More Related Content
Similar to ละครชาตรี.docx (16)
ละครชาตรี.docx
- 1. ละครชาตรี
บทนำ
เป็นละครรำที่เก่ำแก่ที่สุด มีมำตั้งแต่สมัยอยุธยำ นับเป็นละครชนิดแรก ที่ไทยเริ่มมีกำรแสดงเป็นเรื่อง
มีกำรร่ำยรำตำมบทร้องที่มีเนื้อเรื่อง ระยะแรกเริ่มผู้แสดงเป็นชำยล้วน มีตัวละครเพียง ๓ ตัว คือ
นำยโรง(พระเอก) นำง และตลกหรือจำอวด ซึ่งแสดงเป็นตัวประกอบอื่นๆ ด้วย ตำมเนื้อเรื่อง เช่น ฤำษี ม้ำ ยักษ์
พรำน เสนำ
เรื่องที่แสดง ละครชำตรีนิยม แสดงเรื่อง มโนห์รำ และรถเสน
การแต่งกาย สมัยโบรำณผู้แสดงเป็นชำยล้วน แต่งกำยไม่สวมเสื้อ นุ่งสนับเพลำ เชิงกรอมข้อเท้ำ
นุ่งผ้ำหยักรั้ง จีบโจงไว้หำงหงส์ มีห้อยหน้ำ เจียระบำด รัดสะเอว สวมสังวำล กรองคอ ทับทรวง
ศีรษะสวมเทริด(เซิด)
การแสดง เรื่มด้วยพิธีบูชำครู เป็นกำรเบิกโรง แล้วจึงโหมโรง ร้องประกำศหน้ำบท ร้องขำนเอ
เป็นกำรไหว้ครู นำยโรงออกรำซัด พร้อมทั้งว่ำคำถำอำคมกันเสนียดจัญไร รำเวียนซ้ำย เรียกว่ำ ชักใยแมงมุม
หรือชักยันต์ เริ่มแสดงโดยตัวละครออกนั่งเตียง ตัวละครต้องร้องเอง มีลูกคู่รับ
มีคนบอกบท จบกำรแสดงจะมีกำรรำซัดอีกครั้ง พร้อมทั้งว่ำอำคมถอยหลัง รำเวียนขวำ เรียกว่ำคลำยยันต์
เป็นกำรถอนอำถรรพณ์
ดนตรีประกอบ มีน้อยชิ้น และเป็นเครื่องเบำๆ เหมำะที่จะขนย้ำยร่อนเร่ไปแสดงที่ต่ำงๆ ดนตรีมีเพียง ปี่ ๑
เลำ โทน(ชำตรี) ๑ คู่กลองเล็ก(กลองชำตรี) ๑ คู่ ฆ้องคู่ ๑ รำง ละครชำตรีที่มำแสดงในกรุงเทพฯ
มักตัดเอำฆ้องคู่ออก ใช้ม้ำล่อแทน ซึ่งเป็นประเพณีสืบต่อมำ และบำงครั้งก็ยังใช้กลองแขกอีกด้วย
เพลงร้อง ในสมัยโบรำณตัวละครมักจะเป็นผู้ด้นกลอนและร้องเป็นทำนองเพลงร่ำย
และปัจจุบันเพลงร้องมักมีคำว่ำ ชำตรี อยู่ด้วย เช่น ร่ำยชำตรี ร่ำยชำตรีกรับ ร่ำยชำตรี ๒ ร่ำยชำตรี ๓ รำชำตรี
ชำตรีตะลุง
สถานที่แสดง ที่บ้ำน ที่กลำงแจ้ง หรือจะเป็นที่ศำลเจ้ำก็ได้ ไม่ต้องมีสิ่งใดประกอบมำกมำย
ไม่ต้องมีฉำก บริเวณที่แำดงนอกจำกมีหลังคำไว้บังแดดบังฝนตำมธรรมดำ โบรำณใช้เสำ ๔ ต้น ปัก ๔ มุม
เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเตียง ๑ เตียง จะลงเสำกลำงซึ่งถือว่ำเป็นเสำมหำชัยอีก ๑ เสำ เสำกลำงนี้สำคัญมำก
(ในสมัยก่อนจะต้องใช้ไม้ชัยพฤกษ์) เป็นเสำที่พระวิสสุกรรมเสด็จมำประทับเพื่อปกป้องผองภัยอันตรำย
จึงได้ทำเสำผูกผ้ำแดงปักไว้ตรงกลำงโรง เสำนี้ใช้เป็นที่ผูกซองคลี (ซองใส่ไม้รบต่ำง ๆ) ในภำยหลัง
เพื่อสะดวกในกำรแสดงที่ตัวละครจะหยิบได้ตำมควำมต้องกำรโดยรวดเร็ว
- 3. โดยนำศิลปะของละครนอกมำผสมผสำนเช่นบทละครดนตรี กำรรำกำรแต่งกำย
และพัฒนำรูปแบบมำเป็นละครสำหรับใช้แสดงแก้บนที่บ้ำนวัดหรือเทวสถำนดังที่เห็นในปัจจุบัน
กำเนิดของละครชำตรี
ใน พ.ศ. ๒๓๗๕ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล ้าฯ ให ้ สมเด็จเจ ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์
(ดิศ บุนนาค) เมื่อครั้งเป็ นเจ ้าพระยาพระคลัง
ยกทัพลงไประงับเหตุการณ์ร้ายทางหัวเมืองภาคใต ้ซึ่งในช่วงเวลานั้นได ้
เกิดฝนแล ้ง
ราษฎรอดอยาก ทาให ้ชาวเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา
พากันอพยพติดตามกองทัพเข ้ามายังกรุงเทพฯ และโปรดเกล ้าฯ
ให ้ราษฎรเหล่านั้นเป็ นไพร่หลวงเกณฑ์บุญ คือ เป็ นแรงงาน เมื่อราชการมีงานบุญ
และให ้ตั้งบ ้านเรือน ซึ่งในปัจจุบัน เป็ นบริเวณถนนหลานหลวง และถนนดารงรักษ์
นักแสดงโนราซึ่งติดตามมาด ้วย ก็ตั้งเป็ นคณะละครรับจ ้
างแสดงแบบเหมาทั้งคณะ
จนเป็ นที่นิยม เนื่องจากเป็ นสิ่งแปลกใหม่และยังมีการใช ้
คาถาอาคม
ต่อมาคณะโนราได ้ปรับรูปแบบการแสดงของตน
ให ้เข ้ากับรสนิยมของผู ้ชมในกรุงเทพฯ
โดยการนาธรรมเนียมการแสดงของละครนอกมาผสมผสาน เช่น ดนตรี ปี่พาทย์
ทานองเพลง การร้อง การรา การแต่งกาย
ในระยะแรกที่มีการผสมผสานกับละครนอกนั้น
นักแสดงโนราที่เป็ นผู ้ชายเปลี่ยนมานุ่งผ ้า เหมือนอย่างละครนอก
แต่ยังคงรักษาแบบแผนของโนราคือ สวมเทริด สวมกาไลมือข ้างละหลายอัน
และสวมเล็บ แต่ไม่สวมเสื้อ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ อนุญาตให ้ผู ้หญิงสามารถแสดงละครได ้ทั่วไป
ไม่หวงห ้ามไว ้
เฉพาะละครผู ้
หญิงของหลวง เหมือนอย่างแต่ก่อน
นักแสดงละครชาตรีจึงเปลี่ยนจากผู ้ชายเป็ นผู ้หญิง ทาให ้ต ้องสวมเสื้อแบบละครนอก
และเปลี่ยนเทริดเป็ นชฎา เพราะรับกับใบหน ้าของผู ้หญิงทาให ้ดูงดงามมากกว่า
รวมทั้งนาเครื่องประดับของละครนอกมาใช ้จนครบเครื่องของละครนอกในที่สุด
ส่วนการสวมเล็บก็ค่อยๆ หมดไป สาหรับการราแบบโนราที่เป็ นท่าราของผู ้ชายคือ
มีวงและเหลี่ยมเปิดกว ้
างสุด ก็ปรับลดลง เพื่อให ้เหมาะสาหรับผู ้หญิง
โดยยังคงท่าทางแอ่นอกตึง ก ้
นงอน และย่าเท ้าเข ้าจังหวะไว ้
ไม่ใช ้
การกระทบจังหวะด ้
วยเข่าแบบละครนอก ส่วนเครื่องดนตรีมีระนาดเอก ตะโพน
กลองตุ๊ก โทนชาตรีคู่ ฉิ่ง ฉาบเล็ก กรับไม ้
ไผ่ แต่ยกเลิกปี่
เพราะคนที่สามารถเป่ าปี่ได ้หายากขึ้น
เรื่องราวที่เป็ นหลักฐานสาคัญที่อ ้
างถึงละครชาตรี มีอยู่ว่า พระเจ ้าราชวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ ้าปัทมราช พระราชธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ ้า
- 4. กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ ๑ ได ้กราบทูลขอพระราชานุญาต
เสด็จกลับไปพยาบาลดูแลเจ ้
าจอมมารดานุ ้
ย (เล็ก)
พระมารดาซึ่งเป็ นธิดาเจ ้าพระยานคร (พัฒน์ ณ นคร)
ทรงฝึกหัดละครผู ้หญิงที่นครศรีธรรมราชขึ้นคณะหนึ่ง
โดยจัดแสดงเรื่อง “อิเหนำ” เมื่อเจ ้าจอมมารดาถึงแก่อนิจกรรม
พระองค์ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ
และทรงนาคณะละครผู ้หญิงมาแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล ้าเจ ้าอยู่หัวทอด
พระเนตร ซึ่งโปรดเกล ้าฯ ให ้ปรับการแสดงเป็ นแบบละครชาตรี
ละครชาตรีของหลวงจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้นมา
ปัจจุบันมีละครแก ้
บนที่แสดงเป็ นประจาทุกวันตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่น ศาลหลักเมือง
กรุงเทพฯ ศาลพระพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ วัดโสธรวรารามวรวิหาร
จังหวัดฉะเชิงเทรา และวัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ตลอดจนตามวัดสาคัญๆ
ในจังหวัดภาคกลาง ตามแต่เจ ้าภาพจะจัดหาไปแสดง การแสดงแบ่งเป็ นราชุด เช่น
ระบาเทพบันเทิง กฤดาภินิหาร หรือแสดงเป็ นละคร ซึ่งประชาชนทั่วไป
เรียกการแสดงแก ้
บนนี้ว่า “ละครชำตรี” แม ้
ว่าการแสดงละครชาตรีในปัจจุบัน
จะเหมือนละครนอกเกือบทั้งหมด
แต่ยังคงมีการแสดงละครชาตรีแบบดั้งเดิมเหลืออยู่บ ้
าง เช่น คณะนายพูน เรืองนนท์
ที่ถนนหลานหลวง กรุงเทพฯ คณะละครชาตรีที่จังหวัดเพชรบุรีที่เรียกว่า
ละครชาตรีเมืองเพชร
ละครชำตรีคณะนำยพูน เรืองนนท์สืบเชื้อสายมาจากโนราเมืองนครศรีธรรมราช
ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ โดยตั้งบ ้านเรือน และคณะละครขึ้น
ที่ถนนหลานหลวงจนถึงปัจจุบัน ต ้นตระกูลเรืองนนท์ คือ พระศรีชุมพลเฉลิม (เรือง)
ซึ่งรับราชการ ที่เมืองนครศรีธรรมราช เป็ นครูสอนโนรา มีคณะโนราชื่อ เรือเร่ หรือ
เรือลอย นายนนท์บุตรของนายเรืองสืบทอดการแสดงต่อมา
และฝึกสอนศิษย์จานวนมาก จนมาถึงนายพูน
บุตรของนายนนท์ก็เป็ นนักแสดงละครชาตรีที่มีชื่อเสียงรู ้จักกันมาก
เมื่อความนิยมละครชาตรีลดลง บุตรหลานของคณะนายพูน เรืองนนท์
ก็พยายามสืบทอดคณะละครให ้คงอยู่ต่อไป โดยยังแสดงตามสถานที่ต่างๆ เช่น
คณะวันดีนาฏศิลป
์
เป็ นคณะละครและระบาแก ้
บนซึ่งแสดงประจาที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ
คณะละม่อมทิพโยสถ แสดงที่ศาลพระพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ
แต่แสดงเฉพาะราชุดแก ้
บนเท่านั้น
ส่วนรูปแบบการแสดงก็เป็ นแบบละครนอกแทบทั้งสิ้น
ละครชำตรีเมืองเพชร เริ่มมาตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล ้าเจ ้าอยู่หัวเสด็จฯ
แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังพระนครคีรี (เขาวัง) จังหวัดเพชรบุรี
- 5. (ปัจจุบันคือ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี) มีคณะละครจากกรุงเทพฯ
ไปแสดงที่เพชรบุรีหลายคณะ เช่น คณะละครผู ้หญิงของหลวง
คณะละครของพระเจ ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส
คณะละครของสมเด็จเจ ้
าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ซึ่งไปปฏิบัติราชการที่เพชรบุรี ทาให ้ชาวเพชรบุรีได ้มีโอกาสชมละคร
และเกิดความตื่นตัวจัดตั้งเป็ นคณะละครเอกชนขึ้น เป็ นการแสดงละครนอกซึ่งเรียกว่า
ละครไทยรับจ ้
าง มีอยู่ทั้งหมด ๕ คณะ คือ
คณะหลวงอภัยพลรักษ์ คณะหลวงทิพย์อาชญา คณะตาไปล่ คณะยายปุ้ย
และคณะบางแก ้
ว ในเวลาต่อมา
ผู ้แสดงของคณะละครดังกล่าวได ้
ไปฝึกการแสดงละครชาตรีที่หลานหลวง
แล ้วจึงกลับไปถ่ายทอดต่อๆ กัน
สาหรับคณะบางแก ้
วยังได ้รับอิทธิพลโนราของจังหวัดชุมพร ทาให ้ได ้รับความนิยมมาก
คณะละครเหล่านี้สามารถแสดงได ้ทั้งละครชาตรีและละครนอก จากการสารวจ ใน
พ.ศ. ๒๕๓๘ พบว่าคณะละครชาตรี ๒๘ คณะที่รับงานแสดง และมีการแสดงอยู่เนืองๆ
ยังคงรักษาแบบแผนของการแสดงละครชาตรีไว ้
ได ้เป็ นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น คณะบุญยิ่ง (ศิษย์) ฉลองศรี คณะเทพพิมาน คณะพรหมสุวรรณ์
คณะยอดเยาวมาลย์ คณะละอองศรี คณะขวัญเมืองประดิษฐ์ศิลป
์ คณะปทุมศิลป
์
คณะชูศรีนาฏศิลป
์ คณะประพร (ศิษย์) ฉลองศรี คณะมณีเทพ คณะขันนาคทัศนศิลป
์
คณะสี่พี่น ้อง ฯลฯ ในเวลานั้น นอกจากภาคเอกชนจะให ้ความสนใจละครชาตรีแล ้
ว
ภาครัฐก็ได ้เล็งเห็นถึงความสาคัญ มีการอนุรักษ์และพัฒนาละครชาตรี เช่น
กองการสังคีต กรมศิลปากร ได ้จัดให ้มีการแสดงละครชาตรีที่โรงละคอนศิลปากร
ซึ่งได ้มีการปรับปรุงใหม่ มี ๒ เรื่อง คือ เรื่อง “มโนรำห์” จากสุธนชาดก ใน พ.ศ.
๒๔๙๘ และเรื่อง “รถเสน” จากรถเสนชาดก ใน พ.ศ. ๒๕๐๐
ละครชาตรีที่กรมศิลปากรจัดแสดงนี้ มีความงดงามตระการตา อาจเรียกว่า
ละครชาตรีเครื่องใหญ่ เนื่องจากมีครบเครื่อง ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี เพลง
การฟ้อนรา และระบาต่างๆ นอกจากนี้ยังมีฉาก การชักรอก แสงสี
ซึ่งทาให ้ได ้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องมโนราห์
ฉากนางกินรีบินลงมาเล่นน้า ณ สระโบกขรณี
ฉากนางมโนราห์ราบูชายัญและราซัดชาตรี
และฉากพระสุธนเลือกคู่ ล ้วนใช ้
ฉากประกอบที่งดงามเป็ นอมตะ
นามาใช ้
แสดงในหลายๆ โอกาสจนถึงปัจจุบัน ศิลปินชั้นครูของกองการสังคีต
กรมศิลปากร ได ้ช่วยกันออกแบบงานศิลปะทุกแขนง
เพื่อสร้างสรรค์ละครชาตรีเครื่องใหญ่ให ้มีความงดงามตระการตา
จนเห็นถึงความแตกต่างจากละครชาตรีแก ้
บนทั่วๆ ไป
พัฒนำกำรของละครชำตรี
- 6. กรมศิลปากรได ้พัฒนาและปรับปรุงละครชาตรีจนแตกต่างจากละครชาตรีแก ้
บนทั่วๆ
ไป คือ เปลี่ยนรูปแบบเป็ นละครชาตรีเครื่องใหญ่
โดยองค์ประกอบที่ได ้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ เช่น บทละคร การรา
ยกตัวอย่างเรื่อง “มโนรำห์” เป็ นละครชาตรีที่แสดงบนเวทีโรงละครขนาดใหญ่
มีการแบ่งบทเป็ นองก์ แต่ละองก์มีการเปิดและปิดม่าน เพื่อเปลี่ยนฉากแบบสมจริง
เรียงเป็ นลาดับตามท ้องเรื่อง ได ้แก่
องก์ที่ ๑ เป็นการเปิดฉากที่อลังการตามแบบละครโรงใหญ่ คือ ฉากสระโบกขรณี เป็นฉากที่นางกินรีทั้งเจ็ดบินมา
แล ้วถอดปีกหางลงเล่นน้า และพรานบุญจับนางมโนราห์ไว้ได ้นาตัวไปถวายพระสุธน ผู้แสดงเป็นพรานบุญแสดง
บทร้อง และราคล ้ายบทพรานของการแสดงโนรา