SlideShare a Scribd company logo
1 of 27
ประวัติความเป็นมา
       กลุ่มชาติพนธุ์กลุ่มนี้ เรียกตนเองว่า กูย กุย
                    ั
โกย หรือ กวย ซึงแตกต่างกันไปตามลักษณะการ
                  ่
 ออกเสียงของแต่ละถิ่น ถึงแม้ชนพืนเมืองจะออก
                                     ้
  เสียงสระแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น ชนพืน     ้
 เมืองต่างก็ให้ความหมายของคำาว่า กูย กุย โกย
 หรือ โกย ไว้อย่างมีเอกภาพ คือมีความหมายว่า
                      “คน” ทังสิ้น
                             ้
         ส่วนคำาว่า ส่วย นั้น เป็นคำาทีบัญญัติขึ้น
                                       ่
 มานอกเหนือปริบทของวัฒนธรรมกูย ซึงชาวกูย  ่
       เองไม่ค่อยจะยอมรับชื่อนี้เท่าใดนัก
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
        ถินฐานเดิมของชาวกูย อยูบริเวณตอนเหนือ
          ่                      ่
 ของเมืองกำาปงธม ประเทศกันพูชา มีหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ชนชาติกูย เคยเป็นรัฐ
อิสระในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขาย
 กับราชสำานักอยุธยา และเคยช่วยกษัตริยเขมรแห่ง
                                           ์
  นครธมปราบขบถ แต่ต่อมาเขมรได้ใช้อำานาจทาง
ทหารปราบปรามชาวกูย และผนวกเอาอาณาจักรกูย
 เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขมรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
        ชาวกูย ชอบอพยพเคลื่อนย้ายอยูเสมอ เพื่อ
                                         ่
   แสวงหาทีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
            ่
นอกเหนือจากอยูในประเทศกันพูชาแล้ว ชาวกูย ยัง
                 ่
  ได้อพยพขึ้นเหนือเข้าสูบริเวณเมือง อัตตะบือ แสน
                        ่
ชาวกูยจึงอพยพข้ามลำานำ้าโขงเข้าสูภาคอีสาน
                                           ่
 ประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านแก่งสะพือ ซึงชาวกูย่
เรียกว่า“แก่งกะชัยผึด” (แก่งงูใหญ่) และในเขตอำาเภอ
   โขงเจียม ซึ่งชาวกูยเรียกว่า “โพงเจียง” (ฝูงช้าง)
 หลังจากนัน ลูกหลานชาวกูยก็แยกย้ายกันไปตั้งบ้าน
           ้
เรือนทีบ้านนากอนจอซึ่งเป็นภาษากูย แปลว่าบ้านนาลูก
       ่
หมา ปัจจุบันคืออำาเภอวารินชำาราบ บ้านเจียงอี ซึ่งเป็น
   ภาษากูย แปลว่าบ้านช้างป่วย ในเขตอำาเภอเมือง
ศรีสะเกษในปัจจุบัน นับว่าในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ กูย
 ลาว เขมร ชาวกูย เป็นชนดั้งเดิมที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ใน
             พืนที่ของอีสานใต้เป็นกลุ่มแรก
               ้
       การอพยพเข้ามาในประเทศไทยทางตอนล่างของ
 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ
 นารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 2231) และได้มการ        ี
ชาวกูย แต่ละกลุ่มที่อพยพมาจะมีหัวหน้าของตัว
เองในการอพยพมา นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วได้แก่
 ชาวกูย ทีมาอยูก่อนชักชวนให้อพยพตามมา หรือหา
             ่    ่
 บริเวณล่าช้างแหล่งใหม่ เพราะชาวกูยมีความชำานาญ
ในการเดินป่าการล่าช้างและฝึกช้าง การอพยพได้หยุด
ลงในสมัยรัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมาได้มการโยกย้ายไป
                                          ี
     อยูจังหวัดใกล้เคียงได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัด
        ่
      อุบลราชธานี จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัด
  มหาสารคาม ชาวกูยในจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ
เรียกหมูบ้านทีชาวกูยโยกย้ายไปว่าเป็น “หมูบ้านใหม่”
           ่    ่                               ่
การใช้ภาษาระหว่างชาวกูยกลุ่มเดิมและกลุ่มทีโยกย้าย ่
  ยังคงมีความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี เพราะยังมีการ
                       ติดต่อกันอยู่
สมัยกรุงธนบุรี คนไทยเรียกว่า “เขมร
ป่าดง”สันนิษฐานว่า เพราะบริเวณตั้งแต่ลุ่มแม่นำ้ามูล (ที่
          จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางส่วนของ
อุบลราชธานี)ไปจนถึงเมืองจำาปาศักดิ์ สาระวัน อัตตะบือ
ซึ่งเป็นทีอยู่อาศัยของชาวกูยมีภมประเทศเป็นป่าดง และ
            ่                      ู ิ
       อยู่หางไกลจากศูนย์กลางการปกครองของราช
              ่
                        อาณาจักรไทย
            ต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเมื่อดินแดน
       “เขมรป่าดง” ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึงของราช
                                           ่
  อาณาจักรไทย พระบาทสมเด็จพระนังเกล้าเจ้าอยู่หว
                                        ่           ั
 ได้พจารณาเห็นว่า ถ้าจะเกณฑ์แรงงานผู้คนที่อาศัยอยู่
        ิ
   ในบริเวณเขมรป่าดงในระบอกแลกไพร่ธรรมดาเช่น
เดียวกับชาวไทยกลุ่มอื่น ๆ แล้วคงไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะ
 ภูมประเทศเป็นอุปสรรคในการสือสารคมนาคม จึงได้มี
     ิ                               ่
นอกจากนียงพบคำาว่า “เขมรส่วย” ซึงกล่าวว่า
                 ้ ั                   ่
เป็นพวกกูยทีเปลี่ยนภาษาแม่เป็นภาษาเขมรและได้รับ
            ่
อิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรและมีคำาว่า “ลาวส่วย” ซึ่ง
หมายถึงพวกกูยทีเปลี่ยนไปพูดภาษาอีสาน (ไทยลาว)
                  ่
        และได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมลาว
การตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย
        ชาวกูยอาศัยอยู่บริเวณพื้นทีระหว่างแม่นำ้ามูลกับ
                                      ่
  เทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมบริเวณพื้นทีจังหวัด่
บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนถึงอุบลราชธานี เชื่อกัน
 ว่าบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพมาจากทางตอนใต้ ของ
ประเทศลาวสูประเทศไทย และยังเชื่อว่าชาวกูย ทีอยูใน
              ่                                     ่ ่
 จังหวัดอุบลราชธานีเป็นชาวกูย ทีตกค้างอยูตั้งแต่ครั้ง
                                    ่       ่
   อพยพมาจากลาว ชาวกูย จะอยูกันมากทางฝั่งใต้
                                          ่
  แม่นำ้ามูลลงมา จังหวัดทีชาวกูยอยูหนาแน่นทีสุด คือ
                           ่            ่       ่
 จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ชาวกูย ทีอยูใน่ ่
 ประเทศกัมพูชาจะอยูทางตอนเหนือของเมืองกำาปงธม
                        ่
        ในจังหวัดบุรีรัมย์ ชาวกูยส่วนใหญ่อพยพมาจาก
 จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และมีการอพยพโยก
ลักษณะหมู่บ้านที่อาศัย
        บ้านของชาวกูยดั้งเดิมจะมี
ลักษณะทรงใต้ถุนสูง บ้านชาวกูยที่
เลี้ยงช้างจะยกส่วนด้านหน้าให้สง  ู
 กว่าส่วนอื่น เพือทีช้างจะลอดหรือ
                  ่ ่
 ยืนอยู่ได้ โดยปรับดินใต้ถนเรือน
                           ุ
 ในส่วนนันให้มลักษณะเป็นหมอน
           ้       ี
สำาหรับช้างหนุนนอนกลางคืน ส่วน
ชาวบ้านกูยทีไม่เลี้ยงช้างก็สร้างให้
              ่
  ใต้ถุนสูงเช่นกัน เพือวัวควายจะ
                      ่
     เข้าไปอยูได้ ชาวกูยจะใช้
                ่
 ประโยชน์จากบริเวณใต้ถุนเรือน
ศาสนา และความเชื่อ
          จะเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างพระพุทธ
 ศาสนากับการนับถือผี ในชุมชนจะมีทงวัดและศาลผี
                                     ั้
ประจำาหมูบ้าน ในแต่ละบ้านก็จะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ
           ่
บางบ้านจะสร้างเป็นศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้กบศาลเจ้า
                                          ั
 ที่ บ้านส่วนใหญ่จะมีหองบูชาพระพุทธรูปไว้ในบ้าน
                       ้
และจะสร้างศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้บ้าน การเซ่นไหว้
        บูชาผีบรรพบุรุษจะทำาอย่างน้อยปีละครั้ง
พิธีกรรมและความเชื่อ
การเลี้ยงช้าง
        การคล้องช้างมักจะกระทำากันปีละครั้ง ราวเดือน
 ๑๑-๑๒ หรือเดือนยี่ถงเดือน ๓ เนืองจากเป็นช่วงปลาย
                        ึ            ่
   ฤดูฝน การคล้องช้างจะใช้เวลา ๒-๓ เดือน และถือ
  ปฏิบัติเป็นประเพณีทชาวกูยจะต้องเรียนรู้ ในการไป
                          ี่
คล้องช้าง อุปกรณ์ทสำาคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของชา
                     ี่
  วกูย คือ “เชือกปะกำา” ทีทำาด้วยหนังควายแห้ง เชือก
                             ่
ปะกำาถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงของดวงวิญญาณ
  บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ และสิงศักดิ์สทธิ์ทงหลาย
                                   ่       ิ  ั้
เชื่อกันว่าผีปะกำาสามารถบันดาลให้โชคดี หรือโชคร้าย
       ในการคล้องช้างได้จึงต้องนับถือเชือกปะกำา
ข้อปฏิบติต่อเชือกปะกำา
                  ั
                    o ห้ามเหยียบ
o ห้ามผู้หญิงทีไม่ใช่สายโลหิตในตระกูลแตะต้องหรือ
                  ่
     ขึ้นไปในศาลปะกำาซึ่งเป็นที่เก็บรักษาปะกำา ศาลนีมี
                                                    ้
        ลักษณะคล้ายผีบรรพบุรุษ แยกออกจากตัวบ้าน
         ข้อห้ามดังกล่าวนันหากใครละเมิดจะผิดครู หรือ
                          ้
         ผิดปะกำา อาจมีผลร้ายต่อผู้ไปคล้องช้าง
            เนืองจากการคล้องช้างเป็นงานทีเสี่ยงต่อ
               ่                           ่
อันตรายมาก ผู้คล้องช้างจึงต้องมีความกล้าหาญ ความ
 ชำานาญและต้องอาศัยขวัญและกำาลังใจจากผีปะกำาซึง       ่
 เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตราย ในการ
คล้องช้าง จำาเป็นต้องมีการจัดระเบียบวินัยควบคุมบังคับ
  บัญชากันภายในกลุ่มที่ออกคล้องช้างเดียวกัน ก่อน
จะทำาพิธีถวายเครื่องเซ่นสรวงผีปะกำา การทำาพิธีกรรม
อย่างถูกต้องจะช่วยให้การคล้องช้างสำาเร็จและปลอดภัย
ก่อนออกคล้องช้างนอกจากทำาพิธีกรรมดังกล่าวแล้ว ยัง
ต้องขออนุญาตจากทางบ้านเมืองตามกฎหมายเสียก่อน
  ข้อปฏิบัติของหมอช้างก่อนออกเดิน
                  ทางจับช้าง
  ห้ามยุงเกี่ยวกับผู้หญิงในขณะเดินทางไปคล้อง
         ่
             ช้าง ถ้าฝ่าฝืนจะถูกเสือกัด
         ห้ามพูดเท็จหรือมีความลับต่อกัน
  ต้องพูดจากันด้วยภาษาป่าหรือภาษาผี เพือเน้น  ่
   พิธีกรรมให้ดูนาเชื่อถือและศักดิสิทธิ์ยงขึ้น และ
                  ่               ์      ิ่
         ทำาให้เกิดระเบียบวินยในหมูคณะ
                             ั       ่
ปฏิบติตนของภรรยาและบุตรของหมอ
       ั
                ช้าง
ห้ามคนอื่นมาพักบ้านโดยเด็ดขาด
ห้ามทาขมินหรือใช้เครื่องหอมประทินผิว ผัดหน้า
           ้
ทาแป้ง
ห้ามคนในบ้านไปนอนหรือพักค้างคืนบ้านอื่น
         เมือเดินทางไปถึงบริเวณทีจะคล้องช้าง ผู้ทเคย
            ่                    ่               ี่
 กระทำาผิดหรือกระทำาบาปกับหมอเฒ่าหรือครูบาใหญ่
และหมอเฒ่านีจะทำาพิธี “ประสะ” ให้หมดมลทิน ชาวกูย
                 ้
เชื่อว่าผู้ทเคยมีการกระทำาผิดอาจก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้
              ี่
 กระทำาหรือผู้ร่วมเดินทางจึงต้องมีพธีล้างบาปเสียก่อน
                                   ิ
  โทษทีไม่สามารถล้างบาปได้คือโทษกินเนื้องูเหลือม
          ่
เมือทำำพิธีชำำระโทษให้ผู้ทกระทำำผิดเป็นผู้
               ่                      ี่
    บริสุทธิ์แล้ว หมอเฒ่ำจะทำำ พิธีเปิดป่ำ (เบิกไพร)
  เป็นกำรขออนุญำตเจ้ำป่ำเจ้ำเขำก่อนจะเข้ำจับช้ำง
  จำกนันจะไปหำทีเหมำะสมเพื่อตั้งค่ำยพักแรม และ
          ้             ่
ครูบำใหญ่หรือหมอเฒ่ำจะเซ่นเจ้ำป่ำเจ้ำเขำ ตลอดจน
 ผีป่ำ แล้วทำำพิธีกอกองไฟศักดิ์สทธิ์ หรือ กองกำำพวด
                     ่              ิ
 ซึ่งเชื่อว่ำจะคุ้มครองทุกคนมิให้เป็นอันตรำย เมื่อจะ
 ออกจำกบริเวณนี้ ต้องแสดงคำรวะเสมอ มิฉะนั้นอำจ
ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ตนเองและคณะได้ เมือได้ที่  ่
   ตั้งค่ำยพักแรม ครูบำใหญ่จะทำำพิธีเบิกป่ำเพือขอ่
  ควำมคุ้มครองจำกผีปู่ตำ แล้วหมอช้ำงทุกคนจะหัน
 หน้ำไปทำงทีพกพร้อมกับกล่ำวออกมำดังๆว่ำ“อีเฒ่ำ
                 ่ ั
   อังฮะ” ซึ่งหมำยควำมว่ำบัดนีกำรคล้องช้ำงจะต้อง
                                  ้
                     สำำเร็จอย่ำงแน่นอน
เมื่อทำำพิธีเบิกป่ำแล้วจึงออกเทียวค้นหำโขลงช้ำงป่ำ
                                         ่
 ชำวกูยมีควำมเชี่ยวชำญในกำรตำมรอยหำโขลงช้ำงป่ำ
 มำกสำมำรถคำดคะเนถึงควำมเก่ำใหม่ ขนำดและจำำนวน
ของช้ำงได้อย่ำงแม่นยำำ เมือพบช้ำงป่ำแล้ว ครูบำใหญ่หรือ
                              ่
 หมอเฒ่ำจะทำำพิธี “สะปะช้ำงป่ำ” เพือปัดรังควำมไล่ผีป่ำที่
                                       ่
 เรียกว่ำ “มะเร็งกงเวียร” ออกจำกตัวช้ำงป่ำโดยใช้กิ่งไม้
หรือผ้ำขำวม้ำปัดทีหลังช้ำง บริกรรมคำถำพร้อมเสกนำ้ำมนต์
                     ่
ไปรดช้ำงป่ำ ชำวกูยมีเวทย์มนต์ทเป็นเคล็ดลับในกำรคล้อง
                                    ี่
                       ช้ำงอยูหลำยอย่ำง
                                ่
       เมือได้เวลำกลับบ้ำน ครูบำใหญ่จะหำฤกษ์เพือปล่อย
          ่                                       ่
 หมอช้ำงออกจำก “เข้ำปะกำำ” โดยจะทำำพิธีร่ำยมนต์ บอก
 กล่ำวแก่เทพญำดำ ผีป่ำ ผีดงว่ำได้เสร็จภำรกิจแล้วจะพำ
 กันกลับบ้ำน มีกำรกล่ำวสรรเสริญเทพญำดำอำรักษ์และผี
 ป่ำ เมือเดินทำงใกล้หมูบ้ำนหมอช้ำงจะผูกช้ำงป่ำไว้นอก
        ่                  ่
ชำวกูยจึงมีควำมผูกพันกับช้ำงมำก กำรเลี้ยง
ช้ำงถือเป็นมรดกทำงวัฒนธรรมซึ่งรับปฏิบัติสืบทอดกัน
   มำจำกบรรพบุรุษ ช้ำงเปรียบเสมือนตัวแทนแห่ง
    บรรพบุรุษ กำรปฏิบัติต่อช้ำงจึงแสดงออกมำใน
     ลักษณะเช่นเดียวกับกำรปฏิบัติต่อบรรพบุรุษ
ประเพณี
      ประเพณีไหว้พระแข เป็นภำษำเขมร
ประเพณีนี้เป็นประเพณีเสี่ยงทำยเพื่อดูปริมำณนำ้ำฝน
ทีจะตกในเดือนต่ำงๆทีเป็นฤดูกำล ทำำนำในปีต่อไป
  ่                 ่
พิธีไหว้พระแข จะทำำในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง

     ชำวกูยมีควำมเชื่อว่ำพิธีเสี่ยงทำยนีมกจะตรง
                                        ้ ั
กับควำมเป็นจริงทีจะเกิดขึ้นในปีต่อไปเสมอ
                 ่
ภำษำ
       ภำษำกูย เป็นกลุ่มภำษำเดียวกับภำษำมอญ –
เขมร สำขำหนึง ซึ่งเป็นกลุ่มภำษำในตระกูลออสโตร
               ่
เอเชียติก (Thomas and headley 1970 และ
smith 1983) ภำษำกูยไม่ได้ใช้เสียงวรรณยุกต์แยก
ควำมหมำยของคำำดังเช่นภำษำไทย แต่มลักษณะนำ้ำ
                                       ี
เสียง คือเป็นภำษำที่มกลุ่มลักษณะเสียง โดยมีควำม
                     ี
แตกต่ำงของพยำงค์ ๒ ประเภทคือ พยำงค์ทมสระแบบ
                                         ี่ ี
ธรรมดำ และพยำงค์ทมเสียงสระก้องมีลม
                         ี่ ี
       ชำวกูย แต่ละถินจะมีสำำเนียงกำรใช้ภำษำทีแตก
                       ่                      ่
ต่ำงกันไป แต่ถ้ำหำกใช้ระบอบเสียงมำเป็นเกณฑ์ใน
กำรแบ่งอำจแบ่งภำษำกูยออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มภำษำกูย (กูย-กูย) และกลุ่มภำษำกวย (กูย-กวย)
ในปัจจุบัน ชำวกูยส่วนใหญ่พูดได้ทั้งภำษำ
  กูยและภำษำไทยกลำง ในชุมชนกูยที่ไม่มผู้พูด
                                          ี
ภำษำไทยถินอีสำนอำศัยปะปน จะไม่มกำรใช้ภำษำ
           ่                       ี
 ไทยถิ่นอีสำน ในชุมชนกูยทีมคนเขมรและคนลำว
                           ่ ี
     อำศัยปะปนกัน จะพูดภำษำกันและกันได้
รูปร่ำงลักษณะ
        รูปร่ำงของชำวกูยดั้งเดิมมีลักษณะคล้ำยคลึงกับ
 พวก เซมัง หรือ เงำะ ที่เรียกกันโดยทัวไปว่ำ ซำไก
                                       ่
  ซึ่งเป็นชนพืนเมืองทีอำศัยอยู่ในป่ำทึบของประเทศ
               ้      ่
 มำเลเซีย และทำงภำคใต้ของประเทศไทย กล่ำวคือ
  ชำวกูยดั้งเดิมจะมี ผมดก หยิกหยอก จมูกแบน ริม
                  ฝีปำกบำง ผิวดำำ
          แต่กระบวนกำรแลกเปลี่ยนควำมสัมพันธ์ทำง
 เศรษฐกิจ สังคม และกำรแต่งงำนข้ำมพรมแดนทำง
วัฒนธรรมทำำให้เกิดกำรถ่ำยเททำงพันธุกรรม ทำำให้
ชำวกูยกลำยลักษณะเป็นแบบมอญ-เขมร กล่ำวคือ มี
ร่ำงกำยสูงใหญ่ไหล่กว้ำงเป็นเหลี่ยม ปัจจุบันจะพบว่ำ
การแต่งกาย
      ผู้ชายจะนุงผ้าจิกกะน้อย เป็นผ้าทีมลักษณะ
                 ่                         ่ ี
คล้ายผ้าหางกระรอกมีสเดียว ลักษณะการนุงจะนุงพับ
                       ี                       ่        ่
จีบด้านหน้า เหมือนการนุ่งโสร่ง
      ผู้หญิงสูงอายุชาวกูยส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าทีมลาย   ่ ี
เป็นแบบเฉพาะของชาวกูย และใส่เสื้อคอกระเช้า
ธรรมดา บางคนก็ใส่เสื้อแบบชาวบ้านทัวๆไป   ่
      เป็นทีนาสังเกตว่าหญิงสูงอายุมกจะชอบใส่สร้อย
            ่ ่                     ั
คอลูกปัด เงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ทติ่งหูทเจาะไว้ เช่น
                                      ี่         ี่
ดอกมะลิ บางคนก็ซอตุ้มหูเงินมาใส่ เป็นต้น
                   ื้

    “ธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวกูยนันกำาหนดว่า ลูก
                                 ้
หลานจะต้องมีหน้าทีดูแลการแต่งกายของแม่โดยให้แม่
                  ่
ภาพการแต่งกาย
วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร
         ชาวกูยจะรับประทานข้าวเจ้าเป็นหลัก และรับ
 ประทานข้าวเหนียวเป็นครั้งคราว อาหารที่พบว่ารับ
ประทานกันเป็นประจำาในหลายๆพื้นที่ คือ พริกตำาและ
แกงกบหรือกบย่าง นอกจากนี้ ชาวกูยยังมีการเลี้ยงหมู
           เลี้ยงเป็ดไก่ไว้รับประทานอาหาร
               การรับประทานอาหารดิบยังคงมีอยู่ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวกูยทีนิยมดื่มสุรา อาหารดิบที่
                                ่
 บริโภคกันนั้น ได้แก่ กุ้งตัวเล็ก ปลาซิวตัวเล็ก ๆ ส่วน
เนื้อไก่และเป็ดไม่เป็นทีนิยมบริโภคดิบ จะนำามาต้มหรือ
                         ่
                        ทำาลาบสุก
               ผู้หญิงสูงอายุส่วนมากจะเคี้ยวหมากและ
 พลู และมีการปลูกต้นพลูกันมาก นอกจากนียังเก็บไม้
                                             ้
บรรณานุกรม
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนา
ชนบท/มหาวิทยาลัยมหิดลดร. สมทรง บุรุษพัฒน์
http://www.mapculture.org/mambo/index.ph
p?
option=com_content&task=view&id=369&Itemi
d=5
http://www.oknation.net/blog/thong-
arb/2009/11/07/entry-4
http://www.sac.or.th/databases/ethnic/Conte
nt/Information/kui.ht
http://www.surinrelations.org/index.php?
lay=show&ac=article&Id=251082
http://www.watpracharangsan.com/index.ph
p?mo=3&art=535645
ชื่อ นางสาว พรทิพย์ ก๋าจู
รหัสนักศึกษา
53181100124
สาขา สังคมศึกษา
คณะ มนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์
Thank
 You

More Related Content

What's hot

บ้านผีสิง
บ้านผีสิงบ้านผีสิง
บ้านผีสิงtommy
 
ประวัติผีกระสือ
ประวัติผีกระสือประวัติผีกระสือ
ประวัติผีกระสือPraery Zkss
 
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่า
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่าประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่า
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่าnongtaoschool
 
เปิดตำนานบ้านหนองแวง
เปิดตำนานบ้านหนองแวงเปิดตำนานบ้านหนองแวง
เปิดตำนานบ้านหนองแวงloveonlyone
 
พระยาพิชัย
พระยาพิชัยพระยาพิชัย
พระยาพิชัยkruda500
 
ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2krutew Sudarat
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญาสุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญาTongsamut vorasan
 
ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1krutew Sudarat
 
นางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงนางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงtommy
 
ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3krutew Sudarat
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑jpamok
 
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง
นิทานพื้นบ้าน เรื่องนิทานพื้นบ้าน เรื่อง
นิทานพื้นบ้าน เรื่องkhorntee
 
แหล่กฏแห่งกรรม
แหล่กฏแห่งกรรมแหล่กฏแห่งกรรม
แหล่กฏแห่งกรรมTongsamut vorasan
 
ศิริวรรณ เคนมา
ศิริวรรณ เคนมาศิริวรรณ เคนมา
ศิริวรรณ เคนมาaon1112
 

What's hot (20)

บ้านผีสิง
บ้านผีสิงบ้านผีสิง
บ้านผีสิง
 
ประวัติผีกระสือ
ประวัติผีกระสือประวัติผีกระสือ
ประวัติผีกระสือ
 
Amperpai
AmperpaiAmperpai
Amperpai
 
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่า
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่าประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่า
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองเต่า
 
ใบความรู้ ขุนช้างขุนแผน
ใบความรู้  ขุนช้างขุนแผนใบความรู้  ขุนช้างขุนแผน
ใบความรู้ ขุนช้างขุนแผน
 
เปิดตำนานบ้านหนองแวง
เปิดตำนานบ้านหนองแวงเปิดตำนานบ้านหนองแวง
เปิดตำนานบ้านหนองแวง
 
พระยาพิชัย
พระยาพิชัยพระยาพิชัย
พระยาพิชัย
 
ดงมรณะ7
ดงมรณะ7ดงมรณะ7
ดงมรณะ7
 
ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2ไพรมหากาฬ2
ไพรมหากาฬ2
 
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญาสุภีร์ ทุมทอง   สติปัญญา
สุภีร์ ทุมทอง สติปัญญา
 
ดงมรณะ6
ดงมรณะ6ดงมรณะ6
ดงมรณะ6
 
ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1
 
นางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนงนางนาคพระโขนง
นางนาคพระโขนง
 
ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑
 
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง
นิทานพื้นบ้าน เรื่องนิทานพื้นบ้าน เรื่อง
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง
 
ฮารีรายอ
ฮารีรายอฮารีรายอ
ฮารีรายอ
 
ก่อเจดีย์ทราย
ก่อเจดีย์ทรายก่อเจดีย์ทราย
ก่อเจดีย์ทราย
 
แหล่กฏแห่งกรรม
แหล่กฏแห่งกรรมแหล่กฏแห่งกรรม
แหล่กฏแห่งกรรม
 
ศิริวรรณ เคนมา
ศิริวรรณ เคนมาศิริวรรณ เคนมา
ศิริวรรณ เคนมา
 

Similar to ชาวกูย,กวย,ส่วย

รู้จักคนในชุมชนเมืองน่าน
รู้จักคนในชุมชนเมืองน่านรู้จักคนในชุมชนเมืองน่าน
รู้จักคนในชุมชนเมืองน่านkrunoony
 
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทรา
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทราพิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทรา
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทราLibrru Phrisit
 
งานสังคม ภาคเหนือ
งานสังคม ภาคเหนืองานสังคม ภาคเหนือ
งานสังคม ภาคเหนือtonsocial
 
ประกาศคุณูปการ
ประกาศคุณูปการประกาศคุณูปการ
ประกาศคุณูปการfufee
 
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชี
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชีธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชี
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชีbawtho
 
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1krubuatoom
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือtonsocial
 
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบtommy
 
พระธาตุชเวดากอง
พระธาตุชเวดากองพระธาตุชเวดากอง
พระธาตุชเวดากองThammasat University
 

Similar to ชาวกูย,กวย,ส่วย (20)

รู้จักคนในชุมชนเมืองน่าน
รู้จักคนในชุมชนเมืองน่านรู้จักคนในชุมชนเมืองน่าน
รู้จักคนในชุมชนเมืองน่าน
 
7
77
7
 
File
FileFile
File
 
เล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอีเล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอี
 
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทรา
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทราพิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทรา
พิธีเลี้ยงผีของจังหวัดฉะเชิงเทรา
 
ประเพณีสงกรานต์
ประเพณีสงกรานต์ประเพณีสงกรานต์
ประเพณีสงกรานต์
 
งานสังคม ภาคเหนือ
งานสังคม ภาคเหนืองานสังคม ภาคเหนือ
งานสังคม ภาคเหนือ
 
ประเพณีและวัฒนธรรม 5 ภาค สีขาว
ประเพณีและวัฒนธรรม 5 ภาค สีขาวประเพณีและวัฒนธรรม 5 ภาค สีขาว
ประเพณีและวัฒนธรรม 5 ภาค สีขาว
 
4
44
4
 
ลาว
ลาวลาว
ลาว
 
ประกาศคุณูปการ
ประกาศคุณูปการประกาศคุณูปการ
ประกาศคุณูปการ
 
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชี
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชีธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชี
ธรรมชาติยาตรา เพื่อลำน้ำชี
 
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
สื่อ Powerpoint รสวรรณคดีใหม่.ppt1
 
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ
3เกลอ ตอนป่าช้าผีดิบ
 
ภาคเหนือ
ภาคเหนือภาคเหนือ
ภาคเหนือ
 
หนังสือธรรมะใกล้ตัว
หนังสือธรรมะใกล้ตัวหนังสือธรรมะใกล้ตัว
หนังสือธรรมะใกล้ตัว
 
พระธาตุชเวดากอง
พระธาตุชเวดากองพระธาตุชเวดากอง
พระธาตุชเวดากอง
 
หนึ่ง
หนึ่งหนึ่ง
หนึ่ง
 
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วงใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
 

ชาวกูย,กวย,ส่วย

  • 1.
  • 2. ประวัติความเป็นมา กลุ่มชาติพนธุ์กลุ่มนี้ เรียกตนเองว่า กูย กุย ั โกย หรือ กวย ซึงแตกต่างกันไปตามลักษณะการ ่ ออกเสียงของแต่ละถิ่น ถึงแม้ชนพืนเมืองจะออก ้ เสียงสระแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น ชนพืน ้ เมืองต่างก็ให้ความหมายของคำาว่า กูย กุย โกย หรือ โกย ไว้อย่างมีเอกภาพ คือมีความหมายว่า “คน” ทังสิ้น ้ ส่วนคำาว่า ส่วย นั้น เป็นคำาทีบัญญัติขึ้น ่ มานอกเหนือปริบทของวัฒนธรรมกูย ซึงชาวกูย ่ เองไม่ค่อยจะยอมรับชื่อนี้เท่าใดนัก
  • 3. ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ถินฐานเดิมของชาวกูย อยูบริเวณตอนเหนือ ่ ่ ของเมืองกำาปงธม ประเทศกันพูชา มีหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ชนชาติกูย เคยเป็นรัฐ อิสระในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขาย กับราชสำานักอยุธยา และเคยช่วยกษัตริยเขมรแห่ง ์ นครธมปราบขบถ แต่ต่อมาเขมรได้ใช้อำานาจทาง ทหารปราบปรามชาวกูย และผนวกเอาอาณาจักรกูย เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขมรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชาวกูย ชอบอพยพเคลื่อนย้ายอยูเสมอ เพื่อ ่ แสวงหาทีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ่ นอกเหนือจากอยูในประเทศกันพูชาแล้ว ชาวกูย ยัง ่ ได้อพยพขึ้นเหนือเข้าสูบริเวณเมือง อัตตะบือ แสน ่
  • 4. ชาวกูยจึงอพยพข้ามลำานำ้าโขงเข้าสูภาคอีสาน ่ ประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านแก่งสะพือ ซึงชาวกูย่ เรียกว่า“แก่งกะชัยผึด” (แก่งงูใหญ่) และในเขตอำาเภอ โขงเจียม ซึ่งชาวกูยเรียกว่า “โพงเจียง” (ฝูงช้าง) หลังจากนัน ลูกหลานชาวกูยก็แยกย้ายกันไปตั้งบ้าน ้ เรือนทีบ้านนากอนจอซึ่งเป็นภาษากูย แปลว่าบ้านนาลูก ่ หมา ปัจจุบันคืออำาเภอวารินชำาราบ บ้านเจียงอี ซึ่งเป็น ภาษากูย แปลว่าบ้านช้างป่วย ในเขตอำาเภอเมือง ศรีสะเกษในปัจจุบัน นับว่าในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ กูย ลาว เขมร ชาวกูย เป็นชนดั้งเดิมที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ใน พืนที่ของอีสานใต้เป็นกลุ่มแรก ้ การอพยพเข้ามาในประเทศไทยทางตอนล่างของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 2231) และได้มการ ี
  • 5. ชาวกูย แต่ละกลุ่มที่อพยพมาจะมีหัวหน้าของตัว เองในการอพยพมา นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วได้แก่ ชาวกูย ทีมาอยูก่อนชักชวนให้อพยพตามมา หรือหา ่ ่ บริเวณล่าช้างแหล่งใหม่ เพราะชาวกูยมีความชำานาญ ในการเดินป่าการล่าช้างและฝึกช้าง การอพยพได้หยุด ลงในสมัยรัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมาได้มการโยกย้ายไป ี อยูจังหวัดใกล้เคียงได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัด ่ อุบลราชธานี จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัด มหาสารคาม ชาวกูยในจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ เรียกหมูบ้านทีชาวกูยโยกย้ายไปว่าเป็น “หมูบ้านใหม่” ่ ่ ่ การใช้ภาษาระหว่างชาวกูยกลุ่มเดิมและกลุ่มทีโยกย้าย ่ ยังคงมีความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี เพราะยังมีการ ติดต่อกันอยู่
  • 6. สมัยกรุงธนบุรี คนไทยเรียกว่า “เขมร ป่าดง”สันนิษฐานว่า เพราะบริเวณตั้งแต่ลุ่มแม่นำ้ามูล (ที่ จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางส่วนของ อุบลราชธานี)ไปจนถึงเมืองจำาปาศักดิ์ สาระวัน อัตตะบือ ซึ่งเป็นทีอยู่อาศัยของชาวกูยมีภมประเทศเป็นป่าดง และ ่ ู ิ อยู่หางไกลจากศูนย์กลางการปกครองของราช ่ อาณาจักรไทย ต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเมื่อดินแดน “เขมรป่าดง” ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึงของราช ่ อาณาจักรไทย พระบาทสมเด็จพระนังเกล้าเจ้าอยู่หว ่ ั ได้พจารณาเห็นว่า ถ้าจะเกณฑ์แรงงานผู้คนที่อาศัยอยู่ ิ ในบริเวณเขมรป่าดงในระบอกแลกไพร่ธรรมดาเช่น เดียวกับชาวไทยกลุ่มอื่น ๆ แล้วคงไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะ ภูมประเทศเป็นอุปสรรคในการสือสารคมนาคม จึงได้มี ิ ่
  • 7. นอกจากนียงพบคำาว่า “เขมรส่วย” ซึงกล่าวว่า ้ ั ่ เป็นพวกกูยทีเปลี่ยนภาษาแม่เป็นภาษาเขมรและได้รับ ่ อิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรและมีคำาว่า “ลาวส่วย” ซึ่ง หมายถึงพวกกูยทีเปลี่ยนไปพูดภาษาอีสาน (ไทยลาว) ่ และได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมลาว
  • 8. การตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ชาวกูยอาศัยอยู่บริเวณพื้นทีระหว่างแม่นำ้ามูลกับ ่ เทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมบริเวณพื้นทีจังหวัด่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนถึงอุบลราชธานี เชื่อกัน ว่าบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพมาจากทางตอนใต้ ของ ประเทศลาวสูประเทศไทย และยังเชื่อว่าชาวกูย ทีอยูใน ่ ่ ่ จังหวัดอุบลราชธานีเป็นชาวกูย ทีตกค้างอยูตั้งแต่ครั้ง ่ ่ อพยพมาจากลาว ชาวกูย จะอยูกันมากทางฝั่งใต้ ่ แม่นำ้ามูลลงมา จังหวัดทีชาวกูยอยูหนาแน่นทีสุด คือ ่ ่ ่ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ ชาวกูย ทีอยูใน่ ่ ประเทศกัมพูชาจะอยูทางตอนเหนือของเมืองกำาปงธม ่ ในจังหวัดบุรีรัมย์ ชาวกูยส่วนใหญ่อพยพมาจาก จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และมีการอพยพโยก
  • 9. ลักษณะหมู่บ้านที่อาศัย บ้านของชาวกูยดั้งเดิมจะมี ลักษณะทรงใต้ถุนสูง บ้านชาวกูยที่ เลี้ยงช้างจะยกส่วนด้านหน้าให้สง ู กว่าส่วนอื่น เพือทีช้างจะลอดหรือ ่ ่ ยืนอยู่ได้ โดยปรับดินใต้ถนเรือน ุ ในส่วนนันให้มลักษณะเป็นหมอน ้ ี สำาหรับช้างหนุนนอนกลางคืน ส่วน ชาวบ้านกูยทีไม่เลี้ยงช้างก็สร้างให้ ่ ใต้ถุนสูงเช่นกัน เพือวัวควายจะ ่ เข้าไปอยูได้ ชาวกูยจะใช้ ่ ประโยชน์จากบริเวณใต้ถุนเรือน
  • 10. ศาสนา และความเชื่อ จะเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างพระพุทธ ศาสนากับการนับถือผี ในชุมชนจะมีทงวัดและศาลผี ั้ ประจำาหมูบ้าน ในแต่ละบ้านก็จะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ ่ บางบ้านจะสร้างเป็นศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้กบศาลเจ้า ั ที่ บ้านส่วนใหญ่จะมีหองบูชาพระพุทธรูปไว้ในบ้าน ้ และจะสร้างศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้บ้าน การเซ่นไหว้ บูชาผีบรรพบุรุษจะทำาอย่างน้อยปีละครั้ง
  • 11. พิธีกรรมและความเชื่อ การเลี้ยงช้าง การคล้องช้างมักจะกระทำากันปีละครั้ง ราวเดือน ๑๑-๑๒ หรือเดือนยี่ถงเดือน ๓ เนืองจากเป็นช่วงปลาย ึ ่ ฤดูฝน การคล้องช้างจะใช้เวลา ๒-๓ เดือน และถือ ปฏิบัติเป็นประเพณีทชาวกูยจะต้องเรียนรู้ ในการไป ี่ คล้องช้าง อุปกรณ์ทสำาคัญและเป็นสัญญลักษณ์ของชา ี่ วกูย คือ “เชือกปะกำา” ทีทำาด้วยหนังควายแห้ง เชือก ่ ปะกำาถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงของดวงวิญญาณ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ และสิงศักดิ์สทธิ์ทงหลาย ่ ิ ั้ เชื่อกันว่าผีปะกำาสามารถบันดาลให้โชคดี หรือโชคร้าย ในการคล้องช้างได้จึงต้องนับถือเชือกปะกำา
  • 12. ข้อปฏิบติต่อเชือกปะกำา ั o ห้ามเหยียบ o ห้ามผู้หญิงทีไม่ใช่สายโลหิตในตระกูลแตะต้องหรือ ่ ขึ้นไปในศาลปะกำาซึ่งเป็นที่เก็บรักษาปะกำา ศาลนีมี ้ ลักษณะคล้ายผีบรรพบุรุษ แยกออกจากตัวบ้าน ข้อห้ามดังกล่าวนันหากใครละเมิดจะผิดครู หรือ ้ ผิดปะกำา อาจมีผลร้ายต่อผู้ไปคล้องช้าง เนืองจากการคล้องช้างเป็นงานทีเสี่ยงต่อ ่ ่ อันตรายมาก ผู้คล้องช้างจึงต้องมีความกล้าหาญ ความ ชำานาญและต้องอาศัยขวัญและกำาลังใจจากผีปะกำาซึง ่ เชื่อว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตราย ในการ คล้องช้าง จำาเป็นต้องมีการจัดระเบียบวินัยควบคุมบังคับ บัญชากันภายในกลุ่มที่ออกคล้องช้างเดียวกัน ก่อน
  • 13. จะทำาพิธีถวายเครื่องเซ่นสรวงผีปะกำา การทำาพิธีกรรม อย่างถูกต้องจะช่วยให้การคล้องช้างสำาเร็จและปลอดภัย ก่อนออกคล้องช้างนอกจากทำาพิธีกรรมดังกล่าวแล้ว ยัง ต้องขออนุญาตจากทางบ้านเมืองตามกฎหมายเสียก่อน ข้อปฏิบัติของหมอช้างก่อนออกเดิน ทางจับช้าง ห้ามยุงเกี่ยวกับผู้หญิงในขณะเดินทางไปคล้อง ่ ช้าง ถ้าฝ่าฝืนจะถูกเสือกัด ห้ามพูดเท็จหรือมีความลับต่อกัน ต้องพูดจากันด้วยภาษาป่าหรือภาษาผี เพือเน้น ่ พิธีกรรมให้ดูนาเชื่อถือและศักดิสิทธิ์ยงขึ้น และ ่ ์ ิ่ ทำาให้เกิดระเบียบวินยในหมูคณะ ั ่
  • 14. ปฏิบติตนของภรรยาและบุตรของหมอ ั ช้าง ห้ามคนอื่นมาพักบ้านโดยเด็ดขาด ห้ามทาขมินหรือใช้เครื่องหอมประทินผิว ผัดหน้า ้ ทาแป้ง ห้ามคนในบ้านไปนอนหรือพักค้างคืนบ้านอื่น เมือเดินทางไปถึงบริเวณทีจะคล้องช้าง ผู้ทเคย ่ ่ ี่ กระทำาผิดหรือกระทำาบาปกับหมอเฒ่าหรือครูบาใหญ่ และหมอเฒ่านีจะทำาพิธี “ประสะ” ให้หมดมลทิน ชาวกูย ้ เชื่อว่าผู้ทเคยมีการกระทำาผิดอาจก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้ ี่ กระทำาหรือผู้ร่วมเดินทางจึงต้องมีพธีล้างบาปเสียก่อน ิ โทษทีไม่สามารถล้างบาปได้คือโทษกินเนื้องูเหลือม ่
  • 15. เมือทำำพิธีชำำระโทษให้ผู้ทกระทำำผิดเป็นผู้ ่ ี่ บริสุทธิ์แล้ว หมอเฒ่ำจะทำำ พิธีเปิดป่ำ (เบิกไพร) เป็นกำรขออนุญำตเจ้ำป่ำเจ้ำเขำก่อนจะเข้ำจับช้ำง จำกนันจะไปหำทีเหมำะสมเพื่อตั้งค่ำยพักแรม และ ้ ่ ครูบำใหญ่หรือหมอเฒ่ำจะเซ่นเจ้ำป่ำเจ้ำเขำ ตลอดจน ผีป่ำ แล้วทำำพิธีกอกองไฟศักดิ์สทธิ์ หรือ กองกำำพวด ่ ิ ซึ่งเชื่อว่ำจะคุ้มครองทุกคนมิให้เป็นอันตรำย เมื่อจะ ออกจำกบริเวณนี้ ต้องแสดงคำรวะเสมอ มิฉะนั้นอำจ ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ตนเองและคณะได้ เมือได้ที่ ่ ตั้งค่ำยพักแรม ครูบำใหญ่จะทำำพิธีเบิกป่ำเพือขอ่ ควำมคุ้มครองจำกผีปู่ตำ แล้วหมอช้ำงทุกคนจะหัน หน้ำไปทำงทีพกพร้อมกับกล่ำวออกมำดังๆว่ำ“อีเฒ่ำ ่ ั อังฮะ” ซึ่งหมำยควำมว่ำบัดนีกำรคล้องช้ำงจะต้อง ้ สำำเร็จอย่ำงแน่นอน
  • 16. เมื่อทำำพิธีเบิกป่ำแล้วจึงออกเทียวค้นหำโขลงช้ำงป่ำ ่ ชำวกูยมีควำมเชี่ยวชำญในกำรตำมรอยหำโขลงช้ำงป่ำ มำกสำมำรถคำดคะเนถึงควำมเก่ำใหม่ ขนำดและจำำนวน ของช้ำงได้อย่ำงแม่นยำำ เมือพบช้ำงป่ำแล้ว ครูบำใหญ่หรือ ่ หมอเฒ่ำจะทำำพิธี “สะปะช้ำงป่ำ” เพือปัดรังควำมไล่ผีป่ำที่ ่ เรียกว่ำ “มะเร็งกงเวียร” ออกจำกตัวช้ำงป่ำโดยใช้กิ่งไม้ หรือผ้ำขำวม้ำปัดทีหลังช้ำง บริกรรมคำถำพร้อมเสกนำ้ำมนต์ ่ ไปรดช้ำงป่ำ ชำวกูยมีเวทย์มนต์ทเป็นเคล็ดลับในกำรคล้อง ี่ ช้ำงอยูหลำยอย่ำง ่ เมือได้เวลำกลับบ้ำน ครูบำใหญ่จะหำฤกษ์เพือปล่อย ่ ่ หมอช้ำงออกจำก “เข้ำปะกำำ” โดยจะทำำพิธีร่ำยมนต์ บอก กล่ำวแก่เทพญำดำ ผีป่ำ ผีดงว่ำได้เสร็จภำรกิจแล้วจะพำ กันกลับบ้ำน มีกำรกล่ำวสรรเสริญเทพญำดำอำรักษ์และผี ป่ำ เมือเดินทำงใกล้หมูบ้ำนหมอช้ำงจะผูกช้ำงป่ำไว้นอก ่ ่
  • 17. ชำวกูยจึงมีควำมผูกพันกับช้ำงมำก กำรเลี้ยง ช้ำงถือเป็นมรดกทำงวัฒนธรรมซึ่งรับปฏิบัติสืบทอดกัน มำจำกบรรพบุรุษ ช้ำงเปรียบเสมือนตัวแทนแห่ง บรรพบุรุษ กำรปฏิบัติต่อช้ำงจึงแสดงออกมำใน ลักษณะเช่นเดียวกับกำรปฏิบัติต่อบรรพบุรุษ
  • 18. ประเพณี ประเพณีไหว้พระแข เป็นภำษำเขมร ประเพณีนี้เป็นประเพณีเสี่ยงทำยเพื่อดูปริมำณนำ้ำฝน ทีจะตกในเดือนต่ำงๆทีเป็นฤดูกำล ทำำนำในปีต่อไป ่ ่ พิธีไหว้พระแข จะทำำในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ชำวกูยมีควำมเชื่อว่ำพิธีเสี่ยงทำยนีมกจะตรง ้ ั กับควำมเป็นจริงทีจะเกิดขึ้นในปีต่อไปเสมอ ่
  • 19. ภำษำ ภำษำกูย เป็นกลุ่มภำษำเดียวกับภำษำมอญ – เขมร สำขำหนึง ซึ่งเป็นกลุ่มภำษำในตระกูลออสโตร ่ เอเชียติก (Thomas and headley 1970 และ smith 1983) ภำษำกูยไม่ได้ใช้เสียงวรรณยุกต์แยก ควำมหมำยของคำำดังเช่นภำษำไทย แต่มลักษณะนำ้ำ ี เสียง คือเป็นภำษำที่มกลุ่มลักษณะเสียง โดยมีควำม ี แตกต่ำงของพยำงค์ ๒ ประเภทคือ พยำงค์ทมสระแบบ ี่ ี ธรรมดำ และพยำงค์ทมเสียงสระก้องมีลม ี่ ี ชำวกูย แต่ละถินจะมีสำำเนียงกำรใช้ภำษำทีแตก ่ ่ ต่ำงกันไป แต่ถ้ำหำกใช้ระบอบเสียงมำเป็นเกณฑ์ใน กำรแบ่งอำจแบ่งภำษำกูยออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มภำษำกูย (กูย-กูย) และกลุ่มภำษำกวย (กูย-กวย)
  • 20. ในปัจจุบัน ชำวกูยส่วนใหญ่พูดได้ทั้งภำษำ กูยและภำษำไทยกลำง ในชุมชนกูยที่ไม่มผู้พูด ี ภำษำไทยถินอีสำนอำศัยปะปน จะไม่มกำรใช้ภำษำ ่ ี ไทยถิ่นอีสำน ในชุมชนกูยทีมคนเขมรและคนลำว ่ ี อำศัยปะปนกัน จะพูดภำษำกันและกันได้
  • 21. รูปร่ำงลักษณะ รูปร่ำงของชำวกูยดั้งเดิมมีลักษณะคล้ำยคลึงกับ พวก เซมัง หรือ เงำะ ที่เรียกกันโดยทัวไปว่ำ ซำไก ่ ซึ่งเป็นชนพืนเมืองทีอำศัยอยู่ในป่ำทึบของประเทศ ้ ่ มำเลเซีย และทำงภำคใต้ของประเทศไทย กล่ำวคือ ชำวกูยดั้งเดิมจะมี ผมดก หยิกหยอก จมูกแบน ริม ฝีปำกบำง ผิวดำำ แต่กระบวนกำรแลกเปลี่ยนควำมสัมพันธ์ทำง เศรษฐกิจ สังคม และกำรแต่งงำนข้ำมพรมแดนทำง วัฒนธรรมทำำให้เกิดกำรถ่ำยเททำงพันธุกรรม ทำำให้ ชำวกูยกลำยลักษณะเป็นแบบมอญ-เขมร กล่ำวคือ มี ร่ำงกำยสูงใหญ่ไหล่กว้ำงเป็นเหลี่ยม ปัจจุบันจะพบว่ำ
  • 22. การแต่งกาย ผู้ชายจะนุงผ้าจิกกะน้อย เป็นผ้าทีมลักษณะ ่ ่ ี คล้ายผ้าหางกระรอกมีสเดียว ลักษณะการนุงจะนุงพับ ี ่ ่ จีบด้านหน้า เหมือนการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงสูงอายุชาวกูยส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าทีมลาย ่ ี เป็นแบบเฉพาะของชาวกูย และใส่เสื้อคอกระเช้า ธรรมดา บางคนก็ใส่เสื้อแบบชาวบ้านทัวๆไป ่ เป็นทีนาสังเกตว่าหญิงสูงอายุมกจะชอบใส่สร้อย ่ ่ ั คอลูกปัด เงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ทติ่งหูทเจาะไว้ เช่น ี่ ี่ ดอกมะลิ บางคนก็ซอตุ้มหูเงินมาใส่ เป็นต้น ื้ “ธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวกูยนันกำาหนดว่า ลูก ้ หลานจะต้องมีหน้าทีดูแลการแต่งกายของแม่โดยให้แม่ ่
  • 24. วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร ชาวกูยจะรับประทานข้าวเจ้าเป็นหลัก และรับ ประทานข้าวเหนียวเป็นครั้งคราว อาหารที่พบว่ารับ ประทานกันเป็นประจำาในหลายๆพื้นที่ คือ พริกตำาและ แกงกบหรือกบย่าง นอกจากนี้ ชาวกูยยังมีการเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ดไก่ไว้รับประทานอาหาร การรับประทานอาหารดิบยังคงมีอยู่ โดย เฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวกูยทีนิยมดื่มสุรา อาหารดิบที่ ่ บริโภคกันนั้น ได้แก่ กุ้งตัวเล็ก ปลาซิวตัวเล็ก ๆ ส่วน เนื้อไก่และเป็ดไม่เป็นทีนิยมบริโภคดิบ จะนำามาต้มหรือ ่ ทำาลาบสุก ผู้หญิงสูงอายุส่วนมากจะเคี้ยวหมากและ พลู และมีการปลูกต้นพลูกันมาก นอกจากนียังเก็บไม้ ้
  • 26. ชื่อ นางสาว พรทิพย์ ก๋าจู รหัสนักศึกษา 53181100124 สาขา สังคมศึกษา คณะ มนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์