More Related Content
Similar to นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
Similar to นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (20)
More from Krupol Phato (20)
นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
- 1. นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)
ชื่อผลงาน : การศึกษาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ที่จัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community)
ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
A STUDY OF THE ACEDEMIC ACHIEVEMENTS AND COMPLACENCY
OF MATHAYOMSUKSA 4 STUDENTS USING SOCAIL MEDIA COMMUNITY
WITH CONSTRUCTIVISM THEORY
ผู้เสนอผลงาน
: นายสุรชัย ผิวเหลือง โรงเรียนพะโต๊ะวิทยา อาเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11
โทรศัพท์ 077 - 539049 โทรสาร 077 - 539141
โทรศัพท์มือถือ 080 - 1435680 e – mail : Krupol555@gmail.com
Website: http://krupol555.wordpress.com/
1. ความสาคัญของผลงานหรือนวัตกรรมที่นาเสนอ
ความเป็นมาและสภาพปัญหา
การศึกษาคือรากฐานที่สาคัญสาหรับสร้างความเจริญก้าวหน้าและแก้ไขปัญหาการพัฒนาประเทศในด้าน
ต่าง ๆ รวมทั้งสามารถโน้มนาประเทศไปใช้ในทิศทางที่พึงประสงค์ การที่ประเทศจะเจริญก้าวหน้าได้นั้นจาเป็นต้อง
มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นกระบวนการในการเสริมสร้างบุคคลให้มีคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ดังกล่าว (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2547 : 1)
การปฏิรูปในการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดไว้เกี่ยวกับ
จุดมุ่งหมายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนและสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนในด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์
การคิดสังเคราะห์ การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีเพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ
เกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ซึ่งสอดคล้องกับ
ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) มีหลักการที่สาคัญว่า ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็น
ผู้กระทาและสร้างความรู้ (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2552: 210) โดยเชื่อว่าผู้เรียนมีความสามารถพัฒนาความรู้ของ
ตนเองอยู่แล้ว (ชาตรี เกิดธรรม, 2542 : 27 อ้างใน วีระศักดิ์ เดือนแจ่ม, 2548 : 3) มนุษย์มีศักยภาพในการสร้าง
ความรู้ด้วยตนเองเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยการใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่
สร้างความหมายของประสบการณ์ใหม่
จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสาคัญยิ่งต่อการดารงชีวิตของ
มนุษย์โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศอินเทอร์เน็ต เป็นปัจจัยสาคัญในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความสาคัญ คนเราหัน
มาบริโภคข้อมูลข่าวสารกันมากขึ้นผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะเว็บไซด์ยอดนิยม เช่น
- 2. 2
Facebook Blog และ Google (ปณิชา นิติพรมงคล, 2555 : บทคัดย่อ) รวมถึงวงการการศึกษานาเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาใช้ตั้งแต่ระดับการบริหารและการจัดการของหน่วยงานทางการศึกษาและสามารถ
นาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ
และถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย แต่ปัญหาของการใช้เครื่องมือดังกล่าว พบว่าไม่ได้
รับการตอบรับจากนักเรียนมากนักรวมถึงไม่ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความสนใจใฝ่เรียนรู้อีกทั้งการเข้าถึงสื่อเหล่านั้น
ค่อนข้างยากเพราะเป็นสื่อที่ไม่สามารถใช้งานได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการพัฒนาสื่อปัจจุบันจึงให้ความสาคัญไปในทิศทางรูปแบบสื่อออนไลน์ที่นักเรียนสามารถเข้าถึงและ
เรียนรู้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการแต่ต้องมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสื่อที่ได้รับความนิยมและนักเรียนสามารถเข้าถึงได้
ง่ายในปัจจุบันจึงเป็นสื่อประเภท สื่อสังคม (Social Media) และเว็บไซด์ แต่การที่จะนาสื่อ และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ
มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ ครูผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้สื่อเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
สามารถพัฒนาผลงาน สื่อและเนื้อหาเพื่อเผยแพร่ให้กับนักเรียนได้เรียนรู้และต้องมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนอยู่เสมอ
เช่น การตั้งประเด็นคาถาม การตอบคาถามข้อสงสัย การติดตามผลงาน การให้คาแนะนาที่เหมาะสม
แนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนา
จากการวิเคราะห์สื่อประเภทต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
ผู้วิจัยพบว่าสื่อประเภท สื่อสังคม (Social Media) มีจุดเด่นในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเสรี
ตลอดเวลาที่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และสื่อรูปแบบเดิมก็มียังมีความสาคัญและจาเป็นสาหรับนักเรียนที่มีข้อจากัดที่
สะดวกในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะทาการวิจัย ศึกษาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจของนักเรียนที่จัดกระบวนการ
เรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivism) เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในเชิงสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตนเอง อีกทั้ง
ยังช่วยพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ของนักเรียน โดยคานึงถึงศักยภาพ ความพร้อมและความ
แตกต่างระหว่างบุคคลในทุกด้าน
2. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดาเนินงาน
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาชีววิทยา 1
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้าง
องค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
2. เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชา
ชีววิทยา1ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมสื่อสาร(SocialMediaCommunity) ตามทฤษฎีการสร้าง
องค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร(SocialMediaCommunity) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
- 3. 3
สมมติฐานของการวิจัย
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้สังคมสื่อสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองอยู่ในระดับมาก
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนพะโต๊ะวิทยา อาเภอพะโต๊ะ
จังหวัดชุมพร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จานวน 30 คน
2. ตัวแปรการวิจัย
2.1 ตัวแปรอิสระ คือ การจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community)
ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.2.2 ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
2.2.3 ความพึงพอใจต่อการเรียน
3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาชีววิทยา 1
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ดาเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ใช้เวลาทดลอง
20 คาบ คาบละ 50 นาที ภายในเวลา 5 สัปดาห์
3. กระบวนการผลิตผลงานหรือขั้นตอนการดาเนินงาน
กระบวนการพัฒนานวัตกรรมครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ดาเนินการทดลองตาม
แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543 : 59 – 62) เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้
3. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการ
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ประชากรสาหรับการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จานวน 30 คน
2. ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เคมีที่เป็น
พื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาชีววิทยา 1
- 4. 4
3. ดาเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้าง
องค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
4. ทาการประเมินความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ในแต่ละเนื้อหาที่ทาการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคม
สื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
5. ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เคมีที่เป็น
พื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาชีววิทยา 1
6. ทาการประเมินความพึงพอใจจากการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community)
ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
7. ตรวจสอบผลการสอบ ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้และความพึงพอใจจากการจัดกระบวนการ
เรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivism) มาวิเคราะห์ โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชาชีววิทยา 1 ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community)
ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) ใช้ค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน วิเคราะห์
คะแนนเฉลี่ย t-test Dependent Sample ตามสูตรของพวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543: 165 – 167)
2. ประเมินความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ จากแบบประเมินการสร้างองค์ความรู้ แล้วทาการวิเคราะห์
หาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media
Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
4. ผลการดาเนินการ
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎี
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองอยู่ในระดับดี ร้อยละ 86.67
อยู่ในระดับปานกลาง 13.33 สรุปโดยภาพรวมอยู่ในระดับดี เหมาะสมในการส่งเสริมในการจัดการเรียนรู้
การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community)
ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.51, =0.77)
5. ปัจจัยความสาเร็จ
1. ผู้บริหารมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมและพัฒนาครูเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสื่อและพัฒนา
กระบวนการจัดการเรียนรู้ในทุกรูปแบบพร้อมให้โอกาสในการแสดงศักยภาพเมื่อมีโอกาสที่สมควร
- 5. 5
2. ครูผู้สอน มีความตั้งใจในการเรียนรู้ พัฒนานวัตกรรมการผลิตสื่อและกระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ๆ
เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
3. ผู้เรียนเป็นเด็กสมัยใหม่มีความชื่นชอบและสนใจเทคโนโลยี ชอบการศึกษาค้นคว้าเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ
ในระบบออนไลน์เป็นอย่างดี
6. บทเรียนที่ได้รับ
1. การจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง (Constructivism) ครูควรทบทวนเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือนั้น ๆ โดยอาจทาเป็นเอกสารประกอบเพื่อให้
นักเรียนสามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การจัดกระบวนการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร (Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง (Constructivism) ครูควรวางแผนออกแบบในการจัดกระบวนการเรียนรู้ทั้งในส่วนที่เป็น Online และ
Offline ให้เท่าเทียมกัน เพราะผู้เรียนบางส่วนไม่สะดวกในการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
3. ควรสร้างสื่อที่หลากหลายควรควบคู่กับการพัฒนาการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร
(Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
4. ควรศึกษาทฤษฎี เทคนิคการสอนที่จะส่งเสริมการออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้สื่อสังคมสื่อสาร
(Social Media Community) ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
5. ควรพัฒนาจัดทาเป็นชุดวิจัยบูรณาการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาอื่น ๆ
7. การเผยแพร่ / การได้รับการยอมรับ / รางวัลที่ได้รับ
การเผยแพร่
1. แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกันและต่างกลุ่มสาระ ได้รับความสนใจและนา
แนวทางนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการสอน
2. ผ่านระบบสื่อสังคมออนไลน์อย่างหลากหลาย ได้แก่
2.1 http://krupol555.wordpress.com/
2.2 https://www.facebook.com/krupolphato
2.3 http://krutubechannel.com/index.php
2.4 http://www.youtube.com/user/krupol555?feature=mhee
2.5 http://www.phatowittaya.ac.th
การได้รับการยอมรับ
1. มีโอกาสได้เข้าร่วมนาเสนอผลงานผู้บริหารและครูในจังหวัดชุมพร ณ โรงเรียนศรียาภัย จังหวัดชุมพร
2. ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าร่วมประกวดการพัฒนานวัตกรรมตามจุดเน้น
รางวัลที่ได้รับ
1. ได้รับรางวัลการพัฒนานวัตกรรมและวิจัยดีเด่น ประจาปี 2553 – 2555 จากโรงเรียนพะโต๊ะวิทยา
2. ได้รับรางวัลการประเมินบล็อกในโครงการ “ก้าวใหม่ของครูไทย ก้าวไกลด้วย Social Media ประจาปี 2555