SlideShare a Scribd company logo
1 of 35
บทที่ 4
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
คุณ ส มบั ติ ที่ ส ำคั ญ ที่ สุ ด ข อ ง ห ลัก สู ต ร คือ ห ลัก สู ต ร ค วำมเป็ น พ ล วัต
และปรับเปลี่ยนไปตำมควำมต้องกำรและควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม จำกคุณสมบัติดังกล่ำว
กำรพัฒนำหลักสูตรจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ตลอดเวลำที่สภำพสังคมเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น กำรจัดกำรศึกษำให้สนองควำมต้องกำรของสังคมที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็ นสิ่งจำเป็ น
และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในลักษณะของกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตร
2. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ หลักกำร รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตร
สาระเนื้อหา(Content)
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบของกำรพัฒนำหลักสูตรส่วนมำกจะพัฒนำมำจำกแนวคิดของนักกำรศึกษำชำวต่ำงป
ร ะ เ ท ศ ซึ่ ง แ ต่ ล ะ รู ป แ บ บ จ ะ มี ร ำ ย ล ะ เ อี ย ด ที่ แ ต ก ต่ ำ ง กั น ไ ป
แต่กระบวนกำรและขั้นตอนควรประกอบด้วยกำรศึกษำวิเครำะห์ข้อมูลพื้นฐำนที่ซึ่งประกอบด้วยปรัช
ญ ำก ำ ร ศึ ก ษ ำ ผู้ เรี ย น สั ง ค ม ส ภ ำพ แ ว ด ล้ อ มแ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ อื่ น ๆ
เพื่อนำมำกำหนดจุดมุ่งหมำยเลือกเนื้อหำสำระและประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จัดลงในหลักสูตร
แล้วนำหลักสูตรไปทดลองใช้เพื่อหำข้อบกพร่องเพื่อนำมำแก้ไขหลักสูตรที่สมบูรณ์และนำไปใช้
สุดท้ำยทำกำรประเมินผลหลักสูตรและนำผลจำกกำรประเมินไปปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรต่อไป
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรจะเป็นไปอย่ำงต่อเนื่องอย่ำงเป็นวัฏจักร
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ2
1.ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรเป็ นภำรกิจที่สำคัญและกว้ำงขวำง จึงมีผู้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ
กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นกำรพัฒนำหลักสูตรไว้หลำยกรณี เช่น
กู๊ด (Good,1973:157-158) ได้ให้ควำมเห็นว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นได้ 2ลักษณะ คือ
กำรปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรกำรปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีกำรพัฒนำหลักสูตรอย่ำงหนึ่ง
เพื่อให้เหมำะกับโรงเรียนและ ระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมำยของกำรสอน วัสดุอุปกรณ์
วิธี ก ำร ส อ น ร ว ม ทั้ ง ป ร ะ ม ว ล ผ ล ส่ ว น ค ำว่ำ ก ำร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ห ลัก สู ต ร
หมำยถึงกำรแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่ำงไปจำกเดิม เป็นกำรสร้ำงโอกำสทำงกำรเรียนขึ้นใหม่
เ ช ย์ เ ล อ ร์ แ ล ะ อ เ ล็ ก ซ ำ น เ ด อ ร์ ( Saylor and Alexander, 1974: 7)
ให้คำจำกัดควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรว่ำหมำยถึงกำรจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
ห รื อ เ ป็ น ก ำ ร จั ด ท ำ ห ลั ก สู ต ร ใ ห ม่โ ด ย ไ ม่มี ห ลั ก สู ต ร เ ดิ ม อ ยู่ ก่อ น
กำรพัฒนำหลักสูตรอำจหมำยรวมถึงกำรสร้ำงเอกสำรอื่นสำหรับนักเรียนด้วย
ท ำ บ ำ ( Taba, 1962 : 454) ไ ด้ ก ล่ ำ ว ไ ว้ ว่ำ ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร
หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงสูตรเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้นทั้งในด้ำนกำรวำงจุดม่งหมำย
ก ำร จัด เนื้ อ ห ำวิช ำ ก ำร เ รี ย น ก ำร ส อ น ก ำ ร วัด แ ล ะ ก ำ รป ระ เมิ น ผ ล อื่ น ๆ
เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ ถึ ง จุ ด ม่ ง ห ม ำ ย อั น ใ ห ม่ ที่ ว ำ ง ไ ว้
กำรเปลี่ยน แปลงห ลักสูตรเป็ น กำรเปลี่ยน แปลงทั้งระ บบห รือเปลี่ยน แปลงทั้งห มด
ตั้ ง จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย แ ล ะ วิ ธี ก ำ ร
และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบทำงด้ำนควำมคิดและควำมรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ำ
ย ส่ ว น ก ำ ร ป รั บ ป รุ ง ห ลั ก สู ต ร
หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบำงส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวควำมคิดพื้นฐำนหรือรูปแบ
บของหลักสูตร
สงัด อุทรำนันท์ (2532: 30) กล่ำวว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรมีควำมหมำยอยู่2ลักษณะ คือ 1.
ก ำ ร ท ำ ห ลั ก สู ต ร ที่ มี อ ยู่ แ ล้ ว ใ ห้ ดี ขึ้ น ห รื อ ส ม บู ร ณ์ ขึ้ น แ ล ะ 2 .
กำรสร้ำงหลักสูตรขึ้นมำใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐำน
วิ ชั ย ว ง ษ์ ใ ห ญ่ ( 2525: 10) ก ล่ ำ ว ว่ ำ
กำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรพยำยำมวำงโครงกำรที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตรงตำมจุดมุ่งหมำยที่กำ
หนดไว้หรือกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนระบบโครงสร้ำงของกำรจัดโปรแกรมกำรสอน
กำรกำหนดจุดมุ่งหมำย เนื้อหำสำระ กำรปรับปรุงตำรำแบบเรียน คู่มือครู และสื่อกำรเรียนต่ำงๆ
ก ำ ร วัด แ ล ะ ก ำ ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก ำ ร ใ ช้ ห ลั ก สู ต ร ก ำ ร ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ3
และกำรให้กำรอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอ
น รวมทั้งกำรบริกำรและกำรบริหำรหลักสูตร
ในกำรพัฒนำหลักสูตร เซย์เลอร์และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander,1974: 8-9)
ชี้ให้เห็นว่ำกำรจัดทำหรือพัฒนำหลักสูตรนั้นมีงำนที่ต้องทำสำคัญๆ อยู่3 ประกำร คือ
1 .
กำรพิจำรณำและกำรกำหนดเป้ำหมำยเบื้องต้นที่สำคัญของหลักสูตรที่จัดทำนั้นว่ำมีเป้ำหมำยเพื่ออะไร
ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตรนั้นๆ อย่ำงเด่นชัด
2. กำรเลือกกิจกรรมกำรเรียน กำรสอนและวัสดุประกอบกำรเรียน กำรสอน
กำร เลื อ ก ส ร รเนื้ อ ห ำเพื่ อ ส ำระ เพื่ อ ก ำร อ่ำน ก ำร เขี ยน ก ำรท ำแ บ บ ฝึ ก หั ด
และหัวข้อสำหรับกำรอภิปรำยตลอดจนกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน เป็นต้น
3. กำรกำห น ดระ บ บกำรจัดวัส ดุอุป กรณ์ และ กำรจัดกำรเรี ยน กำรสอ น
ตลอดทั้งกำรทดลองที่เป็นประโยชน์ เหมำะสมกับกำรเรียนกำรสอนแต่ละวิชำและแต่ละชั้นเรียน
บำงครั้งเรำจะพบว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรหรือขั้นตอนของกำรตัดสินใจเลือ
กหำทำงเลือกทำงกำรเรียนกำรสอนที่เหมำะสมหรือเป็ นที่รวบรวมของทำงเลือกที่เหมำะสมต่ำงๆ
เ ข้ ำ ด้ ว ย กั น จ น เ ป็ น ร ะ บ บ ที่ ส ำ ม ำ ร ถ ป ฏิ บั ติ ไ ด้
และถ้ำหำกหลักสูตรมุ่งที่จะกำหนดสำหรับผู้เรียนหลำยกลุ่มหลำยประเภทโดยใช้วิธีกำรต่ำงๆ
และโอกำสต่ำงๆ กันแล้วนักพัฒนำหลักสูตรต้องคำนึงถึงภูมิหลักขององค์ประกอบต่ำงๆ
อย่ำง ละ เอียด และ รอ บค อบ ก่อน จะ ตัดสิ น ใ จเลื อกท ำง เลือก ใด ทำง เลื อกห นึ่ ง
และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอำจมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ เป็นวัฏจักร
2.หลักการพัฒนาหลักสูตร
จำกควำมคิดเห็นของนักกำรศึกษำในเรื่องของควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรที่กล่ำวมำ
จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ว่ำ ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ที่ มี ขั้ น ต อ น ๆ
อย่ำงเป็นระบบระเบียบและเพื่อให้งำนกำรพัฒนำหลักสูตรดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมำยของกำรพัฒนำอย่ำง
แท้จริงเรำจึงต้องคำนึงถึงหลักในกำรพัฒนำหลักสูตร
1.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีผู้นำที่เชี่ยวชำญและมีควำมสำมำรถในงำนพัฒนำหลักสูตรเป็นอย่ำงดี
2.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องได้รับควำมร่วมมือและกำรประสำนงำนอย่ำงดีจำกบุคคลที่เกี่ยวข้องทุก
ฝ่ำยทุกระดับ
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ4
3.
กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีกำรดำเนินกำรเป็ นระบบระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป
เริ่มตั้งแต่กำรวำงจุดมุ่งหมำยในกำรพัฒนำหลักสูตรนั้นจนถึงกำรประเมินผลกำรพัฒนำหลักสูตรในกำ
รดำเนินงำนจะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นในกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรที่จุดใด
จะเป็นกำรพัฒนำส่วนย่อยหรือกำรพัฒนำทั้งระบบ และจุดดำเนินกำรอย่ำงไรในขั้นต่อไป
สิ่งเหล่ำนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีหน้ำที่ในกำรพัฒนำหลักสูตรไม่ว่ำจะเป็นผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร
ค รู ผู้ ส อ น ห รื อ นั ก วิ ช ำ ก ำ ร ท ำ ง ด้ ำ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ แ ล ะ บุ ค ค ล ต่ ำ ง ๆ
ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง จ ะ ต้ อ ง ร่ ว ม มื อ กั น พิ จ ำ ร ณ ำ อ ย่ ำ ง ร อ บ ค อ บ
และดำเนินกำรอย่ำงมีระเบียบระบบแบบแผนทีละขั้นตอน
4. ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร จ ะ ต้ อ ง ร ว ม ถึ ง ผ ล ง ำ น ต่ ำ ง ๆ
ทำงด้ำนหลักสูตรที่ได้สร้ำงขึ้นมำใหม่อย่ำงมีประสิทธิภำพ ไม่ว่ำจะเป็นเอกสำรหลักสูตร เนื้อหำวิชำ
กำรทำกำรทดสอบหลักสูตรกำรนำหลักสูตรไปใช้ หรือกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
5.
กำรพัฒนำหลักสูตรที่มีประสิทธิภำพจะต้องมีกำรฝึกฝนอบรมครูประจำกำรให้มีควำมเข้ำใจในหลักสู
ตรใหม่ควำมคิดใหม่ แนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมหลักสูตรใหม่
6.กำรพัฒ น ำหลักสู ตรจะ ต้องคำนึ งถึงประ โยช น์ ใน ด้ำน กำรพัฒน ำจิตใ จ
และทัศนคติของผู้เรียนด้วย
3. ผลที่ได้จากการพัฒนาหลักสูตร
กำรพัฒ น ำห ลักสู ต รเป็ น ง ำน ที่มีกระ บ วน กำรแล ะ ขั้น ต อน ที่ ซับซ้อ น
และเป็นงำนที่ต้องอำศัยผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร นักวิชำกำร นักพัฒนำหลักสูตร
ให้มำทำงำน ร่วมกัน กับบุคคลหลำยฝ่ ำย และต้องได้รับควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ ำยด้วยดี
กำรพัฒนำหลักสูตรจึงจะประสบควำมสำเร็จเมื่อกำรพัฒนำหลักสูตรสำเร็จลุล่วงตำมจุดหมำยแห่งกำร
พัฒนำแล้วย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1.เป็ น กำรพัฒน ำกำรศึกษำของช ำติให้บรรลุตำมวัตถุประ สงค์ตำมที่วำงไว้
เพื่อให้กำรศึกษำของชำติเป็นกำรศึกษำเพื่อพัฒนำผู้เรียนให้สอดคล้องกับควำมเจริญของสังคมและขอ
งโลก
2.เป็นกำรพัฒนำระบบกำรศึกษำให้เจริญก้ำวหน้ำทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก
โดยเฉพำะในยุคที่เรียกว่ำโลกยุคโลกำภิวัตน์
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ5
3.
เพื่อให้ครูผู้สอนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจและควำมสำมรถในกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนแก่ผู้เรียนดังต่อไ
ปนี้
3.1 มีควำมสำมำรถเปลี่ยนกับทักษะในด้ำนต่ำงๆ
3.2 มีควำมรู้เพียงพอที่จะศึกษำในระดับสูงขึ้นไป
3.3 ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม
3.4 มีจิตใจและร่ำงกำยที่สมบูรณ์แข็งแรง
3.5 มีควำมเข้ำใจและรักษำควำมงำมตำมธรรมชำติ
3.6 มีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงำม
3.7 มีควำมสนใจและเชี่ยวชำญในด้ำนใดด้ำนหนึ่งเป็นพิเศษ
3.8 มีควำมสนใจในกำรดำรงชีวิตในสังคมได้อย่ำงเหมำะสม
3.9 มีควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำในชีวิตและในสังคมได้
4.กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตร
ถ้ำหลักสูตรได้รับกำรพิจำรณำว่ำเป็นทุกสิ่งทุกอย่ำงซึ่งเกิดขึ้นในกำรวำงแผนกำรเรียนกำรส
อนในสถำบันกำรศึกษำแล้ว กำรพัฒนำหลักสูตรก็จะเป็นกำรพัฒนำแผนเพื่อจัดโปรแกรมกำรศึกษำ
ซึ่งหมำยถึงกำรให้นิยำมและกำรเลือกจุดประสงค์ของกำรศึกษำ เลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้
และกำรประเมินโปรแกรมกำรศึกษำ กำรพัฒนำหลักสูตรเป็ นงำนปฏิบัติมิใช่งำนทฤษฎี
เป็นควำมพยำยำมที่จะออกแบบระบบ เพื่อให้ประสบควำมสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ
และระบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์ที่แท้จริงปรำกฏต่อสังคมและต่อมนุษย์ ซึ่งมีควำมมุ่งหมำย
มี ค ว ำ ม ฝั ก ใ ฝ่ ใ น สิ่ ง ที่ ต น ช อ บ มี ก ล ไ ก ก ำ ร เ ค ลื่ อ น ไ ห ว ดั ง นั้ น
ขั้นตอนที่จำเป็นขั้นแรกในกำรพัฒนำหลักสูตร คือ กำรตรวจและวิเครำะห์สถำนกำรณ์สำคัญๆ
ซึ่งเป็นควำมมุ่งหมำยปลำยทำงของกำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรเปลี่ยนแปลงของนักเรียนและครู
ครู ที่กลำยเป็ น ผู้ที่มีควำมรู้มำกขึ้ น มีทักษะ มำกขึ้น และ มีควำมไม่ห ยุดนิ่ งมำกขึ้ น
ครูซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่ำวนี้ จะ เป็ น ผู้ที่ให้บริกำรแก่นักเรียน ได้อย่ำงมีประ สิทธิภ ำพ
รำยละเอียดต่อไปนี้จะกล่ำวถึงกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร และแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตร
แดเนี ยล แทน เน อร์ และลอร์เรล แทน เน อร์ (D. Tanner & L. Tanner.1995 : 385)
กล่ำวว่ำปัจจัยและอิทธิพ ลหลักสูตรมีปฏิสัมพัน ธ์จำกปรัชญำสังคม พ ฤติกรรมมนุ ษย์
และควำมรู้ที่ยิ่งใหญ่กว้ำงขวำงสิ่งเหล่ำนั้นมีอิทธิพลต่อผู้เรียนโดยแปรสภำพมำเป็นเนื้อหำวิชำสำหรับ
กำรเรี ยน ก ำรส อน เพื่ อใ ห้ เกิดควำมเห มำะ สมกับ กำรพัฒ น ำคน ใน สัง คมให ม่
ซึ่งเรียกว่ำกระบวนกำรทัศน์ด้วยหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ6
มำร์ช และวิลลิส (Marsh& Willis.1995: 278) ได้สรุปแนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร ว่ำ
กระ บวน กำรพัฒ น ำห ลักสู ตรและ กำรเป ลี่ยน แปลงห ลักสู ตรแม้มีห ลำยแน วคิด
แต่เมื่อสรุปรวมควำมคิดแล้วล้วนอยู่บนพื้นฐำนควำมต่อเนื่องเป็นอนุกรมโดยเริ่มจำกแรงกดดันและผ
ลกระทบจำกปั จจัยบริบทและควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโน โลยีสู่กำรปรับปรุงหลักสูตร
ก ำร น ำห ลัก สู ต ร ไ ป สู่ส ถ ำบั น เพื่ อ ใ ช้จ ะ ไ ด้รั บ แ รง ก ด ดัน จำ ก ปั จ จัยต่ำง ๆ
ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรขึ้นมำอีกในระยะต่อไปต่อเนื่องดังภำพประกอบ 2
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ7
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ8
ใ น ก ำ ร ว ำ ง แ ผ น พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร
เพื่อดำเนิน งำน พัฒนำหลักสูตรมีแรงผลักดันและปัจจัยอิทธิพลห ลำยระดับตั้งแต่ระดับโรงเรียน
ร ะ ดั บ ชุ ม ช น ค ร อ บ ค รั ว สั ง ค ม ป ร ะ เ ท ศ ช ำ ติ จ น ถึ ง ร ะ ดั บ น ำ น ำ ช ำ ติ
พลังผลักดันของสังคมเป็นตัวเร่งสำคัญในกำรวำงแผนหลักสูตร(Parkay W.and Glen Hass, 2000 :275)
องค์ประกอบในกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรประกอบด้วยคณะกรรมกำรดำเนินงำนจัดทำหลักสูตร
ศึ ก ษ ำ วิ เ ค ร ำ ะ ห์ ส ภ ำ พ ข อ ง สั ง ค ม ใ น ปั จ จุ บั น
พร้อมทั้งวิเครำะห์หลักสูตรเดิมเพื่อนำข้อมูลที่ได้มำพิจำรณำร่วมกับข้อมูลพื้นฐำนต่ำงๆในกำรพัฒนำหลักสูตร
ปรับปรุงแก้ไข แล้วกำหนดจุดประสงค์ใหม่ องค์ประกอบในแต่ล่ะส่วนจะมีควำมสัมพันธ์กันและเท่ำเทียมกัน
จะขำดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ ได้แก่
1.กำรกำหนดควำมมุ่งหมำยจะต้องชัดเจนว่ำต้องให้ผู้เรียนในระดับนั้นๆมีคุณสมบัติอย่ำงไร
เมื่อกำหนดควำมมุ่งหมำยแล้วจะได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรกำหนดเนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ในกำรเรียนรู้ต่อไ
ป
2. ก ำรวำง แ ผน กำห น ด โค รง ส ร้ำง ข อง ห ลักสู ต ร แ ละ กำรเลื อก เนื้ อ ห ำวิช ำ
ใน หลักสู ตรจะ ต้องกำห น ดโครง สร้ำงอะ ไรบ้ำง เช่น จะ ต้อง ใช้เวลำศึกษ ำน ำน เท่ำไร
จ ะ ต้ อ ง เ รี ย น ทั้ ง ห ม ด กี่ ห น่ ว ย ก ำ ร เ รี ย น จึ ง จ ะ จ บ ห ลั ก สู ต ร ไ ด้
จะต้องเข้ำเรียนกี่คำบต่อสัปดำห์ต่อภำคเรียนมีกำรวัดและประเมินผลอย่ำงไร ระบบกำรให้คะแนนเป็นอย่ำงไร
มี วิ ช ำ ใ ด บ้ ำ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง เ รี ย น บั ง คั บ เ ท่ ำ ไ ร แ ล ะ เ ลื อ ก เ ท่ ำ ไ ร
และวิชำเหล่ำนั้นประกอบไปด้วยเนื้อหำอะไรมีประสบกำรณ์อะไรบ้ำง
3. ก ำร ท ด ล อ ง ใ ช้ ห ลัก สู ต รห รื อ ก ร ะ บ วน ก ำร เรี ย น ก ำร ส อ น ห รื อ วิธี ก ำ ร
และกำรจัดกำรเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อให้กำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมมุ่งหมำยของหลักสูตรอย่ำงมีประสิท
ธิ ภ ำ พ จ ำ เ ป็ น ต้ อ ง จั ด ห ำ แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง ก ร ะ บ ว น ก ำร ส อ น ก ำร จัด ชั้ น เ รี ย น
กำร ใ ช้ อุป ก รณ์ ก ำร วัด ผ ล แ ล ะ ป ระ เมิน ผ ล แล ะ ก ำรจัด กิจก รร มเส ริ มท ำง วิช ำก ำร
ตลอดจนกำรสอนซ่อมเสริมให้กำรนำหลักสูตรไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. กำรประเมินผลหลักสูตร เป็นกำรประเมินคุณค่ำของหลักสูตรว่ำมีคุณภำพเป็ นอย่ำงไร
เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ที่ ใ ช้ พิ จ ำ ร ณ ำ ว่ ำ ค ว ำ ม มุ่ ง ห ม ำ ย เ ป็ น อ ย่ ำ ง ไ ร
เ นื้ อ ห ำ วิ ช ำ แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก ำ ร ณ์ ต ร ง กั บ ค ว ำ ม มุ่ ง ห ม ำ ย ห รื อ ไ ม่
กำรเรียนกำรสอนมีปัญหำและอุปสรรคอะไรบ้ำงและกำรประเมินผลอย่ำงไรดังภำพประกอบ 3
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ9
ปรับปรุงแ
ก้ไข
ศึกษำและวิเครำ
ะห์สหภำพสังค
มและหลักสูตรเ
ดิม
ประเมิน
ผล
คณะกรรมกำร
กำรดำเนินงำน
พัฒนำหลักสูตร
กำหนดควำม
มุ่งหมำย
นำไปทดล
องใช้
กำหนดโครงสร้
ำงและเนื้อหำวิช
ำ
ศึกษำและวิเครำะ
ห์สภำพสังคมและ
หลักสูตรเดิม
แนวคิด(ปรัชญำ)และผลกำรศึกษำค้นคว้ำทำงจิตวิทยำข้อ
มูลเกี่ยวกับนักเรียนและกำรประกอบอำชีพข้อมูลควำมก้
ำวหน้ำทำงวิชำกำร วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี
บทบำทของสถำบันกำรศึกษำ
และสื่อสำรมวลชนข้อมูลสภำพเศรษฐกิจ สังคม
กำรเมือง ค่ำนิยม และวัฒนธรรม
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ10
ภำพประกอบ 3แสดงกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร
ที่มำ : สงัด อุทรำนันท์ (2532 :24)
5.รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร
รู ป แ บ บ ใ น ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น สิ่ ง ส ำ คั ญ แ ล ะ จ ำ เ ป็ น
เ นื่ อ ง จ ำ ก รู ป แ บ บ ห ลั ก สู ต ร เ ป รี ย บ เ ส มื อ น พิ ม พ์ เ ขี ย ว ( Blue Print)
ที่ ใ ช้ เป็ น แ น ว ท ำ ง ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร จ ำ ก ผู้ เ ชี่ ย ว ช ำ ญ ท ำง ด้ ำ น ห ลั ก สู ต ร
นักวิชำกำรจึงมีควำมสำคัญเพื่อเป็นพื้นฐำนสำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญมีดังนี้
5.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดต่างประเทศ
5.1.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler)
ไทเลอร์ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐำนเกี่ยวกับกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนซึ่งก็คือหลักกำรและเหตุ
ผ ล ใ น ก ำร พั ฒ น ำห ลัก สู ต ร( Tyler Rationale) ว่ำใ น ก ำร พั ฒ น ำห ลัก สู ต ร แ ล ะ ก ำร ส อ น
ต้องตอบคำถำมพื้นฐำนที่สำคัญ 4 ประกำร คือ (Tyler, 1949: 3)
1.จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ท ำ ง ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ( Educational
Purposes)อะไรบ้ำงที่โรงเรียนต้องกำรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.ประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำ (EducationalExperiences)อะไรบ้ำงที่โรงเรียนจะต้องจัดให้
เพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมำย
3.จะจัดประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำอย่ำงไรจึงจะทำให้สอนมีประสิทธิภำพ
4.
ประเมินประสิทธิภำพของกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนอย่ำงไรจึงจะทรำบได้ว่ำผู้เรียนได้บรรลุเป้ำหมำยทำงกำ
รศึกษำ
ไทเลอร์ได้วำงรูปแบบโครงสร้ำงของหลักสูตรโดยใช้วิธีกำรและเป้ำหมำยปลำยทำง(Means and
ends approsch) ดังนี้ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 10-11)
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ11
ใน กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยนั้น ในขั้น แรกต้องกำหน ดเป็ นจุดมุ่งหมำยชั่วครำวก่อน
โ ด ย ต้ อ ง น ำ บ ริ บ ท ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง เ ช่ น บ ริ บ ท ท ำ ง ด้ ำ น สั ง ค ม
ด้วยกำรนำสิ่งที่สังคมคำดหวังว่ำต้องกำรให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่ำงไร และมีกำรศึกษำตัวผู้เรียน เช่น
ค ว ำ ม ต้ อ ง ก ำ ร ค ว ำ ม ส น ใ จ ฐ ำ น ะ ท ำ ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ข อ ง ค ร อ บ ค รั ว เ ป็ น ต้ น
น อ ก จ ำก นั้ น ยั ง ต้ อ ง ศึ ก ษ ำ แ น ว คิ ด ข อ ง นั ก วิช ำก ำ ร ( วิชั ย ว ง ษ์ ใ ห ญ่ , 2537 : 12)
ควำมเชื่อค่ำนิยมของสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ให้ชัดเจน เพรำะกำรศึกษำสังคมค่ำนิยมขนบประเพณี
วัฒนธรรมจะให้คำตอบว่ำสังคมต้องกำรจัดกำรศึกษำเพื่ออะไร แล ะจะจัดกำรศึกษำสำหรับใคร
สิ่งเหล่ำนี้ช่วยให้แสวงหำคำตอบที่ชัดเจนในกำรกำหนดเป้ำหมำยหรือทิศทำงของกำรศึกษำ (ดังภำพประกอบ 4)
แหล่งข้อมูลเพื่อ
นำมำกำหนด
จุดมุ่งหมำยชั่วครำว
กำรศึกษำสังคม
กำรศึกษำผู้เรียน
กำรศึกษำแนวคิดขอ
งนักวิชำกำร
ปรัชญำสังคม
กำหนด
จุดมุ่งหมำยชั่วครำว
ทฤษฎีกำรเรียนรู้
ปรัชญำกำรศึกษำ
ปรัชญำสังคม
จุดมุ่งหมำย
ข้อมูลในกำรกำหนด
เกณฑ์ที่ตรวจสอบพิ
จำรณำกลั่นกรองเป็
นจุดมุ่งหมำยจริง
องค์ประกอบ
ของหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ12
ภำพประกอบ 4รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรของไทเลอร์
(วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 11)
กำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเสนอของไทเลอร์ มีลักษณะสำคัญคือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 12-14)
1. จุดมุ่งหมำยเป็ น ตัวกำหนดควบคุมกำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนดังนั้ น
ก ำ ร ก ำ ห น ด จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย จึ ง มี 2 ขั้ น ต อ น คื อ
ตอนแรกเป็นกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยชั่วครำวแล้วจึงหำวิธีกำรและเกณฑ์จำกทฤษฎีกำรเรียนรู้ปรัชญำกำรศึกษำแ
ล ะ ป รั ช ญ ำ สั ง ค ม ม ำ ก ลั่ น ก ร อ ง จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ชั่ ว ค ร ำ ว
เพื่อให้ได้มำเป็นจุดมุ่งหมำยที่แท้จริงของหลักสูตรพื้นฐำนทำงจิตวิทยำและปรัชญำในกำรพัฒนำหลักสูตรจะเข้ำ
มำมีบทบำทและช่วยในกำรตรวจสอบเพื่อหำควำมชัดเจนของกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยขั้นนี้เพื่อตอบคำถำมและห
ำควำมชัดเจนว่ำกำรจัดหลักสูตรเพื่อตอบสนองใคร ตอบสนองผู้เรียนหรือสังคม
2 .
กำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนที่คำดหวังว่ำจะให้ผู้เรียนมีประสบกำรณ์กำรจัดกิจกรรมในกำรเรียนกำร
ส อ น แ ล ะ ส่ ว น เ ส ริ ม ห ลั ก สู ต ร นั้ น มี อ ะ ไ ร
ทั้ง นี้ เพื่ อให้ กระบวน กำรเรียน กำรสอน ดำเนิ น ไปเพื่ อตอบสน อง จุดมุ่งห มำยที่กำห น ดไว้
ไทเลอร์ได้เสนอเกณฑ์ในกำรพิจำรณำเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ไว้ดังนี้
2.1 ผู้เรียนควรมีโอกำสฝึกพฤติกรรมและกำรเรียนรู้เนื้อหำตำมที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมำย
2 . 2
กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นทำให้ผู้เรียนพอใจปฏิบัติกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดีย
วก็ได้
2.3 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นอยู่ในข่ำยควำมพอใจที่พึงปฏิบัติได้
กำรเลือกและกำรจัดประสบกำรณ์กำ
รเรียน
กำรประเมินผล
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ13
2 . 4
กิจกรรมและประสบกำรณ์หลำยๆด้ำนของกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดียวก็ได้
2.5 กิจกรรมและประสบกำรณ์เรียนรู้เพียงหนึ่งอย่ำงอำจตรวจสอบจุดมุ่งหมำยหลำยๆข้อได้
3. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ว่ำต้องคำนึ งถึงควำมสัมพันธ์ในด้ำน เวลำต่อเวลำ
และเนื้ อห ำต่อเนื้ อห ำ เรียกว่ำควำมสัมพัน ธ์ แบบแน วตั้ง (Vertical)กับแน วน อน (Horizontal)
ซึ่งมีเกณฑ์ในกำรจัดดังนี้
3 . 1 ค ว ำ ม ต่ อ เ นื่ อ ง ( Continuity)
หมำยถึงควำมสัมพันธ์ในแนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งที่
สูงขึ้นไป เช่นในวิชำทักษะ ต้องเปิดโอกำสให้มีกำรฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบกำรณ์บ่อยๆ
และต่อเนื่องกัน
3 . 2 ก ำ ร จั ด ช่ ว ง ล ำ ดั บ ( Sequence)
หมำยถึงควำมสัมพันธ์แนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้นภ
ำ ย ห ลั ง ห รื อ จ ำ ก สิ่ ง ที่ มี ค ว ำ ม ง่ ำ ย ไ ป สู่ ที่ มี ค ว ำ ม ย ำ ก ดั ง นั้ น
กำรจัดกิจกรรมและประสบกำรณ์ให้มีกำรเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหำที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
3 . 3 บู ร ณ ำ ก ำ ร ( Integration)
ห มำยถึ ง ค วำมสั มพั น ธ์ กัน ใ น แ น วน อ น ข อ ง อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ห ลัก ข อ ง ตัว ห ลัก สู ต ร
จ ำ ก หั ว ข้ อ เ นื้ อ ห ำ ห นึ่ ง ไ ป ยั ง อี ก หั ว ข้ อ ห นึ่ ง ข อ ง ร ำ ย วิ ช ำ
ห รื อ จ ำ ก ร ำ ย วิ ช ำ ห นึ่ ง ไ ป ยั ง ร ำ ย วิ ช ำ อื่ น ๆ ที่ มี ค ว ำ ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น
กำรจัดประสบกำรณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนควำมคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอด
คล้องกัน เนื้อหำที่เรียนเป็นกำรเพิ่มควำมสำมำรถทั้งหมดของผู้เรียนที่ได้ประสบกำรณ์ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆกัน
ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่ำงผู้เรียนกับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อม
4 .
กำรประเมินผลเพื่อตรวจสอบดูว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้บรรลุตำมจุดมุ่งหมำยตำมที่กำหนดไว้หรือไม่
สมควรมีกำรปรับแก้ในส่วนใดบ้ำง พิจำรณำจำกสิ่งต่อไปนี้
4.1 กำหนดจุดมุ่งหมำยที่จะวัดและพฤติกรรมที่คำดหวัง
4.2 วัดและวิเครำะห์สถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่ำนั้น
4.3 ศึกษำสำรวจข้อมูลเพื่อสร้ำงเครื่องมือวัดพฤติกรรมเหล่ำนั้นได้อย่ำงเหมำะสม
4.4 ตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ โดยใช้เกณฑ์ในกำรพิจำรณำดังนี้
1. ควำมเป็นปรนัย (Objectivity)
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ14
2. ควำมเชื่อมั่นได้ (Reliability)
3. ควำมเที่ยงตรง (Validity)
4. ควำมถูกต้อง (Accuracy)
4 . 5
กำรพิจำรณำผลประเมินให้เป็ นประโยชน์ เพื่ออธิบำยผลกำรเรียนรู้เป็ นรำยบุคคลหรือเป็ น กลุ่ม
กำรอธิบำยถึงส่วนดีของหลักสูตรหรือสิ่งที่ต้องปรับแก้เพื่อเป็นแนวทำงในกำรปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภำพยิ่ง
ขึ้น
5.1.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวความคิดของทาบา(Taba)
แนวคิดของทำบำในกำรพัฒนำหลักสู ตรใช้วีแบบรำกหญ้ำ ( Grass-roots approach)
มีควำมเชื่อว่ำหลักสูตรควรได้รับกำรออกแบบโดยครูผู้สอนมำกกว่ำพัฒนำจำกองค์กรที่อยู่ในระดับสูงขึ้น
ประกอบด้วยขั้นตอนต่ำงๆ ดังนี้ (Taba, 1962 :456-459)
1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosisof needs) ใช้วิธีสำรวจสภำพปัญหำ ควำมต้องกำร
และควำมจำเป็นของผู้เรียนและของสังคม
2 . ก ำ ห น ด จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ( Formulation of
objectives)ด้วยข้อมูลที่ได้จำกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำร
3 . คั ด เ ลื อ ก เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ( Selection of
content)เมื่อกำห น ดจุดมุ่งห มำยแล้วก็ต้อง เลื อกเนื้ อหำส ำระ ซึ่ ง สอดคล้องกับจุดมุ่ง หมำย
และต้องคำนึงถึงพัฒนำกำรของผู้เรียนด้วย
4 . ก ำ ร จั ด ร ว บ ร ว ม เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ( Organization of content)
เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ที่ ร ว บ ร ว ม ต้ อ ง ค ำ นึ ง ถึ ง ค ว ำ ม ย ำ ก ง่ ำ ย แ ล ะ ค ว ำ ม ต่ อ เ นื่ อ ง
รวมทั้งจัดให้เหมำะสมกับพัฒนำกำรและควำมสนใจของผู้เรียน
5 . คั ด เ ลื อ ก ป ร ะ ส บ ก ำ ร ณ์ ก ำ ร เรี ย น รู้ ( Selection of learning experiences)
กำรคัดเลือกประสบกำรณ์เรียนรู้ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมำยและเนื้อหำวิชำ
6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์ กำรเรียน รู้ ( Organization of leaning experiences)
กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ควรคำนึงถึงควำมต่อเนื่องของเนื้อหำสำระ
7. กำหน ดวิธีวัดและประเมินผล (Determinationof what to evaluateand the ways and
means of doing it)
มีกำรประเมินเพื่อตรวจสอบว่ำประสบกำรณ์กำรเรียนที่จัดให้บรรลุจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้หรือไม่
และกำหนดวิธีกำรประเมินรวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในกำรประเมินด้วยดังภำพประกอบ 5
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ15
ภำพประกอบ5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของทำบำ
(Taba, 1962 :456-459)
จำกกำรพัฒ น ำห ลักสู ตรแน วคิดของ ทำบ ำจะ เริ่ มที่จุดใดจุดห นึ่ งก่อน ก็ได้
แ ต่เ มื่อ เริ่ ม ที่ จุ ด ใ ด แ ล้ว จ ะ ต้ อ ง ท ำ ก ำ ร ศึ ก ษ ำใ ห้ ค ร บ ก ร ะ บ ว น ก ำร ทั้ ง 7 ขั้ น ต อ น
จุ ด เ ด่ น ใ น แ น ว คิ ด ข อ ง ท ำ บ ำ คื อ เ รื่ อ ง ยุ ท ธ วิ ธี ก ำ ร ส อ น ( Teaching Strategies)
และประสบกำรณ์กำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรที่ต้องคำนึงถึง มีอยู่ 2ประกำร คือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:15-16)
1.ยุทธวิธีกำรสอนและประสบกำรณ์เรียนรู้ เป็นเครื่องกำหนดสถำนกำรณ์เงื่อนไขกำรเรียนรู้
กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นผลผลิต ดังนั้น
กำรจัดรูปแบบของกำรเรียนกำรสอนต้องแสดงลำดับขั้นตอนของกำรเรียนรู้ด้วย
1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs)
2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives)
3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content)
4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ - ควำมคิดรวบยอด (Key concepts)
(Organization of content) - ควำมคิดหลัก (Main ideas)
- ข้อเท็จจริง (Facts)
5. กำรคัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of leaning experiences)
6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning
experiences)(กลวิธีกำรสอนเพื่อพัฒนำพุทธิพิสัย และเจตพิสัย)
7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what toevaluate)
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ16
2 .
ยุทธวิธีกำรสอนเป็นสิ่งที่หลอมรวมหลำยสิ่งหลำยอย่ำงเข้ำมำไว้ด้วยกันกำรพิจำรณำตัดสินใจเกี่ยวกับยุทธวิธีกำ
รสอนควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ
2.1 กำรจัดเนื้อหำ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ำรำยวิชำนั้นๆมุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบใด
ก ว้ำ ง ห รื อ ลึ ก ม ำ ก น้ อ ย เ พี ย ง ใ ด แ ล ะ ไ ด้ เ รี ย ง ล ำ ดั บ เนื้ อ ห ำ วิ ช ำ ไ ว้อ ย่ำ ง ไ ร
ก ำ ร ก ำ ห น ด โ ค ร ง ส ร้ ำง ไ ด้ ก ร ะ ท ำ ชั ด เ จ น ส อ ด ค ล้ อ ง กับ โ ค ร ง ก ำร ใ น ร ะ ดับ ใ ด
เพรำะแต่ละระดับมีจุดประสงค์เนื้อหำสำระที่มีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
2.2 หน่วยกำรเรียน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่บ่งชี้ถึงกำรวัดและประเมินได้ชัดเจน
มีรำยละเอียดและมีควำมยืดหยุ่นเพื่อเปิดโอกำสให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียนและทำกิจ
ก ร ร ม ต ำ ม ค ว ำ ม ต้ อ ง ก ำ ร แ ล ะ ค ว ำ ม ส น ใ จ
กำรตรวจสอบควำมรู้พื้นฐำนของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนได้เป็นลำดับขั้
น ต อ น เ พื่ อ น ำ ไ ป สู่ ข้ อ ค้ น พ บ
ข้อส รุป ที่เป็ น ห ลักกำรที่ มุ่งเน้ น ควำมคำดห วังเกี่ยวกับกำรเรียน รู้ที่ จะ เกิดขึ้ น กับ ผู้เรี ยน
และกำรกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ด้วยตนเองดังภำพประกอบ 6
กาหนดโดยการวิเคราะห์ กาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนดจุดประสงค์
วิเคราะห์และการจาแนก แต่ละระดับ
1.วัฒนธรรมและควำมต้องกำรของ 1. ชนิดของพฤติกรรม 1. จุดมุ่งหมำยทั่วไปของกำรศึกษำ
สังคมและผู้เรียน 2. เนื้อหำวิชำ 2. จุดมุ่งหมำยระดับโรงเรียน
2.กระบวนกำรเรียนรู้และหลักกำร3. ควำมต้องกำรด้ำนต่ำงๆ 3. จุดมุ่งหมำยระดับชั้นเรียน
เรียนรู้ของผู้เรียน
3.ธรรมชำติควำมรู้ในศำสตร์ต่ำงๆ
และวิธีกำรแสวงหำควำมรู้
4.อุดมกำรณ์ของประชำธิปไตย
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ17
ภำพ 7.5รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17)
ภำพประกอบ 6รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17)
กาหนดความรู้ การเลือกเนื้อหาและ สถาบันองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์การเรียนและ
ลักษณะการจัด
1.ลักษณะ, ธรรมชำติของควำมรู้ เนื้อหำสำระ 1.โรงเรียน, กำรบริหำร
ของศำสตร์ต่ำงๆ กิจกรรมและ ใช้ทรัพยำกร
2.ควำมรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้เรียน ประสบกำรณ์ 2.องค์กรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
3.กำรเรียน กับกำรศึกษำบทบำทและ
4.พัฒนำผู้เรียน หน้ำที่ของแต่ละหน่วยงำน
สิ่งที่ต้องคานึง การจัดหลักสูตรรูปแบบ ผู้รับผิดชอบของบุคคล/
ของหลักสูตร หน่วยงาน
1.ควำมต่อเนื่องของควำมรู้ รำยงำน หมวดวิชำ มุ่งเน้นด้ำน 1.โรงเรียน
2.บูรณำกำรทำงควำมรู้ ชีวิตและสังคม กิจกรรมและ 2.คณะครูและเจ้ำหน้ำที่
ประสบกำรณ์ กิจกรรมของผู้เรียน 3.วิธีกำรที่จะใช้บุคลำกร
จุดรวม แนวคิดต่ำงๆ ให้เกิดประโยชน์จำก
กำรเรียนรู้
การกาหนดโดย ขอบข่ายของการเรียง ผู้ดาเนินการต้องคานึงถึง
ลาดับหลักสูตร
ลักษณะการจัด
1.ขอบข่ำยของกระบวนกำร 1.กำรเรียนรู้ลำดับขั้นตอน รูปแบบของกำรจัดหลักสูตร
เรียนรู้ กำรเรียนรู้ ประเภทต่ำงๆ
2.ขอบเขตควำมต่อเนื่องของ 2.ขอบข่ำยและขั้นตอนของกำรจัด หลักสำคัญในกำรกำรจัดหลักสูตร
กระบวนกำรเรียนรู้ กระบวนกำรเรียนรู้
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ18
5.1.3รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส(J. Galen
Saylor, William M. Alexander and Arthur J. Lewis)
แ น ว คิ ด ข อ ง เ ซ ย์ เ ล อ ร์ อ เ ล็ ก ซ ำ น เ ด อ ร์ แ ล ะ เล วิ ส ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญ4 ขั้นตอน คือ (Saylor andAlexander,1974: 265; Saylor,Alexander and
Lewis, 1981: 181)
1. เป้ำห มำย วัตถุประ สง ค์ และ ค วำมครอบ คลุม ( Goals, Objective and domains)
ห ลั ก สู ต ร ต้ อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ป้ ำ ห ม ำ ย วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์
และในแต่ละเป้ำหมำยควรบ่งบอกถึงควำมครอบคลุมของหลักสูตร (Curriculum Domain) วัตถุประสงค์
พัฒนำกำรส่วน บุคคล มนุ ษยสัมพันธ์ ทักษะกำรเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และควำมชำนำญเฉพ ำะด้ ำน
ซึ่งกำหนดจำกควำมเป็นโลกำภิวัฒน์ ควำมต้องกำรของสังคมที่อยู่อำศัยกฎหมำย ข้อบังคับ เป็นต้น
2 . ก ำ ร อ อ ก แ บ ห ลั ก สู ต ร ( CurriculumDesign)
คือกำรวำงแผนเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกำรเลือกและจัดเนื้อหำสำระและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึงปรัชญำ ควำมต้องกำรของสังคมและผู้เรียนมำพิจำรณำด้วย
3 . ก ำ ร น ำ ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ( Curriculum implementation)
ครูต้องเป็ น ผู้วำงแผน และวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ในรูปแบบต่ำงๆ ( InstructionalPlans)
รว ม ทั้ ง ก ำร จัด ท ำสื่ อ ก ำรเรี ย น ก ำรส อ น เช่น ต ำร ำ แ บ บ เรี ย น วัส ดุ อุ ป ก รณ์ ต่ำง ๆ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ครูตั้งเป้ำหมำยไว้
4 . ก ำ ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร ( CurriculumEvaluation)
ครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันตัดสิน ใจเพื่อเลือกวิธีกำรประเมินผลที่สำมำรถประเมินได้ว่ำ
หลักสูตรที่พัฒนำขึ้นได้ผลตำมควำมมุ่งหมำยกำรประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลสำคัญที่บอกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ได้ว่ำควรจะปรับปรุงหลักสูตรในจุดใด เพื่อประกอบกำรตัดสินใจในกำรวำงแผนกำรใช้หลักสูตรในอนำคต
รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ แล ะ เลวิส
แสดงดังภำพประกอบ 7
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ19
(1)ให้ข้อมูลย้อนกลับและปรับปรุง
(2)(3)(4)
ภาพประกอบ7 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส
(Saylor and Alexander, 1974 : 275; Saylor. Alexander and Lawis.1981 : 181)
5.1.4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของโอลิวา (Oliva) (Oliva.1982 : 172)
1 . จุ ด มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ( Aims of Education)
และหลักการปรัชญาและจิตวิทยาจากการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของสังคมและผู้เรียน
2. วิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของชุมชนที่สถานศึกษานั้นๆ ตั้งอยู่ ความต้องการจาเป็นของผู้เรียนในชุมชน
และเนื้อหาวิชาที่จาเป็นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน
3. เป้าหมายของหลักสูตร (Curriculum Goals) โดยอาศัยข้อมูลจากขั้น 1 และ 2
4. จุดประสงค์ของหลัก สูตร (Curriculum Objectives) โด ยอาศัยข้อมูลจากขั้นที่1,2และ3
แตกต่างจากขั้นที่3 คือมีลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อนาไปสู่การประยุกต์ใช้หลักสูตร และการกาหนดโครงสร้างหลักสูตร
5 . ร ว บ ร ว ม แ ล ะ น า ไ ป ใ ช้ ( Organization and Implementation of the
Curriculum)เป็นขั้นของการกาหนดโครงสร้างหลักสูตร
6. กาหนดเป้าหมายของการสอน(Instructional Goals) ของแต่ละระดับ
7. กาหนดจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน(Instructional Objective) ในแต่ละวิชา
8. เลือกยุทธวิธีในการสอน(Selection of Strategies) เป็นขั้นที่ผู้เรียนเลือกยุทธวิธีที่เหมาะสมกับผู้เรียน
9. เลือกเทคนิควิธีการประเมินผลก่อนที่นาไปสอนจริงคือ9A (Preliminary selective of evaluation
techniques) และกาหนดวิธีประเมินผลหลังจากกิจกรรมการเรียนการสอนสิ้นสุดคือ 9B (Find selection of evaluation
techniques)
10. นายุทธวิธีไปใช้ปฏิบัติจริง(Implementation of Strategies)เป็นขั้นของการใช้วิธีการที่กาหนดในขั้นที่8
1 1 . ป ร ะ เ มิ น ผ ล จ า ก ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ( Evaluation of
Instruction) เ ป็ น ขั้ น ที่ เ มื่ อ ก า ร ด า เ นิ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น เ ส ร็ จ สิ้ น
ก็มีการประเมินผลตามที่ได้เลือกหรือกาหนดวิธีการประเมินขั้นที่9
เป้าหมายจุดประสงค์และ
ความครอบคลุม
กำรออกแบบหลักสู
ตร
กำรนำหลักสูตรไปใช้ กำรประเมินผลหลักสู
ตร
-
ออกแบบโดยนักพัฒนำห
ลักสูตร
-
เลือกเนื้อหำสำระและประ
สบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่เหม
ำะสมกับผู้เรียน
-
ครูเป็นผู้วำงแผนจัดทำแผน
กำรสอน
-จัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน
-
ครูเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเลือกวิธีป
ระเมินที่มีประสิทธิภำพ
-
นำข้อมูลที่ใช้จำกกำรประเมินมำป
รับปรุงแก้ไขหลักสูตร
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ20
12. ประเมินหลักสูต ร(Evaluation ofcurriculum)เป็นขั้นต อนสุด ท้ายที่ทาให้วงจรค รบถ้วน
การประเมินผลที่มิใช่ประเมินผู้เรียนและผู้สอน แต่เป็นการประเมินหลักสูตรที่จัดทาขึ้น
5.1.5 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของมัลคอล์ม สกิลเบ็ก
ส กิ ล เ บ็ ก ( Sklibeck,1984 : 230-239; สิ ท ธิ ชั ย เท ว ธี ร ะรั ต น์ , 2543 :
43)ได้ เส น อ แน ว คิ ด เกี่ ย ว กั บ รู ป แ บ บ ข อ ง ห ลัก สู ต ร ใน ลัก ษ ณ ะที่เป็ น พ ล วัต จุ ด เด่ น คื อ
ก ารวิเค ราะห์สถานก ารณ์ ซึ่งเป็นยุทธศาสต ร์ที่สาคัญ ในก ารพัฒ นา หลัก สู ต ร ทั้งนี้ สกิลเบ็ก เชื่อว่า
ส ถ า น ก า ร ณ์ เป็ น อ ง ค์ ป ร ะก อ บ ส า คั ญ ใน ก า ร ก า ห น ด ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ห ลัก สู ต ร
เ พ ร า ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ค า ด เ ห ตุ ก า ร ณ์ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น ภ า ย ห น้ า ไ ด้
การกาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ไว้ก่อนมีการสารวจสถานการณ์จริงจึงขาด ความน่าเชื่อถือ ดังนั้น
การพัฒนาหลักสูตรโดยโรงเรียนเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรเอง(School-based curriculum development หรือ SBCD)
เป็นวิธีที่สามา รถนา ไปปฏิบัติให้สอด ค ล้องกับค วามเป็นจ ริงได้ ก า รวิเค รา ะห์องค์ ประก อบต่ า งๆ
ที่เป็นปรากฏการณ์ของสังคมแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ทาให้ไม่สามารถเจาะจงใช้รูปแบบหลักสูตรที่เป็นแบบเดียวกันได้ ดังนั้น
รูปแบบหลักสูตรจึงเป็นพลวัต แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของสกิลเบ็ก ประกอบด้วย5ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้ น ต อ น ที่ 1 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ส ถ า น ก า ร ณ์ (Analyze the situation)
วิ เ ค ร า ะ ห์ ปั จ จั ย ที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง เ กี่ ย ว กั บ ห ลั ก สู ต ร
ซึ่งส่งผ ลถึงโรงเรียนให้มีก ารพัฒ นาหลัก สูต รให้นาไปปฏิบัติได้จ ริงและบังเกิด ผ ลให้นัก เรียนได้เรียนรู้
ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ก. ปั จจัยภายนอก ได้แก่
1.การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ความคาดหวังของผู้ปกครองความต้องการของนายจ้าง
ความต้องการของสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก และอุดมคติของสังคม
2. การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย นโยบายการศึกษา ระบบการสอน
อานาจในการตัดสินใจของท้องถิ่น ผู้จบการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม เป็นต้น
3. การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาวิชา การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย
4. การเพิ่มศักยภาพของครูอาจารย์ ในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย
5. การนาทรัพยากรใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
ข. ปั จจัยภายใน ได้แก่
1. เจตคติ ความสามารถและความต้องการทางการศึกษาของนักเรียน
2. ค่านิยม เจตคติ ทักษะ ประสบการณ์ของครู ที่เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของการจัดการเรียนการสอน
3. ความคาดหวังของโรงเรียน โครงสร้างการบริหารงาน การกระจายอานาจการบริหารการศึกษา
วิธีจั ด ป ร ะส บ ก า รณ์ ให้ นัก เรีย น แร ง จู งใจ ใฝ่ สั ม ฤ ท ธิ์ ขอ งนัก เรีย น บ ร ร ทัด ฐ า น ท า งสัง ค ม
การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์
4. วัสดุอุปกรณ์ ทรัพยากร งบประมาณ แผนงาน และศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน
5. การยอมรับและการรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการนาหลักสูตรมาใช้
ขั้นตอนที่ 2 การกาหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives) การวิเคราะห์สถานการณ์ในขั้นตอนที่ 1
เพื่อนาไปก าหนด วัตถุประสงค์ซึ่งก ารก าหนด วัต ถุประสงค์แปลงเปลี่ยนไปต ามปัจจัยภายนอกและภายใน
สะท้ อ น ค ว า ม เป็ น จ ริง ขอ งส ถ า น ก า รณ์ ที่เป็ น อ ยู่ ส อ ด ค ล้อ งกั บ ค่ า นิย ม ทิศ ท า ง ที่ก า ห น ด
ร ว ม ทั้ ง ผ ล ลั พ ธ์ ที่ ค า ด ห วั ง จ า ก ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า
การกาหนดวัตถุประสงค์ควรเขียนในลักษณะการเรียนรู้ที่คาดหวังจากนักเรียนและกระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูที่ให้บรรลุ
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ21
วัต ถุประสงค์ ซึ่งก า รก าหนด วัต ถุประสงค์ ประก อบด้วยวัต ถุประสงค์ทั่วไปกับวัต ถุประสงค์ เฉพ า ะ
ในการกาหนดวัตถุประสงค์ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ชุมชน และนักวิชาการ
เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 การออกแบบการจัดการเรียนการสอน (Design the teaching learning
programme) เป็นก ารออกแบบก ารเรียนการสอนต้องให้สอด คล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษ า
โ ร ง เ รี ย น ต้ อ ง ต อ บ ค า ถ า ม พื้ น ฐ า น เ ช่ น จ ะ ส อ น อ ะ ไ ร
และนักเรียนจะเรียนรู้อะไรซึ่งต้องศึก ษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรายวิชาที่นามาจัด การเรียนการสอน
การกาหนดแบบแผนการสอนและการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้
3.1 ข้อ มูลพื้น ฐานห รือทิศทา งขอ งหลัก สู ต รที่ก าห นด ไว้ในหลัก สู ต รแก นก ลา ง
เป็นวิชาบังคับหรือวิชาเลือกตามความสนใจ
3.2การจัดกลุ่มและการบูรณาการของสาระวิชาต่างๆ
3.3ก า ร จั ด ก ลุ่ ม นั ก เรี ย น ซึ่ ง อ า จ จั ด ต า ม ค ว า ม ส น ใจ ข อ ง นัก เ รีย น
จัดให้เด็กเรียนเก่งเรียนด้วยกันและไม่เก่งเรียนด้วยกัน หรือจัดให้เด็กที่มีความสนใจต่างกันเรียนด้วยกัน
3.4ความสัมพันธ์ของวิชาต่างๆ กับเป้าหมายของหลักสูตร
3.5การเรียงลาดับของเนื้อหาการสอน
3.6สถานที่ ทรัพยากร อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ า
3.7ออกแบบวิธีการจัดการเรียนการสอน
3.8แต่งตั้งคณะทางาน
3.9จัดทาตารางและกิจกรรมในการปฏิบัติงาน
ขั้ น ต อน ที่ 4 ก า ร น าห ลั ก สูต ร ไป ใช้ (Interpret and implement the programme)
การวางแผนและการออกแบบหลักสูตรก็เพื่อให้หลักสูตรนั้นนาไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ซึ่งดู จ าก ผ ลก ารประเมินผ ลลัพ ธ์สุ ด ท้ ายว่าก า รเรียนก ารสอนเป็นไปต า มค วา มต้ องก า รหรือไม่
มีแผนงานใดที่มีความพร้อมมากที่สุด และรับรองคุณภาพได้ดังนั้น ครูต้องมีจิตสานึกในความเป็นมืออาชีพที่ต้องติดตามควบคุม
ดู แล และประเมินผ ลอย่างสม่าเสมอ เพื่อพิจา รณ า ว่าสิ่งที่ออกแบบและด า เนินก ารอยู่มีประโยชน์คุ้มค่ า
ก า รพัฒ นา ห ลัก สู ต รโรงเรียน จ า ก บุค ค ล ใด บุ ค ค ลห นึ่ง เช่ น ผู้ บริห า รโรงเรีย น หัวห น้า ภ า ค
อา จ ไม่ประสบ ค วา ม สา เร็จ เนื่อ งจ า ก ปัญ หา ก า รขา ด ก า รเอ า ใจ ใส่จ า ก ค รู ผู้ ที่มีส่วน เกี่ย วข้อ ง
ดั ง นั้ น ก า ร บ ริ ห า ร ห ลั ก สู ต ร ที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ย อ ม รั บ แ ล ะ น า ไ ป ใ ช้ ไ ด้ จ ริ ง ๆ
ต้องด าเนินก ารโด ยผู้ที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งก็คือครูนั่นเองครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและทราบข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจ
ความต้องการของนักเรียนเป็นอย่างดีดังนั้น การปฏิบัติเพื่อพัฒนาหลักสูตรต้องเหมาะสมและต้องสอดคล้องกับศักยภาพของครู
การนาไปใช้ขึ้นอยู่กับครู ครูต้องเป็นบุคลากรหลักในการออกแบบและการนาไปใช้ นั่นคือ ครูต้องเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรดัวยตนเอง
ดีกว่ารูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่บุคคลอื่นเป็นผู้จัดทาให้
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินการเรียนรู้และการประเมินผลหลักสูตร (Assess and evaluate)
การประเมินการเรียนรู้(Assessment)เป็นการตัดสินคุณค่าในศักยภาพการเรียนรู้และการปฏิบัติของผู้เรียนรู้ ส่วนการประเมินผล
(Evaluation) หมายถึงการรวบรวมหลักฐานเพื่อนามาตัดสินคุณค่าเกี่ยวกับหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน
ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไป ใช้ ร ว ม ทั้ ง ผ ล ก า ร ป ฏิ บัติ ห รือ ผ ล ก า ร เรี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เรีย น
ซึ่งการประเมินการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นการกาหนดเกณฑ์ที่ผู้เรียนต้องบรรลุ เช่น การกาหนดชิ้นงาน การสังเกต
การบันทึกการทางาน การสอน การรายงานผล การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องมีแนวทางที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุม
รวมทั้งเป็นก ระบวนการที่ต่อเนื่องทุกค รั้ง ดังนั้น ก ารประเมินจึงไม่ใช่กิจก รรมที่ก ระทารวบยอดค รั้งเดียว
แต่เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งผู้ออกแบบหลักสูตรด้วยการกระทาเช่นนี้เป็นวงจรต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
เพื่อนาไปสู่การปรับปรุงผู้เรียนและหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของสกิลเบ็กแสดงดังภาพประกอบ 8 ดังนี้
กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ22
ภาพประกอบ 8 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของสกิลเบ็ก ( Skilbeck , 1984 : 230-239 )
5.1.6 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ (Decker Walker)
เดคเกอร์ วอล์คเกอร์ (Decker Walker) ปฏิเสธแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรด้วยการกาหนดสิ่งต่างๆ
ที่เกี่ยวกับหลัก สู ต รด้ วยก ารอธิบา ยเชิงเหตุ ผ ลโด ยปราศ จ าก ก า รค้ นค ว้า หา ข้อเท็จ จ ริงมาก่ อน
วิธีการของวอล์คเกอร์เป็นวิธีการศึกษาแบบประจักษ์นิยม (Epiricalism) หรือเป็นวิธีการศึกษาแบบธรรมชาติ (Naturalistic
model) ซึ่ ง เป็ น วิธี ก า ร ที่ เป็ น ก า ร แ ส ว ง ห า ข้ อ เท็ จ จ ริง จ า ก ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ท า ง สั ง ค ม
และผ่ า นก ระบ วนก า รพิจ า รณ า ไต ร่ต รองอ ย่า งเห มา ะสมก่ อ นก า รตัด สินใจ อ อก แบ บหลัก สู ต ร
ส่วนผลการพิจารณาจะออกมาเช่นไรก็ยอมรับตามสภาพการณ์ซึ่งเป็นวิธีคล้ายกับเติบโตของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ (Marsh ,
1986 , curricula ; An Analytical Introduction : 53-57)
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ แบ่งเป็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรออกเป็น 3
ขั้นตอน คือ (Walker , 1971 , curriculum Theory Network : 58-59)
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งได้มาจากการศึกษาเชิงประจักษ์ที่ได้จากมุมมองต่างๆ ความเชื่อ
ค่านิยม ทฤษฎี แนวคิด เป้าหมาย เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณ าสร้างหลักสูตรต่อไปในอนาคต ทั้งนี้
มีความจาเป็นที่ต้องวิเคราะห์ปัญหาต่างๆไว้ล่วงหน้าซึ่งเป็นประโยชน์ในการดาเนินการขั้นต่อไป
ขั้ น ต อ น ที่ 2 ก า ร พิ จ า ร ณ า ไ ต ร่ ต ร อ ง ( Deliberates)
ซึ่งเป็นการนาข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่ได้จากการวิเคราะห์ปัญ หาต่างเข้ามาสู่กระบวนการปรึกษาหรือการอภิปราย
การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อพิจารณาทางเลือกต่างๆก่อนที่จะออกแบบหลักสูตร โดยการถ่วงน้าหนักทางเลือกต่างๆ ( eight
alternatives) ใน ทุก ๆ ด้ า นอ ย่า งเป็ นรูปธ รรม ทั้งใน เชิงต้ นทุน ค่ า ใช้จ่ า ยแล ะป ระโย ช น์ที่ได้ รับม า
ก า ร พิ จ า ร ณ า ท า ง เลือ ก นี้ จ ะก่ อ ให้ เกิ ด ค วา ม ไม่ แน่ ใจ ว่า เป็ น ท า ง เลือ ก ที่ดี ที่ สุ ด ดั ง นั้น
จึงสามารถที่จะยอมรับหรือปฏิเสธได้อย่างเต็มที่ก่อนการกาหนดทิศทางที่ถูกต้องในการออกแบบหลักสูตรต่อไป
ขั้ น ต อ น ที่ 3 ก า ร อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum design)
เป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับสาระสาคัญของหลักสูตรก่อน โดยคานึงถึงองค์ประกอบอย่างรอบด้านของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งไม่กาหนดรูปแบบหลักสูตรไว้ล่วงหน้า แต่ใช้ในการแสวงหาความเหมาะสมที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสถานการณ์
1.กำ1.วิเครำะห์สถำนกำรณ์
( Analyse the situation)
2.กำรกำหนดวัตถุประสงค์
( Define Objectives)
3.กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
( Design theteaching –learning programme)
4.กำรนำหลักสูตรไปใช้
( Interpretand implement the programme )
5.กำรประเมินกำรเรียนรู้และกำรประเมินหลักสูตร
( Assess and evaluate )
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4
บทที่ 4

More Related Content

What's hot

รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรBigbic Thanyarat
 
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรNoawanit Songkram
 
ทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรTawatchai Bunchuay
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8Pateemoh254
 
การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรJiraprapa Suwannajak
 
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตรองค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตรSunisa199444
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตร
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตร
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรtanongsak
 

What's hot (9)

รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
 
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
 
ทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตรทฤ.หลักสูตร
ทฤ.หลักสูตร
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร
 
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตรองค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตร
 
กลวิธีการสอน
กลวิธีการสอนกลวิธีการสอน
กลวิธีการสอน
 
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตร
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตร
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตร
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 

Similar to บทที่ 4

Similar to บทที่ 4 (20)

บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
4 170819173249
4 1708191732494 170819173249
4 170819173249
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coachingการนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
การนิเทศแบบสอนแนะิ Coaching
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
9 170819173701
9 1708191737019 170819173701
9 170819173701
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
9 170819173701
9 1708191737019 170819173701
9 170819173701
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 

More from wanichaya kingchaikerd

มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพwanichaya kingchaikerd
 
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยwanichaya kingchaikerd
 

More from wanichaya kingchaikerd (20)

บทที่10
บทที่10บทที่10
บทที่10
 
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
 
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่11
บทที่11บทที่11
บทที่11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่5
บทที่5บทที่5
บทที่5
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่2
บทที่2บทที่2
บทที่2
 

บทที่ 4

  • 1. บทที่ 4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) คุณ ส มบั ติ ที่ ส ำคั ญ ที่ สุ ด ข อ ง ห ลัก สู ต ร คือ ห ลัก สู ต ร ค วำมเป็ น พ ล วัต และปรับเปลี่ยนไปตำมควำมต้องกำรและควำมเปลี่ยนแปลงของสังคม จำกคุณสมบัติดังกล่ำว กำรพัฒนำหลักสูตรจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ตลอดเวลำที่สภำพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น กำรจัดกำรศึกษำให้สนองควำมต้องกำรของสังคมที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็ นสิ่งจำเป็ น และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในลักษณะของกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจเกี่ยวกับควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตร 2. มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ หลักกำร รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตร สาระเนื้อหา(Content) รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบของกำรพัฒนำหลักสูตรส่วนมำกจะพัฒนำมำจำกแนวคิดของนักกำรศึกษำชำวต่ำงป ร ะ เ ท ศ ซึ่ ง แ ต่ ล ะ รู ป แ บ บ จ ะ มี ร ำ ย ล ะ เ อี ย ด ที่ แ ต ก ต่ ำ ง กั น ไ ป แต่กระบวนกำรและขั้นตอนควรประกอบด้วยกำรศึกษำวิเครำะห์ข้อมูลพื้นฐำนที่ซึ่งประกอบด้วยปรัช ญ ำก ำ ร ศึ ก ษ ำ ผู้ เรี ย น สั ง ค ม ส ภ ำพ แ ว ด ล้ อ มแ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ อื่ น ๆ เพื่อนำมำกำหนดจุดมุ่งหมำยเลือกเนื้อหำสำระและประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จัดลงในหลักสูตร แล้วนำหลักสูตรไปทดลองใช้เพื่อหำข้อบกพร่องเพื่อนำมำแก้ไขหลักสูตรที่สมบูรณ์และนำไปใช้ สุดท้ำยทำกำรประเมินผลหลักสูตรและนำผลจำกกำรประเมินไปปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรต่อไป กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรจะเป็นไปอย่ำงต่อเนื่องอย่ำงเป็นวัฏจักร
  • 2. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ2 1.ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร กำรพัฒนำหลักสูตรเป็ นภำรกิจที่สำคัญและกว้ำงขวำง จึงมีผู้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นกำรพัฒนำหลักสูตรไว้หลำยกรณี เช่น กู๊ด (Good,1973:157-158) ได้ให้ควำมเห็นว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรเกิดขึ้นได้ 2ลักษณะ คือ กำรปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรกำรปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีกำรพัฒนำหลักสูตรอย่ำงหนึ่ง เพื่อให้เหมำะกับโรงเรียนและ ระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมำยของกำรสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธี ก ำร ส อ น ร ว ม ทั้ ง ป ร ะ ม ว ล ผ ล ส่ ว น ค ำว่ำ ก ำร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ห ลัก สู ต ร หมำยถึงกำรแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่ำงไปจำกเดิม เป็นกำรสร้ำงโอกำสทำงกำรเรียนขึ้นใหม่ เ ช ย์ เ ล อ ร์ แ ล ะ อ เ ล็ ก ซ ำ น เ ด อ ร์ ( Saylor and Alexander, 1974: 7) ให้คำจำกัดควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรว่ำหมำยถึงกำรจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ห รื อ เ ป็ น ก ำ ร จั ด ท ำ ห ลั ก สู ต ร ใ ห ม่โ ด ย ไ ม่มี ห ลั ก สู ต ร เ ดิ ม อ ยู่ ก่อ น กำรพัฒนำหลักสูตรอำจหมำยรวมถึงกำรสร้ำงเอกสำรอื่นสำหรับนักเรียนด้วย ท ำ บ ำ ( Taba, 1962 : 454) ไ ด้ ก ล่ ำ ว ไ ว้ ว่ำ ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงสูตรเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้นทั้งในด้ำนกำรวำงจุดม่งหมำย ก ำร จัด เนื้ อ ห ำวิช ำ ก ำร เ รี ย น ก ำร ส อ น ก ำ ร วัด แ ล ะ ก ำ รป ระ เมิ น ผ ล อื่ น ๆ เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ ถึ ง จุ ด ม่ ง ห ม ำ ย อั น ใ ห ม่ ที่ ว ำ ง ไ ว้ กำรเปลี่ยน แปลงห ลักสูตรเป็ น กำรเปลี่ยน แปลงทั้งระ บบห รือเปลี่ยน แปลงทั้งห มด ตั้ ง จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย แ ล ะ วิ ธี ก ำ ร และกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบทำงด้ำนควำมคิดและควำมรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ำ ย ส่ ว น ก ำ ร ป รั บ ป รุ ง ห ลั ก สู ต ร หมำยถึงกำรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบำงส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวควำมคิดพื้นฐำนหรือรูปแบ บของหลักสูตร สงัด อุทรำนันท์ (2532: 30) กล่ำวว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรมีควำมหมำยอยู่2ลักษณะ คือ 1. ก ำ ร ท ำ ห ลั ก สู ต ร ที่ มี อ ยู่ แ ล้ ว ใ ห้ ดี ขึ้ น ห รื อ ส ม บู ร ณ์ ขึ้ น แ ล ะ 2 . กำรสร้ำงหลักสูตรขึ้นมำใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐำน วิ ชั ย ว ง ษ์ ใ ห ญ่ ( 2525: 10) ก ล่ ำ ว ว่ ำ กำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรพยำยำมวำงโครงกำรที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตรงตำมจุดมุ่งหมำยที่กำ หนดไว้หรือกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนระบบโครงสร้ำงของกำรจัดโปรแกรมกำรสอน กำรกำหนดจุดมุ่งหมำย เนื้อหำสำระ กำรปรับปรุงตำรำแบบเรียน คู่มือครู และสื่อกำรเรียนต่ำงๆ ก ำ ร วัด แ ล ะ ก ำ ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก ำ ร ใ ช้ ห ลั ก สู ต ร ก ำ ร ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข
  • 3. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ3 และกำรให้กำรอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตำมวัตถุประสงค์ของกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอ น รวมทั้งกำรบริกำรและกำรบริหำรหลักสูตร ในกำรพัฒนำหลักสูตร เซย์เลอร์และอเล็กซำนเดอร์ (Saylor and Alexander,1974: 8-9) ชี้ให้เห็นว่ำกำรจัดทำหรือพัฒนำหลักสูตรนั้นมีงำนที่ต้องทำสำคัญๆ อยู่3 ประกำร คือ 1 . กำรพิจำรณำและกำรกำหนดเป้ำหมำยเบื้องต้นที่สำคัญของหลักสูตรที่จัดทำนั้นว่ำมีเป้ำหมำยเพื่ออะไร ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตรนั้นๆ อย่ำงเด่นชัด 2. กำรเลือกกิจกรรมกำรเรียน กำรสอนและวัสดุประกอบกำรเรียน กำรสอน กำร เลื อ ก ส ร รเนื้ อ ห ำเพื่ อ ส ำระ เพื่ อ ก ำร อ่ำน ก ำร เขี ยน ก ำรท ำแ บ บ ฝึ ก หั ด และหัวข้อสำหรับกำรอภิปรำยตลอดจนกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน เป็นต้น 3. กำรกำห น ดระ บ บกำรจัดวัส ดุอุป กรณ์ และ กำรจัดกำรเรี ยน กำรสอ น ตลอดทั้งกำรทดลองที่เป็นประโยชน์ เหมำะสมกับกำรเรียนกำรสอนแต่ละวิชำและแต่ละชั้นเรียน บำงครั้งเรำจะพบว่ำกำรพัฒนำหลักสูตรเป็นกระบวนกำรหรือขั้นตอนของกำรตัดสินใจเลือ กหำทำงเลือกทำงกำรเรียนกำรสอนที่เหมำะสมหรือเป็ นที่รวบรวมของทำงเลือกที่เหมำะสมต่ำงๆ เ ข้ ำ ด้ ว ย กั น จ น เ ป็ น ร ะ บ บ ที่ ส ำ ม ำ ร ถ ป ฏิ บั ติ ไ ด้ และถ้ำหำกหลักสูตรมุ่งที่จะกำหนดสำหรับผู้เรียนหลำยกลุ่มหลำยประเภทโดยใช้วิธีกำรต่ำงๆ และโอกำสต่ำงๆ กันแล้วนักพัฒนำหลักสูตรต้องคำนึงถึงภูมิหลักขององค์ประกอบต่ำงๆ อย่ำง ละ เอียด และ รอ บค อบ ก่อน จะ ตัดสิ น ใ จเลื อกท ำง เลือก ใด ทำง เลื อกห นึ่ ง และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอำจมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ เป็นวัฏจักร 2.หลักการพัฒนาหลักสูตร จำกควำมคิดเห็นของนักกำรศึกษำในเรื่องของควำมหมำยของกำรพัฒนำหลักสูตรที่กล่ำวมำ จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ว่ำ ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ที่ มี ขั้ น ต อ น ๆ อย่ำงเป็นระบบระเบียบและเพื่อให้งำนกำรพัฒนำหลักสูตรดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมำยของกำรพัฒนำอย่ำง แท้จริงเรำจึงต้องคำนึงถึงหลักในกำรพัฒนำหลักสูตร 1. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีผู้นำที่เชี่ยวชำญและมีควำมสำมำรถในงำนพัฒนำหลักสูตรเป็นอย่ำงดี 2. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องได้รับควำมร่วมมือและกำรประสำนงำนอย่ำงดีจำกบุคคลที่เกี่ยวข้องทุก ฝ่ำยทุกระดับ
  • 4. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ4 3. กำรพัฒนำหลักสูตรจำเป็นต้องมีกำรดำเนินกำรเป็ นระบบระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป เริ่มตั้งแต่กำรวำงจุดมุ่งหมำยในกำรพัฒนำหลักสูตรนั้นจนถึงกำรประเมินผลกำรพัฒนำหลักสูตรในกำ รดำเนินงำนจะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นในกำรเปลี่ยนแปลงว่ำ กำรพัฒนำหลักสูตรที่จุดใด จะเป็นกำรพัฒนำส่วนย่อยหรือกำรพัฒนำทั้งระบบ และจุดดำเนินกำรอย่ำงไรในขั้นต่อไป สิ่งเหล่ำนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มีหน้ำที่ในกำรพัฒนำหลักสูตรไม่ว่ำจะเป็นผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร ค รู ผู้ ส อ น ห รื อ นั ก วิ ช ำ ก ำ ร ท ำ ง ด้ ำ น ก ำ ร ศึ ก ษ ำ แ ล ะ บุ ค ค ล ต่ ำ ง ๆ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง จ ะ ต้ อ ง ร่ ว ม มื อ กั น พิ จ ำ ร ณ ำ อ ย่ ำ ง ร อ บ ค อ บ และดำเนินกำรอย่ำงมีระเบียบระบบแบบแผนทีละขั้นตอน 4. ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร จ ะ ต้ อ ง ร ว ม ถึ ง ผ ล ง ำ น ต่ ำ ง ๆ ทำงด้ำนหลักสูตรที่ได้สร้ำงขึ้นมำใหม่อย่ำงมีประสิทธิภำพ ไม่ว่ำจะเป็นเอกสำรหลักสูตร เนื้อหำวิชำ กำรทำกำรทดสอบหลักสูตรกำรนำหลักสูตรไปใช้ หรือกำรจัดกำรเรียนกำรสอน 5. กำรพัฒนำหลักสูตรที่มีประสิทธิภำพจะต้องมีกำรฝึกฝนอบรมครูประจำกำรให้มีควำมเข้ำใจในหลักสู ตรใหม่ควำมคิดใหม่ แนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมหลักสูตรใหม่ 6.กำรพัฒ น ำหลักสู ตรจะ ต้องคำนึ งถึงประ โยช น์ ใน ด้ำน กำรพัฒน ำจิตใ จ และทัศนคติของผู้เรียนด้วย 3. ผลที่ได้จากการพัฒนาหลักสูตร กำรพัฒ น ำห ลักสู ต รเป็ น ง ำน ที่มีกระ บ วน กำรแล ะ ขั้น ต อน ที่ ซับซ้อ น และเป็นงำนที่ต้องอำศัยผู้เชี่ยวชำญทำงด้ำนกำรจัดหลักสูตร นักวิชำกำร นักพัฒนำหลักสูตร ให้มำทำงำน ร่วมกัน กับบุคคลหลำยฝ่ ำย และต้องได้รับควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ ำยด้วยดี กำรพัฒนำหลักสูตรจึงจะประสบควำมสำเร็จเมื่อกำรพัฒนำหลักสูตรสำเร็จลุล่วงตำมจุดหมำยแห่งกำร พัฒนำแล้วย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้ 1.เป็ น กำรพัฒน ำกำรศึกษำของช ำติให้บรรลุตำมวัตถุประ สงค์ตำมที่วำงไว้ เพื่อให้กำรศึกษำของชำติเป็นกำรศึกษำเพื่อพัฒนำผู้เรียนให้สอดคล้องกับควำมเจริญของสังคมและขอ งโลก 2.เป็นกำรพัฒนำระบบกำรศึกษำให้เจริญก้ำวหน้ำทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก โดยเฉพำะในยุคที่เรียกว่ำโลกยุคโลกำภิวัตน์
  • 5. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ5 3. เพื่อให้ครูผู้สอนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจและควำมสำมรถในกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนแก่ผู้เรียนดังต่อไ ปนี้ 3.1 มีควำมสำมำรถเปลี่ยนกับทักษะในด้ำนต่ำงๆ 3.2 มีควำมรู้เพียงพอที่จะศึกษำในระดับสูงขึ้นไป 3.3 ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม 3.4 มีจิตใจและร่ำงกำยที่สมบูรณ์แข็งแรง 3.5 มีควำมเข้ำใจและรักษำควำมงำมตำมธรรมชำติ 3.6 มีวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงำม 3.7 มีควำมสนใจและเชี่ยวชำญในด้ำนใดด้ำนหนึ่งเป็นพิเศษ 3.8 มีควำมสนใจในกำรดำรงชีวิตในสังคมได้อย่ำงเหมำะสม 3.9 มีควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำในชีวิตและในสังคมได้ 4.กระบวนการในการพัฒนาหลักสูตร ถ้ำหลักสูตรได้รับกำรพิจำรณำว่ำเป็นทุกสิ่งทุกอย่ำงซึ่งเกิดขึ้นในกำรวำงแผนกำรเรียนกำรส อนในสถำบันกำรศึกษำแล้ว กำรพัฒนำหลักสูตรก็จะเป็นกำรพัฒนำแผนเพื่อจัดโปรแกรมกำรศึกษำ ซึ่งหมำยถึงกำรให้นิยำมและกำรเลือกจุดประสงค์ของกำรศึกษำ เลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ และกำรประเมินโปรแกรมกำรศึกษำ กำรพัฒนำหลักสูตรเป็ นงำนปฏิบัติมิใช่งำนทฤษฎี เป็นควำมพยำยำมที่จะออกแบบระบบ เพื่อให้ประสบควำมสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำ และระบบนี้จะต้องเป็นประโยชน์ที่แท้จริงปรำกฏต่อสังคมและต่อมนุษย์ ซึ่งมีควำมมุ่งหมำย มี ค ว ำ ม ฝั ก ใ ฝ่ ใ น สิ่ ง ที่ ต น ช อ บ มี ก ล ไ ก ก ำ ร เ ค ลื่ อ น ไ ห ว ดั ง นั้ น ขั้นตอนที่จำเป็นขั้นแรกในกำรพัฒนำหลักสูตร คือ กำรตรวจและวิเครำะห์สถำนกำรณ์สำคัญๆ ซึ่งเป็นควำมมุ่งหมำยปลำยทำงของกำรพัฒนำหลักสูตรคือกำรเปลี่ยนแปลงของนักเรียนและครู ครู ที่กลำยเป็ น ผู้ที่มีควำมรู้มำกขึ้ น มีทักษะ มำกขึ้น และ มีควำมไม่ห ยุดนิ่ งมำกขึ้ น ครูซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่ำวนี้ จะ เป็ น ผู้ที่ให้บริกำรแก่นักเรียน ได้อย่ำงมีประ สิทธิภ ำพ รำยละเอียดต่อไปนี้จะกล่ำวถึงกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตร และแนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตร แดเนี ยล แทน เน อร์ และลอร์เรล แทน เน อร์ (D. Tanner & L. Tanner.1995 : 385) กล่ำวว่ำปัจจัยและอิทธิพ ลหลักสูตรมีปฏิสัมพัน ธ์จำกปรัชญำสังคม พ ฤติกรรมมนุ ษย์ และควำมรู้ที่ยิ่งใหญ่กว้ำงขวำงสิ่งเหล่ำนั้นมีอิทธิพลต่อผู้เรียนโดยแปรสภำพมำเป็นเนื้อหำวิชำสำหรับ กำรเรี ยน ก ำรส อน เพื่ อใ ห้ เกิดควำมเห มำะ สมกับ กำรพัฒ น ำคน ใน สัง คมให ม่ ซึ่งเรียกว่ำกระบวนกำรทัศน์ด้วยหลักสูตร
  • 6. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ6 มำร์ช และวิลลิส (Marsh& Willis.1995: 278) ได้สรุปแนวคิดในกำรพัฒนำหลักสูตร ว่ำ กระ บวน กำรพัฒ น ำห ลักสู ตรและ กำรเป ลี่ยน แปลงห ลักสู ตรแม้มีห ลำยแน วคิด แต่เมื่อสรุปรวมควำมคิดแล้วล้วนอยู่บนพื้นฐำนควำมต่อเนื่องเป็นอนุกรมโดยเริ่มจำกแรงกดดันและผ ลกระทบจำกปั จจัยบริบทและควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโน โลยีสู่กำรปรับปรุงหลักสูตร ก ำร น ำห ลัก สู ต ร ไ ป สู่ส ถ ำบั น เพื่ อ ใ ช้จ ะ ไ ด้รั บ แ รง ก ด ดัน จำ ก ปั จ จัยต่ำง ๆ ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรขึ้นมำอีกในระยะต่อไปต่อเนื่องดังภำพประกอบ 2
  • 8. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ8 ใ น ก ำ ร ว ำ ง แ ผ น พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร เพื่อดำเนิน งำน พัฒนำหลักสูตรมีแรงผลักดันและปัจจัยอิทธิพลห ลำยระดับตั้งแต่ระดับโรงเรียน ร ะ ดั บ ชุ ม ช น ค ร อ บ ค รั ว สั ง ค ม ป ร ะ เ ท ศ ช ำ ติ จ น ถึ ง ร ะ ดั บ น ำ น ำ ช ำ ติ พลังผลักดันของสังคมเป็นตัวเร่งสำคัญในกำรวำงแผนหลักสูตร(Parkay W.and Glen Hass, 2000 :275) องค์ประกอบในกำรดำเนินงำนพัฒนำหลักสูตรประกอบด้วยคณะกรรมกำรดำเนินงำนจัดทำหลักสูตร ศึ ก ษ ำ วิ เ ค ร ำ ะ ห์ ส ภ ำ พ ข อ ง สั ง ค ม ใ น ปั จ จุ บั น พร้อมทั้งวิเครำะห์หลักสูตรเดิมเพื่อนำข้อมูลที่ได้มำพิจำรณำร่วมกับข้อมูลพื้นฐำนต่ำงๆในกำรพัฒนำหลักสูตร ปรับปรุงแก้ไข แล้วกำหนดจุดประสงค์ใหม่ องค์ประกอบในแต่ล่ะส่วนจะมีควำมสัมพันธ์กันและเท่ำเทียมกัน จะขำดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้ ได้แก่ 1.กำรกำหนดควำมมุ่งหมำยจะต้องชัดเจนว่ำต้องให้ผู้เรียนในระดับนั้นๆมีคุณสมบัติอย่ำงไร เมื่อกำหนดควำมมุ่งหมำยแล้วจะได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรกำหนดเนื้อหำวิชำและประสบกำรณ์ในกำรเรียนรู้ต่อไ ป 2. ก ำรวำง แ ผน กำห น ด โค รง ส ร้ำง ข อง ห ลักสู ต ร แ ละ กำรเลื อก เนื้ อ ห ำวิช ำ ใน หลักสู ตรจะ ต้องกำห น ดโครง สร้ำงอะ ไรบ้ำง เช่น จะ ต้อง ใช้เวลำศึกษ ำน ำน เท่ำไร จ ะ ต้ อ ง เ รี ย น ทั้ ง ห ม ด กี่ ห น่ ว ย ก ำ ร เ รี ย น จึ ง จ ะ จ บ ห ลั ก สู ต ร ไ ด้ จะต้องเข้ำเรียนกี่คำบต่อสัปดำห์ต่อภำคเรียนมีกำรวัดและประเมินผลอย่ำงไร ระบบกำรให้คะแนนเป็นอย่ำงไร มี วิ ช ำ ใ ด บ้ ำ ง ที่ จ ะ ต้ อ ง เ รี ย น บั ง คั บ เ ท่ ำ ไ ร แ ล ะ เ ลื อ ก เ ท่ ำ ไ ร และวิชำเหล่ำนั้นประกอบไปด้วยเนื้อหำอะไรมีประสบกำรณ์อะไรบ้ำง 3. ก ำร ท ด ล อ ง ใ ช้ ห ลัก สู ต รห รื อ ก ร ะ บ วน ก ำร เรี ย น ก ำร ส อ น ห รื อ วิธี ก ำ ร และกำรจัดกำรเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อให้กำรเรียนกำรสอนเป็นไปตำมควำมมุ่งหมำยของหลักสูตรอย่ำงมีประสิท ธิ ภ ำ พ จ ำ เ ป็ น ต้ อ ง จั ด ห ำ แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง ก ร ะ บ ว น ก ำร ส อ น ก ำร จัด ชั้ น เ รี ย น กำร ใ ช้ อุป ก รณ์ ก ำร วัด ผ ล แ ล ะ ป ระ เมิน ผ ล แล ะ ก ำรจัด กิจก รร มเส ริ มท ำง วิช ำก ำร ตลอดจนกำรสอนซ่อมเสริมให้กำรนำหลักสูตรไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุด 4. กำรประเมินผลหลักสูตร เป็นกำรประเมินคุณค่ำของหลักสูตรว่ำมีคุณภำพเป็ นอย่ำงไร เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ที่ ใ ช้ พิ จ ำ ร ณ ำ ว่ ำ ค ว ำ ม มุ่ ง ห ม ำ ย เ ป็ น อ ย่ ำ ง ไ ร เ นื้ อ ห ำ วิ ช ำ แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก ำ ร ณ์ ต ร ง กั บ ค ว ำ ม มุ่ ง ห ม ำ ย ห รื อ ไ ม่ กำรเรียนกำรสอนมีปัญหำและอุปสรรคอะไรบ้ำงและกำรประเมินผลอย่ำงไรดังภำพประกอบ 3
  • 9. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ9 ปรับปรุงแ ก้ไข ศึกษำและวิเครำ ะห์สหภำพสังค มและหลักสูตรเ ดิม ประเมิน ผล คณะกรรมกำร กำรดำเนินงำน พัฒนำหลักสูตร กำหนดควำม มุ่งหมำย นำไปทดล องใช้ กำหนดโครงสร้ ำงและเนื้อหำวิช ำ ศึกษำและวิเครำะ ห์สภำพสังคมและ หลักสูตรเดิม แนวคิด(ปรัชญำ)และผลกำรศึกษำค้นคว้ำทำงจิตวิทยำข้อ มูลเกี่ยวกับนักเรียนและกำรประกอบอำชีพข้อมูลควำมก้ ำวหน้ำทำงวิชำกำร วิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี บทบำทของสถำบันกำรศึกษำ และสื่อสำรมวลชนข้อมูลสภำพเศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง ค่ำนิยม และวัฒนธรรม
  • 10. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ10 ภำพประกอบ 3แสดงกระบวนกำรพัฒนำหลักสูตร ที่มำ : สงัด อุทรำนันท์ (2532 :24) 5.รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร รู ป แ บ บ ใ น ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร เ ป็ น สิ่ ง ส ำ คั ญ แ ล ะ จ ำ เ ป็ น เ นื่ อ ง จ ำ ก รู ป แ บ บ ห ลั ก สู ต ร เ ป รี ย บ เ ส มื อ น พิ ม พ์ เ ขี ย ว ( Blue Print) ที่ ใ ช้ เป็ น แ น ว ท ำ ง ก ำ ร พั ฒ น ำ ห ลั ก สู ต ร จ ำ ก ผู้ เ ชี่ ย ว ช ำ ญ ท ำง ด้ ำ น ห ลั ก สู ต ร นักวิชำกำรจึงมีควำมสำคัญเพื่อเป็นพื้นฐำนสำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญมีดังนี้ 5.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดต่างประเทศ 5.1.1 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) ไทเลอร์ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐำนเกี่ยวกับกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนซึ่งก็คือหลักกำรและเหตุ ผ ล ใ น ก ำร พั ฒ น ำห ลัก สู ต ร( Tyler Rationale) ว่ำใ น ก ำร พั ฒ น ำห ลัก สู ต ร แ ล ะ ก ำร ส อ น ต้องตอบคำถำมพื้นฐำนที่สำคัญ 4 ประกำร คือ (Tyler, 1949: 3) 1.จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ท ำ ง ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ( Educational Purposes)อะไรบ้ำงที่โรงเรียนต้องกำรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 2.ประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำ (EducationalExperiences)อะไรบ้ำงที่โรงเรียนจะต้องจัดให้ เพื่อช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมำย 3.จะจัดประสบกำรณ์ทำงกำรศึกษำอย่ำงไรจึงจะทำให้สอนมีประสิทธิภำพ 4. ประเมินประสิทธิภำพของกำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนอย่ำงไรจึงจะทรำบได้ว่ำผู้เรียนได้บรรลุเป้ำหมำยทำงกำ รศึกษำ ไทเลอร์ได้วำงรูปแบบโครงสร้ำงของหลักสูตรโดยใช้วิธีกำรและเป้ำหมำยปลำยทำง(Means and ends approsch) ดังนี้ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 10-11)
  • 11. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ11 ใน กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยนั้น ในขั้น แรกต้องกำหน ดเป็ นจุดมุ่งหมำยชั่วครำวก่อน โ ด ย ต้ อ ง น ำ บ ริ บ ท ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง เ ช่ น บ ริ บ ท ท ำ ง ด้ ำ น สั ง ค ม ด้วยกำรนำสิ่งที่สังคมคำดหวังว่ำต้องกำรให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่ำงไร และมีกำรศึกษำตัวผู้เรียน เช่น ค ว ำ ม ต้ อ ง ก ำ ร ค ว ำ ม ส น ใ จ ฐ ำ น ะ ท ำ ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ข อ ง ค ร อ บ ค รั ว เ ป็ น ต้ น น อ ก จ ำก นั้ น ยั ง ต้ อ ง ศึ ก ษ ำ แ น ว คิ ด ข อ ง นั ก วิช ำก ำ ร ( วิชั ย ว ง ษ์ ใ ห ญ่ , 2537 : 12) ควำมเชื่อค่ำนิยมของสังคมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องวิเครำะห์ให้ชัดเจน เพรำะกำรศึกษำสังคมค่ำนิยมขนบประเพณี วัฒนธรรมจะให้คำตอบว่ำสังคมต้องกำรจัดกำรศึกษำเพื่ออะไร แล ะจะจัดกำรศึกษำสำหรับใคร สิ่งเหล่ำนี้ช่วยให้แสวงหำคำตอบที่ชัดเจนในกำรกำหนดเป้ำหมำยหรือทิศทำงของกำรศึกษำ (ดังภำพประกอบ 4) แหล่งข้อมูลเพื่อ นำมำกำหนด จุดมุ่งหมำยชั่วครำว กำรศึกษำสังคม กำรศึกษำผู้เรียน กำรศึกษำแนวคิดขอ งนักวิชำกำร ปรัชญำสังคม กำหนด จุดมุ่งหมำยชั่วครำว ทฤษฎีกำรเรียนรู้ ปรัชญำกำรศึกษำ ปรัชญำสังคม จุดมุ่งหมำย ข้อมูลในกำรกำหนด เกณฑ์ที่ตรวจสอบพิ จำรณำกลั่นกรองเป็ นจุดมุ่งหมำยจริง องค์ประกอบ ของหลักสูตร
  • 12. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ12 ภำพประกอบ 4รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรของไทเลอร์ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 11) กำรพัฒนำหลักสูตรและกำรเสนอของไทเลอร์ มีลักษณะสำคัญคือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537: 12-14) 1. จุดมุ่งหมำยเป็ น ตัวกำหนดควบคุมกำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนดังนั้ น ก ำ ร ก ำ ห น ด จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย จึ ง มี 2 ขั้ น ต อ น คื อ ตอนแรกเป็นกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยชั่วครำวแล้วจึงหำวิธีกำรและเกณฑ์จำกทฤษฎีกำรเรียนรู้ปรัชญำกำรศึกษำแ ล ะ ป รั ช ญ ำ สั ง ค ม ม ำ ก ลั่ น ก ร อ ง จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ชั่ ว ค ร ำ ว เพื่อให้ได้มำเป็นจุดมุ่งหมำยที่แท้จริงของหลักสูตรพื้นฐำนทำงจิตวิทยำและปรัชญำในกำรพัฒนำหลักสูตรจะเข้ำ มำมีบทบำทและช่วยในกำรตรวจสอบเพื่อหำควำมชัดเจนของกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยขั้นนี้เพื่อตอบคำถำมและห ำควำมชัดเจนว่ำกำรจัดหลักสูตรเพื่อตอบสนองใคร ตอบสนองผู้เรียนหรือสังคม 2 . กำรเลือกและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนที่คำดหวังว่ำจะให้ผู้เรียนมีประสบกำรณ์กำรจัดกิจกรรมในกำรเรียนกำร ส อ น แ ล ะ ส่ ว น เ ส ริ ม ห ลั ก สู ต ร นั้ น มี อ ะ ไ ร ทั้ง นี้ เพื่ อให้ กระบวน กำรเรียน กำรสอน ดำเนิ น ไปเพื่ อตอบสน อง จุดมุ่งห มำยที่กำห น ดไว้ ไทเลอร์ได้เสนอเกณฑ์ในกำรพิจำรณำเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ไว้ดังนี้ 2.1 ผู้เรียนควรมีโอกำสฝึกพฤติกรรมและกำรเรียนรู้เนื้อหำตำมที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมำย 2 . 2 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นทำให้ผู้เรียนพอใจปฏิบัติกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดีย วก็ได้ 2.3 กิจกรรมและประสบกำรณ์นั้นอยู่ในข่ำยควำมพอใจที่พึงปฏิบัติได้ กำรเลือกและกำรจัดประสบกำรณ์กำ รเรียน กำรประเมินผล
  • 13. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ13 2 . 4 กิจกรรมและประสบกำรณ์หลำยๆด้ำนของกำรเรียนรู้อำจนำไปสู่จุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้เพียงข้อเดียวก็ได้ 2.5 กิจกรรมและประสบกำรณ์เรียนรู้เพียงหนึ่งอย่ำงอำจตรวจสอบจุดมุ่งหมำยหลำยๆข้อได้ 3. กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ว่ำต้องคำนึ งถึงควำมสัมพันธ์ในด้ำน เวลำต่อเวลำ และเนื้ อห ำต่อเนื้ อห ำ เรียกว่ำควำมสัมพัน ธ์ แบบแน วตั้ง (Vertical)กับแน วน อน (Horizontal) ซึ่งมีเกณฑ์ในกำรจัดดังนี้ 3 . 1 ค ว ำ ม ต่ อ เ นื่ อ ง ( Continuity) หมำยถึงควำมสัมพันธ์ในแนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งที่ สูงขึ้นไป เช่นในวิชำทักษะ ต้องเปิดโอกำสให้มีกำรฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบกำรณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน 3 . 2 ก ำ ร จั ด ช่ ว ง ล ำ ดั บ ( Sequence) หมำยถึงควำมสัมพันธ์แนวตั้งของส่วนองค์ประกอบหลักของตัวหลักสูตรจำกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้นภ ำ ย ห ลั ง ห รื อ จ ำ ก สิ่ ง ที่ มี ค ว ำ ม ง่ ำ ย ไ ป สู่ ที่ มี ค ว ำ ม ย ำ ก ดั ง นั้ น กำรจัดกิจกรรมและประสบกำรณ์ให้มีกำรเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหำที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 3 . 3 บู ร ณ ำ ก ำ ร ( Integration) ห มำยถึ ง ค วำมสั มพั น ธ์ กัน ใ น แ น วน อ น ข อ ง อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ห ลัก ข อ ง ตัว ห ลัก สู ต ร จ ำ ก หั ว ข้ อ เ นื้ อ ห ำ ห นึ่ ง ไ ป ยั ง อี ก หั ว ข้ อ ห นึ่ ง ข อ ง ร ำ ย วิ ช ำ ห รื อ จ ำ ก ร ำ ย วิ ช ำ ห นึ่ ง ไ ป ยั ง ร ำ ย วิ ช ำ อื่ น ๆ ที่ มี ค ว ำ ม เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั น กำรจัดประสบกำรณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนควำมคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอด คล้องกัน เนื้อหำที่เรียนเป็นกำรเพิ่มควำมสำมำรถทั้งหมดของผู้เรียนที่ได้ประสบกำรณ์ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆกัน ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่ำงผู้เรียนกับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อม 4 . กำรประเมินผลเพื่อตรวจสอบดูว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนได้บรรลุตำมจุดมุ่งหมำยตำมที่กำหนดไว้หรือไม่ สมควรมีกำรปรับแก้ในส่วนใดบ้ำง พิจำรณำจำกสิ่งต่อไปนี้ 4.1 กำหนดจุดมุ่งหมำยที่จะวัดและพฤติกรรมที่คำดหวัง 4.2 วัดและวิเครำะห์สถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่ำนั้น 4.3 ศึกษำสำรวจข้อมูลเพื่อสร้ำงเครื่องมือวัดพฤติกรรมเหล่ำนั้นได้อย่ำงเหมำะสม 4.4 ตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ โดยใช้เกณฑ์ในกำรพิจำรณำดังนี้ 1. ควำมเป็นปรนัย (Objectivity)
  • 14. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ14 2. ควำมเชื่อมั่นได้ (Reliability) 3. ควำมเที่ยงตรง (Validity) 4. ควำมถูกต้อง (Accuracy) 4 . 5 กำรพิจำรณำผลประเมินให้เป็ นประโยชน์ เพื่ออธิบำยผลกำรเรียนรู้เป็ นรำยบุคคลหรือเป็ น กลุ่ม กำรอธิบำยถึงส่วนดีของหลักสูตรหรือสิ่งที่ต้องปรับแก้เพื่อเป็นแนวทำงในกำรปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณภำพยิ่ง ขึ้น 5.1.2 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวความคิดของทาบา(Taba) แนวคิดของทำบำในกำรพัฒนำหลักสู ตรใช้วีแบบรำกหญ้ำ ( Grass-roots approach) มีควำมเชื่อว่ำหลักสูตรควรได้รับกำรออกแบบโดยครูผู้สอนมำกกว่ำพัฒนำจำกองค์กรที่อยู่ในระดับสูงขึ้น ประกอบด้วยขั้นตอนต่ำงๆ ดังนี้ (Taba, 1962 :456-459) 1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosisof needs) ใช้วิธีสำรวจสภำพปัญหำ ควำมต้องกำร และควำมจำเป็นของผู้เรียนและของสังคม 2 . ก ำ ห น ด จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ( Formulation of objectives)ด้วยข้อมูลที่ได้จำกำรวิเครำะห์ควำมต้องกำร 3 . คั ด เ ลื อ ก เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ( Selection of content)เมื่อกำห น ดจุดมุ่งห มำยแล้วก็ต้อง เลื อกเนื้ อหำส ำระ ซึ่ ง สอดคล้องกับจุดมุ่ง หมำย และต้องคำนึงถึงพัฒนำกำรของผู้เรียนด้วย 4 . ก ำ ร จั ด ร ว บ ร ว ม เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ( Organization of content) เ นื้ อ ห ำ ส ำ ร ะ ที่ ร ว บ ร ว ม ต้ อ ง ค ำ นึ ง ถึ ง ค ว ำ ม ย ำ ก ง่ ำ ย แ ล ะ ค ว ำ ม ต่ อ เ นื่ อ ง รวมทั้งจัดให้เหมำะสมกับพัฒนำกำรและควำมสนใจของผู้เรียน 5 . คั ด เ ลื อ ก ป ร ะ ส บ ก ำ ร ณ์ ก ำ ร เรี ย น รู้ ( Selection of learning experiences) กำรคัดเลือกประสบกำรณ์เรียนรู้ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมำยและเนื้อหำวิชำ 6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์ กำรเรียน รู้ ( Organization of leaning experiences) กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ควรคำนึงถึงควำมต่อเนื่องของเนื้อหำสำระ 7. กำหน ดวิธีวัดและประเมินผล (Determinationof what to evaluateand the ways and means of doing it) มีกำรประเมินเพื่อตรวจสอบว่ำประสบกำรณ์กำรเรียนที่จัดให้บรรลุจุดมุ่งหมำยที่กำหนดไว้หรือไม่ และกำหนดวิธีกำรประเมินรวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในกำรประเมินด้วยดังภำพประกอบ 5
  • 15. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ15 ภำพประกอบ5 รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของทำบำ (Taba, 1962 :456-459) จำกกำรพัฒ น ำห ลักสู ตรแน วคิดของ ทำบ ำจะ เริ่ มที่จุดใดจุดห นึ่ งก่อน ก็ได้ แ ต่เ มื่อ เริ่ ม ที่ จุ ด ใ ด แ ล้ว จ ะ ต้ อ ง ท ำ ก ำ ร ศึ ก ษ ำใ ห้ ค ร บ ก ร ะ บ ว น ก ำร ทั้ ง 7 ขั้ น ต อ น จุ ด เ ด่ น ใ น แ น ว คิ ด ข อ ง ท ำ บ ำ คื อ เ รื่ อ ง ยุ ท ธ วิ ธี ก ำ ร ส อ น ( Teaching Strategies) และประสบกำรณ์กำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรที่ต้องคำนึงถึง มีอยู่ 2ประกำร คือ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:15-16) 1.ยุทธวิธีกำรสอนและประสบกำรณ์เรียนรู้ เป็นเครื่องกำหนดสถำนกำรณ์เงื่อนไขกำรเรียนรู้ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกำรเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นผลผลิต ดังนั้น กำรจัดรูปแบบของกำรเรียนกำรสอนต้องแสดงลำดับขั้นตอนของกำรเรียนรู้ด้วย 1. วิเครำะห์ควำมต้องกำร (Diagnosis of needs) 2. กำหนดจุดมุ่งหมำย (Formulation of objectives) 3. คัดเลือกเนื้อหำสำระ (Selection of content) 4. กำรจัดรวบรวมเนื้อหำสำระ - ควำมคิดรวบยอด (Key concepts) (Organization of content) - ควำมคิดหลัก (Main ideas) - ข้อเท็จจริง (Facts) 5. กำรคัดเลือกประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Selection of leaning experiences) 6. กำรจัดรวบรวมประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ (Organization of leaning experiences)(กลวิธีกำรสอนเพื่อพัฒนำพุทธิพิสัย และเจตพิสัย) 7. กำหนดวิธีวัดและประเมินผล (Determination of what toevaluate)
  • 16. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ16 2 . ยุทธวิธีกำรสอนเป็นสิ่งที่หลอมรวมหลำยสิ่งหลำยอย่ำงเข้ำมำไว้ด้วยกันกำรพิจำรณำตัดสินใจเกี่ยวกับยุทธวิธีกำ รสอนควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ 2.1 กำรจัดเนื้อหำ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ำรำยวิชำนั้นๆมุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบใด ก ว้ำ ง ห รื อ ลึ ก ม ำ ก น้ อ ย เ พี ย ง ใ ด แ ล ะ ไ ด้ เ รี ย ง ล ำ ดั บ เนื้ อ ห ำ วิ ช ำ ไ ว้อ ย่ำ ง ไ ร ก ำ ร ก ำ ห น ด โ ค ร ง ส ร้ ำง ไ ด้ ก ร ะ ท ำ ชั ด เ จ น ส อ ด ค ล้ อ ง กับ โ ค ร ง ก ำร ใ น ร ะ ดับ ใ ด เพรำะแต่ละระดับมีจุดประสงค์เนื้อหำสำระที่มีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 2.2 หน่วยกำรเรียน สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่บ่งชี้ถึงกำรวัดและประเมินได้ชัดเจน มีรำยละเอียดและมีควำมยืดหยุ่นเพื่อเปิดโอกำสให้ครูและนักเรียนมีส่วนร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียนและทำกิจ ก ร ร ม ต ำ ม ค ว ำ ม ต้ อ ง ก ำ ร แ ล ะ ค ว ำ ม ส น ใ จ กำรตรวจสอบควำมรู้พื้นฐำนของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนได้เป็นลำดับขั้ น ต อ น เ พื่ อ น ำ ไ ป สู่ ข้ อ ค้ น พ บ ข้อส รุป ที่เป็ น ห ลักกำรที่ มุ่งเน้ น ควำมคำดห วังเกี่ยวกับกำรเรียน รู้ที่ จะ เกิดขึ้ น กับ ผู้เรี ยน และกำรกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ด้วยตนเองดังภำพประกอบ 6 กาหนดโดยการวิเคราะห์ กาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนดจุดประสงค์ วิเคราะห์และการจาแนก แต่ละระดับ 1.วัฒนธรรมและควำมต้องกำรของ 1. ชนิดของพฤติกรรม 1. จุดมุ่งหมำยทั่วไปของกำรศึกษำ สังคมและผู้เรียน 2. เนื้อหำวิชำ 2. จุดมุ่งหมำยระดับโรงเรียน 2.กระบวนกำรเรียนรู้และหลักกำร3. ควำมต้องกำรด้ำนต่ำงๆ 3. จุดมุ่งหมำยระดับชั้นเรียน เรียนรู้ของผู้เรียน 3.ธรรมชำติควำมรู้ในศำสตร์ต่ำงๆ และวิธีกำรแสวงหำควำมรู้ 4.อุดมกำรณ์ของประชำธิปไตย
  • 17. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ17 ภำพ 7.5รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17) ภำพประกอบ 6รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรและกำรสอนของทำบำ (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537:17) กาหนดความรู้ การเลือกเนื้อหาและ สถาบันองค์กรที่เกี่ยวข้อง ประสบการณ์การเรียนและ ลักษณะการจัด 1.ลักษณะ, ธรรมชำติของควำมรู้ เนื้อหำสำระ 1.โรงเรียน, กำรบริหำร ของศำสตร์ต่ำงๆ กิจกรรมและ ใช้ทรัพยำกร 2.ควำมรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้เรียน ประสบกำรณ์ 2.องค์กรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 3.กำรเรียน กับกำรศึกษำบทบำทและ 4.พัฒนำผู้เรียน หน้ำที่ของแต่ละหน่วยงำน สิ่งที่ต้องคานึง การจัดหลักสูตรรูปแบบ ผู้รับผิดชอบของบุคคล/ ของหลักสูตร หน่วยงาน 1.ควำมต่อเนื่องของควำมรู้ รำยงำน หมวดวิชำ มุ่งเน้นด้ำน 1.โรงเรียน 2.บูรณำกำรทำงควำมรู้ ชีวิตและสังคม กิจกรรมและ 2.คณะครูและเจ้ำหน้ำที่ ประสบกำรณ์ กิจกรรมของผู้เรียน 3.วิธีกำรที่จะใช้บุคลำกร จุดรวม แนวคิดต่ำงๆ ให้เกิดประโยชน์จำก กำรเรียนรู้ การกาหนดโดย ขอบข่ายของการเรียง ผู้ดาเนินการต้องคานึงถึง ลาดับหลักสูตร ลักษณะการจัด 1.ขอบข่ำยของกระบวนกำร 1.กำรเรียนรู้ลำดับขั้นตอน รูปแบบของกำรจัดหลักสูตร เรียนรู้ กำรเรียนรู้ ประเภทต่ำงๆ 2.ขอบเขตควำมต่อเนื่องของ 2.ขอบข่ำยและขั้นตอนของกำรจัด หลักสำคัญในกำรกำรจัดหลักสูตร กระบวนกำรเรียนรู้ กระบวนกำรเรียนรู้
  • 18. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ18 5.1.3รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส(J. Galen Saylor, William M. Alexander and Arthur J. Lewis) แ น ว คิ ด ข อ ง เ ซ ย์ เ ล อ ร์ อ เ ล็ ก ซ ำ น เ ด อ ร์ แ ล ะ เล วิ ส ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย กระบวนกำรพัฒนำหลักสูตรที่สำคัญ4 ขั้นตอน คือ (Saylor andAlexander,1974: 265; Saylor,Alexander and Lewis, 1981: 181) 1. เป้ำห มำย วัตถุประ สง ค์ และ ค วำมครอบ คลุม ( Goals, Objective and domains) ห ลั ก สู ต ร ต้ อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ป้ ำ ห ม ำ ย วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ และในแต่ละเป้ำหมำยควรบ่งบอกถึงควำมครอบคลุมของหลักสูตร (Curriculum Domain) วัตถุประสงค์ พัฒนำกำรส่วน บุคคล มนุ ษยสัมพันธ์ ทักษะกำรเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และควำมชำนำญเฉพ ำะด้ ำน ซึ่งกำหนดจำกควำมเป็นโลกำภิวัฒน์ ควำมต้องกำรของสังคมที่อยู่อำศัยกฎหมำย ข้อบังคับ เป็นต้น 2 . ก ำ ร อ อ ก แ บ ห ลั ก สู ต ร ( CurriculumDesign) คือกำรวำงแผนเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับกำรเลือกและจัดเนื้อหำสำระและจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ เป้ำหมำย วัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึงปรัชญำ ควำมต้องกำรของสังคมและผู้เรียนมำพิจำรณำด้วย 3 . ก ำ ร น ำ ห ลั ก สู ต ร ไ ป ใ ช้ ( Curriculum implementation) ครูต้องเป็ น ผู้วำงแผน และวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ในรูปแบบต่ำงๆ ( InstructionalPlans) รว ม ทั้ ง ก ำร จัด ท ำสื่ อ ก ำรเรี ย น ก ำรส อ น เช่น ต ำร ำ แ บ บ เรี ย น วัส ดุ อุ ป ก รณ์ ต่ำง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ครูตั้งเป้ำหมำยไว้ 4 . ก ำ ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ห ลั ก สู ต ร ( CurriculumEvaluation) ครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันตัดสิน ใจเพื่อเลือกวิธีกำรประเมินผลที่สำมำรถประเมินได้ว่ำ หลักสูตรที่พัฒนำขึ้นได้ผลตำมควำมมุ่งหมำยกำรประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลสำคัญที่บอกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ว่ำควรจะปรับปรุงหลักสูตรในจุดใด เพื่อประกอบกำรตัดสินใจในกำรวำงแผนกำรใช้หลักสูตรในอนำคต รูปแบบกำรพัฒนำหลักสูตรตำมแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซำนเดอร์ แล ะ เลวิส แสดงดังภำพประกอบ 7
  • 19. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ19 (1)ให้ข้อมูลย้อนกลับและปรับปรุง (2)(3)(4) ภาพประกอบ7 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของเซย์เลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส (Saylor and Alexander, 1974 : 275; Saylor. Alexander and Lawis.1981 : 181) 5.1.4 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของโอลิวา (Oliva) (Oliva.1982 : 172) 1 . จุ ด มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า ( Aims of Education) และหลักการปรัชญาและจิตวิทยาจากการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของสังคมและผู้เรียน 2. วิเคราะห์ความต้องการจาเป็นของชุมชนที่สถานศึกษานั้นๆ ตั้งอยู่ ความต้องการจาเป็นของผู้เรียนในชุมชน และเนื้อหาวิชาที่จาเป็นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน 3. เป้าหมายของหลักสูตร (Curriculum Goals) โดยอาศัยข้อมูลจากขั้น 1 และ 2 4. จุดประสงค์ของหลัก สูตร (Curriculum Objectives) โด ยอาศัยข้อมูลจากขั้นที่1,2และ3 แตกต่างจากขั้นที่3 คือมีลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อนาไปสู่การประยุกต์ใช้หลักสูตร และการกาหนดโครงสร้างหลักสูตร 5 . ร ว บ ร ว ม แ ล ะ น า ไ ป ใ ช้ ( Organization and Implementation of the Curriculum)เป็นขั้นของการกาหนดโครงสร้างหลักสูตร 6. กาหนดเป้าหมายของการสอน(Instructional Goals) ของแต่ละระดับ 7. กาหนดจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน(Instructional Objective) ในแต่ละวิชา 8. เลือกยุทธวิธีในการสอน(Selection of Strategies) เป็นขั้นที่ผู้เรียนเลือกยุทธวิธีที่เหมาะสมกับผู้เรียน 9. เลือกเทคนิควิธีการประเมินผลก่อนที่นาไปสอนจริงคือ9A (Preliminary selective of evaluation techniques) และกาหนดวิธีประเมินผลหลังจากกิจกรรมการเรียนการสอนสิ้นสุดคือ 9B (Find selection of evaluation techniques) 10. นายุทธวิธีไปใช้ปฏิบัติจริง(Implementation of Strategies)เป็นขั้นของการใช้วิธีการที่กาหนดในขั้นที่8 1 1 . ป ร ะ เ มิ น ผ ล จ า ก ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ( Evaluation of Instruction) เ ป็ น ขั้ น ที่ เ มื่ อ ก า ร ด า เ นิ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น เ ส ร็ จ สิ้ น ก็มีการประเมินผลตามที่ได้เลือกหรือกาหนดวิธีการประเมินขั้นที่9 เป้าหมายจุดประสงค์และ ความครอบคลุม กำรออกแบบหลักสู ตร กำรนำหลักสูตรไปใช้ กำรประเมินผลหลักสู ตร - ออกแบบโดยนักพัฒนำห ลักสูตร - เลือกเนื้อหำสำระและประ สบกำรณ์กำรเรียนรู้ที่เหม ำะสมกับผู้เรียน - ครูเป็นผู้วำงแผนจัดทำแผน กำรสอน -จัดทำสื่อกำรเรียนกำรสอน - ครูเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเลือกวิธีป ระเมินที่มีประสิทธิภำพ - นำข้อมูลที่ใช้จำกกำรประเมินมำป รับปรุงแก้ไขหลักสูตร
  • 20. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ20 12. ประเมินหลักสูต ร(Evaluation ofcurriculum)เป็นขั้นต อนสุด ท้ายที่ทาให้วงจรค รบถ้วน การประเมินผลที่มิใช่ประเมินผู้เรียนและผู้สอน แต่เป็นการประเมินหลักสูตรที่จัดทาขึ้น 5.1.5 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของมัลคอล์ม สกิลเบ็ก ส กิ ล เ บ็ ก ( Sklibeck,1984 : 230-239; สิ ท ธิ ชั ย เท ว ธี ร ะรั ต น์ , 2543 : 43)ได้ เส น อ แน ว คิ ด เกี่ ย ว กั บ รู ป แ บ บ ข อ ง ห ลัก สู ต ร ใน ลัก ษ ณ ะที่เป็ น พ ล วัต จุ ด เด่ น คื อ ก ารวิเค ราะห์สถานก ารณ์ ซึ่งเป็นยุทธศาสต ร์ที่สาคัญ ในก ารพัฒ นา หลัก สู ต ร ทั้งนี้ สกิลเบ็ก เชื่อว่า ส ถ า น ก า ร ณ์ เป็ น อ ง ค์ ป ร ะก อ บ ส า คั ญ ใน ก า ร ก า ห น ด ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ห ลัก สู ต ร เ พ ร า ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ค า ด เ ห ตุ ก า ร ณ์ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น ภ า ย ห น้ า ไ ด้ การกาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ไว้ก่อนมีการสารวจสถานการณ์จริงจึงขาด ความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การพัฒนาหลักสูตรโดยโรงเรียนเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรเอง(School-based curriculum development หรือ SBCD) เป็นวิธีที่สามา รถนา ไปปฏิบัติให้สอด ค ล้องกับค วามเป็นจ ริงได้ ก า รวิเค รา ะห์องค์ ประก อบต่ า งๆ ที่เป็นปรากฏการณ์ของสังคมแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ทาให้ไม่สามารถเจาะจงใช้รูปแบบหลักสูตรที่เป็นแบบเดียวกันได้ ดังนั้น รูปแบบหลักสูตรจึงเป็นพลวัต แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของสกิลเบ็ก ประกอบด้วย5ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้ น ต อ น ที่ 1 ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ ส ถ า น ก า ร ณ์ (Analyze the situation) วิ เ ค ร า ะ ห์ ปั จ จั ย ที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง เ กี่ ย ว กั บ ห ลั ก สู ต ร ซึ่งส่งผ ลถึงโรงเรียนให้มีก ารพัฒ นาหลัก สูต รให้นาไปปฏิบัติได้จ ริงและบังเกิด ผ ลให้นัก เรียนได้เรียนรู้ ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วย ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ก. ปั จจัยภายนอก ได้แก่ 1.การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ความคาดหวังของผู้ปกครองความต้องการของนายจ้าง ความต้องการของสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก และอุดมคติของสังคม 2. การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย นโยบายการศึกษา ระบบการสอน อานาจในการตัดสินใจของท้องถิ่น ผู้จบการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม เป็นต้น 3. การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาวิชา การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัย 4. การเพิ่มศักยภาพของครูอาจารย์ ในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย 5. การนาทรัพยากรใช้ในโรงเรียน เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ข. ปั จจัยภายใน ได้แก่ 1. เจตคติ ความสามารถและความต้องการทางการศึกษาของนักเรียน 2. ค่านิยม เจตคติ ทักษะ ประสบการณ์ของครู ที่เป็นจุดเด่นและจุดด้อยของการจัดการเรียนการสอน 3. ความคาดหวังของโรงเรียน โครงสร้างการบริหารงาน การกระจายอานาจการบริหารการศึกษา วิธีจั ด ป ร ะส บ ก า รณ์ ให้ นัก เรีย น แร ง จู งใจ ใฝ่ สั ม ฤ ท ธิ์ ขอ งนัก เรีย น บ ร ร ทัด ฐ า น ท า งสัง ค ม การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ 4. วัสดุอุปกรณ์ ทรัพยากร งบประมาณ แผนงาน และศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน 5. การยอมรับและการรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการนาหลักสูตรมาใช้ ขั้นตอนที่ 2 การกาหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives) การวิเคราะห์สถานการณ์ในขั้นตอนที่ 1 เพื่อนาไปก าหนด วัตถุประสงค์ซึ่งก ารก าหนด วัต ถุประสงค์แปลงเปลี่ยนไปต ามปัจจัยภายนอกและภายใน สะท้ อ น ค ว า ม เป็ น จ ริง ขอ งส ถ า น ก า รณ์ ที่เป็ น อ ยู่ ส อ ด ค ล้อ งกั บ ค่ า นิย ม ทิศ ท า ง ที่ก า ห น ด ร ว ม ทั้ ง ผ ล ลั พ ธ์ ที่ ค า ด ห วั ง จ า ก ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า การกาหนดวัตถุประสงค์ควรเขียนในลักษณะการเรียนรู้ที่คาดหวังจากนักเรียนและกระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูที่ให้บรรลุ
  • 21. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ21 วัต ถุประสงค์ ซึ่งก า รก าหนด วัต ถุประสงค์ ประก อบด้วยวัต ถุประสงค์ทั่วไปกับวัต ถุประสงค์ เฉพ า ะ ในการกาหนดวัตถุประสงค์ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องเช่น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ชุมชน และนักวิชาการ เป็นต้น ขั้นตอนที่ 3 การออกแบบการจัดการเรียนการสอน (Design the teaching learning programme) เป็นก ารออกแบบก ารเรียนการสอนต้องให้สอด คล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษ า โ ร ง เ รี ย น ต้ อ ง ต อ บ ค า ถ า ม พื้ น ฐ า น เ ช่ น จ ะ ส อ น อ ะ ไ ร และนักเรียนจะเรียนรู้อะไรซึ่งต้องศึก ษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรายวิชาที่นามาจัด การเรียนการสอน การกาหนดแบบแผนการสอนและการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 3.1 ข้อ มูลพื้น ฐานห รือทิศทา งขอ งหลัก สู ต รที่ก าห นด ไว้ในหลัก สู ต รแก นก ลา ง เป็นวิชาบังคับหรือวิชาเลือกตามความสนใจ 3.2การจัดกลุ่มและการบูรณาการของสาระวิชาต่างๆ 3.3ก า ร จั ด ก ลุ่ ม นั ก เรี ย น ซึ่ ง อ า จ จั ด ต า ม ค ว า ม ส น ใจ ข อ ง นัก เ รีย น จัดให้เด็กเรียนเก่งเรียนด้วยกันและไม่เก่งเรียนด้วยกัน หรือจัดให้เด็กที่มีความสนใจต่างกันเรียนด้วยกัน 3.4ความสัมพันธ์ของวิชาต่างๆ กับเป้าหมายของหลักสูตร 3.5การเรียงลาดับของเนื้อหาการสอน 3.6สถานที่ ทรัพยากร อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ า 3.7ออกแบบวิธีการจัดการเรียนการสอน 3.8แต่งตั้งคณะทางาน 3.9จัดทาตารางและกิจกรรมในการปฏิบัติงาน ขั้ น ต อน ที่ 4 ก า ร น าห ลั ก สูต ร ไป ใช้ (Interpret and implement the programme) การวางแผนและการออกแบบหลักสูตรก็เพื่อให้หลักสูตรนั้นนาไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งดู จ าก ผ ลก ารประเมินผ ลลัพ ธ์สุ ด ท้ ายว่าก า รเรียนก ารสอนเป็นไปต า มค วา มต้ องก า รหรือไม่ มีแผนงานใดที่มีความพร้อมมากที่สุด และรับรองคุณภาพได้ดังนั้น ครูต้องมีจิตสานึกในความเป็นมืออาชีพที่ต้องติดตามควบคุม ดู แล และประเมินผ ลอย่างสม่าเสมอ เพื่อพิจา รณ า ว่าสิ่งที่ออกแบบและด า เนินก ารอยู่มีประโยชน์คุ้มค่ า ก า รพัฒ นา ห ลัก สู ต รโรงเรียน จ า ก บุค ค ล ใด บุ ค ค ลห นึ่ง เช่ น ผู้ บริห า รโรงเรีย น หัวห น้า ภ า ค อา จ ไม่ประสบ ค วา ม สา เร็จ เนื่อ งจ า ก ปัญ หา ก า รขา ด ก า รเอ า ใจ ใส่จ า ก ค รู ผู้ ที่มีส่วน เกี่ย วข้อ ง ดั ง นั้ น ก า ร บ ริ ห า ร ห ลั ก สู ต ร ที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ย อ ม รั บ แ ล ะ น า ไ ป ใ ช้ ไ ด้ จ ริ ง ๆ ต้องด าเนินก ารโด ยผู้ที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งก็คือครูนั่นเองครูเป็นผู้ที่ใกล้ชิดและทราบข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจ ความต้องการของนักเรียนเป็นอย่างดีดังนั้น การปฏิบัติเพื่อพัฒนาหลักสูตรต้องเหมาะสมและต้องสอดคล้องกับศักยภาพของครู การนาไปใช้ขึ้นอยู่กับครู ครูต้องเป็นบุคลากรหลักในการออกแบบและการนาไปใช้ นั่นคือ ครูต้องเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรดัวยตนเอง ดีกว่ารูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่บุคคลอื่นเป็นผู้จัดทาให้ ขั้นตอนที่ 5 การประเมินการเรียนรู้และการประเมินผลหลักสูตร (Assess and evaluate) การประเมินการเรียนรู้(Assessment)เป็นการตัดสินคุณค่าในศักยภาพการเรียนรู้และการปฏิบัติของผู้เรียนรู้ ส่วนการประเมินผล (Evaluation) หมายถึงการรวบรวมหลักฐานเพื่อนามาตัดสินคุณค่าเกี่ยวกับหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร น า ไป ใช้ ร ว ม ทั้ ง ผ ล ก า ร ป ฏิ บัติ ห รือ ผ ล ก า ร เรี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เรีย น ซึ่งการประเมินการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นการกาหนดเกณฑ์ที่ผู้เรียนต้องบรรลุ เช่น การกาหนดชิ้นงาน การสังเกต การบันทึกการทางาน การสอน การรายงานผล การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องมีแนวทางที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุม รวมทั้งเป็นก ระบวนการที่ต่อเนื่องทุกค รั้ง ดังนั้น ก ารประเมินจึงไม่ใช่กิจก รรมที่ก ระทารวบยอดค รั้งเดียว แต่เป็นการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งผู้ออกแบบหลักสูตรด้วยการกระทาเช่นนี้เป็นวงจรต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เพื่อนาไปสู่การปรับปรุงผู้เรียนและหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของสกิลเบ็กแสดงดังภาพประกอบ 8 ดังนี้
  • 22. กำรพัฒนำหลักสูตรหน้ำ22 ภาพประกอบ 8 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของสกิลเบ็ก ( Skilbeck , 1984 : 230-239 ) 5.1.6 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ (Decker Walker) เดคเกอร์ วอล์คเกอร์ (Decker Walker) ปฏิเสธแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรด้วยการกาหนดสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลัก สู ต รด้ วยก ารอธิบา ยเชิงเหตุ ผ ลโด ยปราศ จ าก ก า รค้ นค ว้า หา ข้อเท็จ จ ริงมาก่ อน วิธีการของวอล์คเกอร์เป็นวิธีการศึกษาแบบประจักษ์นิยม (Epiricalism) หรือเป็นวิธีการศึกษาแบบธรรมชาติ (Naturalistic model) ซึ่ ง เป็ น วิธี ก า ร ที่ เป็ น ก า ร แ ส ว ง ห า ข้ อ เท็ จ จ ริง จ า ก ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ท า ง สั ง ค ม และผ่ า นก ระบ วนก า รพิจ า รณ า ไต ร่ต รองอ ย่า งเห มา ะสมก่ อ นก า รตัด สินใจ อ อก แบ บหลัก สู ต ร ส่วนผลการพิจารณาจะออกมาเช่นไรก็ยอมรับตามสภาพการณ์ซึ่งเป็นวิธีคล้ายกับเติบโตของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ (Marsh , 1986 , curricula ; An Analytical Introduction : 53-57) รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของวอล์คเกอร์ แบ่งเป็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ (Walker , 1971 , curriculum Theory Network : 58-59) ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งได้มาจากการศึกษาเชิงประจักษ์ที่ได้จากมุมมองต่างๆ ความเชื่อ ค่านิยม ทฤษฎี แนวคิด เป้าหมาย เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณ าสร้างหลักสูตรต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ มีความจาเป็นที่ต้องวิเคราะห์ปัญหาต่างๆไว้ล่วงหน้าซึ่งเป็นประโยชน์ในการดาเนินการขั้นต่อไป ขั้ น ต อ น ที่ 2 ก า ร พิ จ า ร ณ า ไ ต ร่ ต ร อ ง ( Deliberates) ซึ่งเป็นการนาข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่ได้จากการวิเคราะห์ปัญ หาต่างเข้ามาสู่กระบวนการปรึกษาหรือการอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์เพื่อพิจารณาทางเลือกต่างๆก่อนที่จะออกแบบหลักสูตร โดยการถ่วงน้าหนักทางเลือกต่างๆ ( eight alternatives) ใน ทุก ๆ ด้ า นอ ย่า งเป็ นรูปธ รรม ทั้งใน เชิงต้ นทุน ค่ า ใช้จ่ า ยแล ะป ระโย ช น์ที่ได้ รับม า ก า ร พิ จ า ร ณ า ท า ง เลือ ก นี้ จ ะก่ อ ให้ เกิ ด ค วา ม ไม่ แน่ ใจ ว่า เป็ น ท า ง เลือ ก ที่ดี ที่ สุ ด ดั ง นั้น จึงสามารถที่จะยอมรับหรือปฏิเสธได้อย่างเต็มที่ก่อนการกาหนดทิศทางที่ถูกต้องในการออกแบบหลักสูตรต่อไป ขั้ น ต อ น ที่ 3 ก า ร อ อ ก แ บ บ ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum design) เป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับสาระสาคัญของหลักสูตรก่อน โดยคานึงถึงองค์ประกอบอย่างรอบด้านของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งไม่กาหนดรูปแบบหลักสูตรไว้ล่วงหน้า แต่ใช้ในการแสวงหาความเหมาะสมที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสถานการณ์ 1.กำ1.วิเครำะห์สถำนกำรณ์ ( Analyse the situation) 2.กำรกำหนดวัตถุประสงค์ ( Define Objectives) 3.กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ( Design theteaching –learning programme) 4.กำรนำหลักสูตรไปใช้ ( Interpretand implement the programme ) 5.กำรประเมินกำรเรียนรู้และกำรประเมินหลักสูตร ( Assess and evaluate )