More Related Content
Similar to บทที่ 6 การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน 55
Similar to บทที่ 6 การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน 55 (20)
บทที่ 6 การจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน 55
- 1. บทที่ 6
การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
แผนการสอนประจาบท
1. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพื่อให้สามารถรู้และเข้าใจนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย
2. เพื่อให้สามารถอธิบายการจัดการศึกษาปฐมวัยของไทยจากอดีตถึงปัจจุบันได้
3. เพื่อให้สามารถอธิบายหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาปฐมวัยได้
4. เพื่อให้สามารถอธิบายหลักสูตรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
ระดับปฐมวัยได้
2. สาระการเรียนรู้
1. นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
2. หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน
3. หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
4. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยทั้งในอดีตและปัจจุบัน
5. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
3. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ศึกษาเอกสารประกอบการสอน
2. แบ่งกลุ่มศึกษาตามหัวข้อที่กาหนด
3. อภิปราย ซักถาม สรุปจากสไลด์
4. แบ่งกลุ่มศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย
5. ทดสอบหลังเรียน (แบบทดสอบ)
6. มอบหมายงานในแบบฝึกหัดท้ายบท
4. สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการศึกษาปฐมวัย
2. สไลด์ประกอบการสอน (Power point)
3. เว็บไซต์อาจารย์ Internet
4. หนังสือ ตารา วารสาร งานวิจัย
5. ซีดี วิดีโอ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
- 3. 135
บทที่ 6
การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
ประเทศไทยมีการจัดการศึกษาปฐมวัยมานานแล้ว โดยเจ้านายเชื้อพระวงศ์เข้า
เรียนในโรงเรียนราชกุมารและโรงเรียนราชกุมารี ส่วนชาวบ้านก็นิยมนาลูกไปฝากที่วัด
ต่อเมื่อมีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบจึงมีชั้นมูลศึกษาเกิดขึ้น และมีโรงเรียนราษฎร์ที่
จัดการศึกษาปฐมวัย ได้แก่ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนราชินี และโรงเรียนมาแตร
เดอี ได้เริ่มเปิดสอนแผนกอนุบาลขึ้นโดยนาวิธีการสอนแบบเฟรอเบลและมอนเตสซอรี่มา
เป็นตัวอย่าง ในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็น
ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐบาลได้จัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของ
รัฐแห่งแรกใน ปี พ.ศ. 2483 คือ โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ และยังคงดาเนินการสอนอยู่
จนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2497 เป็นต้นมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายส่งเสริมให้โรงเรียน
เอกชนเปิดสอนระดับอนุบาลศึกษาในขณะเดียวกันหน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วม
จัดการศึกษาในระดับนี้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเตรียมความพร้อมให้เด็กใน
วัยนี้หลากหลายรูปแบบมีทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาโดยตรงและหน่วยงานอื่น ๆที่
ร่วมจัดดาเนินการด้วย เพื่อให้เห็นรูปแบบการพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัยจากอดีตจนถึง
ปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงขอกล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
2. หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน
3. หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
4. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยทั้งในอดีตและปัจจุบัน
5. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
1. นโยบายการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย
การศึกษาปฐมวัยของไทยสมัยมีระบบโรงเรียนในอดีตเริ่มตั้งแต่มีโครงการศึกษา
พ.ศ. 2441 เป็นต้นมาในสมัยนั้นรัฐยังไม่ได้เน้นความสาคัญของการศึกษาในระดับนี้ไม่มี
การกาหนดนโยบายที่แน่ชัด แต่ภายหลังรัฐเริ่มให้ความสาคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเริ่ม
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นปีแรกที่กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการศึกษาในระดับอนุบาล
ศึกษา โดยจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลของรัฐขึ้นเป็นแห่งแรกคือโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศมี
จุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมสาหรับเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาและต่อมา
รัฐได้ตระหนักถึงความสาคัญของการศึกษาของเด็กในระดับนี้ยิ่งขึ้น จึงได้กาหนดนโยบาย
- 4. 136
เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กระดับปฐมวัยไว้ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติแต่ละสมัยที่ผ่านมา
เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 48- 59) ได้กล่าวถึงนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยและตาม
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับต่าง ๆ ดังนี้
1. นโยบายของการศึกษาปฐมวัยในอดีต
นโยบายของการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยตั้งแต่อดีตสามารถศึกษาได้จาก
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติในแต่ละสมัยที่ผ่านมาดังนี้
1.1 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515 – 1519) ระบุไว้ว่าจะ
ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนอนุบาลของรัฐให้ดีขึ้น เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เอกชนและมีการเปิด
โรงเรียนอนุบาลในอาเภอใหญ่ที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและมีประชาชนหนาแน่น
1.2 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 – 2524) ระบุไว้ว่า
การศึกษาอนุบาลนั้นรัฐจะไม่เข้าดาเนินการเอง แต่จะกาหนดระเบียบในการจัดการศึกษา
อนุบาลให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษายิ่งขึ้นซึ่งสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับ
พุทธศักราช 2520 ที่มีรายละเอียดระบุไว้ดังนี้
“16. รัฐพึงเร่งจัดและสนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูเด็กในวัยก่อนประถมศึกษาโดยรัฐจะ
สนับสนุนให้ท้องถิ่นและภาคเอกชนจัดให้มากที่สุด สาหรับการจัดการศึกษาระดับนี้ของรัฐ
จะจัดทาเพียงเพื่อเป็นตัวอย่างและเพื่อการค้นคว้าวิจัยเท่านั้น”
“30. การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาเป็นการศึกษามุ่งอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อน
การศึกษาภาคบังคับเพื่อเตรียมให้มีความพร้อมทุกด้านดีพอที่จะเข้ารับการศึกษาต่อไป
การจัดสถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานั้นอาจจัดเป็นการศึกษาในระบบโรงเรียน หรือ
การศึกษานอกโรงเรียน โดยอาจจัดเป็นสถานรับเลี้ยงดูเด็กหรือศูนย์เด็กปฐมวัย และใน
บางกรณีอาจจัดเป็นชั้นเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาลได้”
1.3 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) ก็ได้กาหนด
นโยบายเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยไว้เช่นกัน โดยได้เน้นถึงความสาคัญของเด็กก่อนวัย
ประถมศึกษาเป็นเป้าหมายสาคัญ ทั้งนี้เพราะเด็กวัยนี้กาลังประสบปัญหาในเรื่องขาด
อาหาร ขาดหลักประกันทางด้านสาธารณสุขและการศึกษา ฉะนั้นรัฐบาลจึงได้กาหนด
นโยบายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ซึ่งสรุปสาระสาคัญได้ว่า “รัฐจะ
สนับสนุนให้ท้องถิ่นและเอกชนจัดให้มากที่สุดโดยรัฐจะจัดทาเพียงเพื่อเป็นตัวอย่าง
การจัดการศึกษามุ่งเสริมสร้างโภชนาการที่ถูกต้องและเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อเข้า
รับการศึกษาในระดับต่อไป”
1.4 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 – 2534) ได้กาหนด
นโยบายและเป้าหมายในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาไว้ว่า รัฐจะมุ่งขยาย
- 5. 137
การจัดการศึกษาระดับนี้ไปสู่ส่วนภูมิภาคชนบทส่งเสริมให้เอกชนจัดโรงเรียนอนุบาล
สาหรับเด็กวัย 3 – 5 ปีให้มากขึ้นและรัฐจะส่งเสริมให้เอกชนจัดโรงเรียนอนุบาลให้โรงเรียน
ร่วมกับชุมชนดาเนินการในพื้นที่มีปัญหาทางภาษา ทางเศรษฐกิจ และพื้นที่ชนบท สาหรับ
ในเขตเมืองจะจัดเป็นตัวอย่างและเพื่อการวิจัยโดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมของเด็ก
1.5 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 – 2539) กาหนด
วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาไว้ว่าเพื่อจัดและส่งเสริมให้เด็ก
ก่อนประถมศึกษาได้รับการพัฒนาทางร่างกายจิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้
สอดคล้องตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการและให้มีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนระดับ
ประถมศึกษาอย่างทั่วถึง
จะเห็นได้ว่าตามแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ผ่านมารัฐได้มีนโยบายเกี่ยวกับ
การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัยไว้อย่างต่อเนื่องและพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ
ในช่วงแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 3, 4 และ 5 (พ.ศ. 2515 – 2529) รัฐยังไม่ได้
รับภาระในการจัดการศึกษาปฐมวัยและสนับสนุนให้เอกชนดาเนินการ ส่วนแผนพัฒนา
การศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 6 รัฐได้ให้ความสาคัญกับการจัดการศึกษาปฐมวัยเพิ่มมากขึ้น
คือ นอกจากจะสนับสนุนให้เอกชนจัดแล้วรัฐยังสนับสนุนให้โรงเรียนของรัฐในท้องถิ่น
ห่างไกลจัดการศึกษาในระดับนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อพัฒนาเด็กทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สอดคล้องตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ และให้มีการเตรียม
ความพร้อมก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษาอย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตามในการดาเนินการตามแนวนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวข้างต้นยังมี
ลักษณะกระจัดกระจายไม่เป็นระบบเดียวกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งของรัฐและเอกชนได้จัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัยอยู่ทั่วไป โดยต่างฝ่ายต่างดาเนินการทา
ให้เกิดความสับสนและในการกาหนดมาตรฐานการพัฒนาเด็กขาดทิศทางการพัฒนาเด็ก
ไปในแนวเดียวกัน
1. นโยบายของการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบัน
ดังที่กล่าวมาแล้วว่ารัฐได้ให้ความสาคัญเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยเพิ่ม
มากขึ้นเรื่อย ๆ และในปัจจุบันจะพบว่ารัฐให้ความสาคัญกับการจัดการศึกษาในระดับนี้
มากด้วย การกาหนดนโยบายที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพราะสืบเนื่องมาจากที่ประชุมสมัชชา
แห่งชาติครั้งที่ 1 ด้านการพัฒนาเด็กซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 – 31 สิงหาคม 2533 ณ ตึก
สันติไมตรีทาเนียบรัฐบาลได้ให้การรับรองปฏิญญาสากลเพื่อเด็กหลังจากนั้นคณะรัฐมนตรี
ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2534 เห็นชอบและอนุมัติให้ประกาศใช้ปฏิญญาเพื่อเด็ก
- 6. 138
อย่างเป็นทางการ กาหนดให้หน่วยงานที่ดาเนินการเกี่ยวกับเด็กทั้งภาครัฐและเอกชนถือ
เป็นแนวนโยบายในการดาเนินการพัฒนาเด็ก โดยใช้สภาวะความต้องการพื้นฐานและ
บริการสาหรับเด็ก (สพด.) เป็นแนวทาง
รัฐได้ตระหนักถึงความสาคัญของการจัดการศึกษาในระดับนี้เพิ่มมากขึ้นจึงได้
กาหนดนโยบาย เกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยในแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.
2535) และกาหนดนโยบายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับแผนพัฒนา
การศึกษาแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 7 (2535 – 2539) จนกระทั่งถึงฉบับปัจจุบันคือ ฉบับที่ 8
(2540 – 2544) นโยบายการศึกษาปฐมวัยในปัจจุบันจะได้แก่
2.1 ปฏิญญาเพื่อเด็กไทย เด็กเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและจะเป็นผู้สืบทอด
ความเป็นชาติในอนาคต ดังนั้นเด็กทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ด้อยโอกาสในลักษณะใดก็ตาม
เช่น เด็กพิการ เด็กถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน เด็กถูกทารุณกรรม เด็กที่ถูกใช้แรงงานอย่างผิด
กฎหมายและโสเภณีเด็ก เป็นต้น จะต้องได้รับการพัฒนาตามหลักการดังกล่าวข้างต้น จึง
ได้กาหนดปฏิญญาเพื่อเด็กไว้ 15 ข้อ โดยข้อที่ 1 – 10 จะเป็นทิศทางใน การพัฒนาเด็กและ
ข้อที่ 11 – 15 จะเป็นพันธกรณีของรัฐสถาบันสังคมองค์กรธุรกิจ และสื่อมวลชน โดยมี
รายละเอียดต่อไปนี้
ทิศทางในการพัฒนาเด็ก (ตามความต้องการพื้นฐานของเด็ก)
1) เด็กต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากบิดามารดา หรือบุคคลในครอบครัวที่ให้
ความรักและความเข้าใจ เพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างเสริมพัฒนาการทุกด้าน อันได้แก่
การพัฒนา ทางกาย ทางจิตใจ สติปัญญา สังคม อารมณ์ ค่านิยมและเจตคติ โดยเฉพาะ
ในระยะตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงอายุ 6 ปีแรกของชีวิตซึ่งเป็นระยะที่สาคัญที่สุดใน
การวางรากฐานและสร้างเสริมคุณภาพของคน
2) เด็กต้องได้รับสารอาหารอย่างน้อยที่สุดตามความต้องการของร่างกายที่ได้
กาหนดไว้ตามวัย เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงในช่วงอายุต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต
เต็มที่และแข็งแรงสมบูรณ์ตามปกติในวัยของตน
3) เด็กต้องได้รับการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการ และได้รับการป้องกันจากโรค
และภัยที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เด็กต้องได้รับการสร้างเสริมคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนตามที่ได้
กาหนดไว้ตลอดจนได้รับการป้องกันจากโรคติดต่อรวมทั้งต้องได้รับการรักษาพยาบาล
ขั้นพื้นฐานในกรณีที่เจ็บป่วยและได้รับการฟื้นฟูสภาพ
4) เด็กต้องมีที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ ไม่คับแคบจนเกินไปและอยู่ในสิ่งแวดล้อม
ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพทั้งทางกายและทางจิตใจ เด็กต้องได้มีโอกาสได้พัฒนา และมี
สถานที่วิ่งเล่นออกกาลังกายและเล่นกีฬา รวมทั้งมีส่วนร่วมในกิจกรรมนันทนาการตามวัย
- 7. 139
5) เด็กต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นอย่างน้อย เพื่อพัฒนาให้มีปัญญามี
คุณธรรมตามหลักศาสนาของตน และมีจริยธรรมขั้นพื้นฐานเด็กต้องได้รับการฝึกอบรมให้
มีความรู้และทักษะในการดารงชีวิตมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีเจตคติที่จะใฝ่เรียนรู้อย่าง
ต่อเนื่องและตลอดชีวิต มีเจตคติที่ดีต่อครอบครัวสังคมและการดาเนินชีวิต มีความเข้าใจ
เกี่ยวกับตนเองอย่างถูกต้องเป็นจริงเข้าใจและยอมรับความต้องการสิทธิบทบาทของ
ตนเองและผู้อื่น เพื่อให้เป็นพลเมืองไทยที่มีความรับผิดชอบมีคุณภาพและรู้จักอยู่ร่วมกัน
โดยสันติ
6) เด็กต้องได้รับการพัฒนาให้มีสุนทรียภาพซาบซึ้งในความงามรู้จักรักเข้าใจและ
อนุรักษ์มรดกและเอกลักษณ์ของชาติด้วยการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์และพัฒนาในกิจกรรม
ด้านศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7) เด็กจะต้องได้รับการฝึกอบรมพัฒนาความรู้และทักษะสาหรับการเตรียม
การประกอบอาชีพตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตน เพื่อให้พึ่งตนเอง
ได้ในเชิงเศรษฐกิจ รวมทั้งมีค่านิยมที่พึงประสงค์ในการทางานที่สุจริตและเหมาะสมกับวัย
8) เด็กต้องมีโอกาสและสามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ด้วยจิตสานึกต่อ
สังคมส่วนรวมและสาธารณสมบัติ มีส่วนร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมรวมทั้ง
การยึดถือเรื่องความมีวินัยในตนเองและความยุติธรรมในสังคม เพื่อเป็นพื้นฐานของวิถีทาง
ในการดาเนินชีวิตตามครรลองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
9) เด็กต้องมีโอกาสเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ในสังคม ทั้งภาครัฐและ
ภาคเอกชนอันหมายถึงสิทธิในการใช้บริการด้านการป้องกันการคุ้มครองและแก้ไขการ
ฟื้นฟูและการพัฒนา
10) เด็กต้องได้รับโอกาสในการรับรู้และการพิทักษ์สิทธิและผลประโยชน์พื้นฐาน
จากรัฐสถาบันสังคมและองค์กรธุรกิจ พร้อมทั้งการมีตัวแทนในการพิทักษ์สิทธิและ
ผลประโยชน์ดังกล่าวตามความเหมาะสม เด็กต้องได้รับการพิทักษ์และคุ้มครองต่อการถูก
กล่าวหาว่ากระทาผิด โดยไม่นามาเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือประชาชน และต้องได้รับ
การปฏิบัติที่แตกต่างไปจากผู้ใหญ่
พันธกรณีของรัฐ สถาบันสังคม องค์กรธุรกิจ และสื่อมวลชน
11) บิดาและมารดามีหน้าที่และความรับผิดชอบเท่าเทียมกันในการตอบสนอง
ความต้องการพื้นฐานของเด็กทั้งนี้ผู้ที่จะเป็นบิดาและมารดาจะต้องมี ความพร้อมทางด้าน
สุขภาพกายและจิตมีวุฒิภาวะที่จะรับผิดชอบต่อครอบครัว สามารถที่จะประกอบอาชีพ
รวมทั้งเรียนรู้วิธีการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อพัฒนาเด็กให้บรรลุถึงศักยภาพของความเป็นมนุษย์
โดยสมบูรณ์โดยรัฐสถาบันสังคมและองค์การธุรกิจจะต้องร่วมกันสนับสนุน
- 8. 140
12) ผู้ใหญ่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กด้วยการเป็นแบบอย่างที่ดีและ
สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสาหรับเด็กรวมทั้งให้ความร่วมมือแก่รัฐและสถาบันสังคมที่จะ
ร่วมพัฒนาปกป้องคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิเด็ก เพื่อไม่ให้ถูกทอดทิ้งถูกเอาเปรียบหรือถูก
ทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจ
13) รัฐสถาบันสังคม อันรวมถึงองค์กรเอกชนและชุมชนด้วย โดยเฉพาะองค์กร
ธุรกิจและสื่อมวลชนต้องร่วมมือกันในการพัฒนาเด็กและพิทักษ์สิทธิเด็กตลอดจนประสาน
การให้บริการตามความต้องการพื้นฐานของเด็ก รวมทั้งสนับสนุนกลไกในการวางนโยบาย
มาตรการและการปฏิบัติ
14) รัฐสถาบันสังคม อันรวมถึงองค์กรเอกชนและชุมชนด้วย โดยเฉพาะองค์กร
ธุรกิจและสื่อมวลชน ต้องส่งเสริมการวิจัยว่าด้วยสถานภาพของเด็กและสภาวะ การพัฒนา
เด็กเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิเด็กและปฏิรูปนโยบาย มาตรการกฎหมายและการปฏิบัติ
ซึ่งขัดกับสิทธิเด็กภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
15) รัฐบาลโดยสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ
และสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนต้องประสานความร่วมมือกับสมัชชาแห่งชาติเพื่อ
รายงานสภาวะด้านเด็กและผลการดาเนินงานพัฒนาเด็กและพิทักษ์สิทธิเด็กและสรุปเสนอ
ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นประจาอย่างน้อยทุก 2 ปี อย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการประกาศใช้ปฏิญญาเพื่อเด็กเป็นแนวนโยบายในการดาเนินงาน
เกี่ยวกับเด็กแล้ว รัฐก็ยังกาหนดแนวนโยบายในเรื่องนี้ไว้เด่นชัดในแผนการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2535 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544)
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ซึ่งมีสาระสาคัญที่เกี่ยวข้อง
กับ การพัฒนาเด็กวัยนี้พอสรุปได้ดังนี้
2.2 แผนการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2535 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันนาไปสู่ปัญหาของโครงสร้างสังคมที่มีความสลับซับซ้อน
มากขึ้นจึงได้มีการทบทวนแผนการศึกษาแห่งชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาให้สามารถ
ปรับคนได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 กล่าวถึง
การจัดการศึกษาปฐมวัย (ในแผนการศึกษาแห่งชาติใช้คาว่าการศึกษาระดับก่อน
ประถมศึกษา) ในประเด็นต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (พิพัฒน์ วิเชียรสุวรรณ. มปป : 31 – 44)
1) ความหมาย การศึกษาในระดับก่อนประถมศึกษาเป็นการศึกษาในลักษณะ
ของการอบรมเลี้ยงดูและพัฒนาความพร้อมของเด็ก ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา
อารมณ์ บุคลิกภาพและสังคมเพื่อรับการศึกษาในระดับต่อไป
- 9. 141
2) รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการศึกษาระดับนี้อาจจัดในรูปของอนุบาล
ศึกษา ชั้นเด็กเล็กหรือในรูปของศูนย์พัฒนาเด็กประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่
ละพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ยังได้กล่าวถึงการศึกษาพิเศษซึ่ง
เป็นการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางกาย สติปัญญา จิตใจ และอารมณ์ ได้
เรียนรู้อย่างเหมาะสมกับสภาพร่างกาย จิตใจและความสามารถและเป็นการศึกษาที่
ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ หรือมีปัญญาเลิศได้พัฒนาความถนัดและ
อัจฉริยภาพของตนได้อย่างเต็มที่การจัดการศึกษาพิเศษนี้ อาจจัดเป็นสถานศึกษาเฉพาะ
หรือจัดในสถานศึกษาปกติตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา
2.3 นโยบาย
1) จัดการศึกษาและส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูที่เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของ
เด็กตามสภาวะความต้องการพื้นฐานตามวัย ตั้งแต่ปฏิสนธิและการพัฒนาคุณลักษณะที่
พึงประสงค์
2) ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับบริการเพื่อเตรียมความพร้อมอย่างน้อย
1 ปี ก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษา
3) ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของครอบครัว ชุมชน สถาบัน สังคมอื่น ๆ และ
สื่อมวลชนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการศึกษาการอนุรักษ์และพัฒนา
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
2.4 แนวการจัดการศึกษา
1) ขยายบริการการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยให้กว้างขวางโดยเฉพาะในชนบท
ห่างไกลและชุมชนแออัดในทุกจังหวัดโดยให้โรงเรียนประถมศึกษาทุกโรงทั้งของรัฐและ
ท้องถิ่นจัดบริการเตรียมความพร้อมสาหรับเด็กอย่างน้อย 1 ปีก่อนเข้าเรียนระดับ
ประถมศึกษา
2) การส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว การอบรมเลี้ยงดูเด็กและ
การเสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างวัย
3) ส่งเสริมให้ครอบครัว สถานศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันในชุมชนและ
สื่อมวลชนร่วมกันในการปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่เหมาะสม และการชี้นาแนวทางที่ดีแก่
เด็กและเยาวชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
4) พัฒนาระบบการนิเทศติดตาม และการประเมินผลการจัดการศึกษาของ
สถานศึกษาทุกระดับและทุกประเภท พร้อมทั้งเร่งรัดให้มีการนาผลการประเมินมาใช้ใน
การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน
- 10. 142
2.5 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540–2544)ระบุว่า
การพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกันจะต้องเริ่มตั้งแต่การเตรียม
ความพร้อมเด็กปฐมวัยไปจนตลอดชีวิตในส่วนของเด็กปฐมวัยจึงได้กาหนดเป้าหมายไว้ คือ
“เพิ่มปริมาณการเตรียมความพร้อมทุกด้านของเด็กปฐมวัย (0 - 5 ปี) อย่างมีคุณภาพ”
ระบุว่าจะมีการเตรียมความพร้อมโดย (สนอง ศิริกุลวัฒนา และสุวิชัย ศิริกุลวัฒนา. 2541
: 27)
1) สนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชน คู่สมรส พ่อและแม่มีความรู้เกี่ยวกับชีวิต
ครอบครัวและวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้องเหมาะสมโดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสาน
การดาเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน
2) สนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กก่อนวัยเรียน หรือเด็กปฐมวัยได้รับบริการการ
เตรียมความพร้อมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กสถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทางานและ
ในสถานประกอบการ โดยดาเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และ
ครอบครัว
3) สนับสนุนให้เด็กทุกคนได้รับการส่งเสริมด้านโภชนาการอย่างเพียงพอและ มี
คุณภาพ
2.6 แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 8(2540–2544) ได้กาหนดนโยบาย
เกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัยไว้ในแผนงานหลักที่ 1 การยกระดับการศึกษาพื้นฐานของปวงชน
ดังนี้ (พิพัฒน์ วิเชียรสุวรรณ. มปป : 72 – 74)
1) วัตถุประสงค์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการการศึกษาขั้น
พื้นฐานที่ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีครอบครัว เด็กแรกเกิดที่ควร
ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องอันเป็นการศึกษาของเด็กตั้งแต่ปฐมวัยเรื่อยมาจนถึง
การศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่มีคุณภาพอย่างกว้างขวางเท่าเทียมกัน
2) เป้าหมาย เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการเตรียมความพร้อมอย่างน้อย 1 ปี ก่อน
เข้าเรียนระดับประถมศึกษาก่อน พ.ศ. 2544 และขยายปริมาณการเข้าถึงบริการการศึกษา
ระดับก่อนประถมศึกษาของเด็กปฐมวัย (3 – 5 ปี) จากร้อยละ 65 เป็นไม่ต่ากว่าร้อยละ
90 ในปี พ.ศ. 2544
3) แนวทาง/มาตรการในการขยายบริการการเตรียมความพร้อมแก่เด็กปฐมวัย
1. จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว การวางแผนครอบครัว
วิธีการเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ คู่สมรส พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวผ่านสื่อ
ประเภทต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยให้หน่วยงานทางการศึกษาประสานและร่วมมือกับ
สื่อมวลชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อีกทั้งจัดกิจกรรมรณรงค์ทางสังคมเพื่อให้เกิด
- 11. 143
ความตระหนักว่าการลงทุนพัฒนาเด็กในช่วงวัยนี้ เป็นการลงทุนขั้นพื้นฐานที่สาคัญที่จะ
เอื้อให้การพัฒนาในช่วงวัยต่อไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
2. รัฐและองค์กรทางสังคมสนับสนุนให้เด็กได้รับอาหารหลักอาหารเสริมและนมอย่าง
เพียงพอและมีคุณภาพโดยมีมาตรการเสริมเป็นพิเศษสาหรับเด็กที่อยู่ในสภาวะ
ทุพโภชนาการและเด็กที่ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
3. ส่งเสริมสนับสนุนการเตรียมความพร้อมอย่างมีมาตรฐานให้แก่เด็กปฐมวัยใน
รูปแบบที่หลากหลายโดยดาเนินการเป็นกระบวนการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ
ชุมชนและ ครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับบริการแบบให้เปล่า
ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 นันทิยา น้อยจันทร์ (2549 : 66-67)
ได้กล่าวถึง นโยบาย เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ การพัฒนาเด็กปฐมวัยดังนี้
1. นโยบาย
นโยบายจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัยช่วงอายุ 0 – 5 ปี เพื่อให้เด็กทุกคนได้
พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพและมีคุณภาพ โดยให้ทุกส่วนของสังคมมีส่วนร่วมใน
การจัดบริการให้สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นและผู้รับบริการ
2. เป้าหมาย
เป้าหมายของการจัดการศึกษามีดังนี้
1. เด็กอายุ 0 – 5 ปี ทุกคน
2. พ่อแม่ สมาชิกในครอบครัว ผู้เตรียมตัวเป็นพ่อแม่
3. ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยตรง ได้แก่ ครู ผู้ดูแลเด็ก พี่เลี้ยงเด็ก ผู้เลี้ยงดูเด็ก
ผู้สูงอายุที่ดูแลเด็ก เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ
4. ชุมชน ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนต่าง ๆ ผู้นาทางศาสนา
อาสาสมัครในรูปแบบต่าง ๆ กลุ่มอาชีพ นักเรียน/เยาวชน ฯลฯ
5. สังคม ได้แก่ สถาบันทางสังคม สื่อมวลชน นักวิชาชีพและองค์กรวิชาชีพ ต่าง
ๆ องค์กรของรัฐ องค์กรเอกชน ฯลฯ
3. ยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยมีดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาเด็กปฐมวัยต่ากว่า 3 ปี ใช้หลักการบ้านเป็นรากฐานในการเลี้ยงดู
(Home based approach) ซึ่งบุคคลสำคัญคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองและสมำชิกในครอบครัว
2. เด็กอายุ 3 – 5 ปี ใช้สถานพัฒนาเด็กหรือรูปแบบอื่นที่เป็นทั้งในระบบ นอก
ระบบ และตามอัธยาศัย โดยให้ผู้ดูแลเด็ก ฯลฯ มีลักษณะเป็น “มืออาชีพ” และร่วมมือกับ
พ่อแม่ ผู้ปกครองและครอบครัว
- 12. 144
3. การพัฒนาเด็กอายุ 0- 5 ปี ที่ดีและมีคุณภาพต้องมีระบบการส่งต่อเพื่อ
เชื่อมโยงจากบ้านไปศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย และโรงเรียน
4. การพัฒนาความรู้และทักษะแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กอายุ 0 – 5 ปี
5. สร้างความพร้อมให้ชุมชนและท้องถิ่นสามารถดาเนินการจัดการศึกษาและ
พัฒนาเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. สังคมร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างครบวงจร ตั้งแต่วางแผน
ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และประเมินผล
7. เมื่อชุมชนและท้องถิ่นมีความเข้มแข็งพอ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความรู้
ความสามารถ ให้รัฐกระจายความรับผิดชอบไปยังชุมชน ท้องถิ่น (ครอบครัว ชุมชน อบต.
เทศบาล เอกชน องค์กรเอกชน และอื่น ๆ) ดาเนินการเต็มที่ในทุกด้าน รัฐจากัดบทบาทของ
ตนเองให้เป็นผู้กาหนดนโยบาย รูปแบบ การตรวจสอบมาตรฐานการประเมินผล และ
การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่าง ๆ
2. หลักการและรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
การจัดการศึกษาปฐมวัยของประเทศไทย มีการจัดทั้งในระบบโรงเรียนและนอก
ระบบโรงเรียน เพราะประเทศไทยมีทั้งชุมชนเมืองและชนบท รูปแบบการจัดการศึกษา
ปฐมวัยจึงจัดหลาย ๆ รูปแบบตามความเหมาะสมของสภาพชุมชนรูปแบบที่นิยมจัด ได้แก่
1. รูปแบบโรงเรียน
การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบโรงเรียนมีเป้าหมายหลักอยู่ที่เด็กอายุ
ระหว่าง 3 – 6 ขวบ เป็นการจัดการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมพัฒนาการ และการเตรียม
ความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์
จิตใจ สังคมและสติปัญญาการดาเนินการที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐและเอกชน
จะมีรูปแบบการจัด 2 ลักษณะ คือ
1.1 ชั้นอนุบาล เป็นการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการครบทุก
ด้านทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งลักษณะนิสัยต่าง ๆ
โดยใช้ระยะเวลาในการจัดการศึกษาประมาณ 2 – 3 ปี สาหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 3
– 6 ปี
1.2 ชั้นเตรียมประถมศึกษาหรือชั้นเด็กเล็ก เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเตรียม
ความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาโดยใช้ระยะเวลาในการจัด
การศึกษา 1 ปี สาหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี
- 13. 145
2. ศูนย์พัฒนาเด็ก
การจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พัฒนาเด็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กนั้นมี
เป้าหมายหลักอยู่ที่เด็กปฐมวัยที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิด – 6 ขวบ ที่ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจ
และสังคมซึ่ง ได้แก่ เด็กยากจนในเขตพื้นที่ชนบทห่างไกลและชนกลุ่มน้อย เด็กที่อยู่ใน
ชุมชนแออัด และเด็กด้อยความสามารถทางด้านร่างกาย สมอง และจิตใจการจัด
การศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พัฒนาเด็กมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์
อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวัน ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายหลักในการดาเนินงานที่คล้ายคลึงกันสรุปได้ดังนี้ (อรุณี หรดาล.
2537 : 85)
2.1 เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและเตรียมความพร้อมให้กับเด็กทั้งทางด้านร่างกาย
อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างถูกต้องเหมาะสมตามวัย
2.2 เพื่อปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีและการปรับตัวเข้ากับสังคมนอกบ้าน รวมถึงให้สามารถ
ช่วยเหลือ ตนเองได้
2.3 เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ พ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็ก การ
อบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างถูกวิธีการประกอบอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเพื่อป้องกันเด็กจาก
โรคขาดสารอาหารทั้งการให้ภูมิคุ้มกันโรค และการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ถูกต้อง
2.4 เพื่อกระตุ้นให้องค์กรท้องถิ่นและครอบครัวมีบทบาทในการพัฒนาและมีส่วน
ร่วมในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก
2.5 เพื่อแบ่งเบาภาระการอบรมเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้สามารถใช้
เวลาในการประกอบอาชีพได้มากขึ้น
การจัดบริการทางการศึกษาในรูปแบบอื่น
เนื่องจากมีเด็กบางกลุ่มที่ไม่มีโอกาสเข้ารับบริการการอบรมเลี้ยงดูจากโรงเรียน
หรือศูนย์พัฒนาเด็กจึงมีกิจกรรมที่จัดเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยในรูปแบบอื่น ๆ เช่น
การพัฒนาเด็กโดยหน่วยงานพัฒนาเด็กเคลื่อนที่ ซึ่งจัดกิจกรรมการให้ความรู้ความเข้าใจ
แก่พ่อแม่ผู้ปกครองด้วยวิธีการสาธิตฝึกอบรมการเลี้ยงดูเด็กตามหลักวิชาการแผนใหม่
ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการครบทุกด้านหรืออาจจะดาเนินงานทางอ้อมในรูปของกิจกรรม
การพัฒนาเด็กโดยครอบครัว โดยมี การร่วมมือกันในระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน
การพัฒนาเด็กมุ่งให้พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวมีความรู้ความสามารถในการอบรม
เลี้ยงดูเด็กอย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้โดยร่วมกับอาสาสมัครหมู่บ้าน ผู้นาท้องถิ่น และ
เยาวชนในหมู่บ้านจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กในครอบครัวของตนรวมทั้งนาความรู้ไป
ถ่ายทอดแก่พ่อแม่และบุคคลอื่นด้วย
- 14. 146
3. หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
เนื่องจากประเทศไทยมีรูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัยหลายรูปแบบ มีหน่วยงาน
ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจ การจัดดาเนินงานการศึกษาปฐมวัยจึงมีหลาย
หน่วยงานจัดดาเนินงานให้บริการแต่ละหน่วยงานที่จัดก็จะมีวัตถุประสงค์และการจัด
ดาเนินงานที่มีลักษณะเฉพาะดังต่อไปนี้
1. หน่วยงานที่ให้การศึกษาในระบบโรงเรียน
1.1 โรงเรียนอนุบาลของรัฐ หน่วยงานของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบการจัดโรงเรียนใน
ระดับชั้นอนุบาลและชั้นเด็กเล็กได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการทบวงมหาวิทยาลัยสานักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงแรงงานและ สวัสดิการสังคมซึ่งแต่ละหน่วยงานมีลักษณะการจัดดังนี้
1.1.1 โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการมี
หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาปฐมวัย คือ
1)โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบของสานักงาน
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลประจาจังหวัดและโรงเรียน
ประถมศึกษาที่อยู่ในหมู่บ้านจะรับเด็กอายุระหว่าง 4 – 6 ปี เข้าเรียนในชั้นอนุบาล มี
หลักสูตร 2 ปี คือ ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 1 และชั้นอนุบาลปีที่ 2 หรือรับเด็กชายหญิงอายุ
5 – 6 ปี เข้าเรียนในชั้นเด็กเล็กหลักสูตร 1 ปี
2) โรงเรียนอนุบาลสาธิตของสถาบันราชภัฏ จัดการศึกษาปฐมวัยขึ้นเพื่อ
เตรียมความพร้อมของเด็กก่อนเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา และเพื่อแบ่งเบาภาระของ
อาจารย์และ ข้าราชการในสถาบัน ใช้เป็นแหล่งฝึกงานสาหรับนักศึกษาวิชาเอกการศึกษา
ปฐมวัย และเป็นแหล่งศึกษาเกี่ยวกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ส่วนใหญ่จะ
รับเด็กอายุตั้งแต่ 3 – 6 ปี เข้าศึกษาในหลักสูตรอนุบาล 3 ปี แต่มีบางแห่งที่รับเด็กอายุ 4 –
6 ปี เข้าศึกษาโดยมีหลักสูตร 2 ปี
3) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ สังกัดกองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา
เป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาสาหรับเด็กขาดโอกาสที่จะเรียนในโรงเรียนปกติ ได้แก่ เด็กชาว
ป่า เด็กชาวเขา เด็กชาวเรือ เด็กชาวเกาะ เด็กที่อยู่ในท้องถิ่นกันดารหรือมีปัญหาทางสภาพ
ภูมิศาสตร์ เด็กยากจนที่ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนปกติ เด็กกาพร้าบิดาหรือมารดา
ขาดผู้อุปการะ หรือเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาในลักษณะอื่น ๆ การจัด การศึกษาจัด
อยู่ในลักษณะหลักสูตรอนุบาล 2 ปี หรือหลักสูตรชั้นเด็กเล็ก 1 ปี
- 15. 147
1.1.2 โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความดูแลของทบวงมหาวิทยาลัย
ดาเนินงานการจัดการศึกษาในโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย โดยชั้นอนุบาลจะให้
การศึกษาแก่เด็กอายุ 3–6 ปี ในรูปแบบของชั้นอนุบาลในโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัย
ต่าง ๆ ใช้เวลาในการจัด 2 –3 ปี ในลักษณะเดียวกับโรงเรียนอนุบาลทั่วไป โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าในด้านการเรียนการสอน
1.1.3 โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความดูแลของสานักนายกรัฐมนตรี ได้แก่
โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน สานักงาน
ตารวจแห่งชาติรับผิดชอบในการจัดการศึกษาให้ประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกล
การคมนาคมไม่สะดวกดาเนินการจัดการศึกษาปฐมวัยในระบบโรงเรียนให้แก่เด็กอายุ 3 –
6 ปี ในหลักสูตรอนุบาลศึกษา 2 ปี และหลักสูตรชั้นเด็กเล็ก 1 ปี เป็นการเตรียม
ความพร้อมให้แก่เด็กก่อนเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมการศึกษาแก่
ประชาชนที่ ยากจนไกล การคมนาคมและส่งเสริมสุขภาพอนามัยตลอดจนโภชนาการที่
ถูกต้องในเด็ก
1.1.4 โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงแรงงานและ
สวัสดิการสังคม ได้แก่ โรงเรียนที่อยู่ในความดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ซึ่งจัด
การศึกษาปฐมวัยให้แก่เด็กอายุ 3 – 6 ปี ในโรงเรียนหมู่บ้านชาวไทยต่างวัฒนธรรมและ
โรงเรียนในสถานสงเคราะห์เด็กเป็นการดูแลเด็กกาพร้าหรือเด็กถูกทอดทิ้งโดยมุ่งหวังให้
เด็กได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาโดยการเลี้ยงดู
แก้ไขปัญหาให้การศึกษาเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ จัดหลักสูตร
อนุบาล 2 ปี หรือหลักสูตรชั้นเด็กเล็ก 1 ปี
1.1.5 โรงเรียนอนุบาลของรัฐที่อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
ได้แก่
1) โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครรับผิดชอบจัดการศึกษาในเขต
กรุงเทพมหานคร เริ่มเปิดดาเนินการสอนชั้นเด็กเล็กหลักสูตร 1 ปี ในโรงเรียนประถมศึกษา
แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเปิดรับเด็กเข้าเรียนในหลักสูตรอนุบาล 2 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียน
ในชั้นประถมศึกษา
2) โรงเรียนสังกัดเทศบาล อยู่ในความดูแลของสานักงานการศึกษา
ท้องถิ่นเป็น ผู้รับผิดชอบดาเนินการจัดการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาให้แก่เด็กวัย 4 – 6 ปี
หรือวัยก่อนเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับในเขตเทศบาลและเมืองพัทยาโดยจัดหลักสูตร
อนุบาล 2 ปี และหลักสูตรเด็กเล็ก 1 ปี
- 16. 148
1.2 โรงเรียนอนุบาลของเอกชนจะอยู่ในความดูแลของสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการ เอกชนเป็นเจ้าของรับผิดชอบจัดการศึกษารับเด็ก
อายุ 3 – 6 ปี โดยจัดหลักสูตรอนุบาล 3 ปี คือ
อายุ 3 – 4 ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1
อายุ 4 – 5 ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2
อายุ 5 – 6 ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3
2. หน่วยงานที่จัดการศึกษาในรูปแบบศูนย์พัฒนาเด็ก
2.1 หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบจัดการศึกษาปฐมวัยในรูปแบบศูนย์พัฒนาเด็ก
มีดังต่อไปนี้
2.1.1 ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัดเป็น
โครงการของกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการสอนเด็กก่อนเกณฑ์ที่จะเข้ารับ
การศึกษาภาคบังคับตามกฎหมายทั้งชาย-หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปี ถึงอายุย่างเข้าปีที่ 6เพื่อ
อบรมเลี้ยงดูกล่อมเกลานิสัย โดยปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรรม และประเพณี
อันดีงามของไทยให้แก่เด็กทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม เพื่อช่วยเหลือ
บิดามารดาที่ทางานนอกบ้านผู้ดาเนินงานคือเจ้าอาวาสมีพี่เลี้ยงเป็นผู้ปฏิบัติงานศูนย์นี้จะ
ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกรมการศาสนา
2.1.2 สถานสงเคราะห์เด็กก่อนวัยเรียน หรือศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของ
กองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน จัดบริการการศึกษาแก่เด็กอายุ 2 – 6 ปี ที่ไม่
สามารถรับบริการการศึกษาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการศึกษาโดยตรงจัดบริการใน
เขตพื้นที่ที่เป็นจังหวัดชายแดนและมีกองร้อยตารวจตระเวนชายแดนตั้งอยู่ หรือพื้นที่
เป้าหมายเพื่อความมั่นคงตามแผนมหาดไทยแม่บทฉบับที่ 4 การจัดบริการนี้จะอยู่ในรูป
ของการศึกษานอกระบบโรงเรียน
2.1.3 สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนของกรมประชาสงเคราะห์ ให้การอนุบาลเลี้ยง
ดูเด็กและให้การศึกษาแก่เด็กชาย – หญิง อายุตั้งแต่แรกเกิด – 6 ขวบ ที่มีปัญหาด้านการ
เลี้ยงดูจากพ่อแม่หรือเป็นเด็กพิการ โดยมุ่งหวังให้เด็กได้รับการพัฒนาทั้งทางร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา หน่วยงานที่จัด ได้แก่ กองสงเคราะห์เด็กและบุคคล
วัยรุ่น กองสงเคราะห์ชาวเขากองนิคมสร้างตนเอง และกองบริการชุมชน เป็นต้น
2.1.4 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการพัฒนาชุมชน สังกัดกระทรวงมหาดไทยมี
กองพัฒนาสตรีเด็กและเยาวชนเป็นผู้รับผิดชอบดาเนินงาน โดยสนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งศูนย์
พัฒนาเด็กเล็กในตาบลหมู่บ้านเพื่อรับเลี้ยงดูเด็กอายุระหว่าง 3 – 6 ปี ให้มีพัฒนาการทั้ง
- 17. 149
ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา มีการเตรียมความพร้อมเด็กในลักษณะ
เล่นปนเรียนและจัดประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับเด็ก และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ที่
ออกไปทางานนอกบ้าน ศูนย์นี้มีผู้ดูแลเด็กทาหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กในอัตราส่วนผู้ดูแลเด็ก
1 คนต่อเด็ก 20 – 25 คน โดยได้รับค่าตอบแทนจากกรมการพัฒนาชุมชน ผู้ปกครอง และ
ชุมชน คณะกรรมการพัฒนาเด็กเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายใต้
การควบคุมดูแลของกรรมการหมู่บ้านและกรรมการสภาตาบล
2.1.5 สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวันของสานักอนามัยกรุงเทพมหานคร ให้บริการ
แก่เด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน จากครอบครัวยากจนและขาดอาหารเพื่อให้บริการด้านสุขภาพ
อนามัย โภชนาการ ด้านการพัฒนาจิตใจสติปัญญาและสังคม ด้านความสัมพันธ์ระหว่าง
พ่อแม่และลูก โดยมีพี่เลี้ยงเด็กเป็นตัวประสานระหว่างพ่อแม่และลูก ช่วยชี้แนะเกี่ยวกับ
การเลี้ยงดูเด็ก เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาและเสริมสร้าง
พฤติกรรมของเด็กด้านคุณธรรม จริยธรรม ความรู้และทักษะการทางาน (อรุณี หรดาล.
2537 : 88)
2.1.6 สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวันของสานักสวัสดิการสังคมกรุงเทพมหานคร
ให้บริการแก่เด็กอายุระหว่าง 3 – 6 ปี ในชุมชนแออัดและเขตรอบนอก เพื่อเตรียม
ความพร้อมแก่เด็กก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาโดยใช้แนวการจัดประสบการณ์ของ
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมุ่งพัฒนาความพร้อมทางร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญามากกว่าการอ่านออกเขียนได้
2.1.7 บ้านเด็กสาธิตของสถาบันราชภัฏ จัดบริการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัย 2 – 3 ปี
จัดขึ้นเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเกี่ยวกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก เป็นแหล่ง
สาธิตและฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาเอกการศึกษาปฐมวัย มีครูจานวน 1 คน และพี่เลี้ยง 1
– 2 คน ดูแลเด็กประมาณกลุ่มละ 20 คน
2.2 หน่วยงานภาคเอกชน การจัดศูนย์พัฒนาเด็กของภาคเอกชนมีการจัด
ดาเนินงานใน 2 ลักษณะ คือ
2.2.1 ศูนย์เด็กขององค์กร อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรต่าง ๆ ซึ่งได้แก่
มูลนิธิ สมาคมและบริษัท ศูนย์เด็กขององค์กรส่วนใหญ่จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานของ
องค์กรและการสงเคราะห์เด็กรับเด็กชาย-หญิง อายุระหว่าง 2 – 6 ปี ดาเนินการโดย
คณะกรรมการขององค์การที่มีพี่เลี้ยงเป็นผู้ปฏิบัติงานมีหน่วยงานที่ให้บริการ เช่น มูลนิธิ
เด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็กสหทัยมูลนิธิ โสสะมูลนิธิ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรม
ราชินูปถัมภ์ เป็นต้น
- 18. 150
2.2.2 ศูนย์เด็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชน ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในชุมชน
เมืองจัดบริการเพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง มีขอบเขตการให้บริการตั้งแต่เด็กวัยแรกเกิด
จนถึง 6 ปี โดยศูนย์หรือสถานรับเลี้ยงเด็กแต่ละแห่งอาจจะรับเลี้ยงเด็กในช่วงอายุแตกต่าง
กันแต่ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี เพราะเด็กที่มีอายุ 3 ปี ขึ้น
ไป มักเข้ารับการศึกษาในระบบโรงเรียน การดาเนินงานเป็นการให้บริการเชิงธุรกิจ มี
กรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้ดูแลควบคุมให้ดาเนินงานด้วยดีมีประสิทธิภาพและถูกต้อง
กฎหมาย
3. การจัดบริการทางการศึกษาในรูปแบบอื่น
3.1 หน่วยงานของรัฐ มีการให้บริการความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอบรม
เลี้ยงดูเด็กแก่ พ่อแม่ผู้ปกครอง โดยมุ่งให้องค์กรท้องถิ่นอาสาสมัครพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือ
บุคคลในครอบครัวเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดกิจกรรม เช่น กิจกรรมศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
เคลื่อนที่กิจกรรมการพัฒนาเด็กโดยครอบครัวและกิจกรรมการผลิตและใช้สื่อเพื่อ
การพัฒนาเด็กของกรมการพัฒนาชุมชน
3.2 ภาคเอกชนหรือองค์กรเอกชน ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเด็กและ
ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนขึ้น
ประกอบด้วยองค์กรสมาชิก 50 องค์กร สภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนมีหน้าที่
ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกาหนดนโยบายเพื่อพัฒนาเด็กและ
เยาวชนในภาคเอกชน ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมขององค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน
นอกจากนี้ยังมีคณะทางานด้านเด็กซึ่งประกอบด้วยกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ดังนี้ คือมูลนิธิเด็ก
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็กพีริยานุเคราะห์ มูลนิธิ สมาคมสงเคราะห์เด็กกาพร้าแห่งประเทศ
ไทยมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย มูลนิธิมิตรมวลชน
โสสะมูลนิธิแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิแสงสวรรค์สงเคราะห์ มูลนิธิ
เด็กกาพร้าอีสาน มูลนิธิภราดรบาเพ็ญเพื่อเด็กกาพร้าบ้านศรีธรรมราช มูลนิธิสงเคราะห์
เด็กกาพร้าอนาถานครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนหน่วยฝากเลี้ยง เป็น
ต้น โดยมีเป้าหมายหลักในการทางานเพื่อพัฒนาเด็กโดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ทั้ง
เด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ เด็กเร่ร่อน เด็กถูกทารุณกรรมถูกทอดทิ้ง ฯลฯ
3.3 องค์การระหว่างประเทศให้ความสนับสนุนด้านเงินทุน วิชาการและเทคโนโลยี
ต่างๆ แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยเพื่อดาเนินการพัฒนาเด็กปฐมวัย
ด้วย เช่นเดียวกัน
- 19. 151
4. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย มีหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดหลาย
หน่วยงานเพราะหลักสูตรการศึกษาในระดับนี้ไม่ใช่หลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ แต่ ละ
หน่วยงานที่จัดการศึกษาในระดับนี้จึงมีอิสระในการจัดสร้างหรือเลือกใช้หลักสูตร
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเรียกว่าแนวการจัดประสบการณ์มี
ลักษณะดังนี้
1. หลักสูตรสาหรับโรงเรียนอนุบาล
หลักสูตรที่ใช้ในโรงเรียนที่จัดชั้นอนุบาลมีหน่วยงานที่จัดสร้างหลายหน่วยงาน
เช่น สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาเอกชนสานักงานการศึกษาท้องถิ่น (เทศบาล) เป็นต้น แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง
หลักสูตรของหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยอย่างกว้างขวางทั่ว
ประเทศคือ หลักสูตรของสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาเอกชนและกรมวิชาการ
1.1สานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้ปรับปรุงแนวการจัด
ประสบการณ์ ชั้นอนุบาลศึกษา พ.ศ. 2536 และแนวการจัดประสบการณ์ชั้นเด็กเล็ก พ.ศ.
2534 เพื่อให้ครูใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยให้ได้ผลดียิ่งขึ้น โดย
สามารถพิจารณายืดหยุ่นกิจกรรมต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเด็กโดยมี
เป้าหมายเพื่อให้เด็กได้พัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
จากการจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการที่ถูกกาหนดขึ้นเป็นหน่วยการสอนเพื่อให้เด็กได้
ทากิจกรรมกิจวัตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยรูปแบบของการจัด
กิจกรรมจะเป็นการใช้กิจกรรมประจาวัน และจัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กสามารถปรับตัว
ได้ดี และขณะเดียวกันเด็กสามารถยังได้ทากิจวัตรประจาวันได้ครบถ้วน กิจกรรม
ประจาวันที่จัดให้เด็กนั้นจะมีทั้งกิจกรรมหลักและกิจกรรมรอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
กิจกรรมในตาราง และกิจกรรมนอกตาราง กิจกรรมในตาราง ได้แก่ กิจกรรมการสนทนา
ข่าว กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม
กิจกรรมในวงกลม กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง การพักผ่อน และกิจกรรมเกมการศึกษา
กิจกรรมนอกตาราง ได้แก่ กิจกรรมการร้องเพลง การเล่านิทาน การท่องคาคล้องจอง
กิจกรรมบทบาทสมมุติ กิจกรรมการเล่านิทาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริม เช่น
การรับ – ส่ง เด็ก ของครูที่รับผิดชอบ การตรวจสุขภาพเด็ก การศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น
เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น จึงขอเสนอที่จัดดังภาพที่ 1