More Related Content
Similar to ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
Similar to ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (14)
More from Nattha Namm (13)
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
- 2. สมาชิกในกลุ่ม
1. นายวิชญ์พล ตรีเนตร เลขที่ 4
2. นางสาวณัฏฐนิช อารีย์กุล เลขที่ 5
3. นางสาวธมลวรรณ จินดารักษ์ เลขที่ 11
4. นางสาวพณัฐวดี ช้างกลาง เลขที่ 12
5. นางสาวสุวัจณี ชูทอง เลขที่ 19
6. นายสุทธิภัทร อิทธิปัญญากุล เลขที่ 22
7. นางสาวอัจจิมา เพ็ชรทองขาว เลขที่ 26
8. นายขจรศักดิ์ แซ่ตั้น เลขที่ 27
9. นางสาวณัฏฐา พุ่มเกลี้ยง เลขที่ 35
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ตรัง
- 6. 2. เป็นประเทศคู่สงครามกัน
พม่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการทาสงครามกับพม่า
10 ครั้ง สงครามครั้งสาคัญคือ สงครามเก้าทัพ ซึ่งพระเจ้าปะดุง
ต้องการแผ่อานาจครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิ และเป็นการทาลาย
อาณาจักรไทยไม่ให้เติบโตเป็นอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าปะดุง จัดทัพมาถึง 9 ทัพ และมีความพร้อมเต็มที่ ส่วน
ไทยแม้จะมีกาลังน้อยกว่าพม่า แต่อาศัยที่มีผู้นาดีมีความสามารถ ทหาร
จึงมีกาลังใจเข้มแข็ง มีความสามัคคีพร้อมเพรียง และประสานงานกันเป็น
อย่างดี กองทัพพม่าจึงแตกพ่ายกลับไป
- 7. 2. เป็นประเทศคู่สงครามกัน
ในสงครามครั้งนี้ได้มีวีรสตรีไทยเกิดขึ้น 2 ท่าน คือ คุณหญิง
จันทร์ และนางมุกน้องสาว ได้ร่วมมือกันป้องกันเมืองอย่างเต็ม
ความสามารถ จนพม่าไม่สามารถตีเมืองถลางได้สาเร็จต้องยกทัพกลับไป
เมื่อเสร็จศึกแล้ว รัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานบาเหน็จความชอบ คุณหญิง
จันทร์ได้เป็น ท้าวเทพกระษัตรี และนางมุกได้เป็น ท้าวศรีสุนทร
สงครามระหว่างไทยกับพม่าสิ้นสุดลงในรัชกาลที่ 3 เนื่องจาก
พม่ามีกรณีพิพาทเรื่องพรมแดน กับเขตแดนอินเดียของอังกฤษ และต้น
รัชกาลที่ 4 พม่าก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
- 8. 2. เป็นประเทศคู่สงครามกัน
ญวน ความขัดแย้งระหว่างไทยกับญวน ซึ่งเป็นคู่แข่งของไทยใน
คาบสมุทรอินโดจีน คือญวนต้องการเข้าไปมีอิทธิพลในเขมรและลาว ซึ่ง
เป็นประเทศราชของไทย สงครามระหว่างญวนกับไทยยืดเยื้อมานานถึง
24 ปี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ญวนไปมีปัญหาขัดแย้งกับฝรั่งเศส ญวนจึง
ยอมสงบศึกกับไทย เพื่อเตรียมกาลังไว้สู้รบกับฝรั่งเศสทางเดียว
- 9. 3. การดาเนินนโยบายต่อประเทศราช
เขมร เป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่สมัยอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยา
เสียแก่พม่าในปี พ.ศ.2310 เขมรก็เอาใจออกห่างจากไทยไปฝักใฝ่
ญวน พระเจ้าตากจึงโปรดให้ยกทัพไปปราบ จึงได้เขมรกลับมาเป็น
ประเทศราชของไทย ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เกิดเหตุจลาจลขึ้น รัชกาลที่ 1
โปรดให้ยกทัพไปจัดการ และแบ่งเขมรออกเป็น 2 ฝ่าย คือส่วนหนึ่งให้
เจ้านายเขมรปกครอง และอีกส่วนหนึ่งให้ขุนนางไทยไปปกครอง คือเมือง
พระตะบองกับเมืองเสียมราฐ
- 10. 3. การดาเนินนโยบายต่อประเทศราช
เขมร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 กษัตริย์เขมรได้ไปฝักใฝ่กับ
ญวน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนจึงเสื่อมลงตามลาดับ จนถึงสมัย
รัชกาลที่ 3 ญวนมีนโยบายเข้าปกครองเขมรโดยตรง ทาให้เกิดปัญหา
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับญวน จนถึงขั้นทาสงครามกันเป็นเวลานานถึง
14 ปีผลของสงครามผลัดกันแพ้ชนะ จนในที่สุดสามารถตกลงยุติสงคราม
และร่วมกันปกครองเขมร
- 11. 3. การดาเนินนโยบายต่อประเทศราช
ลาว เป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยลาวส่ง
เครื่องราชบรรณาการมาถวายจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ความ
ขัดแย้งระหว่างไทยกับลาว เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 คือได้เกิดข่าวลือไป
ถึงเวียงจันทน์ว่า ไทยขัดใจกับอังกฤษ เจ้าอนุวงศ์เห็นเป็นโอกาสจึงยกทัพ
มาตีเอาดินแดนไทย ขณะที่กองทัพเจ้าอนุวงศ์ถึงเมืองนครราชสีมานั้น ได้
เกิดวีรสตรีขึ้น คือคุณหญิงโมภรรยาปลัดเมืองนครราชสีมา ได้ร่วมกับ
ราษฎรที่ถูกกวาดต้อนมาได้ออกอุบายเลี้ยงสุราอาหารแก่นายทหารไพร่
พลลาว พอเมาแล้วจึงจู่โจมฆ่าฟันจนทหารลาวแตกพ่ายไป เมื่อเสร็จศึก
แล้ว รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯให้เป็น ท้าวสุรนารี
- 12. 3. การดาเนินนโยบายต่อประเทศราช
มลายู หัวเมืองมลายู ได้แก่ ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน และตรัง-
กานู ต่างเคยเป็นประเทศราชของไทยมาแต่สมัยอยุธยา เมื่อเสียกรุงศรี
อยุธยาครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ.2310 แล้วหัวเมืองเหล่านี้พากันแข็ง
เมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงยกทัพไปปราบ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 1
หลังเสร็จศึกสงครามเก้าทัพแล้ว ได้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานีใน
พ.ศ.2328 ทาให้บรรดาหัวเมืองมลายูที่เหลือ คือ ไทรบุรี กลันตัน และ
ตรังกานู พากันเกรงกลัว จึงส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย
- 13. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก
โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย
อันโตนิโอ เดอ วีเซนท์ (Autonio de Veesent) ผู้อัญเชิญพระราชสาสน์
จากกรุงลิสบอน มายังประเทศไทย รัชกาลที่ 2 ได้ส่งเรือ มาลาพระนคร
ออกไปค้าขายกับโปรตุเกส ไทยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และใน
ขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน ซี่งโปรตุเกสก็ยินยอมจัดหาซื้อ
ปืนคาบศิลาให้ไทยถึง 400 กระบอกกษัตริย์โปรตุเกสมีพระราชประสงค์
จะขอตั้งสถานกงสุลขึ้นในประเทศไทย ซี่งไทยก็ยอมรับแต่โดยดี ซึ่งนับว่า
เป็นการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
- 14. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก
อังกฤษ ครั้งที่ 1 (ในสมัยรัชกาลที่ 2) ทูตจอห์น คอรว์
ฟอร์ด (John Crawford) ซึ่งคนไทยเรียกว่า การะฝัด นาเครื่องราช
บรรณาการเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ใน พ.ศ. 2365 ขอเจรจาทา
สนธิสัญญาทางการค้ากับไทย โดยขอให้ไทยยกเลิกการผูกขาดและ
ลดหย่อนภาษีบางอย่าง และให้ไทยยอมรับอธิปไตยของไทร
บุรี โดยเฉพาะการที่อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพร กับขอ
ทาแผนที่ และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย เช่น เรื่องพันธุ์พืช พันธุ์
สัตว์ และสภาพประชากรของไทย เพื่อทารายงานเสนอรัฐบาลอังกฤษ
ปรากฏว่าการเจรจาคราวนี้ไม่ประสบความสาเร็จ
- 16. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก
อังกฤษ ครั้งที่ 2 (ตอนต้นรัชกาลที่ 3) ขณะที่พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ นั้นอังกฤษ
กาลังมีข้อพิพาททาสงครามกับพม่า ลอร์ด แอมเฮิร์สต์ (Lord
Amherst) ผู้สาเร็จราชการอังกฤษประจาอินเดียได้ส่งร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์
นี่ (Henry Berney) ซึ่งคนไทยเรียกว่า บารนี เป็นทูตเข้ามาเจรจาขอทา
สนธิสัญญากับไทย จุดมุ่งหมายของอังกฤษในการส่งทูตมาทาสนธิสัญญา
กับไทยในครั้งนี้
- 20. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก
อังกฤษ ครั้งที่ 3 (ตอนปลายรัชกาลที่ 3) ลอร์ด ปาลเมอร์
สตัน (Lord Palmerston) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของ
อังกฤษส่ง เซอร์ เจมส์ บรูค (James Brooke) เป็นทูตมาขอแก้
สนธิสัญญากับไทยใน พ.ศ. 2393 โดยขอลดค่าภาษีปากเรือ ขอตั้งสถาน
กงสุลในไทย ขอนาฝิ่นเข้ามาขาย และขอนาข้าวออกไปขายนอก
ประเทศ แต่ขณะนั้นรัชกาลที่ 3 กาลังประชวร จึงไม่มีโอกาสได้เข้า
เฝ้า สนธิสัญญาเบอร์นีจึงยังมีผลใช้บังคับต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข
- 21. ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก
ในรัชกาลที่ 3 พ่อค้าอเมริกันชื่อ กัปตันเฮล (Captain Hale) เดิน
ทางเข้ามาค้าขายที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2364 ได้นาปืนคาบศิลามาถวาย
จานวน 500 กระบอกจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และได้
พระราชทานสิ่งของให้คุ้มค่ากับราคาปืนทั้งหมด ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้งด
เว้นการเก็บภาษีจังกอบอีกด้วย หลังจากนั้นอเมริกาได้ส่งนายเอ็ดมั้นด์ โร
เบิร์ต (Edmund Roberts) คนไทยเรียกว่า เอมินราบัด เดินทางเข้ามาขอ
ทาสัญญาการค้ากับไทย ซึ่งมีใจความทานองเดียวกับที่ไทยทากับอังกฤษ
ในปีพ.ศ. 2375 หลังจากนั้นรัฐบาลอเมริกาเห็นว่าสัญญาที่ทากันไว้มิได้
เกิดประโยชน์จึงได้ส่งนายโจเซฟ บัลเลสเดียร์ (Joseph Balestier) เข้า
มาทบทวนสนธิสัญญาเสียใหม่ แต่การเจรจาไม่ประสบผลสาเร็จ