More Related Content Similar to สรุป วิทยาศาสตร์ ว 23102 Similar to สรุป วิทยาศาสตร์ ว 23102 (6) สรุป วิทยาศาสตร์ ว 231021. สรุป วิทยาศาสตร์ ว 23102
หน่วยที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่พลังงาน
ผลของแรงที่ทําให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง
ความเร่ง หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็วในหนึ่งหน่วยเวลา มีหน่วยเป็นm/s2
เมื่อมีแรงที่ไม่เป็นศูนย์กระทําต่อวัตถุส่งผลให้วัตถุเคลื่อนที่โดยมีความเร่ง ตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่2 ของนิวตัน
ความหน่วง หมายถึง ค่าของความเร่งที่ได้ค่าที่ติดลบ
1.1 การคํานวณความเร่งของวัตถุ
ความเร่ง =
ตัวอย่างที่ 1รถยนต์คันหนึ่งแล่นด้วยความเร็ว100 m/s เมื่อเวลาผ่านไป10วินาที รถยนต์
เปลี่ยนความเร็วเป็น120m/sรถยนต์คันนี้แล่นด้วยความเร่งเท่าใด
วิธีทํา ความเร่ง =
=
= = 2 m/s2
ดังนั้น รถยนต์แล่นด้วยความเร่งเท่ากับ2 m/s2
ตัวอย่างที่ 2เด็กคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์มาด้วยความเร็ว100 m/sเมื่อเห็นสุนัขนอน
ขวางทางจึงชะลอความเร็วและหยุดโดยใช้เวลา20วินาที เด็กคนนี้
ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร่งเท่าใด
วิธีทํา ความเร่ง =
=
= = –5m/s2
ดังนั้น เด็กคนนี้ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร่ง –5 m/s2
ความเร็วปลาย– ความเร็วต้น
เวลา
ความเร็วที่เปลี่ยนแปลง
เวลา
120 – 100
10
20
10
ความเร็วปลาย– ความเร็ว
ต้น
0 – 100
20
–100
20
2. ชนิดของแรง
แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา
แรงกิริยาคืออะไร (แรงที่กระทํา)
แรงปฏิกิริยาคืออะไร (แรงที่โต้ตอบแรงกระทํา)
“เมื่อเราออกแรงกระทําต่อวัตถุ วัตถุจะมีแรงตอบโต้กระทําต่อเราเช่นเดียวกับแรงที่เรากระทําต่อวัตถุเรียกว่า
แรงกิริยา แรงที่วัตถุกระทําต่อเราเรียกว่า แรงปฏิกิริยา
ซึ่งกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อที่3กล่าวถึงแรงทั้ง2ไว้ดังนี้“ทุกแรงกิริยาย่อมมีแรงปฏิกิริยาขนาด
เท่ากันกระทําในทิศตรงกันข้ามเสมอ หรือแรงกระทํา ซึ่งกันและกันของวัตถุสองก้อนย่อมมีขนาดเท่ากัน
แต่มีทิศทางตรงกันข้าม” ในชีวิตประจําวัน วัตถุบางชนิดจะเคลื่อนที่ด้วยแรงปฏิกิริยา เช่น จรวด บั้งไฟ”
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
แรงเสียดทาน
แรงเสียดทานคือแรงต้านทานการเคลื่อนที่ของวัตถุมีทิศตรงกันข้ามกับทิศการเคลื่อนที่ของวัตถุเสมอ
แรงเสียดทานมี2ชนิด คือ
1. แรงเสียดทานสถิต เป็นแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุในสภาวะที่ออกแรง
กระทําต่อวัตถุแล้ววัตถุไม่เคลื่อนที่
2. แรงเสียดทานจลน์ เป็นแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่
ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงเสียดทาน ได้แก่
1. ชนิดของผิวสัมผัสถ้าผิวหยาบหรือขรุขระจะมีแรงเสียดทานมากกว่าผิวลื่น
2. นํ้าหนักของวัตถุที่กดพื้นหรือแรงตอบโต้จากพื้น ถ้านํ้าหนักของวัตถุที่กดพื้นมีมากแรงเสียด
ทานจะมากด้วยและแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยไม่ขึ้นกับขนาดพื้นที่ผิวสัมผัส
การลดแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ ทําได้หลายวิธี เช่นเลือกใช้ผิวสัมผัสที่ลื่นหรือขรุขระ
น้อย ใช้ล้อหรือตลับลูกปืนใช้นํ้ามันหล่อลื่น เพราะนํ้ามันหล่อลื่นจะทําให้เกิดแผ่นฟิล์มบาง ๆ แยกผิวสัมผัส
ของวัตถุช่วยลดแรงเสียดทานได้
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
แรงพยุง หรือแรงลอยตัวของของเหลว
แรงพยุง หรือแรงลอยตัวของของเหลวคือแรงลัพธ์ของ ของเหลว ที่กระทําต่อวัตถุมีค่าเท่ากับนํ้าหนัก
ของของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับส่วนที่จมของวัตถุการที่วัตถุลอยอยู่ที่ผิวของของเหลวได้ แสดงว่า แรงพยุง
หรือแรงลอยตัวที่เกิดขึ้นมีค่าเท่ากับนํ้าหนักของวัตถุนั้น แต่ถ้าแรงพยุง หรือแรงลอยตัวน้อยกว่านํ้าหนักของ
วัตถุ วัตถุนั้นจะจมลงใต้ของเหลว
สําหรับวัตถุตัน แรงพยุง หรือแรงลอยตัวจะขึ้นกับความหนาแน่นของวัตถุนั้นเทียบกับความ
หนาแน่นของของเหลว วัตถุที่ลอยได้ในของเหลวจะมีความหนาแน่นน้อยกว่าความหนาแน่นของของเหลว
3. วัตถุกลวง หรือมีช่องว่างภายในเนื้อของวัตถุ ถ้าความหนาแน่นเฉลี่ยของวัตถุมีค่าน้อยกว่าความ
หนาแน่นของของเหลว วัตถุนั้นจะลอยในของเหลวได้
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
โมเมนต์ของแรง
โมเมนต์ของแรง คือ ผลของแรงที่ทําให้วัตถุหมุนรอบจุดคงที่
คํานวณได้จากสูตร M = F × l
โมเมนต์ของแรง มี2ชนิด ได้แก่ โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา และโมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกาเมื่อภาวะสมดุล
จะได้ว่า โมเมนต์ตามเข็มนาฬิกา = โมเมนต์ทวนเข็มนาฬิกา
ส่วนประกอบของคาน
ส่วนประกอบที่สําคัญในการทํางานของคานมี 3ส่วน คือ
1. จุดหมุนหรือจุดฟัลกรัม( Fulcrum) F
2. แรงความต้านทาน( W) หรือนํ้าหนักของวัตถุ
3. แรงความพยายาม( E) หรือแรงที่กระทําต่อคาน
การจําแนกคาน คานจําแนกได้ 3 ประเภทหรือ 3อันดับดังนี้
1. คานอันดับที่ 1
เป็นคานที่มีจุด( F) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม( E) และแรงความต้านทาน( W) เช่น กรรไกรตัดผ้า กรรไกร
ตัดเล็บ คีมตัดลวด เรือแจว ไม้กระดก เป็นต้น
4. 2. คานอันดับ 2 เป็นคานที่มีแรงความต้านทาน( W) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม( E) และจุดหมุน(F) เช่น ที่
เปิดขวดนํ้าอัดลม รถเข็นทราย ที่ตัดกระดาษ เป็นต้น
3. คานอันดับที่ 3 เป็นคานที่มีแรงความพยายาม( E) อยู่ระหว่างแรงความต้านทาน( W) และจุดหมุน(F) เช่น
ตะเกียบ คีมคีบถ่าน แหนบ เป็นต้น
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
การเคลื่อนที่ของวัตถุ
การเคลื่อนที่ หมายถึง การที่วัตถุเปลี่ยนตําแหน่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
การเคลื่อนที่ใน1มิติ หรือการเคลื่อนที่ในแนวตรง เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีเส้นทางการ
เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง เช่น รถแล่นบนถนน การปล่อยวัตถุจากที่สูง
การเคลื่อนที่ใน2มิติ เป็นการเคลื่อนที่ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ จึงมีปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการ
เคลื่อนที่สองแนวพร้อมกันคือ แนวราบและแนวดิ่ง เราจะศึกษาการเคลื่อนที่ใน2มิติ2แบบ คือ การ
เคลื่อนที่ในแนววิถีโค้ง และการเคลื่อนที่แบบวงกลม
การเคลื่อนที่ในแนววิถีโค้ง เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นโค้ง
เช่น การเตะฟุตบอล การโยนลูกบาสใส่ห่วง
5. การเคลื่อนที่แบบวงกลม วัตถุมีเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นวงกลม วัตถุจะเคลื่อนที่แบบนี้ได้ต้องมี
แรงกระทําต่อวัตถุในทิศทางพุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางการเคลื่อนที่เสมอ เช่น ชิงช้าสวรรค์ รถเลี้ยวโค้ง รถจักรยานยนต์ไต่
ถังดาวเทียมโคจรรอบโลก
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
พลังงาน
งานและกําลังงาน
งาน (work; W) หมายถึง ผลของแรงที่ทําให้วัตถุเคลื่อนที่ตามแนวแรง คํานวณได้จาก
W = งาน มีหน่วยเป็น นิวตัน.เมตร (N.m) หรือจูล (J)
W= F × S F = แรง มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
S = ระยะทางตามแนวแรง มีหน่วยเป็น เมตร (m)
กําลังงาน (power,P) หมายถึง อัตราการทํางานต่อหนึ่งหน่วยเวลา คํานวณได้จาก
P = กําลังงาน มีหน่วยเป็น จูลต่อวินาที (J/s) หรือวัตต์ (W)
P = W = งาน มีหน่วยเป็นจูล (J)
t = เวลา มีหน่วยเป็น วินาที (s)
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
พลังงานและการเปลี่ยนรูปพลังงาน
พลังงานในธรรมชาติ จําแนกออกเป็น2รูปด้วยกันคือ
1. พลังงานจลน์ เป็นพลังงานในวัตถุที่กําลังเคลื่อนที่
2. พลังงานศักย์ เป็นพลังงานที่สะสมอยู่ในวัตถุ ถ้าพลังงานนั้นสะสมอยู่ในวัตถุที่อยู่สูงจากพื้นดิน
พร้อมที่จะเคลื่อนที่เรียกว่าพลังงานศักย์โน้มถ่วงแต่ถ้าเป็นพลังงานที่สะสมในสปริงหรือยางยืด พร้อมที่จะ
ยืดหรือหดเราเรียกว่าพลังงานศักย์ยืดหยุ่น
พลังงานศักย์ยืดหยุ่น หมายถึง พลังงานที่สะสมในสปริง พร้อมที่จะยืดหรือหด
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
W
t
6. 50
100
หน่วยที่ 5 ไฟฟ้า
แอมมิเตอร์ คือ เครื่องมือสําเร็จรูปที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจร ความต้านทานภายในของ
เครื่องแอมมิเตอร์มีค่าน้อยมาก วิธีใช้ต้องต่ออนุกรมกับวงจร มีหน่วยเป็นแอมแปร์ (A)
โวลต์มิเตอร์ คือ เครื่องมือสําเร็จรูปที่ใช้วัดความต่างศักย์ ไฟฟ้า ระหว่างจุด2จุดในวงจร ความ
ต้านทานภายในโวลต์มิเตอร์มีค่าสูงมาก วิธีใช้ต้องต่อขนานกับวงจร มีหน่วยวัดเป็นโวลต์
ความต้านทานไฟฟ้า หมายถึงสมบัติของลวดตัวนําที่ย่อมมีการต่อต้านการไหลของกระแสไฟฟ้า
มีหน่วยเป็นโอห์ม(Ω)
ลวดตัวนําชนิดเดียวกันขนาดใหญ่เท่ากัน เส้นที่ยาวกว่าจะมีความต้านทานมากกว่าและจะยอมให้
กระแสไฟฟ้าผ่านได้น้อยกว่าลวดเส้นที่สั้น
ลวดตัวนําชนิดเดียวกัน ยาวเท่ากัน เส้นที่มีขนาดเล็กกว่าหรือพื้นที่หน้าตัดน้อยกว่าจะมีความ
ต้านทานมากกว่าและจะยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้น้อยกว่าลวดเส้นที่มีขนาดใหญ่
กฎของโอห์ม
เมื่ออุณหภูมิคงที่ อัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้าของตัวนําอันหนึ่งย่อม
คงที่เสมอ ซึ่งเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ว่า
= R
หรือ V = IR
เมื่อ V แทน ความต่างศักย์ไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
I แทน กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
R แทน ความต้านทานไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โอห์ม ( Ω )
หลอดไฟฟ้ามีความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้ว50โวลต์ ไส้หลอดมีความต้านทาน100โอห์ม
จะมีกระแสไฟฟ้าผ่านกี่แอมแปร์(จงแสดงวิธีทํา)
(วิธีทํา จาก V = IR
I =
I =
I = 0.5 แอมแปร์
ดังนั้น มีกระแสไฟฟ้าผ่านเท่ากับ0.5แอมแปร์)
V
I
v
I R
V
R
7. “วงจรไฟฟ้าเป็นเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ครบรอบในวงจรไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านสายไฟ สะพานไฟ สวิตช์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามลําดับ แล้วจึงไหลกลับทางสายกลาง
วงจรปิดคือ วงจรไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร
วงจรเปิดคือ วงจรไฟฟ้าที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน”
.........................................................................................................................................
หลอดไฟฟ้า จัดได้ว่าเป็นตัวนําที่มีความต้านทานสูง ซึ่งมักจะเรียกว่า ตัวต้านทาน
การต่อความต้านทานไฟฟ้ามีการต่ออยู่3แบบ คือ แบบอนุกรม แบบขนาน และแบบผสม
เพื่อประโยชน์ในการบังคับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่เข้าไปในวงจรแต่ละส่วน
แบบอนุกรม
นําลวดที่มีความต้านทานเส้นละ 10โอห์ม มาต่ออนุกรมกัน2เส้น จะได้ค่าความต้านทานรวมเป็นเท่าใด (จง
แสดงวิธีทํา)
(วิธีทํา จาก Rรวม = R1 +R2 +R3 +….+Rn
Rรวม = 10+10
Rรวม = 20 Ω
ดังนั้น ความต้านทานรวมเท่ากับ 20โอห์ม ตอบ)
...........................................................................................................................................................
แบบขนาน ความต้านทานรวมระหว่าง AกับBคือเท่าใด
(จงแสดงวิธีทํา)
( วิธีทํา จาก = + + +…+
= + + =
Rรวม =
Rรวม = 3
ดังนั้น ความต้านทานรวมระหว่าง AกับBเท่ากับ3โอห์ม ตอบ)
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
การคํานวณกําลังไฟฟ้า (P)
กําลังไฟฟ้า (P) (วัตต์) =
จะได้ P =
หรือ W = P x t
1
Rรวม
1
R1
1
R2
1
R3
1
Rn
1
6
1
10
1
15
10
30
30
10
6 Ω
10
15
BA
W
t
8. เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเท่าใด
P = กําลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า... (Watt;W วัตต์)
t = เวลาที่ใช้ไฟฟ้า... (s ;วินาที)
W = พลังงานไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไป... (J ;จูล)
โดยปกติหน่วยของพลังงานไฟฟ้า เป็นวัตต์.วินาที ถ้านํามาใช้กับพลังงานที่ใช้ จะไม่เหมาะสม เพราะเป็นหน่วย
เล็ก ในทางปฏิบัติจึงคิดพลังงานไฟฟ้าเป็นกิโลวัตต์.ชั่วโมง หรือ ที่เรียกกันว่า “หน่วย หรือ ยูนิต (Unit)”
1 หน่วย(Unit) = 1 กิโลวัตต์.ชั่วโมง
หาค่าพลังงานที่เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไปได้จาก…
W = P (กิโลวัตต์) x t(ชั่วโมง)
หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้กําลังไฟฟ้า 800วัตต์ ถ้าใช้อยู่นานครึ่งชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงาน-ไฟฟ้ากี่หน่วย
(วิธีทํา กําลังไฟฟ้า800วัตต์ = 0.8 กิโลวัตต์
ใช้อยู่นานครึ่งชั่วโมง = 0.5 ชั่วโมง
จาก W = P× t
W = 0.8 × 0.5
W = 0.4 หน่วย
ตอบ ดังนั้น สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 0.4หน่วย )
ถ้าคิดค่าไฟหน่วยละ 2บาท ถ้าใช้ทุกวันใน 1อาทิตย์ จะเสียเงินเท่าใด 0.4 x2 x7 =5.6 บาท
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
9. หน่วยที่ 6 อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
ตัวต้านทาน เป็นอุปกรณ์ที่มีสมบัติในการต้านการไหลของกระแสไฟฟ้า เมื่อนําตัวต้านทานต่อใน
วงจรไฟฟ้าและเพิ่มค่าความต้านทานมากขึ้น จะทําให้กระแสไฟฟ้าในวงจรเปลี่ยนแปลง
โดยทั่วไปแบ่งตัวต้านทานเป็น 2ประเภท ได้แก่ ตัวต้านทานคงที่ และตัวต้านทานเปลี่ยนค่าได้
ความต้านทานในวงจรเพิ่มขึ้น กระแสไฟฟ้าในวงจรจะน้อยลง
ตัวต้านทานมีหน้าที่ในวงจรไฟฟ้า คือ จํากัดปริมาณไฟฟ้าในวงจรหรือในส่วนของวงจร
ตัวเก็บประจุเป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่สะสมประจุไฟฟ้าหรือคายประจุไฟฟ้าให้กับวงจรหรืออุปกรณ์อื่น ตัว
เก็บประจุโดยทั่วไปแบ่งเป็น2ประเภท ได้แก่ ตัวเก็บประจุชนิดค่าคงที่ และตัวเก็บประจุเปลี่ยนค่าได้
ตัวเก็บประจุคือ อุปกรณ์ที่ทําหน้าที่สะสมประจุไฟฟ้าหรือคาย ประจุไฟฟ้าให้กับวงจรหรืออุปกรณ์อื่น)
ไดโอด เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมให้กระแสไฟฟ้าจากภายนอกไหลผ่านได้ทิศทางเดียวและป้องกัน
กระแสไฟฟ้าไหลย้อนกลับ
ไดโอดทําจากสารประเภทสารกึ่งตัวนํา
ไดโอดช่วยควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าในวงจรให้เคลื่อนที่ในทิศทางเดียว
และป้องกันกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ย้อนกลับในวงจร
ไดโอดประกอบด้วยขั้ว2ขั้วคือ(แอโนด) ต่อกับแหล่งกําเนิดไฟฟ้าขั้ว (บวก) และ (แคโทด)
ต่อกับแหล่งกําเนิดไฟฟ้าขั้ว(ลบ)
LEDแตกต่างจากไดโอดทั่ว ๆ ไป LED เป็นไดโอดที่เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านจะให้แสงสว่าง
แต่ไดโอดทั่วไปจะควบคุมทิศการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า)
LED มีขายื่นออกมาสองขา ขาที่สั้นกว่าคือ ขั้วแคโทด(ขั้วลบ) และขาที่ยาวกว่าคือ ขั้วแอโนด
(ขั้วบวก) ไดโอดเปล่งแสงนี้มีลักษณะคล้ายๆหลอดไฟเล็กๆ กินไฟน้อย และนิยมนํามาใช้งานอย่าง
กว้างขวาง เช่น ไฟกะพริบตามเสียงเพลง ไฟหน้าปัดรถยนต์ ไฟเตือนในเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไฟที่ใช้ในการ
แสดงตัวเลขของเครื่องคิดเลข เป็นต้น
ทรานซิสเตอร์ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทําหน้าที่เสมือนเป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้า
10. หน่วยที่ 7 ดวงดาวและอวกาศ
กาแล็กซี(galaxy) คือกระจุกดาวหรือระบบดาวที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์จํานวนนับแสนล้านดวง
อยู่รวมกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวกับดวงดาวกาแล็กซีแบ่งเป็น3ประเภท ดังนี้
1. กาแล็กซีรูปไข่เป็นกาแล็กซีที่มีกระจุกดาวฤกษ์ร่วมกันอย่างหนาแน่นบริเวณใจกลาง
2. กาแล็กซีรูปกังหันเป็นกาแล็กซีที่มีกระจุกดาวฤกษ์บริเวณใจกลาง และมีการแผ่เป็นสาย
โดยระบบระบบสุริยะจัดอยู่ในกาแล็กซีรูปกังหัน
3. กาแล็กซีรูปร่างไม่สมํ่าเสมอเป็นกาแล็กซีที่ไม่มีรูปทรงที่แน่นอนมีขนาดเล็ก กระจัดกระจาย
ไป โดยทั่ว มีโครงสร้างไม่เป็นระเบียบ
.........................................................................................................................................................................
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ แบ่งได้เป็น2กลุ่ม โดยมีวิธีการแบ่งได้ 2แบบ คือ
1.แบ่งตามองค์ประกอบของสารในดาวเคราะห์ แบ่งเป็น
1.1ดาวเคราะห์ชั้นใน เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มีลักษณะเป็นหินแข็ง วงโคจร
อยู่ใกล้กว่าแถบดาวเคราะห์น้อย ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร
1.2ดาวเคราะห์ชั้นนอก เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีวงโคจรอยู่ไกลกว่าแถบดาวเคราะห์
น้อย เป็นดาวเคราะห์แก๊สที่มีแกนแข็งขนาดเล็กอยู่ที่แกนกลาง แก๊สที่พบส่วนมากเป็นแก๊สไฮโดรเจน แก๊ส
ฮีเลียม ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
2.แบ่งตามระยะทางเฉลี่ยจากดาวเคราะห์ถึงดวงอาทิตย์ แบ่งเป็น
2.1ดาวเคราะห์วงใน มีรัศมีวงโคจรเฉลี่ยน้อยกว่ารัศมีวงโคจรเฉลี่ยของโลก ได้แก่ ดาวพุธ
และดาวศุกร์
2.2ดาวเคราะห์วงนอก มีรัศมีวงโคจรเฉลี่ยมากกว่ารัศมีวงโคจรเฉลี่ยของโลก ได้แก่ ดาว
อังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
.........................................................................................................................................................................
ดาวตก(meteor) หรือที่คนไทยเรียกว่า ผีพุ่งไต้ เป็นเพียงอุกกาบาต หรือเศษวัสดุเล็ก ๆ ที่หลุดจาก
ดาวหางที่เคลื่อนที่ผ่านโลก และเศษวัสดุเหล่านั้นตกผ่านชั้นบรรยากาศของโลก เกิดการเสียดสีกับชั้น
บรรยากาศ ทําให้เกิดความร้อนและลุกเป็นดวงไฟตกลงมายังโลก เศษวัสดุที่ลุกไหม้ไม่หมด เมื่อตกลงมาบน
พื้นโลกอาจก่อให้เกิดหลุมอุกกาบาตขนาดต่าง ๆ ได้
ดาวหาง(comet) ประกอบด้วยฝุ่นและนํ้าแข็งผสมฝุ่นละออง เมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ นํ้าแข็ง
จะเกิดการระเหิด กลายเป็นแก๊สผสมฝุ่นละอองเป็นทางยาว จัดเป็นหางของดาวหาง ส่วนตัวหรือหัวของดาว
หาง เรียกว่า นิวเคลียส เมื่ออยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก ๆ จะมีแต่นิวเคลียสไม่มีหาง
.........................................................................................................................................................................
11. การเคลื่อนที่ของดวงจันทร์มี3ลักษณะ คือ หมุนรอบตัวเอง โคจรรอบโลก และโคจรรอบดวงอาทิตย์
ปรากฏการณ์ข้างขึ้น-ข้างแรม(moon phase) เกิดขึ้นจากดวงจันทร์โคจร เปลี่ยนตําแหน่งไปรอบโลกแล้วทํา
ให้เกิดภาพสะท้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ เกิดเป็นเสี้ยวมากน้อยตามตําแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่
.........................................................................................................................................................................
การบอกตําแหน่งดาวบนท้องฟ้า ต้องบอกเป็นมุม2ระบบ ดังนี้
1.มุมทิศ เรียกว่า แอซิมัท (azimuth) เป็นมุมบอกทิศ โดยวัดตามเข็มนาฬิกา จากจุดทิศเหลือไป
ตามเส้นขอบฟ้าทางตะวันออกจนกระทั่งกลับมาที่จุดทิศเหนือ
2.มุมเงย เรียกว่า อัลติจูด (altitude) เป็นมุมที่วัดจากเส้นขอบฟ้าขึ้นไปตามเส้นวงกลมดิ่งจนถึง
จุดเหนือศีรษะ เมื่อนักเรียนหันไปในทิศของมุมบอกทิศ เพื่อจะดูดาวที่ต้องการแล้ว จะต้องบอกได้ว่าดาวนั้น
ๆ อยู่สูงขึ้นไปเป็นมุมเท่าใด โดยมุมเงยนี้จะวัดได้จาก0- 90องศาเท่านั้น
.........................................................................................................................................................................
กลุ่มดาวเป็นเพียงเรื่องของจินตนาการ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เชื้อชาติภาษาและ
วัฒนธรรม ดังนั้น เพื่อให้สื่อความหมายตรงกัน องค์การดาราศาสตร์สากลจึงกําหนดมาตรฐานโดยมีชื่อเรียก
ให้เหมือนกัน โดยถือตามยุโรป เช่น กลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวแคสสิโอเปีย กลุ่มดาวนายพราน
กลุ่มดาวเหล่านี้สามารถใช้ฤดูกาล และเดือน และ บอกทิศได้ เนื่องจากมีดาวเหนือ
.........................................................................................................................................................................
กล้องดูดาวหรือกล้องโทรทรรศน์ แบ่งเป็น2ประเภท คือ กล้องโทรทรรศน์ประเภทหักเหแสงและ
กล้องโทรทรรศน์ประเภทสะท้อนแสง
กล้องโทรทรรศน์(telescope) คือ เครื่องมือที่ใช้ส่องดูวัตถุในท้องฟ้าซึ่งอยู่ห่างไกล ซึ่งมองดูด้วยตา
เปล่าไม่ชัด ให้ได้ภาพขนาดขยายใหญ่และชัดเจนขึ้น แบ่งเป็น2ประเภท ได้แก่ กล้องโทรทรรศน์ประเภท หัก
เหแสง และกล้องโทรทรรศน์ประเภทสะท้อนแสง
กล้องโทรทรรศน์วิทยุ(radiotelescope) คือ กล้องโทรทรรศน์ที่สามารถรับคลื่นวิทยุ ซึ่งเป็น
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่มาจากดวงดาวด้วยจานขนาดใหญ่ จากนั้นจะแปรสัญญาณที่ได้รับข้อมูล เพื่อให้
เราทราบข้อมูลเกี่ยวกับบรรยากาศของดวงดาวที่อยู่นอกโลกได้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยานอวกาศ(spacecraft) คือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อส่งออกไปสํารวจสิ่งต่าง ๆ ในอวกาศ แบ่งเป็น
2ประเภท ดังนี้
1. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ขับคุม ส่วนใหญ่ใช้สําหรับสํารวจดาวบริวาร และดาวเคราะห์ต่าง ๆ
ยานไพโอเนียร์ ยานมารีเนอร์ ยานกาลิเลโอ
2. ยานอวกาศที่มีมนุษย์ขับคุม เพื่อปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ในอวกาศ
เช่น โครงการเจมินิ โครงการอะพอลโล
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------