดี เมื่อเจริญวัยแล้วได้หาภรรยาให้
ต่อมาภายหลังเขาแก่เฒ่าลง ไม่อาจทางานให้สาเร็จได้
ครั้งนั้น บุตรได้กล่าวกะเขาว่า
พ่อไม่อาจทาการงานได้จงออกไปจากบ้านนี้ แล้วก็ขับออกจากบ้าน
เขาขอทานเลี้ยงชีพด้วยความยากแค้น คร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :-
เราชื่นชมยินดีด้วยบุตรผู้เกิดแล้วคนใด
เราปรารถนาความเจริญแก่บุตรคนใด บุตรคนนั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน
ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขึ้นชื่อว่าบิดาผู้แก่ชรา บุตรผู้มีกาลังความสามารถควรรักษาฉันใด ชนบททั้งหมด
พระราชาควรรักษาฉันนั้น
13
ก็แลภัยนี้เมื่อเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้วจากสานักของพระราชาผู้รักษาสัตว์ทั้งปวง
ขอพระองค์จงทรงทราบว่า คนชื่อโน้นเป็นโจร ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าข้า
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า
เราไม่ทราบสาเหตุที่ควรและไม่ควร เจ้าจงชี้ตัวโจรให้เถิด
หรือว่าตัวเจ้าเองเป็ นโจร พระราชาทรงรบเร้ามาณพอยู่เนืองๆ
ด้วยประการดังว่ามานี้.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
พระองค์จะให้ข้าพระองค์ชี้ตัวโจรอย่างเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ?
พระราชาตรัสว่า ถูกแล้วเธอ
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น
ข้าพระองค์จักประกาศในท่ามกลางบริษัทว่า คนโน้นด้วย คนนี้ด้วยเป็นโจร
พระราชาตรัสว่า จงทาอย่างนั้นเถิด เธอ
พระโพธิสัตว์ได้สดับพระราชดารัสดังนั้นแล้วคิดว่า
พระราชานี้ไม่ให้เรารักษาพระองค์ไว้ ฉะนั้น เราจักจับโจรในบัดนี้ คิดดังนี้แล้ว
จึงป่าวประกาศเรียกประชุมชาวนิคมชนบท
แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ขอชาวชนบทและชาวนิคมผู้มาประชุมกันแล้ว จงฟังข้าพเจ้า
น้ามีในที่ใด ไฟก็มีในที่นั้น ความเกษมสาราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด
ภัยก็บังเกิดขึ้นแต่ที่นั้น
พระราชากับพราหมณ์ปุโรหิตพากันปล้นรัฐเสียเอง
ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
ลาดับนั้น ประชาชนเหล่านั้นได้ฟังคาของพระโพธิสัตว์นั้น
แล้วพากันว่า พระราชาพระองค์นี้ควรจะมีหน้าที่ปกปักรักษา
บัดนี้พระองค์กลับใส่โทษคนอื่น
เอาสิ่งของของพระองค์ไปไว้ในสระโบกขรณีด้วยพระองค์เองแล้วค้นหาโจร
บัดนี้พวกเราจะฆ่าพระราชาลามกนี้เสีย เพื่อไม่ให้กระทาโจรกรรมอีกต่อไป.
ลาดับนั้น ประชาชนเหล่านั้นจึงได้พร้อมกันลุกขึ้น ถือท่อนไม้บ้าง
ตะบองบ้าง ทุบตีพระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตให้ตาย
แล้วอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติต่อไป.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงดังนี้แล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสก การจารอยเท้าบนแผ่นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์
บัณฑิตครั้งก่อนจารอยเท้าในอากาศได้ถึงอย่างนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม เวลา
จบสัจธรรม อุบาสกและบุตรดารงอยู่ในโสดาปัตติผล
14
พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
บิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระกัสสป ในครั้งนี้
มาณพผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปทกุสลมาณวชาดกที่ ๖
---------------------

More Related Content

Similar to 432 ปทกุสลมาณวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
maruay songtanin
 
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
maruay songtanin
 
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทรหยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทรPanda Jing
 
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒Tongsamut vorasan
 
8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 

Similar to 432 ปทกุสลมาณวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (16)

447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
447 มหาธัมมปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
10. กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ๔๓ พระคาถา
 
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
243 คุตติลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
077 มหาสุปินชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
 
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
23 โสมนัสสจริยา มจร.pdf
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
435 หลิททราคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
079 ขรัสสรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
 
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทรหยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
 
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
Tri91 21+มัชฌิมนิกาย+มัชฌิมปัณณาสก์+เล่ม+๒+ภาค+๒
 
8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
8. กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ๑๐๑ พระคาถา
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 

More from maruay songtanin

๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
maruay songtanin
 
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
maruay songtanin
 
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
 
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๕๐. สัฏฐิกูฏเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๙. เสฏฐิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๘. โภคสังหรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๗. อักขรุกขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๔๖. อัมพวนเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔๕. ปาฏลิปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๔๔. คณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๔๓. คูถขาทกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๒. คูถขาทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๔๑. ราชปุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
๔๐. กุมารเปตวัต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ถ...
 
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๙. เรวตีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๓๘. นันทกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓๗. เสรีสกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๓๖. อัมพสักขรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๓๕. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
๓๔. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับม...
 
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๓๓. ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
 
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๒. มิคลุททกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๓๑. เสริณีเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 

432 ปทกุสลมาณวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 ปทกุสลมาณวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๖. ปทกุสลมาณวชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๓๒) ว่าด้วยมาณพผู้ฉลาดในการสะกดรอย (ภรรยากล่าวกับนายปาฏลีผู้เป็ นสามีว่า) [๔๙] แม่น้าคงคาย่อมพัดพาพี่ปาฏลีผู้คงแก่เรียน ขับเพลงได้ไพเราะ แน่ะพี่ผู้กาลังถูกน้าพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่พี่ ขอพี่จงให้บทเพลงแก่น้องสักบทหนึ่งเถิด (สามีกล่าวว่า) [๕๐] น้าใดที่เขาใช้รดคนประสบทุกข์หรือคนกระสับกระส่าย เรากาลังจะตายในท่ามกลางน้านั้น ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (ช่างหม้อกล่าวว่า) [๕๑] แผ่นดินใดที่พืชทั้งหลายงอกขึ้นได้หรือที่สัตว์ทั้งหลายดารงอยู่ แผ่นดินนั้นกาลังบีบศีรษะของข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (ชายคนหนึ่งกล่าวว่า) [๕๒] ไฟใดที่เขาใช้หุงข้าว หรือที่เขาใช้บาบัดความหนาว ไฟนั้นกาลังไหม้ตัวข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (ชายคนหนึ่งกล่าวว่า) [๕๓] ข้าวใดที่พวกพราหมณ์และกษัตริย์จานวนมากใช้ยังชีพ ข้าวนั้นข้าพเจ้าบริโภคแล้วกาลังจะฆ่าข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (ชายคนหนึ่งกล่าวว่า) [๕๔] ลมใดในเดือนท้ายของฤดูร้อนที่พวกบัณฑิตปรารถนา ลมนั้นกาลังทาลายตัวข้าพเจ้า ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (พญานาคกล่าวว่า) [๕๕] ต้นไม้ใดที่นกพากันมาอาศัย ต้นไม้นั้นกาลังพ่นไฟ นกทั้งหลายพากันหลบหนีไปยังทิศทั้งหลาย ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (หญิงชรากล่าวกับลูกชายว่า) [๕๖] หญิงสะใภ้ใดผู้มีความพอใจ ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยจันทน์หอมที่เรานามา หญิงสะใภ้นั้นกาลังไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (ชายชราคร่าครวญว่า) [๕๗] ลูกคนใดที่เกิดมาแล้วเป็ นเหตุให้เรายินดี และปรารถนาความเจริญ ลูกคนนั้นกาลังไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง (พระโพธิสัตว์กล่าวว่า)
  • 2. 2 [๕๘] ขอชาวชนบทและชาวนิคมที่มาประชุมพร้อมกันจงฟังข้าพเจ้า ที่ใดมีน้า ที่นั้นกลับร้อน ที่ใดปลอดภัย ที่นั้นกลับมีภัย [๕๙] พระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตปล้นแว่นแคว้น ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตัวอยู่เถิด ภัยเกิดแล้วแต่ที่พึ่ง ปทกุสลมาณวชาดกที่ ๖ จบ ----------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ปทกุศลมาณวชาดก ว่าด้วย ภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภทารกคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ทารกนั้นเป็ นบุตรของกุฎุมพีในนครสาวัตถี ได้เป็นผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ในเวลาที่ตนมีอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น. ครั้งนั้น บิดาของเขาคิดว่าจักทดลองลูกคนนี้ จึงได้ไปเรือนของเพื่อนโดยที่ทารกนั้นไม่รู้เลย ทารกนั้นก็มิได้ถามที่ไปของบิดา เดินไปโดยสังเกตรอยเท้าของบิดา ได้ไปยืนอยู่ที่สานักของบิดา อยู่มาวันหนึ่ง บิดาได้ถามทารกนั้นว่า ลูกรัก เมื่อพ่อไปก็ไปโดยมิให้เจ้ารู้ แต่เจ้ารู้ที่ไปของพ่อได้อย่างไร? เขากล่าวตอบบิดาว่า พ่อจ๋า ฉันจารอยเท้าของพ่อได้ ฉันฉลาดในการสังเกตรอยเท้า. ลาดับนั้น บิดาของเขาต้องการจะทดลองอีก เมื่อบริโภคอาหารเช้าแล้ว ออกจากเรือนไปยังเรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดๆ กัน แล้วออกจากเรือนนั้นไปยังเรือนที่ ๓ ออกจากเรือนที่ ๓ มายังประตูเรือนของตนอีก แล้วออกจากประตูเรือนของตนไปยังประตูเมืองทิศอุดร ออกประตูนั้นอ้อมเมืองไปทางซ้าย ไปถึงพระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่งฟังธรรมอยู่. ทารกถามพวกบ้านว่า พ่อฉันไปไหน เมื่อได้รับคาตอบว่า ไม่ทราบ จึงได้สังเกตรอยเท้าของบิดา ตั้งต้นแต่เรือนของผู้ที่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดๆ กัน ไปตามทางที่บิดาไปนั่นแหละ จนถึงพระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปยืนอยู่ใกล้ๆ บิดา เมื่อบิดาถามว่า ลูกรัก เจ้ารู้ว่าพ่อมาในที่นี้หรือ? เขาตอบว่า ฉันจารอยเท้าพ่อไปจึงได้มา โดยสังเกตรอยเท้า. พระศาสดาตรัสถามว่า พูดอะไรกันอุบาสก? เมื่อกุฎุมพีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เด็กคนนี้ฉลาดสังเกตรอยเท้า ข้าพระองค์ทดลองเด็กนี้จึงได้มาโดยอุบายนี้
  • 3. 3 แลเด็กนี้ครั้นไม่เห็นข้าพระองค์ในเรือน ได้มาโดยสังเกตรอยเท้าข้าพระองค์ จึงตรัสว่า อุบาสก การจารอยเท้าบนพื้นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิตก่อนๆ จารอยเท้าในอากาศได้ กุฎุมพีนั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระอัครมเหสีของพระองค์ประพฤตินอกใจ เมื่อพระราชาตรัสถามก็สบถสาบานว่า ถ้าหม่อมฉันประพฤตินอกใจพระองค์ ขอให้หม่อมฉันเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า. ต่อจากนั้น พระนางได้สิ้นพระชนม์ เกิดเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งอยู่ในคูหา จับมนุษย์ที่สัญจรไปมาในดงใหญ่ ในทางที่ไปจากต้นดงถึงปลายดง เคี้ยวกินเป็นอาหาร ได้ยินว่านางยักษิณีนั้นไปบาเรอท้าวเวสวัณอยู่ ๓ ปี ได้รับพรให้เคี้ยวกินมนุษย์ได้ในที่ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์. อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์รูปงามคนหนึ่งเป็ นผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก แวดล้อมไปด้วยมนุษย์จานวนมาก เดินมาทางนั้น นางยักษิณีเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงวิ่งไป พวกมนุษย์ผู้เป็ นบริวารพากันหนีไปหมด นางยักษิณีวิ่งเร็วอย่างลม จับพราหมณ์ได้แล้วให้นอนบนหลังไปคูหา เมื่อได้ถูกต้องกับบุรุษเข้าก็เกิดสิเนหาในพราหมณ์นั้นด้วยกิเลส จึงมิได้เคี้ยวกินเขาเอาไว้เป็ นสามีของตน แล้วทั้ง ๒ ต่างก็อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีตั้งแต่นั้นมา นางยักษิณีก็เที่ยวจับมนุษย์ถือเอาผ้า ข้าวสารและน้ามันเป็ นต้น มาปรุงเป็นอาหารมีรสเลิศต่างๆ ให้สามี ตนเองเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ เวลาที่นางจะไปไหนนางได้เอาหินแผ่นใหญ่ปิดประตูถ้าก่อนแล้วจึงไป เพราะกลัวพราหมณ์จะหนี เมื่อเขา ๒ คนอยู่กันอย่างปรีดาปราโมทย์เช่นนี้ พระโพธิสัตว์เคลื่อนจากฐานะที่พระองค์เกิด มาถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางยักษิณีนั้น เพราะอาศัยพราหมณ์ พอล่วงไปได้ ๑๐ เดือน นางยักษิณีก็คลอดบุตร นางได้มีความสิเนหาในบุตรและพราหมณ์มาก ได้เลี้ยงดูคนทั้งสองเป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว นางยักษิณีได้ให้บุตรเข้าไปภายในถ้าพร้อมกับบิดาแล้วปิดประตูเสีย ครั้นวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์รู้ว่านางยักษิณีนั้นไปแล้ว จึงได้เอาศิลาออกพาบิดาไปข้างนอก นางยักษิณีมาถามว่า ใครเอาศิลาออก
  • 4. 4 เมื่อพระโพธิสัตว์ตอบว่า ฉันเอาออกจ้ะแม่ ฉันไม่สามารถนั่งอยู่ในที่มืด นางก็มิได้ว่าอะไรเพราะรักบุตร. อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ถามบิดาว่า พ่อจ๋า เหตุไรหน้าของแม่ฉันจึงไม่เหมือนหน้าของพ่อ. พราหมณ์ผู้เป็ นบิดากล่าวว่า ลูกรัก แม่ของเจ้าเป็นยักษิณีที่กินเนื้อมนุษย์ เราสองพ่อลูกนี้เป็ นมนุษย์. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อจ๋า ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในที่นี้ทาไม ไปเถิดพ่อ เราไปแดนมนุษย์กันเถิด. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเราหนีแม่ของเจ้าก็จักฆ่าเราทั้งสองเสีย พระโพธิสัตว์พูดเอาใจบิดาว่า อย่ากลัวเลยพ่อ ฉันรับภาระพาพ่อไปให้ถึงแดนมนุษย์. ครั้นวันรุ่งขึ้น เมื่อมารดาไปแล้วได้พาบิดาหนี นางยักษิณีกลับมาไม่เห็นคนทั้งสองนั้น จึงวิ่งไปเร็วอย่างลม จับคนทั้งสองนั้นได้แล้วกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านหนีทาไม ท่านอยู่ที่นี้ขาดแคลนอะไรหรือ? เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า น้องรัก เธออย่าโกรธพี่เลย ลูกของเธอพาพี่หนีดังนี้ นางก็มิได้ว่าอะไรแก่เขา เพราะความสิเนหาในบุตร ปลอบโยนคนทั้งสองให้เบาใจแล้วพาไปยังที่อยู่ของตน. ในวันที่ ๓ นางยักษิณีก็ได้นาคนทั้งสองซึ่งหนีไปอยู่อย่างนั้นกลับมาอีก. พระโพธิสัตว์คิดว่า แม่ของเราคงจะมีที่ที่เป็นเขตกาหนดไว้ ทาอย่างไรเราจึงจะถามถึงแดนที่อยู่ในอาณาเขตของแม่นี้ได้ เมื่อถามได้เราจักหนีไปให้เลยเขตแดนนั้น. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์กอดมารดานั่งลง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า แม่จ๋า ธรรมดาของที่เป็นของแม่ย่อมตกอยู่แก่พวกลูก ขอแม่ได้โปรดบอกเขตกาหนดพื้นดินที่เป็นของแม่แก่ฉัน นางยักษิณีบอกที่ซึ่งยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์ มีภูเขาเป็นต้นเป็นเครื่องหมายในทิศทั้งปวงแก่บุตร แล้วกล่าวว่า ลูกรัก เจ้าจงกาหนดที่นี้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ไว้ ครั้นล่วงไปได้สองสามวัน เมื่อมารดาไปดงแล้ว พระโพธิสัตว์ได้แบกบิดาขึ้นคอวิ่งไปโดยเร็วอย่างลม ตามสัญญาที่มารดาให้ไว้ ถึงฝั่งแม่น้าอันเป็ นเขตกาหนด นางยักษิณีกลับมาเมื่อไม่เห็นคนทั้งสอง ก็ออกติดตาม พระโพธิสัตว์พาบิดาไปถึงกลางแม่น้า นางยักษิณีไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้า รู้ว่าคนทั้งสองล่วงเลยเขตแดนของตนไปแล้ว จึงยืนอยู่ที่นั้นเอง วิงวอนบุตรและสามีว่า ลูกรัก เจ้าจงพาพ่อกลับมา แม่มีความผิดอะไรหรือ? อะไรๆ ไม่สมบูรณ์แก่พวกท่าน เพราะอาศัยเราหรือ? กลับมาเถิด ผัวรัก ดังนี้. ลาดับนั้น พราหมณ์ได้ข้ามแม่น้าไปแล้ว นางยักษิณีวิงวอนบุตรว่า
  • 5. 5 ลูกรัก เจ้าอย่าได้ทาอย่างนี้ เจ้าจงกลับมาเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่ ฉันและพ่อเป็นมนุษย์ แม่เป็นยักษิณี ฉันไม่อาจอยู่ในสานักของแม่ได้ตลอดกาล ฉะนั้น ฉันกับพ่อจักไม่กลับ. นางยักษิณีถามว่า เจ้าจักไม่กลับหรือลูกรัก. พระโพธิสัตว์ตอบว่า ใช่ ลูกจะไม่กลับดอกแม่ นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเจ้าจักไม่กลับก็ตามเถิด ขึ้นชื่อว่าชีวิตในโลกนี้เป็ นของยาก คนที่ไม่รู้ศิลปวิทยาไม่อาจที่จะดารงชีพอยู่ได้ แม่รู้วิชาอย่างหนึ่งชื่อจินดามณี ด้วยอานุภาพของวิชานี้อาจที่จะติดตามรอยเท้าของผู้ที่หายไปแล้วสิ้น ๑๒ ปีเป็นที่สุด วิชานี้จักเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตเจ้า ลูกรัก เจ้าจงเรียนมนต์อันหาค่ามิได้นี้ไว้ ว่าดังนั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ถูกความทุกข์เห็นปานนั้นครอบงา นางก็ได้สอนมนต์ให้ด้วยความรักลูก. พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ในแม่น้านั่นเอง ไหว้มารดาแล้วประณมมือเรียนมนต์ ครั้นเรียนได้แล้วได้ไหว้มารดาอีก แล้วกล่าวว่า แม่ ขอแม่จงไปเถิด นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก เมื่อเจ้าและพ่อของเจ้าไม่กลับ ชีวิตของแม่ก็จักไม่มี แล้วกล่าวคาถาว่า :- ลูกรัก เจ้าจงมาหาแม่ จงกลับไปอยู่กับแม่เถิด อย่าทาให้แม่ไม่มีที่พึ่งเลย เมื่อแม่ไม่ได้เห็นลูกก็ต้องตายในวันนี้. ครั้นกล่าวแล้ว นางยักษิณีได้ทุบหน้าอกของตนเอง ทันใดนั้น หทัยของนางได้แตกทาลาย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร นางตายแล้วล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง. ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ทราบว่ามารดาตาย จึงเรียกบิดาไปใกล้มารดาแล้วทาเชิงตะกอนเผาศพมารดา ครั้นเผาเสร็จแล้วได้บูชาด้วยดอกไม้นานาชนิด พลางร้องไห้คร่าครวญ พาบิดาไปนครพาราณสี ยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลแด่พระเจ้าพาราณสีว่า มีมาณพผู้ฉลาดสังเกตรอยเท้ามายืนอยู่ที่พระทวารขอเข้าเฝ้ า เมื่อได้รับเชื้อเชิญว่า ถ้าเช่นนั้นจงเข้ามาเถิด ได้เข้าไปถวายบังคมพระเจ้าพาราณสี เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้ารู้ศิลปวิทยาอะไร? จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์รู้วิชาที่สามารถไปตามรอยเท้าแล้วจับคนที่ลักสิ่งของไปแล้วนานถึง ๑๒ ปีได้. พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรับราชการอยู่กับเรา. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์ได้รับพระราชทานทรัพย์วันละพัน จึงจะขอรับราชการ พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ดีแล้วพ่อ เจ้าจงรับราชการเถิด พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์วันละพันทุกวันแล้ว. อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า
  • 6. 6 ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เราทั้งหลายไม่รู้ว่ามาณพนั้นจะมีศิลปะนั้นหรือไม่มี เพราะเขายังมิได้ทากรรมอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยอานุภาพของศิลปวิทยา ควรจักทดลองมาณพนั้นก่อน พระราชารับสั่งว่า ดีแล้ว ทั้งสองคนจึงให้สัญญาแก่เจ้าพนักงานรักษารัตนะ แล้วถือเอาแก้วดวงสาคัญลงจากปราสาท เดินวนเวียนภายในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วพาดบันไดลงข้างนอกปลายกาแพง เข้าไปศาลยุติธรรม นั่งในศาลนั้นแล้วเดินกลับมา พาดบันได ลงภายในพระราชนิเวศน์ทางปลายกาแพง เดินไปยังฝั่งสระโบกขรณีภายในพระราชวัง เวียนสระโบกขรณี ๓ รอบ แล้วลงไปวางสิ่งของไว้ในสระโบกขรณี แล้วจึงไปขึ้นปราสาท. วันรุ่งขึ้นได้เกิดโกลาหลกันว่า ได้ยินว่า พวกโจรลักแก้วไปจากพระราชนิเวศน์ พระราชาทาเป็นทรงทราบ รับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า แก้วมีค่ามาก ถูกโจรลักไปจากพระราชนิเวศน์ เอาเถิด เจ้าควรติดตามแก้วนั้นมาให้ได้. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า สิ่งของที่โจรลักไปแล้วนานถึง ๑๒ ปี ข้าพระองค์ยังสามารถติดตามรอยเท้า โจรนาคืนมาได้อย่างไม่น่าแปลกสิ่งของที่ถูกลักไปเมื่อคืนนี้ ข้าพระองค์จักสามารถนามาได้ในวันนี้แน่ ขอพระองค์อย่าได้ทรงปริวิตกถึงสิ่งของนั้นเลย พระราชารับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงนามาเถิด พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วยืนขึ้นที่ท้องพระโรง ไหว้มารดาร่ายมนต์จินดามณี แล้วกราบทูลว่า รอยเท้าของโจร ๒ คนปรากฏพระเจ้าข้า แล้วตามรอยเท้าของพระราชาและปุโรหิตเข้าไปยังห้องสิริมงคล ออกจากห้องนั้นลงจากปราสาทวนเวียนอยู่ในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วไปใกล้กาแพงตามรอยเท้านั่นแหละ ยืนบนกาแพงแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พ้นจากกาแพงในที่นี้ไปแล้วรอยเท้าปรากฏในอากาศ ขอพระองค์จงพระราชทานบันได แล้วให้พาดบันไดลงทางปลายกาแพง ไปศาลยุติธรรมตามรอยเท้านั่นแหละ แล้วเดินกลับมายังพระราชนิเวศน์อีก ให้พาดบันไดแล้วลงทางปลายกาแพงไปสระโบกขรณี เดินเวียนขวาสระโบกขรณี ๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรลงสระโบกขรณีนี้ แล้วลงไปนาสิ่งของซึ่งดุจตนวางไว้เองมาถวายพระเจ้าพาราณสี แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โจร ๒ คนนี้เป็นมหาโจรที่พระองค์ทรงรู้จักดี จึงได้ขึ้นพระราชนิเวศน์ตามทางนี้ มหาชนพากันชื่นชมยินดีต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่ บางพวกก็ยกผ้าขึ้นโบก.
  • 7. 7 พระราชาทรงพระดาริว่า มาณพนี้เดินไปโดยสังเกตรอยเท้าเห็น จะรู้แต่ตาแหน่งสิ่งของที่พวกโจรวางไว้เท่านั้น แต่ไม่อาจจับโจรได้ที่นั้น พระราชาจึงได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า เจ้านาสิ่งของที่พวกโจรลักไปมาให้เราได้ แต่ไม่อาจจับพวกโจรมาให้เราได้ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรอยู่ในที่นี้แหละมิได้อยู่ไกลเลย พระราชามีพระดารัสว่า ใครเป็ นโจร ใครเป็นโจร? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดย่อมอยากได้อยู่ผู้นั้นแหละเป็ นโจร เมื่อได้สิ่งของของพระองค์มาแล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเล่า ขอพระองค์อย่าได้ถามถึงเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า เราให้ทรัพย์แก่เจ้าวันละพันทุกวัน เจ้าจงจับพวกโจรมาให้เรา. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ทรัพย์ที่หายไปพระองค์ก็ได้แล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเลย. พระราชามีรับสั่งว่า นี่แน่ะเจ้า เราได้พวกโจรเหมาะกว่าได้ทรัพย์. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักไม่กราบทูลแด่พระองค์ว่า คนเหล่านี้เป็นโจร แต่จักนาเรื่องที่เป็นไปแล้วในอดีตมากราบทูลพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงพระปรีชา ก็จะทรงทราบเรื่องนั้น ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ได้นาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ข้าแต่มหาราชเจ้า ในอดีตกาล มีมาณพนักฟ้ อนคนหนึ่งชื่อปาฏลี อยู่ในบ้านน้อยริมฝั่งแม่น้าไม่ไกลพระนครพาร าณสีนัก วันหนึ่งมีการมหรสพ เขาพาภรรยาไปพระนครพาราณสี ฟ้ อนราขับร้องได้ทรัพย์ ครั้นเลิกการมหรสพแล้ว ได้ซื้อสุราอาหารเป็นจานวนมากเดินกลับบ้านของตน ถึงฝั่งแม่น้าเห็นน้าใหม่กาลังไหลมา จึงนั่งบริโภคอาหารดื่มสุราเมาจนไม่รู้กาลังของตน เอาพิณใหญ่ผูกคอแล้วลงน้า จับมือภรรยาพูดว่า เราไปกันเถิด แล้วว่ายข้ามแม่น้าไป. น้าได้เข้าไปตามช่องพิณ. ครานั้น พิณนั้นได้ถ่วงเขาจมลงในน้า ฝ่ายภริยาของเขารู้ว่าสามีจมน้า จึงสลัดเขาขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง. มาณพนักฟ้ อนจมน้าผลุบโผล่ๆ อยู่ ดื่มน้าเข้าไปจนเต็มท้อง ลาดับนั้น ภรรยาของเขาจึงคิดว่า สามีของเราจักตายในบัดนี้ เราจักขอเพลงขับไว้สักบทหนึ่ง เอาไว้ขับในท่ามกลางบริษัทเลี้ยงชีพ คิดดังนี้แล้วจึงได้กล่าวว่า พี่ พี่กาลังจะจมน้า ขอท่านจงให้เพลงขับแก่ฉันบทหนึ่ง ฉันจักเลี้ยงชีพด้วยเพลงขับนั้น แล้วกล่าวคาถาว่า:-
  • 8. 8 แม่น้าคงคาพัดพาเอามาณพชื่อปาฏลี ผู้คงแก่เรียน มีถ้อยคาไพเราะให้ลอยไป พี่ผู้ถูกน้าพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่พี่ ขอพี่จงให้เพลงขับบทน้อยๆ แก่ฉันสักบทหนึ่งเถิด. ลาดับนั้น ปาฏลีนักฟ้ อนได้กล่าวกะภรรยาว่า น้องรักพี่จักให้เพลงขับแก่เจ้า อย่างไรได้ น้าซึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน บัดนี้ กาลังจักฆ่าพี่อยู่แล้ว แล้วกล่าวคาถาว่า :- ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่ได้รับความทุกข์ด้วยน้าใด ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่เร่าร้อนด้วยน้าใด เราจักตายในท่ามกลางน้านั้น ภัยเกิดแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระโพธิสัตว์แสดงคาถานี้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า น้าเป็ นที่พึ่งของมหาชนฉันใด แม้พระราชาทั้งหลายก็เป็ นที่พึ่งของมหาชนฉันนั้น เมื่อภัยเกิดแต่สานักของพระราชาเหล่านั้นแล้ว ใครจักป้ องกันภัยนั้นได้ ดังนี้แล้ว กราบทูลอีกว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เรื่องโจรลักพระราชทรัพย์นี้เป็นเรื่องลับ แต่ข้าพระองค์กราบทูลอย่างที่บัณฑิตจะรู้ได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เราจะรู้เรื่องลี้ลับเห็นปานนี้ได้อย่างไร เจ้าจงจับโจรมาให้เราเถิด ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น พระองค์ทรงสดับเรื่องนี้แล้วจะทรงทราบ แล้วนาเรื่องมาเล่าถวายอีกเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้ :- ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนที่บ้านใกล้ประตูพระนครพาราณสีนี้ มีช่างหม้อคนหนึ่ง เมื่อจะนาดินเหนียวมาเพื่อต้องการปั้นภาชนะ ได้ขุดเอาดินเหนียวในที่แห่งเดียวนั่นเอามาเป็นนิจ จนเป็ นหลุมใหญ่ ภายในเป็นเงื้อม อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อช่างหม้อนั้นกาลังขุดเอาดินเหนียว เมฆก้อนใหญ่ตั้งเค้าขึ้นในเวลาไม่ใช่ฤดูฝน ให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่น้าไหลท่วมหลุมพังทะลายลงไปทับศีรษะนายช่างหม้อนั้นแ ตก นายช่างหม้อร้องคร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :- พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดินใด สัตว์ทั้งหลายดารงอยู่ได้บนแผ่นดินใด แผ่นดินนั้นก็พังทับศีรษะของเราแตก ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ แผ่นดินใหญ่เป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ได้ทาลายศีรษะของนายช่างหม้อฉันใด เมื่อพระราชาผู้เป็ นจอมแห่งนรชนเป็ นที่พึ่งอาศัยแห่งสัตวโลกทั้งหมด เสมอด้วยแผ่นดินใหญ่ มากระทาโจรกรรมอย่างนี้ ใครเล่าจักป้ องกันได้
  • 9. 9 ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์สามารถที่จะทรงทราบตัวโจรที่ข้าพระองค์กราบทูลปกปิดไว้ได้ด้วยอุปม าอย่างนี้. พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เหตุที่เราจะปกปิดนั้นไม่มี เจ้าจงจับโจรให้แก่เราโดยชี้ว่าคนนี้แหละเป็นโจรดังนี้ พระโพธิสัตว์ เมื่อจะรักษาพระเกียรติคุณพระราชา จึงมิได้กล่าวว่าพระองค์เป็ นโจร ได้นาตัวอย่างมากราบทูลถวายอีกเรื่องหนึ่งว่า :- ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อน เมื่อไฟไหม้บ้านของบุรุษคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ เขาใช้คนๆ หนึ่งว่า เจ้าจงเข้าไปข้างในขนสิ่งของออก เมื่อคนนั้นกาลังเข้าไปขนของอยู่ประตูเรือนปิด เขาตามืดเพราะถูกควันหาทางออกไม่ได้เกิดทุกข์ขึ้นเพราะความร้อน ยืนคร่าครวญอยู่ข้างใน กล่าวคาถาว่า :- ชนทั้งหลายหุงอาหารด้วยไฟใด บรรเทาความหนาวด้วยไฟใด ไฟนั้นก็มาไหม้ตัวเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า มนุษย์คนหนึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ราวกะว่าไฟเป็ นที่พึ่งอาศัยฉะนั้น ได้ลักสิ่งของคือรัตนะไป ขอพระองค์อย่าตรัสถามถึงโจรกะข้าพระองค์เลย พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงบอกโจรให้แก่เราเถิด พระโพธิสัตว์มิได้กราบทูลพระราชาว่า พระองค์เป็นโจร ได้นาตัวอย่างมาถวายอีกเรื่องหนึ่งว่า :- ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ บริโภคอาหารมากเกินไป ไม่อาจย่อยได้ ได้รับทุกขเวทนา คร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :- พราหมณ์และกษัตริย์ทั้งหลาย เป็นจานวนมากเลี้ยงชีพด้วยข้าวสุกใด ข้าวสุกนั้นเราบริโภคแล้ว ก็มาทาเราให้ถึงความพินาศ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า คนคนหนึ่งเป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชน เหมือนข้าวสุกได้ลักสิ่งของไป เมื่อได้สิ่งของนั้นคืนมาแล้ว พระองค์จะถามถึงโจรทาไม พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เมื่อเจ้าสามารถก็จงนาโจรมาให้เรา พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า:- ข้าแต่มหาราชเจ้า ในกาลก่อน ลมได้ตั้งขึ้นพัดประหารร่างกายของคนคนหนึ่งในพระนครนี้แหละ คนคนนั้นคร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :-
  • 10. 10 บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาลมในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ลมนั้นมาพัดประหารร่างกายเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยด้วยประการดังนี้ ขอพระองค์จงทราบเรื่องนี้เถิด. พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงจับโจรเถอะ. เพื่อที่จะให้พระราชาทรงทราบ พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า :- ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ในอดีตกาล ในหิมวันตประเทศ มีต้นไม้ใหญ่สมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ เป็ นที่อยู่อาศัยของนกหลายพันตัว กิ่งสองกิ่งของต้นไม้นั้นเสียดกันจนมีควันเกิดขึ้น แล้วเชื้อไฟหล่นลง นกนายฝูงเห็นดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :- นกทั้งหลายพากันอาศัยต้นไม้ใดที่งอกแต่แผ่นดิน ต้นไม้นั้นก็พ่นไฟออกมา นกทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็พากันหลบหนีไป ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ ต้นไม้เป็ นที่พึ่งอาศัยของนกทั้งหลายฉันใด พระราชาก็เป็ นที่พึ่งอาศัยของมหาชนฉันนั้น เมื่อพระราชานั้นกระทาโจรกรรม ใครเล่าจะป้ องกันได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เจ้าจงจับโจรให้แก่เราเถิด ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้นาตัวอย่างมากราบทูลพระราชาอีกเรื่องหนึ่งว่า :- ข้าแต่มหาราชเจ้า ที่บ้านของชาวกาสีตาบลหนึ่ง มีแม่น้าที่มีจระเข้อยู่ด้านหลังของตระกูลๆ หนึ่ง และตระกูลนั้นมีบุตรคนเดียวเท่านั้น เมื่อบิดาของเขาตายเขาได้ปฏิบัติมารดา มารดาได้นากุลธิดาคนหนึ่งมาให้เขาโดยที่เขาไม่ปรารถนาเลย ตอนแรกๆ นางกุลธิดานั้นก็รักใคร่แม่ผัวดี ภายหลังเจริญด้วยบุตรและธิดา จึงอยากจะขับไล่แม่ผัวเสีย แม้มารดาของนางก็อยู่ในเรือนนั้นเหมือนกัน ครั้งนั้น นางกล่าวโทษแม่ผัวมีประการต่างๆ ต่อหน้าสามี แล้วกล่าวว่า ฉันไม่อาจที่จะเลี้ยงดูมารดาของพี่ได้ จงฆ่ามารดาของพี่เสีย เมื่อสามีกล่าวว่า การฆ่ามนุษย์เป็นกรรมหนักฉันจักฆ่าแม่ได้อย่างไร จึงกล่าวว่า ในเวลาที่แกหลับ เราช่วยกันพาแกไปทั้งเตียงทีเดียว โยนลงแม่น้าที่มีจระเข้ แล้วจระเข้ก็จักฮุบแกไปกิน สามีถามว่า มารดาของเธอนอนที่ไหน นางตอบว่า นอนอยู่ใกล้ๆ กับมารดาพี่นั่นแหละ สามีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปเอาเชือกผูกเตียงที่มารดาของฉันนอนทาเครื่องหมายไว้
  • 11. 11 ครานั้นนางได้กระทาเช่นนั้นแล้วบอกว่า ฉันได้กระทาเครื่องหมายไว้แล้ว สามีกล่าวว่า รอสักหน่อยให้คนทั้งหลายหลับเสียก่อน ตนเองก็นอนทาเป็ นหลับ แล้วไปแก้เชือกนั้นมาผูกที่เตียงของมารดาภรรยา ปลุกภรรยาขึ้นแล้วทั้งสองคนก็ไปช่วยกันยกขึ้นทั้งเตียงทีเดียว โยนลงไปในน้า จระเข้ทั้งหลายได้ยื้อแย่งกันเคี้ยวกินมารดาของหญิงนั้นในแม่น้านั้น. วันรุ่งขึ้น นางรู้ว่ามารดาถูกเปลี่ยนตัวจึงกล่าวว่า พี่ มารดาของฉันถูกฆ่าแล้ว ต่อไปนี้พี่จงฆ่ามารดาของพี่ เมื่อสามีตอบว่า ถ้าเช่นนั้นตกลง จึงกล่าวว่า เราช่วยกันทาเชิงตะกอนในป่าช้า แล้วจับแกใส่เข้าไปในไฟให้ตาย ลาดับนั้น คนทั้งสองได้นามารดาผู้กาลังหลับอยู่ไปวางไว้ที่ป่าช้า สามีกล่าวกะภรรยาที่ป่าช้านั้นว่า เธอนาไฟมาแล้วหรือ? ภรรยาตอบว่า ไม่ได้นามาเพราะลืม สามีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปนามา ภรรยากล่าวว่า ฉันไม่อาจไปคนเดียว แม้เมื่อพี่ไป ฉันก็ไม่อาจอยู่คนเดียว เราไปกันทั้งสองคนเถิด เมื่อผัวเมียสองคนไปกันแล้ว หญิงแก่ตื่นขึ้นเพราะลมหนาว รู้ว่าที่นั่นเป็ นป่าช้าจึงใคร่ครวญดูว่า ผัวเมียสองคนนี้คงจะประสงค์จะฆ่าเรา มันคงไปเพื่อเอาไฟมาเผาเป็นแน่ คิดว่า มันไม่รู้กาลังของเราดังนี้ แล้วจึงได้เอาซากศพศพหนึ่งขึ้นนอนบนเตียง เอาผ้าเก่าคลุมข้างบน แล้วตนเองหนีเข้าถ้าที่เร้นลับใกล้ป่าช้านั้นแหละ ผัวเมียสองคนนาไฟมาแล้วเผาซากศพด้วยเข้าใจว่า เป็ นหญิงแก่ แล้วหลีกไป. ก็ครั้งนั้น ในถ้าที่เร้นลับนั้น โจรคนหนึ่งเอาสิ่งของไปเก็บไว้ก่อน โจรนั้นคิดว่า เราจักไปเอาสิ่งของนั้น จึงได้มาเห็นหญิงแก่เข้าใจว่าเป็ นยักษิณีตนหนี่ง สิ่งของของเราเกิดมีอมนุษย์หวงแหนเสียแล้ว จึงได้ไปนาหมอผีมาคนหนึ่ง ครั้นหมอผีเดินร่ายมนต์เข้าไปในถ้า หญิงแก่จึงกล่าวกะหมอผีนั้นว่า ฉันไม่ใช่ยักษิณีท่านจงมาเถิด เราทั้งสองจักบริโภคทรัพย์นี้ หมอผีพูดว่า เราจะเชื่อได้อย่างไร? หญิงแก่พูดว่า ท่านจงเอาลิ้นของท่านวางบนลิ้นของเรา หมอผีได้กระทาอย่างนั้น ทันใดนั้นหญิงแก่ได้กัดลิ้นของหมอผีขาดตกไป หมอผีมีโลหิตไหลจากลิ้นคิดว่า หญิงแก่นี้เป็นยักษิณีแน่จึงร้องวิ่งหนีไป ฝ่ายหญิงแก่นั้น ครั้นวันรุ่งขึ้น ก็นุ่งผ้าเนื้อเลี่ยนถือเอาสิ่งของคือรัตนะต่างๆ ไปเรือน ลาดับนั้น หญิงลูกสะใภ้เห็นดังนั้นจึงถามว่า แม่จ๋า แม่ได้สิ่งของนี้ที่ไหน? หญิงแก่ตอบว่า ลูก คนที่ถูกเผาบนเชิงตะกอนไม้ในป่าช้านั้น ย่อมได้ทรัพย์สิ่งของเห็นปานนี้ หญิงลูกสะใภ้ถามว่า แม่จ๋า ถ้าเช่นนั้นอย่างฉันนี้อาจที่จะได้ไหม? หญิงแก่ตอบว่า ถ้าจักเป็นอย่างเราก็จักได้
  • 12. 12 ครั้งนั้นด้วยความโลภในสิ่งของเครื่องประดับ นางได้บอกแก่สามีแล้วให้เผาตนในป่าช้านั้น. ครั้นในวันรุ่งขึ้นสามีไม่เห็นภรรยากลับมา จึงพูดกะมารดาว่า แม่ ก็แม่มาในเวลานี้ แต่ลูกสะใภ้ทาไมจึงไม่มา. หญิงแก่ได้ฟังดังนั้นจึงดุลูกชายว่า เฮ้ยไอ้คนเลว! ขึ้นชื่อว่าคนที่ตายแล้วจะมาได้อย่างไร แล้วกล่าวคาถาว่า :- เรานาหญิงใดผู้มีความโสมนัส ทัดระเบียบดอกไม้ มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลืองมา หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. ข้อนี้อธิบายว่า เราเข้าใจว่าบุตรของเราจักเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย เพราะอาศัยหญิงนี้ เรานาหญิงใด ผู้มีความโสมนัส ทัดระเบียบดอกไม้ มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลือง มาประดับตกแต่งให้เป็นสะใภ้ด้วยหวังว่าจักเลี้ยงดูเราในเวลาแก่ หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน ในวันนี้ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้วดังนี้. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระราชาเป็ นที่พึ่งของมหาชน เหมือนหญิงสะใภ้เป็ นที่พึ่งของแม่ผัว เมื่อภัยเกิดแต่พระราชานั้นแล้วใครอาจจะทาอะไรได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด พระเจ้าข้า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เหตุการณ์ที่เจ้านามาเล่านี้เราไม่รู้ เจ้าจงมอบโจรให้เถิด พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักรักษาเกียรติคุณพระราชา จึงได้นาเรื่องมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า :- ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษผู้หนึ่งในพระนครนี้แหละ ตั้งความปรารถนาแล้วก็ได้บุตร ในเวลาที่บุตรเกิดเขาเกิดปิติโสมนัสว่า เราได้บุตรแล้ว เลี้ยงดูบุตรนั้นเป็นอย่างดี เมื่อเจริญวัยแล้วได้หาภรรยาให้ ต่อมาภายหลังเขาแก่เฒ่าลง ไม่อาจทางานให้สาเร็จได้ ครั้งนั้น บุตรได้กล่าวกะเขาว่า พ่อไม่อาจทาการงานได้จงออกไปจากบ้านนี้ แล้วก็ขับออกจากบ้าน เขาขอทานเลี้ยงชีพด้วยความยากแค้น คร่าครวญอยู่ กล่าวคาถาว่า :- เราชื่นชมยินดีด้วยบุตรผู้เกิดแล้วคนใด เราปรารถนาความเจริญแก่บุตรคนใด บุตรคนนั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่าบิดาผู้แก่ชรา บุตรผู้มีกาลังความสามารถควรรักษาฉันใด ชนบททั้งหมด พระราชาควรรักษาฉันนั้น
  • 13. 13 ก็แลภัยนี้เมื่อเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้วจากสานักของพระราชาผู้รักษาสัตว์ทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงทราบว่า คนชื่อโน้นเป็นโจร ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าข้า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เราไม่ทราบสาเหตุที่ควรและไม่ควร เจ้าจงชี้ตัวโจรให้เถิด หรือว่าตัวเจ้าเองเป็ นโจร พระราชาทรงรบเร้ามาณพอยู่เนืองๆ ด้วยประการดังว่ามานี้. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์จะให้ข้าพระองค์ชี้ตัวโจรอย่างเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ? พระราชาตรัสว่า ถูกแล้วเธอ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักประกาศในท่ามกลางบริษัทว่า คนโน้นด้วย คนนี้ด้วยเป็นโจร พระราชาตรัสว่า จงทาอย่างนั้นเถิด เธอ พระโพธิสัตว์ได้สดับพระราชดารัสดังนั้นแล้วคิดว่า พระราชานี้ไม่ให้เรารักษาพระองค์ไว้ ฉะนั้น เราจักจับโจรในบัดนี้ คิดดังนี้แล้ว จึงป่าวประกาศเรียกประชุมชาวนิคมชนบท แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :- ขอชาวชนบทและชาวนิคมผู้มาประชุมกันแล้ว จงฟังข้าพเจ้า น้ามีในที่ใด ไฟก็มีในที่นั้น ความเกษมสาราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด ภัยก็บังเกิดขึ้นแต่ที่นั้น พระราชากับพราหมณ์ปุโรหิตพากันปล้นรัฐเสียเอง ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. ลาดับนั้น ประชาชนเหล่านั้นได้ฟังคาของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วพากันว่า พระราชาพระองค์นี้ควรจะมีหน้าที่ปกปักรักษา บัดนี้พระองค์กลับใส่โทษคนอื่น เอาสิ่งของของพระองค์ไปไว้ในสระโบกขรณีด้วยพระองค์เองแล้วค้นหาโจร บัดนี้พวกเราจะฆ่าพระราชาลามกนี้เสีย เพื่อไม่ให้กระทาโจรกรรมอีกต่อไป. ลาดับนั้น ประชาชนเหล่านั้นจึงได้พร้อมกันลุกขึ้น ถือท่อนไม้บ้าง ตะบองบ้าง ทุบตีพระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตให้ตาย แล้วอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติต่อไป. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงดังนี้แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก การจารอยเท้าบนแผ่นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิตครั้งก่อนจารอยเท้าในอากาศได้ถึงอย่างนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม เวลา จบสัจธรรม อุบาสกและบุตรดารงอยู่ในโสดาปัตติผล
  • 14. 14 พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า บิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระกัสสป ในครั้งนี้ มาณพผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาปทกุสลมาณวชาดกที่ ๖ ---------------------