More Related Content
Similar to ฉันทลักษณ์ (20)
ฉันทลักษณ์
- 1. ฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์ ไทย)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที:่ ป้ ายบอกทาง, ค้นหา
ฉันทลักษณ์ หมายถึง ลักษณะบังคับของคาประพันธ์ไทย ซึ่ ง กาชัย ทองหล่อให้ความหมายไว้ว่า ฉันทลักษณ์ คือตาราที่ว่า
ด้วยวิธีร้อยกรองถ้อยคาหรื อเรี ยบเรี ยงถ้อยคาให้เป็ นระเบียบตาม ลักษณะบังคับและบัญญัติที่นกปราชญ์ได้ว่างเป็ นแบบไว้
ั
ถ้อยคาที่ร้อยกรองขึ้นตามลักษณะบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ เรี ยกว่า คาประพันธ์ [1] และได้ให้ความหมายของ คาประพันธ์ คือ
ถ้อยคาที่ได้ร้อยกรองหรื อเรี ยบเรี ยงขึ้น โดยมีขอบังคับ จากัดคาและวรรคตอนให้รับสัมผัสกัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ที่ได้
้
วางไว้ในฉันทลักษณ์ โดยแบ่งเป็ น 7 ชนิด คือ โคลง ร่ าย ลิลิต กลอน กาพย์ ฉันท์ กล ซึ่ งก็คือ ร้อยกรองไทย นันเอง
่
ร้อยกรองไทยมีความหมาย 2 นัย นัยหนึ่งหมายถึงการแต่งหนังสื อดีให้มีความไพเราะ อีกนัยหนึ่งหมายถึงถ้อยคาที่เรี ยบเรี ยง
ให้เป็ นระเบียบตามบทบัญญัติแห่ง ฉันทลักษณ์ ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายคาที่มีความหมายทานองเดียวกัน เช่น กวีนิพนธ์ บทกวี
บทประพันธ์ กวีวจนะ ลานา บทกลอน กาพย์กลอน กลอนกานต์ กานต์ รวมทั้งคาว่าฉันท์ กาพย์และกลอนด้วย[2] บทความนี้
ั
มุ่งให้ความรู ้เรื่ องลักษณะบังคับของร้อยกรองไทยเป็ นสาคัญ เพื่อเป็ นพื้นฐานในการทาความเข้าใจคาประพันธ์ไทยต่อไป
เนื้อหา
1 ตาราฉันทลักษณ์ไทย
2 การแบ่งฉันทลักษณ์
3 ลักษณะบังคับ
o 3.1 ครุ ลหุ
o 3.2 เอก โท
o 3.3 คณะ
o 3.4 พยางค์
o 3.5 สัมผัส
o 3.6 คาเป็ นคาตาย
o 3.7 คานา
o 3.8 คาสร้อย
4 อ้างอิง
5 แหล่งข้อมูลอื่น
ตาราฉันทลักษณ์ ไทย
ตาราแต่งร้อยกรองไทยที่ถือเป็ นตาราหลักเท่าที่ปรากฏต้นฉบับในปัจจุบน มีอยู่ 7 เล่ม ส่ วนใหญ่เป็ นตาราแต่งกวีนิพนธ์แบบ
ั
ฉบับ ได้แก่
- 2. 1. จินดามณี
2. ประชุมจารึ กวัดพระเชตุพน
3. ชุมนุมตารากลอน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
4. ประชุมลานา ของ หลวงธรรมาภิมณฑ์
5. ฉันทศาสตร์ ของ นายฉันท์ ขาวิไล
6. ฉันทลักษณ์ ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร
7. คัมภีร์สุโพธาลังการ แปลโดย น.อ.แย้ม ประพัฒน์ทอง
การแบ่ งฉันทลักษณ์
สุ ภาพร มากแจ้ ง[3] ได้วิเคราะห์ฉันทลักษณ์ร้อยกรองไทยไว้อย่างละเอียดใน กวี นิพนธ์ ไทย
ซึ่ งกล่าวว่าการแบ่งฉันทลักษณ์อย่างแคบและนิยมใช้อยูทวไปจะได้ 5 ชนิดใหญ่ ๆ แต่หากรวมคาประพันธ์ทองถินเข้าไป
่ ั่ ้ ่
ด้วยจะได้ 10 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่
1. โคลง
2. ฉันท์
3. กาพย์
4. กลอน
5. ร่ าย
6. กานต์
7. ค่าว
8. กาพย์ (เหนือ)
9. กาบ (อีสาน)
10. กอน (อีสาน)
คาประพันธ์ท้ ง 10 ชนิดนี้ ถ้านามาแบ่งตามลักษณะบังคับร่ วมจะได้ 2 กลุ่มคือ
ั
กลุ่มที่ 1 ไม่ บังคับวรรณยุกต์ ได้แก่ ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่ าย และกานต์
กลุ่มที่ 2 บังคับวรรณยุกต์ ได้แก่ โคลง กอน (อีสาน) กาบ (อีสาน) กาพย์ (เหนือ) และค่าว
ลักษณะบังคับ
หมายถึง ลักษณะบังคับที่มีในคาประพันธ์ไทย ได้แก่
1. ครุ ลหุ
2. เอก โท
- 3. 3. คณะ
4. พยางค์
5. สัมผัส
6. คาเป็ น คาตาย
7. คานา
8. คาสร้อย
ครุ ลหุ
ครุ คือพยางค์ที่มีเสี ยงหนัก ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วย สระเสี ยงยาว (ทีฆสระ) และ สระเกินทั้ง 4 คือ สระ อา ใอ
ไอ เอา และพยางค์ที่มีตวสะกดทั้งสิ้ น เช่น ตา ดา หัด เรี ยน ฯลฯ
ั
ลหุ คือพยางค์ที่มเี สี ยงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วย สระสั้น (รัสสระ) ที่ไม่มีตวสะกด เช่น พระ จะ มิ ดุ แกะ
ั
ฯลฯ
เอก โท
เอก คือพยางค์หรื อคาที่มีรูปวรรณยุกต์เอก และบรรดาคาตายทั้งสิ้ น ซึ่ งในโคลง และร่ าย ใช้เอกแทนได้ เช่น พ่อ
แม่ พี่ ปู่ ชิ ชะ มัก มาก ฯลฯ
โท คือพยางค์หรื อคาที่มีรูปวรรณยุกต์โท เช่น น้า ป้ า ช้าง นี้นอง ต้อง เลี้ยว ฯลฯ
้
คณะ
คณะ กล่าวโดยทัวไปคือแบบบังคับที่วางเป็ นกาหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คาประพันธ์ชนิดนั้น จะต้องมีเท่านั้นวรรค
่
เท่านั้นคา และต้องมีเอกโท ครุ ลหุตรงนั้นตรงนี้
แต่สาหรับใน ฉันท์ คาว่า คณะ มีความหมายแคบ คือหมายถึง ลักษณะที่วางคาเสี ยงหนัก เสี ยงเบา ที่เรี ยกว่า ครุ
ลหุ และแบ่งออกเป็ น 8 คณะ คณะหนึ่งมีคาอยู่ 3 คา เรี ยง ครุ ลหุ ไว้ต่างๆ กัน
คณะทั้ง 8 นั้น คือ ย ร ต ภ ช ส ม น ชื่อคณะทั้ง 8 นี้ เป็ นอักษรที่ยอมาจากคาเต็ม คือ
่
ย มาจาก ยชมาน แปลว่า พราหมณ์บูชายัญ
ร มาจาก รวิ แปลว่า พระอาทิตย์
ต มาจาก โตย แปลว่า น้ า
ภ มาจาก ภูมิ แปลว่า ดิน
ช มาจาก ชลน แปลว่า ไฟ
ส มาจาก โสม แปลว่า พระจันทร์
ม มาจาก มารุ ต แปลว่า ลม
น มาจาก นภ แปลว่า ฟ้ า
กาชัย[1] ได้แต่งคาคล้องจองไว้สาหรับจา คณะ ไว้ดงนี้
ั
- 4. ย ยะยิมยวน
้
ร รวนฤดี
ส สุ รภี
ภ ภัสสระ
ช ชะโลมและ
น แนะเกะกะ
ต ตาไปละ
ม มาดีดี
เมื่อแยกพยางค์แล้ว จะได้ ครุ -ลหุ เต็มตามคณะทั้ง 8 (ชื่อคณะนี้ ไม่สู้จาเป็ นในการเรี ยนฉันทลักษณ์ไทยนัก เพราะมุ่งจาครุ -
ลหุกนมากกว่าจาชื่อคณะ เท่าที่จดมาให้ดูเพื่อประดับความรู ้เท่านั้น)
ั ั
พยางค์
พยางค์ คือจังหวะเสี ยง ที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ หรื อหน่วยเสี ยง ที่ประกอบด้วยสระตัวเดียว จะมีความหมาย หรื อไม่กตาม ็
คาที่ใช้บรรจุในบทร้อยกรองต่างๆ นั้น ล้วนหมายถึง คาพยางค์ ทั้งสิ้ น คาพยางค์น้ ี ถ้ามีเสี ยงเป็ น ลหุ จะรวม 2 พยางค์ เป็ น
คาหนึ่ง หรื อหน่วยหนึ่ง ในการแต่งร้อยกรองก็ได้ แต่ถามี เสี ยงเป็ น ครุ จะรวมกันไม่ได้ ต้องใช้พยางค์ละคา
้
สั มผัส
สั มผัส คือลักษณะที่บงคับให้ใช้คาคล้องจองกัน คาที่คล้องจองกันนั้น หมายถึง คาที่ใช้สระ และมาตราสะกดอย่างเดียวกัน
ั
แต่ตองไม่ซ้ าอักษร หรื อซ้ าเสี ยงกัน (สระใอ, ไอ อนุญาตให้ใช้สัมผัสกับ อัย ได้) มี 2 ชนิด คือ สัมผัสนอกและสัมผัสใน
้
1. สั มผัสนอก ได้แก่คาที่บงคับให้คล้องจองกัน ในระหว่างวรรคหนึ่ง กับอีกวรรคหนึ่ง ซึ่ งมีตาแหน่งที่ต่างๆ กัน
ั
ตามชนิดของคาประพันธ์น้ นๆ สัมผัสนอกนี้ เป็ นสัมผัสบังคับ ซึ่ งจาเป็ นต้องมี จะขาดไม่ได้ ดังตัวอย่าง ที่โยงเส้น
ั
ไว้ให้ดู เช่น
โคลง
แท้ไทยใช่เผ่าผู ้ แผ่มหิทธิ์
รักสงบระงับจิต ประจักษ์แจ้ ง
ไป่ รานไป่ รุ กคิด คดประทุษ ใครเลย
เว้นแต่ชาติใดแกล้ ง กลันร้ายรานไทย
่
กลอน
มิใช่ชายดอกนะจะดีเลิศ หญิงประเสริฐเลิศดีกมีถม
็
ชายเป็ นปราชญ์หญิงฉลาดหลักแหลมคม มีให้ชมทัวไปในธาตรี
่
2. สั มผัสใน ได้แก่ คาที่คล้องจองกัน และอยูในวรรคเดียวกัน จะเป็ นสัมผัสคู่ เรี ยงคาไว้ติดต่อกัน หรื อจะเป็ น
่
สัมผัสสลับ คือเรี ยงคาอื่น แทรกคันไว้ ระหว่างคาที่สัมผัสก็ได้สุดแต่จะเหมาะ ทั้งไม่มีกฎเกณฑ์จากัดว่า จะต้องมี
่
อยูตรงนั้น ตรงนี้ เหมือนอย่างสัมผัสนอก และไม่จาเป็ น จะต้องใช้สระอย่างเดียวกันด้วย เพียงแต่ให้อกษร
่ ั
- 5. เหมือนกัน หรื อเป็ นอักษรประเภทเดียวกัน หรื ออักษรที่มีเสี ยงคู่กน ก็ใช้ได้ สัมผัสใน แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ
ั
สัมผัสสระและสัมผัสอักษร
2.1 สั มผัสสระ ได้แก่คาคล้องจองที่มีสระและมาตราสะกดอย่างเดียวกัน เช่น
บางน้ าจืดชื่อบางเป็ นทางคิด ใครมีจิตจืดนักมักหมองหมาง
คนใจจืดชืดชื้อเหมือนชื่อบาง ควรตีห่างเหินกันจนวันตาย
อันน้ าจืดรสสนิทกว่าจิตมืด ถึงเย็นชืดลิมรสหมดกระหาย
้
แต่ใจจืดรสระทมขมมิวาย มักทาลายมิตรภาพให้ราบเตียน
— จาก นิราศวัดสิ งห์
2.2 สั มผัสอักษร ได้แก่ คาคล้องจองที่ใช้ตวอักษรชนิดเดียวกัน หรื อตัวอักษร ประเภทเดียวกัน หรื อใช้ตวอักษร ที่
ั ั
มีเสี ยงคู่กน ที่เรี ยกว่า "อักษรคู่" เช่น ข ค ฆ หรื อ ถ ท ธ เป็ นต้น เช่น
ั
ใช้ ตัวอักษรชนิดเดียวกัน คือใช้อกษรตัวเดียวกันตลอดทั้งวรรค ดังนี้
ั
แลลิงลิงเล่นล้อ ลางลิง
พาเพื่อนเพ่นพ่านพิง พวกพ้อง
ตื่นเต้นไต่ต่อติง เตี้ยต่า
ก่นกู่กนกึกก้อง
ั เกาะเกี้ยวกวนกัน
ใช้ ตัวอักษรประเภทเดียวกัน คือใช้อกษรที่มีเสี ยงเหมือนกัน แต่รูปไม่เหมือนกัน เช่น ค ฆ ท ธ ร ล ศ ษ ส เป็ นต้น
ั
ดังนี้
ศึกษาสาเร็ จรู ้ ลีลา กลอนแฮ
ระลึกพระคุณครู บา บ่มไว้
อุโฆษคุณาภา เพ็ญพิพฒน์
ั
นิเทศธรณิ นให้ หื่นซ้องสาธุการ
ใช้ อักษรที่มีเสี ยงคู่กัน คือใช้อกษรต่า ชนิดอักษรคู่ 14 ตัว กับอักษรสู ง 11 ตัว ซึ่ งมีเสี ยงผันเข้ากันได้ เป็ นคู่ๆ ดังนี้
ั
อักษรต่า 14 ตัว อักษรสู ง 11 ตัว
คฆ ข
ชฌ ฉ
ซ (ทร-ซ) ศษส
ฑฒทธ ฐถ
พภ ผ
ฟ ฝ
ฮ ห
ตัวอย่างดังนี้
คูนแคขิงข่าขึ้น เคียงคาง
- 6. แฟงฟักไฟฝ่ อฝาง ฝิ่ นฝ้ าย
ซางไทรโศกสนสาง ซ่ อนซุ่ม
ทิ้งถ่อนทุยท่อมท้าย เถื่อนท้องแถวถิน
สัมผัสในดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็ นสัมผัสที่ไม่บงคับ จึงมิได้มีแบบกาหนดมาแต่โบราณ แต่ถาไม่มี ก็ขาดรสไพเราะ ซึ่ งเป็ น
ั ้
ยอดของรส ในเชิงฉันทลักษณ์ เพราะฉะนั้น คาประพันธ์ที่ดี จะขาดสัมผัสในเสี ยมิได้ เหมือนเกสร เป็ นเครื่ องเชิดชู ความ
สวยงามของบุปผชาติฉะนั้น