Work3 41
- 1. 1
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
เตชินี วุฒิเทียร ม.6/2 เลขที่ 41
เทคโนโลยีสารสนเทศ
บทที่ 3
- 2. 2
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ คือ กลุ่มของชุดคาสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทางานได้ตามต้องการ การที่คอมพิวเตอร์ทางาน
ได้อย่างอัตโนมัติโดยที่มนุษย์ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในการประมวลผลนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทางานของ
ซอฟต์แวร์นั่นเอง โดยปกติแล้วผู้เขียนชุดคาสั่งนี้ขึ้นมาเรามักเรียกว่า นักเขียนโปรแกรม ( programmer )
โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ
ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software ) เป็นซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการทางานที่ใกล้ชิดกับอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยจะทาหน้าที่ติดต่อ ควบคุม และสั่งการให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถทางานได้
อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันให้ได้มากที่สุด รวมถึงการบารุงรักษาระบบตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มี
การใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
- ระบบปฏิบัติการ ( operating systems )
- โปรแกรมอรรถประโยชน์ ( utility programs )
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application Software ) เป็น
ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เฉพาะด้านเท่านั้น ไม่
เกี่ยวข้องกับการควบคุมระบบของคอมพิวเตอร์ แต่จะ
ทางานได้โดยเรียกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านซอฟต์แวร์ระบบอีก
ทอดหนึ่งดังที่กล่าวแล้วในบทที่ผ่านมา ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้
สามารถแบ่งออกได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับลักษณะเกณฑ์ที่ใช้
แบ่ง ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
แบ่งตามลักษณะการผลิต ได้ 2 ประเภท คือ
- ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ ( Proprietary Software )
- ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้โดยทั่วไป ( Off – the– Shelf Software หรือ Packaged Software )
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน ได้ 3 กลุ่มใหญ่คือ
- กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ ( business )
- กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย ( graphic and multimedia )
- กลุ่มสาหรับการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร ( web and communications )
- 3. 3
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
การจัดหาซอฟต์แวร์เพื่อมาใช้งาน
แบบสาเร็จรูป(Package หรือ Ready -made Software)
แบบนี้ผู้ใช้สามารถหาซื้อได้จากตัวแทนจาหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งมักมีการเตรียมบรรจุ
ภัณฑ์และเอกสารคู่มือการใช้งานไว้อยู่แล้ว และผู้ใช้นาไปติดตั้งเพื่อใช้งานได้ทันที โดยซื้อได้ทั้งจากตัวแทนบริษัท
และเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิต
แบบว่าจ้างทา(Customized หรือ Tailor-made Software)
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้เหมาะสาหรับบริษัท หน่วยงาน ไม่สามารถนาโปรแกรมสาเร็จรูปมาประยุกต์ใช้งานได้ ก็
สามารถว่าจ้างบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ผลิตซอฟต์แวร์ที่ตรงกับความต้องการของหน่วยงานของตน ซึ่งอาจมี
ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างเขียนซอฟต์แวร์ที่แพงกว่าซอฟต์แวร์สาเร็จรูป
แบบทดลองใช้ (Shareware)
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ มักจะมีโปรแกรมเพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้งานก่อนได้ แต่อาจมีกาหนดเวลาในการทดลอง
ใช้ เช่น 30 วัน เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าทดลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ
แบบใช้งานฟรี(Freeware)
เป็นซอฟต์แวร์ที่แจกให้ใช้งานฟรี มักเป็นโปรแกรมขนาดเล็กมีให้ดาวน์โหลดบนอินเตอร์เน็ต แต่ซอฟต์แวร์
ประเภทนี้ ลิขสิทธิ์ยังคงเป็นเจ้าของหรือบริษัทผู้ผลิตอยู่ บุคคลทั่วไปไม่สามารถนาไปพัฒนาต่อได้
แบบโอเพ่นซอร์ส(Public-Domain/-Open Sourse)
เป็นซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ใช้งานฟรี และผู้ใช้สามารถนาไปพัฒนาโปรแกรมต่อให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้นได้ โดย
ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ระบบปฏิบัติการ(OS-Operating System)
เป้นซอฟต์แวร์ที่เอาไว้สาหรับควบคุมและประสานงานระหว่างอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ
- 4. 4
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
ประเภทของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการที่ใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบัน อาจนาเอาไปใช้ได้
กับคอมพิวเตอร์หลากหลายชนิดตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับใหญ่
จนถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก อาจแบ่งได้ออกเป็น 3 ชนิด
คือ
- ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (stand-alone OS) เป็นระบบปฏิบัติการที่มุ่งเน้นและให้บริการสาหรับผู้ใช้เพียงคน
เดียว(เจ้าของเครื่องนั้นๆ) นิยมใช้สาหรรรรรรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทางานแบบทั่วไป เช่น เครื่อง
คอมพิวเตอร์หรือสานักงาน ซึ่งจะถูกติดตั้งระบบปฏิบัติการนี้ไว้ใช้รองรับการทางานบางอย่าง เช่น พิมพ์รายงาน ดู
หนังหรือเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ปัจจุบันพัฒนาให้มมมมีคุณสมบัติที่เป็นเครื่องลูกข่ายเพื่อขอรับบริการ
จากเครื่องแม่ข่ายได้ด้วย
- ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (network OS) เป็นระบบการที่มุ่งเน้นและบริการสาหรับผู้ใช้หลายๆคน(multi-
user) นิยมใช้สาหรับงานให้บริการและประมวลผลข้อมูลสาหรับเครือข่ายโดยเฉพาะ มักพบเห็นได้กับการนาไปใช้ใน
องค์กรธุรกิจทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเหล่านี้จะเรียกว่า เครื่อง sever ซึ่งเป็นเสมือนเครื่อง
แม่ข่ายที่ให้บริการข้อมูลต่างๆ ที่จาเป็นสาหรับผุ้ใช้นั่นเอง
- ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (embeded OS) เป็นระบบปฏิบัติการที่พบเห็นได้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาด
เล็ก เช่น พีดีเอ หรือSmart phone บางรุ่น สามารถช่วยในการทางานของอุปกรณ์แบบไม่ประจาที่เหล่านี้ได้เป็นอย่าง
ดี เกิดขึ้นมาหลังสุดพร้อมๆกับที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น บางระบบมีคุณสมบัติที่
ใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยวด้วย เช่น รองรับการทางานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
โปรแกรมอรรถประโยชน์หรือโปรแกรมยูทิลิตี้ (utility programs)
เป็นซอฟท์แวร์ที่ทาหน้าที่เฉพาะอย่าง เพื่อการจัดการงานพื้นฐานและบริการต่างๆ เช่น การจัดเรียงข้อมูล (sort) การ
รวมแฟ้มข้อมูลที่เรียงลาดับแล้วเข้าด้วยกัน (merge) หรือย้ายข้อมูลจากอุปกรณ์รับหนึ่งไปยังอุปกรณ์หนึ่ง รวมทั้ง
สามารถใช้จัดการกับฮาร์ดแวร์โดยตรง โปรแกรมอรรถประโยชน์ส่วนใหญ่จะถูกรวมอยู่ในระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว
สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังต่อไปนี้
๑) โปรแกรมอรรถประโยชน์สาหรับระบบปฏิบัติการ (OS utility programs) เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมาพร้อมกับ
ระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว ซึ่งช่วยอานวยความสะดวกในการทางานร่วมกับฮาร์ดแวร์ ตัวอย่างโปรแกรม มีดังต่อไปนี้
- 5. 5
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
๑.๑) โปรแกรมจัดการไฟล์ (File manager) เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการไฟล์
ต่างๆ ได้แก่ การคัดลอกแฟ้มข้อมูล การเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูล การลบแฟ้มข้อมูล การเรียกใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้
อย่างสะดวก นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ ได้เพิ่มความสามารถการแสดงไฟล์เป็นรูปภาพเหมือนจริง
(image view) ทาให้การใช้งานมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
๑.๒) โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม (Uninstaller) เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการนาโปรแกรมและส่วนประกอบ
ของโปรแกรมที่ติดตั้งไว้ในระบบออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์จะติดตั้งโปรแกรม
ยกเลิกการติดตั้งโปรแกรมไว้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมประยุกต์อยู่แล้ว
๒) โปรแกรมอรรถประโยชน์อื่นๆ (Standalone utility programs) เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์
ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างโปรแกรม มีดังต่อไปนี้
๒.๑) โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (File compression utility) เป็นโปรแกรมที่ทาหน้าที่บีบอัดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ให้มี
ขนาดเล็กลง ไฟล์ที่ได้จากการบีบอัดไฟล์ เรียกว่า ซิปไฟล์ (zip file) โปรแกรมบีบอัดไฟล์ที่นิยม เช่น WinZip,
Winrar เป็นต้น
๒.๒)โปรแกรมไฟร์วอลล์ (Firewall) เป็นโปรแกรมที่ช่วยป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาในระบบโดยไม่ได้รับ
อนุญาตทั้งจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตโดยโปรแกรมจะทาการตรวจสอบข้อมูลที่เข้าและออก
จากระบบ ถ้าพบว่ามีข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจเป็นข้อมูลจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่เข้ามาในระบบ โปรแกรมจะ
ไม่อนุญาตให้ข้อมูลดังกล่าวเข้ามาในระบบ โปรแกรมไฟร์วอลล์เป็นซอร์ฟแวร์ที่ผู้ใช้สามารถนาไปใช้ได้โดยไม่เสีย
ค่าใช้จ่าย นิยมใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows เช่น Windows Firewall, ZoneAlarm, Lavasoft Personal
Firewall, Pc Tools Firewall Plus เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อประยุกต์กับงานที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคา
ซอฟต์แวร์จัดเก็บภาษี ซอฟต์แวร์สินค้าคงคลัง ซอฟต์แวร์ตารางทางาน ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์จัดการ
ฐานข้อมูล เป็นต้น
การทางานใด ๆ โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์จาเป็นต้องทางานภายใต้สภาพแวดล้อมของซอฟต์แวร์ระบบด้วย
ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคาต้องทางานภายใต้ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอส หรือวินโดวส์ เป็นต้น
- 6. 6
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ได้รับความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกวงการ ความนิยมส่วนหนึ่งมาจากขีด
ความสามารถของซอฟต์แวร์ประยุกต์นั้น ๆเพราะซอฟต์แวร์ที่ผลิตออกจาหน่ายต่างพยายามแข่งขันกันหลาย ๆ
ด้าน เช่น เรียนรู้และใช้งานได้ง่าย สนับสนุนให้ใช้กับเครื่องพิมพ์ได้ดี มีคู่มือการใช้ซอฟต์แวร์ที่อ่านเข้าใจง่าย ให้วิธี
หรือขั้นตอนที่อธิบายไว้อย่างชัดเจน และมีระบบโอนย้ายข้อมูลเข้าออกกับซอฟต์แวร์อื่นได้ง่าย
ซอฟต์แวร์ประยุกต์มีอยู่มากมาย อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ซอฟต์แวร์ใช้เฉพาะทางและซอฟต์แวร์
สาเร็จ
1. ซอฟต์แวร์ใช้เฉพาะทาง
เป็นโปรแกรมที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาสาหรับนาไปใช้งานเฉพาะด้านหรือในสาขาใดสาขาหนึ่งตามความ
ต้องการของผู้ใช้ โดยที่ผู้เขียน คือ โปรแกรมเมอร์ (Programmer) ที่มีความสามารถในการเขียนโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์ และต้องศึกษาทาความเข้าใจงานและรายละเอียดของการประยุกต์นั้นเป็นอย่างดี เช่น โปรแกรม
ช่วยจัดการด้านการเงิน โปรแกรมช่วยจัดการบริการลูกค้า ฯลฯ ตามปกติจะไม่ค่อยได้พบเห็นซอฟต์แวร์ประเภทนี้
ในท้องตลาดทั่วไป แต่จะซื้อหาได้จากผู้ผลิตหรือตัวแทนจาหน่ายในราคาค่อนข้างสูงกว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้งานทั่วไป
โครงสร้างของซอฟต์แวร์เฉพาะทางมักจะประกอบด้วย ฐานข้อมูลเพื่อใช้เก็บข้อมูลลูกค้าและระบบหลักของงาน
ภายในซอฟต์แวร์ควรจะมีส่วนทางานประมวลคาเพื่อใช้สร้างรายงาน ติดต่อโต้ตอบจดหมาย และการนัดหมายตาม
กาหนดการ ลักษณะของซอฟต์แวร์เฉพาะทางนี้ มีทั้งรูปแบบที่มีผู้ใช้งานคนเดียวหรือผู้ใช้งานได้พร้อมกันหลายคน
ในประเทศไทย มีการใช้ซอฟต์แวร์ประเภทใช้เฉพาะทางอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นซอฟต์แวร์ที่บริษัทผู้ผลิต
ต่างประเทศได้ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้านธุรกิจ ในที่นี้ได้รวบรวมจัดประเภทไว้ดังนี้
1) ซอฟต์แวร์ระบบงานด้านบัญชี
ได้แก่ ระบบงานบัญชีเจ้าหนี้ บัญชีลูกหนี้ บัญชีสินทรัพย์ถาวรและค่าเสื่อมราคาสะสม บัญชีแยกประเภททั่วไป และ
บัญชีเงินเดือน
2) ซอฟต์แวร์ระบบงานจัดจาหน่าย
ได้แก่ ระบบงานรับใบสั่งซื้อสินค้า ระบบงานบริหารสินค้าคงคลัง และระบบงานประวัติการขาย
3) ซอฟต์แวร์ระบบงานในโรงงานอุตสาหกรรม ได้แก่ ระบบงานกาหนดโครงสร้างผลิตภัณฑ์ การวางแผนกาลัง
การผลิต การคานวณต้นทุนของงาน การประเมินผลงานของพนักงาน การวางแผนการผลิตหลัก การวางแผนความ
ต้องการวัสดุ การควบคุมการทางานภายในโรงงาน การกาหนดเงินทุนมาตรฐานสินค้า และการกาหนดขั้นตอนการ
ผลิต
- 7. 7
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
4) ซอฟต์แวร์อื่น ๆ
ได้แก่ ระบบการสร้างรายงาน การบริหารการเงิน การเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ และการเช่าซื้อรถยนต์
2. ซอฟต์แวร์สาเร็จ
เป็นซอฟต์แวร์ที่บริษัทผู้ผลิตได้สร้างขึ้นและวางขายทั่วไป ผู้ใช้สามารถหาซื้อมาประยุกต์ใช้งานทั่วไปได้
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะสาหรับงานใดงานหนึ่ง ผู้ใช้งานจะต้องเป็นผู้นาไปประยุกต์กับงานของตน
ผู้ใช้อาจต้องมีการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงานภายในซอฟต์แวร์ต่อไปอีก ราคาของซอฟต์แวร์ใช้งานทั่วไปนี้จะไม่สูง
มากเกินไป
ซอฟต์แวร์ใช้งานทั่วไป ซึ่งนิยมเรียกว่า ซอฟต์แวร์สาเร็จ แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามลักษณะการใช้งาน คือ
1) ด้านการประมวลคา
2) ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลหรือตารางทางาน
3) ด้านการเก็บและเลือกค้นข้อมูลเป็นระบบฐานข้อมูล
4) ด้านกราฟิกและนาเสนอข้อมูล
5) ด้านการติดต่อสื่อสารทางไกล
6) ด้านการพิมพ์ตั้งโต๊ะ
7) ด้านการลงทุนและจัดการการเงิน
8) ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม
9) ด้านการจาลอง เกม และการตัดสินใจ
- 8. 8
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
ภาษาคอมพิวเตอร์
หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถ
ทางานตามคาสั่งนั้นได้ คานี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของ
ภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัป
และภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทาง
เทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาระดับสูง (high level) และภาษาระดับต่า (low level) ภาษา
ระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่า โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์
และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล(compile) ไปเป็นภาษาระดับต่าเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนาไปใช้งานหรือปฏิบัติ
ตามคาสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด (object code) แล้ว
เปลี่ยนให้เป็นชุดคาสั่งในภาษาเครื่อง
ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable) และภาษาที่มนุษย์
อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้
โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ (แทบทุกชนิดเป็นภาษาอังกฤษ) ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วนที่ไม่อาจอ่าน
เข้าใจได้ แต่ออกแบบมาเพื่อให้โค้ดกระชับซึ่งคอมพิวเตอร์จะสามารถประมวลผลได้ง่ายกว่า
- 9. 9
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
ยุคของภาษาคอมพิวเตอร์
ยุคที่ 1 (First Generation Language : 1GL) เป็นภาษาระดับต่า (Low - Level Language) ประกอบด้วยเลขฐานสอง
ได้แก่ 0 และ 1 หรือเรียกว่า "ภาษาเครื่อง (Machine Language)"
ยุคที่ 2 (Second Generation Language : 2GL) ได้มีผู้พัฒนาให้มีการใช้สัญลักษณ์แทนตัวเลขฐานสอง เรียกว่า
"ภาษาสัญลักษณ์ (Symbol Language)" คือ ภาษาอังกฤษ จะเป็นคาสั่งสั้น ๆ ที่จาได้ง่าย เรียกว่า "นิวมอนิกโค้ด
(Nemonic Code)" ทาให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างภาษาสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาษา
Assembly และเนื่องจากเป็นภาษาสัญลักษณ์ จึงต้องใช้ตัวแปลภาษา เพื่อทาให้เป็นภาษาเครื่องก่อน ด้วยตัว
แปลภาษาที่เรียกว่า "Assembler"
ยุคที่ 3 (Third Generation Language : 3GL) ภาษาสัญลักษณ์ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ทาให้สามารถแทนตัว
เลขฐานสองได้เป็นคา ทาให้กลายเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจและเขียนได้ง่ายขึ้น คาสั่งสั้นและกระชับมากขึ้น
เช่น ภาษา BASIC, COBOL, Pascal
ยุคที่ 4 (Fourth Generation Language : 4GL) ได้มีการพัฒนารูปแบบการเขียนโปรแกรมจากยุคที่ 3 ที่จัดว่าเป็นการ
เขียนแบบ Procedural ให้กลายเป็นการเขียนแบบ Non - Procedural ที่สามารถกระโดดไปทาคาสั่งใดก่อนก็ได้
ตามที่โปรแกรมเขียนไว้ นอกจากนี้ จุดเด่นของภาษาในยุคนี้เริ่มจากการเขียนคาสั่งให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับข้อมูล
ในฐานข้อมูล
ได้และพัฒนาต่อมากลายเป็นการเขียนคาสั่งให้ได้โปรแกรมที่มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิกมากขึ้น และพัฒนา
จนมาถึงการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object - Oriented Programming) เช่น ภาษา C++, Visual C++, Delphi,
Visual Basic เป็นต้น ปัจจุบันมีภาษาที่ใช้หลักการของโปรแกรมเชิงวัตถุที่นิยมใช้ เช่น ภาษา Java
ยุคที่ 5 (Fifth Generation Language : 5GL) เป็นภาษาที่ใช้สาหรับพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert
System : ES) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ภาษาในยุคที่ 5 เรียกว่า "ภาษาธรรมชาติ (Natural
Language)" คือ ไม่ต้องสนใจถึงคาสั่งหรือลาดับของข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ใช้เพียงแต่พิมพ์สิ่งที่ต้องการลงในเครื่อง
คอมพิวเตอร์เป็นคาหรือประโยคตามที่ผู้ใช้เข้าใจ คอมพิวเตอร์จะพยายามแปลคาหรือประโยคเหล่านั้นเพื่อทาตาม
คาสั่ง แต่ถ้าไม่สามารถแปลให้เข้าใจได้ ก็จะมีคาถามกลับมาถามผู้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้อง
- 10. 10
Document Name
Your Company Name (C) Copyright (Print Date) All Rights Reserved
ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator)
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้น โปรแกรมเมอร์จะเขียนโปรแกรมในภาษาคอมพิวเตอร์แบบ
ต่าง ๆ ตามแต่ความชานาญของแต่ละคน โปรแกรมที่ได้จะเรียกว่า โปรแกรมต้นฉบับ หรือ ซอร์สโคด (source
code) ซึ่งมนุษย์จะอ่านโปรแกรมต้นฉบับนี้ได้แต่คอมพิวเตอร์จะไม่เข้าใจคาสั่งเหล่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์
เข้าใจแต่ภาษาเครื่อง (Machine Language) ซึ่งประกอบขึ้นจากรหัสฐานสองเท่านั้น จึงต้องมีการใช้โปรแกรม ตัว
แปรภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator) ในการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาต่าง ๆ ไปเป็นภาษาเครื่องโปรแกรมที่แปล
จากโปรแกรมต้นฉบับแล้วเรียกว่า ออบเจคโคด (object code) ซึ่งจะประกอบด้วยรหัสคาสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถ
เข้าใจและนาไปปฏิบัติได้ต่อไปตัวแปลภาษาที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบัน จะต่างกันที่ขั้นตอนที่ใช้ในการแปลภาษาให้
อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้สามารถแบ่งได้เป็น
1. แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่าให้เป็นภาษาเครื่อง
2. อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ ไปเป็น
ภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลพร้อมกับงานตามคาสั่งทีละบรรทัดตลอดทั้งโปรแกรมทาให้การแก้ไขโปรแกรม
ทาได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลโดยการใช้อินเตอร์พรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้
จะจะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
3. คอมไพเลอร์ (Compiler) จะเป็นตัวแปลภาษาระดับสูงเช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์แต่จะใช้วิธีแปลโปรแกรม
ทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจคโคด ก่อนที่จะสามารถนาไปทางานเช่นเดียวกับแอสแซมเบลอ ออบเจคโคดที่ได้จาก
การแปลนั้นสามารถจัดเก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อให้นาไปใช้ในการทางานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อดี
ของคอมไพเลอร์ที่จะนาผลที่ได้จากการแปลนั้นไปใช้งานกี่ครั้งก็ได้ไม่จากัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุก
ครั้ง ทาให้เป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก