More Related Content
Similar to ชาวกูย,กวย,ส่วย
Similar to ชาวกูย,กวย,ส่วย (20)
ชาวกูย,กวย,ส่วย
- 2. ประวัติความเป็นมา
กลุ่มชาติพนธุ์กลุ่มนี้ เรียกตนเองว่า กูย กุย
ั
โกย หรือ กวย ซึงแตกต่างกันไปตามลักษณะการ
่
ออกเสียงของแต่ละถิ่น ถึงแม้ชนพืนเมืองจะออก
้
เสียงสระแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น ชนพืน ้
เมืองต่างก็ให้ความหมายของคำาว่า กูย กุย โกย
หรือ โกย ไว้อย่างมีเอกภาพ คือมีความหมายว่า
“คน” ทังสิ้น
้
ส่วนคำาว่า ส่วย นั้น เป็นคำาทีบัญญัติขึ้น
่
มานอกเหนือปริบทของวัฒนธรรมกูย ซึงชาวกูย ่
เองไม่ค่อยจะยอมรับชื่อนี้เท่าใดนัก
- 3. ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ถินฐานเดิมของชาวกูย อยูบริเวณตอนเหนือ
่ ่
ของเมืองกำาปงธม ประเทศกันพูชา มีหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ชนชาติกูย เคยเป็นรัฐ
อิสระในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขาย
กับราชสำานักอยุธยา และเคยช่วยกษัตริยเขมรแห่ง
์
นครธมปราบขบถ แต่ต่อมาเขมรได้ใช้อำานาจทาง
ทหารปราบปรามชาวกูย และผนวกเอาอาณาจักรกูย
เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขมรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ชาวกูย ชอบอพยพเคลื่อนย้ายอยูเสมอ เพื่อ
่
แสวงหาทีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
่
นอกเหนือจากอยูในประเทศกันพูชาแล้ว ชาวกูย ยัง
่
ได้อพยพขึ้นเหนือเข้าสูบริเวณเมือง อัตตะบือ แสน
่
- 4. ชาวกูยจึงอพยพข้ามลำานำ้าโขงเข้าสูภาคอีสาน
่
ประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านแก่งสะพือ ซึงชาวกูย่
เรียกว่า“แก่งกะชัยผึด” (แก่งงูใหญ่) และในเขตอำาเภอ
โขงเจียม ซึ่งชาวกูยเรียกว่า “โพงเจียง” (ฝูงช้าง)
หลังจากนัน ลูกหลานชาวกูยก็แยกย้ายกันไปตั้งบ้าน
้
เรือนทีบ้านนากอนจอซึ่งเป็นภาษากูย แปลว่าบ้านนาลูก
่
หมา ปัจจุบันคืออำาเภอวารินชำาราบ บ้านเจียงอี ซึ่งเป็น
ภาษากูย แปลว่าบ้านช้างป่วย ในเขตอำาเภอเมือง
ศรีสะเกษในปัจจุบัน นับว่าในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ กูย
ลาว เขมร ชาวกูย เป็นชนดั้งเดิมที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ใน
พืนที่ของอีสานใต้เป็นกลุ่มแรก
้
การอพยพเข้ามาในประเทศไทยทางตอนล่างของ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 2231) และได้มการ ี
- 5. ชาวกูย แต่ละกลุ่มที่อพยพมาจะมีหัวหน้าของตัว
เองในการอพยพมา นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วได้แก่
ชาวกูย ทีมาอยูก่อนชักชวนให้อพยพตามมา หรือหา
่ ่
บริเวณล่าช้างแหล่งใหม่ เพราะชาวกูยมีความชำานาญ
ในการเดินป่าการล่าช้างและฝึกช้าง การอพยพได้หยุด
ลงในสมัยรัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมาได้มการโยกย้ายไป
ี
อยูจังหวัดใกล้เคียงได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัด
่
อุบลราชธานี จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัด
มหาสารคาม ชาวกูยในจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ
เรียกหมูบ้านทีชาวกูยโยกย้ายไปว่าเป็น “หมูบ้านใหม่”
่ ่ ่
การใช้ภาษาระหว่างชาวกูยกลุ่มเดิมและกลุ่มทีโยกย้าย ่
ยังคงมีความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี เพราะยังมีการ
ติดต่อกันอยู่
- 6. สมัยกรุงธนบุรี คนไทยเรียกว่า “เขมร
ป่าดง”สันนิษฐานว่า เพราะบริเวณตั้งแต่ลุ่มแม่นำ้ามูล (ที่
จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางส่วนของ
อุบลราชธานี)ไปจนถึงเมืองจำาปาศักดิ์ สาระวัน อัตตะบือ
ซึ่งเป็นทีอยู่อาศัยของชาวกูยมีภมประเทศเป็นป่าดง และ
่ ู ิ
อยู่หางไกลจากศูนย์กลางการปกครองของราช
่
อาณาจักรไทย
ต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเมื่อดินแดน
“เขมรป่าดง” ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึงของราช
่
อาณาจักรไทย พระบาทสมเด็จพระนังเกล้าเจ้าอยู่หว
่ ั
ได้พจารณาเห็นว่า ถ้าจะเกณฑ์แรงงานผู้คนที่อาศัยอยู่
ิ
ในบริเวณเขมรป่าดงในระบอกแลกไพร่ธรรมดาเช่น
เดียวกับชาวไทยกลุ่มอื่น ๆ แล้วคงไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะ
ภูมประเทศเป็นอุปสรรคในการสือสารคมนาคม จึงได้มี
ิ ่
- 7. นอกจากนียงพบคำาว่า “เขมรส่วย” ซึงกล่าวว่า
้ ั ่
เป็นพวกกูยทีเปลี่ยนภาษาแม่เป็นภาษาเขมรและได้รับ
่
อิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรและมีคำาว่า “ลาวส่วย” ซึ่ง
หมายถึงพวกกูยทีเปลี่ยนไปพูดภาษาอีสาน (ไทยลาว)
่
และได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมลาว
- 8. การตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย
ชาวกูยอาศัยอยู่บริเวณพื้นทีระหว่างแม่นำ้ามูลกับ
่
เทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมบริเวณพื้นทีจังหวัด่
บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนถึงอุบลราชธานี เชื่อกัน
ว่าบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพมาจากทางตอนใต้ ของ
ประเทศลาวสูประเทศไทย และยังเชื่อว่าชาวกูย ทีอยูใน
่ ่ ่
จังหวัดอุบลราชธานีเป็นชาวกูย ทีตกค้างอยูตั้งแต่ครั้ง
่ ่
อพยพมาจากลาว ชาวกูย จะอยูกันมากทางฝั่งใต้
่
แม่นำ้ามูลลงมา จังหวัดทีชาวกูยอยูหนาแน่นทีสุด คือ
่ ่ ่
จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ชาวกูย ทีอยูใน่ ่
ประเทศกัมพูชาจะอยูทางตอนเหนือของเมืองกำาปงธม
่
ในจังหวัดบุรีรัมย์ ชาวกูยส่วนใหญ่อพยพมาจาก
จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และมีการอพยพโยก
- 9. ลักษณะหมู่บ้านที่อาศัย
บ้านของชาวกูยดั้งเดิมจะมี
ลักษณะทรงใต้ถุนสูง บ้านชาวกูยที่
เลี้ยงช้างจะยกส่วนด้านหน้าให้สง ู
กว่าส่วนอื่น เพือทีช้างจะลอดหรือ
่ ่
ยืนอยู่ได้ โดยปรับดินใต้ถนเรือน
ุ
ในส่วนนันให้มลักษณะเป็นหมอน
้ ี
สำาหรับช้างหนุนนอนกลางคืน ส่วน
ชาวบ้านกูยทีไม่เลี้ยงช้างก็สร้างให้
่
ใต้ถุนสูงเช่นกัน เพือวัวควายจะ
่
เข้าไปอยูได้ ชาวกูยจะใช้
่
ประโยชน์จากบริเวณใต้ถุนเรือน
- 10. ศาสนา และความเชื่อ
จะเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างพระพุทธ
ศาสนากับการนับถือผี ในชุมชนจะมีทงวัดและศาลผี
ั้
ประจำาหมูบ้าน ในแต่ละบ้านก็จะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ
่
บางบ้านจะสร้างเป็นศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้กบศาลเจ้า
ั
ที่ บ้านส่วนใหญ่จะมีหองบูชาพระพุทธรูปไว้ในบ้าน
้
และจะสร้างศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้บ้าน การเซ่นไหว้
บูชาผีบรรพบุรุษจะทำาอย่างน้อยปีละครั้ง
- 11. พิธีกรรมและความเชื่อ
การเลี้ยงช้าง
การคล้องช้างมักจะกระทำากันปีละครั้ง ราวเดือน
๑๑-๑๒ หรือเดือนยี่ถงเดือน ๓ เนืองจากเป็นช่วงปลาย
ึ ่
ฤดูฝน การคล้องช้างจะใช้เวลา ๒-๓ เดือน และถือ
ปฏิบัติเป็นประเพณีทชาวกูยจะต้องเรียนรู้ ในการไป
ี่
คล้องช้าง อุปกรณ์ทสำาคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของชา
ี่
วกูย คือ “เชือกปะกำา” ทีทำาด้วยหนังควายแห้ง เชือก
่
ปะกำาถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงของดวงวิญญาณ
บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ และสิงศักดิ์สทธิ์ทงหลาย
่ ิ ั้
เชื่อกันว่าผีปะกำาสามารถบันดาลให้โชคดี หรือโชคร้าย
ในการคล้องช้างได้จึงต้องนับถือเชือกปะกำา
- 12. ข้อปฏิบติต่อเชือกปะกำา
ั
o ห้ามเหยียบ
o ห้ามผู้หญิงทีไม่ใช่สายโลหิตในตระกูลแตะต้องหรือ
่
ขึ้นไปในศาลปะกำาซึ่งเป็นที่เก็บรักษาปะกำา ศาลนีมี
้
ลักษณะคล้ายผีบรรพบุรุษ แยกออกจากตัวบ้าน
ข้อห้ามดังกล่าวนันหากใครละเมิดจะผิดครู หรือ
้
ผิดปะกำา อาจมีผลร้ายต่อผู้ไปคล้องช้าง
เนืองจากการคล้องช้างเป็นงานทีเสี่ยงต่อ
่ ่
อันตรายมาก ผู้คล้องช้างจึงต้องมีความกล้าหาญ ความ
ชำานาญและต้องอาศัยขวัญและกำาลังใจจากผีปะกำาซึง ่
เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตราย ในการ
คล้องช้าง จำาเป็นต้องมีการจัดระเบียบวินัยควบคุมบังคับ
บัญชากันภายในกลุ่มที่ออกคล้องช้างเดียวกัน ก่อน
- 14. ปฏิบติตนของภรรยาและบุตรของหมอ
ั
ช้าง
ห้ามคนอื่นมาพักบ้านโดยเด็ดขาด
ห้ามทาขมินหรือใช้เครื่องหอมประทินผิว ผัดหน้า
้
ทาแป้ง
ห้ามคนในบ้านไปนอนหรือพักค้างคืนบ้านอื่น
เมือเดินทางไปถึงบริเวณทีจะคล้องช้าง ผู้ทเคย
่ ่ ี่
กระทำาผิดหรือกระทำาบาปกับหมอเฒ่าหรือครูบาใหญ่
และหมอเฒ่านีจะทำาพิธี “ประสะ” ให้หมดมลทิน ชาวกูย
้
เชื่อว่าผู้ทเคยมีการกระทำาผิดอาจก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้
ี่
กระทำาหรือผู้ร่วมเดินทางจึงต้องมีพธีล้างบาปเสียก่อน
ิ
โทษทีไม่สามารถล้างบาปได้คือโทษกินเนื้องูเหลือม
่
- 15. เมือทำำพิธีชำำระโทษให้ผู้ทกระทำำผิดเป็นผู้
่ ี่
บริสุทธิ์แล้ว หมอเฒ่ำจะทำำ พิธีเปิดป่ำ (เบิกไพร)
เป็นกำรขออนุญำตเจ้ำป่ำเจ้ำเขำก่อนจะเข้ำจับช้ำง
จำกนันจะไปหำทีเหมำะสมเพื่อตั้งค่ำยพักแรม และ
้ ่
ครูบำใหญ่หรือหมอเฒ่ำจะเซ่นเจ้ำป่ำเจ้ำเขำ ตลอดจน
ผีป่ำ แล้วทำำพิธีกอกองไฟศักดิ์สทธิ์ หรือ กองกำำพวด
่ ิ
ซึ่งเชื่อว่ำจะคุ้มครองทุกคนมิให้เป็นอันตรำย เมื่อจะ
ออกจำกบริเวณนี้ ต้องแสดงคำรวะเสมอ มิฉะนั้นอำจ
ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ตนเองและคณะได้ เมือได้ที่ ่
ตั้งค่ำยพักแรม ครูบำใหญ่จะทำำพิธีเบิกป่ำเพือขอ่
ควำมคุ้มครองจำกผีปู่ตำ แล้วหมอช้ำงทุกคนจะหัน
หน้ำไปทำงทีพกพร้อมกับกล่ำวออกมำดังๆว่ำ“อีเฒ่ำ
่ ั
อังฮะ” ซึ่งหมำยควำมว่ำบัดนีกำรคล้องช้ำงจะต้อง
้
สำำเร็จอย่ำงแน่นอน
- 16. เมื่อทำำพิธีเบิกป่ำแล้วจึงออกเทียวค้นหำโขลงช้ำงป่ำ
่
ชำวกูยมีควำมเชี่ยวชำญในกำรตำมรอยหำโขลงช้ำงป่ำ
มำกสำมำรถคำดคะเนถึงควำมเก่ำใหม่ ขนำดและจำำนวน
ของช้ำงได้อย่ำงแม่นยำำ เมือพบช้ำงป่ำแล้ว ครูบำใหญ่หรือ
่
หมอเฒ่ำจะทำำพิธี “สะปะช้ำงป่ำ” เพือปัดรังควำมไล่ผีป่ำที่
่
เรียกว่ำ “มะเร็งกงเวียร” ออกจำกตัวช้ำงป่ำโดยใช้กิ่งไม้
หรือผ้ำขำวม้ำปัดทีหลังช้ำง บริกรรมคำถำพร้อมเสกนำ้ำมนต์
่
ไปรดช้ำงป่ำ ชำวกูยมีเวทย์มนต์ทเป็นเคล็ดลับในกำรคล้อง
ี่
ช้ำงอยูหลำยอย่ำง
่
เมือได้เวลำกลับบ้ำน ครูบำใหญ่จะหำฤกษ์เพือปล่อย
่ ่
หมอช้ำงออกจำก “เข้ำปะกำำ” โดยจะทำำพิธีร่ำยมนต์ บอก
กล่ำวแก่เทพญำดำ ผีป่ำ ผีดงว่ำได้เสร็จภำรกิจแล้วจะพำ
กันกลับบ้ำน มีกำรกล่ำวสรรเสริญเทพญำดำอำรักษ์และผี
ป่ำ เมือเดินทำงใกล้หมูบ้ำนหมอช้ำงจะผูกช้ำงป่ำไว้นอก
่ ่
- 18. ประเพณี
ประเพณีไหว้พระแข เป็นภำษำเขมร
ประเพณีนี้เป็นประเพณีเสี่ยงทำยเพื่อดูปริมำณนำ้ำฝน
ทีจะตกในเดือนต่ำงๆทีเป็นฤดูกำล ทำำนำในปีต่อไป
่ ่
พิธีไหว้พระแข จะทำำในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ชำวกูยมีควำมเชื่อว่ำพิธีเสี่ยงทำยนีมกจะตรง
้ ั
กับควำมเป็นจริงทีจะเกิดขึ้นในปีต่อไปเสมอ
่
- 19. ภำษำ
ภำษำกูย เป็นกลุ่มภำษำเดียวกับภำษำมอญ –
เขมร สำขำหนึง ซึ่งเป็นกลุ่มภำษำในตระกูลออสโตร
่
เอเชียติก (Thomas and headley 1970 และ
smith 1983) ภำษำกูยไม่ได้ใช้เสียงวรรณยุกต์แยก
ควำมหมำยของคำำดังเช่นภำษำไทย แต่มลักษณะนำ้ำ
ี
เสียง คือเป็นภำษำที่มกลุ่มลักษณะเสียง โดยมีควำม
ี
แตกต่ำงของพยำงค์ ๒ ประเภทคือ พยำงค์ทมสระแบบ
ี่ ี
ธรรมดำ และพยำงค์ทมเสียงสระก้องมีลม
ี่ ี
ชำวกูย แต่ละถินจะมีสำำเนียงกำรใช้ภำษำทีแตก
่ ่
ต่ำงกันไป แต่ถ้ำหำกใช้ระบอบเสียงมำเป็นเกณฑ์ใน
กำรแบ่งอำจแบ่งภำษำกูยออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มภำษำกูย (กูย-กูย) และกลุ่มภำษำกวย (กูย-กวย)
- 20. ในปัจจุบัน ชำวกูยส่วนใหญ่พูดได้ทั้งภำษำ
กูยและภำษำไทยกลำง ในชุมชนกูยที่ไม่มผู้พูด
ี
ภำษำไทยถินอีสำนอำศัยปะปน จะไม่มกำรใช้ภำษำ
่ ี
ไทยถิ่นอีสำน ในชุมชนกูยทีมคนเขมรและคนลำว
่ ี
อำศัยปะปนกัน จะพูดภำษำกันและกันได้
- 21. รูปร่ำงลักษณะ
รูปร่ำงของชำวกูยดั้งเดิมมีลักษณะคล้ำยคลึงกับ
พวก เซมัง หรือ เงำะ ที่เรียกกันโดยทัวไปว่ำ ซำไก
่
ซึ่งเป็นชนพืนเมืองทีอำศัยอยู่ในป่ำทึบของประเทศ
้ ่
มำเลเซีย และทำงภำคใต้ของประเทศไทย กล่ำวคือ
ชำวกูยดั้งเดิมจะมี ผมดก หยิกหยอก จมูกแบน ริม
ฝีปำกบำง ผิวดำำ
แต่กระบวนกำรแลกเปลี่ยนควำมสัมพันธ์ทำง
เศรษฐกิจ สังคม และกำรแต่งงำนข้ำมพรมแดนทำง
วัฒนธรรมทำำให้เกิดกำรถ่ำยเททำงพันธุกรรม ทำำให้
ชำวกูยกลำยลักษณะเป็นแบบมอญ-เขมร กล่ำวคือ มี
ร่ำงกำยสูงใหญ่ไหล่กว้ำงเป็นเหลี่ยม ปัจจุบันจะพบว่ำ
- 22. การแต่งกาย
ผู้ชายจะนุงผ้าจิกกะน้อย เป็นผ้าทีมลักษณะ
่ ่ ี
คล้ายผ้าหางกระรอกมีสเดียว ลักษณะการนุงจะนุงพับ
ี ่ ่
จีบด้านหน้า เหมือนการนุ่งโสร่ง
ผู้หญิงสูงอายุชาวกูยส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าทีมลาย ่ ี
เป็นแบบเฉพาะของชาวกูย และใส่เสื้อคอกระเช้า
ธรรมดา บางคนก็ใส่เสื้อแบบชาวบ้านทัวๆไป ่
เป็นทีนาสังเกตว่าหญิงสูงอายุมกจะชอบใส่สร้อย
่ ่ ั
คอลูกปัด เงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ทติ่งหูทเจาะไว้ เช่น
ี่ ี่
ดอกมะลิ บางคนก็ซอตุ้มหูเงินมาใส่ เป็นต้น
ื้
“ธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวกูยนันกำาหนดว่า ลูก
้
หลานจะต้องมีหน้าทีดูแลการแต่งกายของแม่โดยให้แม่
่
- 24. วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร
ชาวกูยจะรับประทานข้าวเจ้าเป็นหลัก และรับ
ประทานข้าวเหนียวเป็นครั้งคราว อาหารที่พบว่ารับ
ประทานกันเป็นประจำาในหลายๆพื้นที่ คือ พริกตำาและ
แกงกบหรือกบย่าง นอกจากนี้ ชาวกูยยังมีการเลี้ยงหมู
เลี้ยงเป็ดไก่ไว้รับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารดิบยังคงมีอยู่ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวกูยทีนิยมดื่มสุรา อาหารดิบที่
่
บริโภคกันนั้น ได้แก่ กุ้งตัวเล็ก ปลาซิวตัวเล็ก ๆ ส่วน
เนื้อไก่และเป็ดไม่เป็นทีนิยมบริโภคดิบ จะนำามาต้มหรือ
่
ทำาลาบสุก
ผู้หญิงสูงอายุส่วนมากจะเคี้ยวหมากและ
พลู และมีการปลูกต้นพลูกันมาก นอกจากนียังเก็บไม้
้
- 26. ชื่อ นางสาว พรทิพย์ ก๋าจู
รหัสนักศึกษา
53181100124
สาขา สังคมศึกษา
คณะ มนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์