SlideShare a Scribd company logo
1 of 32
บทที่ 3
ประเภทของหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
การจัดประเภทของหลักสูตรว่าเป็นประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ
สอน และสถาน การณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมแต่ละประเภ ทและแต่ละ ระดับการศึกษาเป็ น สาคัญ
ประเภทของหลักสูตรสามารถแบ่งได้เป็นหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรกว้าง หลักสูตรเสริมประสบการณ์
หลักสูตรรายวิชาหลักสูตรแกน หลักสูตรแฝง หลักสูตรสัมพันธ์วิชา หลักสูตรเกลียวสว่าน และหลักสูตรสูญ
เ ป็ น ต้ น
ซึ่งจะช่วยให้นักหลักสูตรได้นาจุดเด่นจุดด้อยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์ภายใต้
ทรัพยากรที่มีจากัด
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
บทเรียนนี้ออกแบบไว้ให้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถ ดังนี้
1. มีความรู้ในการจัดจาแนกประเภทของหลักสูตร
2. สามารถบอกลักษณะสาคัญของหลักสูตรแต่ละประเภทได้
สาระเนื้อหา(Content)
1. หลักสูตรบูรณาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ( The Integrated Curriculum)
เป็ น หลักสู ตรที่พัฒ น ามาจากหลักสู ตรกว้างโดยน าเอาเนื้ อห าของวิช าต่าง ๆ มาหลอมรวม
ทาใ ห้ เป็ น เอกลักษณ์ ของ แต่ละ วิช าห มด ไป การผส มผส าน เนื้ อห าขอ งวิช าต่าง ๆ
เ ข้ า เ ป็ น เ นื้ อ เ ดี ย ว กั น ท า ไ ด้ ห ล า ย วิ ธี
ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทาหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของห
ลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่
อไปนี้
1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด
1.1 เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ
ก . โ ด ย ธ ร ร ม ช า ติ เ ด็ ก ห รื อ ผู้ เ รี ย น จ ะ มี ค ว า ม ส น ใ จ
ฉงนสนเทห์และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
อยู่เส มอ ส มอ ง ขอ ง เด็กจ ะ ไม่จากัดอ ยู่กับ ก ารเรี ยน รู้ วิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น ส่วน ๆ
โ ด ย เฉ พ าะ เมื่ อ มี ก า ร แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ ก็ จ ะ เรี ย น รู้ ห ล า ย ๆ อ ย่ า ง พ ร้ อ ม ๆ กั น
ด้วยเหตุนี้หลักสูตรบูรณาการจึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมเพราะจะสามารถสนองความต้องการของเด็กหรือผู้เรีย
นได้
ข. จากผ ลก ารวิจัยเรื่ อง พั ฒ น าก ารท าง ปั ญ ญ าของ เด็ กใ น ชั้ น ประ ถม ศึก ษ า
แ ส ด ง ว่ า พั ฒ น า ก า ร ท า ง ปั ญ ญ า จ ะ ด า เ นิ น ไ ป เ ป็ น ขั้ น ๆ
แต่ละ ขั้น จะ แตกต่าง กัน ไป และ พัฒ น าการของแต่ละ คน ก็จะ มีอัตราความเจริญ ต่างกัน
แต่ที่สาคัญคือพัฒนาการนั้นจะดาเนินไปด้วยดีในเมื่อเด็กหรือผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง
ยิ่งประส บการณ์มีความห ลากห ลายเพียงใด โอกาสใ น การพัฒ น าการก็ยิ่งมีมากเพียงนั้ น
เมื่อมาพิจารณาดูหลักสูตรบูรณาการที่มีลักษณะครอบคลุมวิชาหลายวิชาก็จะเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เ
รียนได้มีประสบการณ์หลายด้าน
ค.หลักสู ตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ
อ ย่าง แ ล ะ ใ ห้ ไ ด้มีโอ ก าส แ ก้ปั ญ ห าด้ว ยต น เอ ง ซึ่ ง เป็ น ก าร ส นั บ ส นุ น ก ารเรี ยน รู้
อนึ่ งแบบฉบับของหลักสูตรยังกระ ตุ้นและสนองความต้องการทางปัญญาและอารมณ์ของผู้เรียนได้
ช่วยใ ห้เกิดการเรียน รู้ต่อเนื่ อง กัน ไปการเรียน การสอน จะ ต้อง ดาเนิ น ไปอย่างมีชีวิตชีวา
โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมความคิดริเริ่มหลักสูตรแบบนี้ทาได้ดีมากส่วนดีอีกประการหนึ่งของหลักสูตรคือช่
วยลดภาวะที่จะต้องท่องจาลงไปอย่างมาก
1.2 เหตุผลทางสังคมวิทยา
ก . เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น แ ล้ ว ว่ า
การศึกษ าจะ เกิดผลดี ที่สุ ดก็ต่อเมื่อใ ห้ ผู้เรี ยน ส ามารถตอบ ปั ญ ห าใ น ชีวิตป ระ จาวัน ได้
ด้วยเหตุนี้หลักสูตรจึงต้องเป็นหลักสูตรสนับสนุนสิ่งดังกล่าวซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในหลักสูตรบูรณาการกล่าวคือ
ป ร ะ ส า น สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ส า ข า วิ ช า ต่ า ง ๆ
ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องกา
รของชีวิต
1.3 เหตุผลทางการบริหาร
ก.หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตาราเรียนได้คือแทนที่จะแยกเป็นตาราสาหรับ แต่ละวิชา
ซึ่ ง ท า ใ ห้ ต้ อ ง ใ ช้ ต า ร า ห ล า ย เ ล่ ม
ก็อาจรวมเนื้อหาของหลายวิชาไว้ในตาราเล่มเดียวกันและยังสามารถทาให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย
น อ ก จ า ก นี้ ใ น ก ร ณี ที่ ข า ด แ ค ล น ค รู
หลักสูตรบูรณาการซึ่งอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่ง
ชั้นในเวลาเดียวกัน
การผสมผสานวิชาเพื่อให้ได้ห ลักสูตรบูรณาการ ทาได้ห ลายวิธีหลายรูปแบบ ดังนั้ น
ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ท า ไ ด้ อ ย า ก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งก็คือหลักสูตรนี้ก้าวข้ามขั้นจากวิธีการที่รวมวิชาเข้าด้วยกันแบบธรรม
ดา ที่ยังทิ้งร่องรอยของวิชาเดิมไว้แต่เป็นการหลอมรวมในลักษณะที่เอกลักษณ์ของวิชาเดิมไม่คงเหลืออยู่เลย
ดังนั้นความรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจึงเกิดจากการเรียนรู้หลายวิชาในขณะเดียวกัน
ต า ม แ น ว ค ว า ม คิ ด ข้ า ง บ น นี้ อ า จ ก ล่ า ว ไ ด้ ว่ า
หลักสูตรบูรณาการคือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ(Inter-disciplinary)
คือมีการผสมผสานอย่างกลมกลืน แนบแน่นระหว่างองค์ประกอบการเรียนรู้ทุกด้านอันได้แก่พุทธิพิสัย
จิตพิสัย และทักษะพิสัยและ มีกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นสหวิทยาการ (Inter-disciplinary Learning) ด้วย
ใ น บ า ง ต า ร า ก ล่ า ว ว่ า ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร
คือห ลักสู ตรที่โครง สร้างของ เนื้ อห าวิช ามีลักษณ ะ เป็ น หั วข้อห รื อกิจกรรม ห รื อปั ญ ห า
ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ที่ มี ใ ช้ อ ยู่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ต่ า ง ๆ ใ น เ อ เ ชี ย
มีทั้งที่เป็นหลักสูตรบูรณาการเต็มรูปและไม่เต็มรูป มีหลายประเทศที่เห็นว่าวิชาประเภททักษะเช่น คณิตศาสตร์
และภาษาถ้าจะจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดี ควรจัดหลักสูตรเป็นแบบรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
2. ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
ใน ก ารผส มผ สาน วิช าห รื อส าข าวิช าต่าง ๆ เพื่ อ ให้ ได้ห ลักสู ตรบู รณ าการนั้ น
ถ้าจะให้ดีจริงๆนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพยายามให้เกิดบูรณาการในลักษณะต่อไปนี้โดยครบถ้วนคือ
1. บู ร ณ า ก า ร ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม รู้ แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
แต่เดิมเมื่อสภ าพ และ ปัญ หาสังคมยังไม่สลับซับซ้อน และ ปริมาณเนื้ อห าก็ยัง ไม่มีมากนั ก
การเรียนรู้ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่นการบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจา
อาจทาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรในกรณีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับกระบวนการเรียนรู้เกือบไม่มีอยู่เลยและ
การ เรี ย น รู้ก็นั บ ว่ามีป ระ สิ ท ธิ ภ าพ พ อ ส มค วร แ ต่ใ น ปั จจุ บัน ป ริ มาณ ค วามรู้ มีมาก
สภ าพ แ ละ ปั ญ ห าสั ง ค มส ลับ ซับ ซ้อน การเรี ยน รู้จะ กระ ท าอ ย่าง เดิ มย่อ มไ ม่ได้ผล ดี
ถ้าจะให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเราจาเป็นต้องให้กระบวนการการเรียนรู้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรู้
ทั้งนี้หมายความว่าผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนจะแสวงหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวนการอย่างไร
2. บู ร ณ าก า รร ะ ห ว่าง พั ฒ น าก า รท า ง ค ว ามรู้ แ ล ะ พั ฒ น าก าร ท า ง จิต ใ จ
มีผู้ก ล่าว ต าห นิ ว่า ก าร ศึ ก ษ ามัก จ ะ ใ ห้ ค ว ามเอ าใ จ ใ ส่ ต่อ ก ารพั ฒ น าจิต ใ จ น้ อ ย ไ ป
คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัยอันได้แก่ความรู้ความคิดและการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม
ค ว า ม ส น ใ จ
และความสุนทรียภาพซึ่งตามความเป็นจริงแล้วทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยก็มีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แ ล ะ เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ย ก กั น ไ ม่ อ อ ก
เพราะการเรียนรู้วิชาการหรือทักษะในด้านหนึ่งด้านใดโดยปราศจากความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งที่เรียน
ย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางกลับกันถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจและประทับใจ
ก็จะมุ่งมั่นในการเรียนและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุนี้การสร้างบูรณาการระหว่างความรู้และจิตใจจึ
งเป็นสิ่งจาเป็น
3.บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทา การสร้างสหสัมพัน ธ์ระหว่างความรู้และ
การกระทามีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา
การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสมจะปรากฏผลดีห
รื อ ไ ม่ ย อ ม ขึ้ น อ ยู่ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ห รื อ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ข อ ง ผู้ เ รี ย น
การแยกความรู้ออกจากการกระทาก็เหมือนกับการแยกหลักสู ตรออกเป็ นส่วนๆ ซึ่งเป็ นไปไม่ได้
ดังนั้นการบูรณาการความรู้และการกระทาเข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่จาเป็น
4.
บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจาวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูต
รดีห รื อไม่ดี คือผลที่เกิดแก่คุณ ภ าพ ของ ชีวิตผู้เรี ยน ด้วยเห ตุนี้ การบู รณ าการวิช าต่าง ๆ
ในหลักสูตรเราจึงต้องแน่ใจว่าสิ่งที่สอนในห้องเรียนนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อชีวิตของผู้เรียนไม่ว่าผู้เรียน
จ ะ อ ยู่ ที่ ใ ด ก า ร ที่ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้
หลักสูตรจะต้องกาหนดให้ความสนใจและความต้องการมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของผู้เรียน
และให้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนการสอน
5.บูรณาการระหว่างวิช าต่างๆ ถ้าเรายอมรับว่าบูรณ าการระหว่างความรู้กับจิตใจ
และระห ว่างความรู้กับการกระ ทาเป็ น สิ่ ง ที่จาเป็ น และสาคัญ และเป็ น สิ่ งที่สามารถทาได้
เราก็ย่อมจะ มอง เห็ น คว ามจาเป็ น แล ะ ค ว ามส าคัญ ขอ ง ก ารที่ จะ บู รณ าก าร วิช าต่าง ๆ
เข้า ด้ ว ย กัน ซึ่ ง อ าจ ท าไ ด้ โ ด ย น า เอ าเนื้ อ ห าข อ ง วิช าห นึ่ ง มา เส ริ ม อี ก วิช า ห นึ่ ง
เ พื่ อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ แ ล ะ เ กิ ด เ จ ต ค ติ ต า ม ที่ ต้ อ ง ก า ร
หรือโดยกาหนดปัญหาหรือความต้องการของผู้เรียนเป็นหัวข้อแล้วกาหนดหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนการ
สอนขึ้น โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชามาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
3. รูปแบบของบูรณาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร เ ท่ า ที่ มี อ ยู่ ใ น เ ว ล า นี้ มี 3 รู ป แ บ บ
แ ต่ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง มั ก จ ะ มี ก า ร ผ ส ม กั น ร ะ ห ว่ า ง รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ
ที่นามาจาแนกให้เห็นก็เพื่อความเข้าใจว่าพื้นฐานที่แท้จริงของแต่ละรูปแบบนั้นเป็นอย่างไร
1. บูรณาการภายในหมวดวิชา เราได้ทราบแล้วว่าหลักสูตรกว้างนั้นเป็ นหลักสูตรที่ได้มี
การนาเอาวิชาหลายๆ วิชามารวมกันในลักษณะที่ผสมกลมกลืน แทนที่จะนาเอาเนื้อวิชามาเรียงลาดับกันเฉยๆ
ตัวอย่างเช่น ใน วิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้มีการน าเอาเนื้ อหาวิช าฟิ สิ กส์ เคมี ชีววิทยา มารวมกัน
และต่อมาก็นาเอาวิชาโภชนาการ สุขศึกษา และสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานด้วย หรือในวิชาสังคมศึกษา
ก็ น า เ อ า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ภู มิ ศ า ส ต ร์ ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง จ ริ ย ศึ ก ษ า
ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2. บูรณาการ ภายในหัวข้อ และโครงการ หลายประเทศในเอเชียนิยมใช้วิธีการแบบนี้คือ
การนาเอาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไป
ม า ผ ส ม ผ ส า น กั น ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ เ ป็ น หั ว ข้ อ ห รื อ โ ค ร ง ก า ร
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนและในแต่ละหัวข้อจะมีการแบ่งเป็นหน่วยการเรียน (Unitsof Learning)
ด้วยทาให้เกิดหลักสูตรบูรณาการที่เราเรียกว่า หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม ( TheSocialProcessand Life
Function Curriculum)
3. บูรณาการโดยการผสมผสาน ปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และของสังคม
ห ลั ก สู ต ร ที่ ใ ช้ ก า ร ผ ส ม ผ ส า น แ บ บ นี้
ความจริงก็มีรูปแบบเหมือนอย่างสองแบบแรกที่ได้กล่าวมาแล้วคืออาจผสมผสานภายในหมวดวิชาหรือภายในหั
ว ข้ อ แ ล ะ โ ค ร ง ก า ร ก็ ไ ด้ สิ่ ง ที่ แ ต ก ต่า ง อ อ ก ไ ป คื อ หั ว ข้ อ ห รื อ ห น่ ว ย ก า ร เ รี ย น
หรือโครงการจะเน้นการแก้ปัญหาชีวิตประจาวันของผู้เรียนไม่ว่าปัญหาส่วนตัว ปัญหาชุมชน ปัญหางานอาชีพ
ปัญหาสังคม ฯลฯ ตัวอย่างของหัวข้อหรือหน่วยการเรียนได้แก่ “มลภาวะจากอากาศ น้ าและเสียง”
“การตกต่าของผลผลิตทางการเกษตรกรรม” “การตัดไม้ทาลายป่าและการทาลายทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ”
“สภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ” “โรคที่สาคัญ” ฯลฯ
ในการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นนี้ ผู้เรียนจาเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา
ร ว ม ทั้ ง ต้ อ ง มี ทั ก ษ ะ ที่ จ า เ ป็ น ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ด้ ว ย
ก า ร เ รี ย น รู้ จึ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น บู ร ณ า ก า ร เนื่ อ ง จ า ก ต้ อ ง ผ ส ม ผ ส า น วิช า ต่า ง ๆ
ในการแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฏชัดในการเรียนรู้
2. หลักสูตรกว้าง
ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง ( The Broad-Field Curriculum)
เป็ น ห ลั ก สู ต ร อี ก แ บ บ ห นึ่ ง ที่ พ ย าย า ม แ ก้ไ ข จุ ด อ่อ น ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า
โด ยมี จุด มุ่ง ห มาย ที่ จ ะ ส่ ง เส ริ ม ก าร เรี ยน ก าร ส อ น ใ ห้ เป็ น ที่ น่ าส น ใ จ แ ล ะ เร้ าใ จ
ช่วยใ ห้ผู้เรี ยน มีความเข้าใจและ สามารถปรับตน ใ ห้เข้ากับสภ าวะ แวดล้อมได้เป็ น อย่าง ดี
ร ว ม ทั้ ง ใ ห้ มี พั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ทุ ก ด้ า น
ก ล่า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ พ ย า ย า ม จ ะ ห นี จ า ก ห ลั ก สู ต ร ที่ ยึ ด วิ ช า เ ป็ น พื้ น ฐ า น
มีค รู ห รื อผู้ส อน เป็ น ผู้สั่ ง การ แต่เพี ยง ผู้เดี ยว วิช าต่าง ๆ ที่ แ ยก จ าก กัน เป็ น เอก เท ศ
จ น ท า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่า ง วิ ช า เ ห ล่ า นั้ น
ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนาเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ จากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์ (Thomas Huxicy)
ส อ น เด็ ก ที่ เรี ยน อ ยู่ใ น โ รง เรี ยน ใ น ราช ส านั ก ( The Royal Insutunon) ที่ น ค รล อ น ด อ น
วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้าเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น
เป็นการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาเริ่มนาเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1914 โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst
Collge) จัดทาเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Socialand EconomicInstitions) ต่อมาในปี
ค.ศ.1923 มหาวิทยาลัยชิคาโก (Universityof Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ
วิช าเข้าด้วยกัน ได้แ ก่ วิช าการคิ ดแบบ แก้ปั ญ ห าขั้น น า (Introduction to Reflective Thinking)
ธรรมชาติของโลกและมนุษย์ (The Natureof the World and of Man) มนุษย์ในสังคม (Man in Society)
แ ล ะ ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ ค่ า นิ ย ม ข อ ง ศิ ล ป ะ ( The Meaning and Value of the Arts)
ใน ช่วงเวลาเดียวกัน นั้น โรงเรียนมัธยมของสห รัฐอเมริกาเริ่มน าเอาห ลักสูตรแบบกว้างมาใช้
ทาใ ห้ เกิดห มวดวิช าต่าง ๆ ขึ้ น เช่น สั งคม ศึกษา วิทยาศาส ตร์ ทั่วไป พ ลศึ กษา ศิลป ะ
คณิ ต ศาส ตร์ ทั่ว ไป แ ล ะ ภ าษ าใ น ต อ น แ รก ๆ ก ารจัด เนื้ อ ห าใ ช้ วิธี จัด เรี ย ง กัน เฉ ย ๆ
ไม่มีก าร ผ ส มผ ส าน กัน แต่อ ย่าง ใ ด ท าใ ห้ การ เรี ยน ก าร ส อ น ไม่บ ร รลุ จุด ป ร ะ ส ง ค์
เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกาหนดหัวข้อขึ้นก่อน
แล้วจึงคัดเลือกเนื้ อหาที่สามารถสน องจุดประสงค์จากวิช าต่าง ๆ น ามาเรียง กัน อีกต่อหนึ่ ง
วิธี นี้ ทาให้ การเรียน การสอน บ รรลุจุดประ สง ค์ได้ ขณ ะ เดียวกัน ก็มีผลพ วงตามมา คื อ
เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ห ม ด ไ ป เ นื้ อ ห า วิ ช า ผ ส ม ผ ส า น กั น ม า ก ขึ้ น
ซึ่งในที่สุดได้นาไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Cumculum)
ประเทศไทยได้นาห ลักสูตรมาใช้เป็ นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503โดยเรียงลาดับเนื้ อหาต่างๆ
ที่ มี ค ว า ม ค ล้ า ย ค ลึ ง กั น เ ข้ า ไ ว้ ใ น ห ลั ก สู ต ร
แล ะ ใ ห้ ชื่ อ วิช าเสี ยใ ห ม่ใ ห้ มีค วามห มายก ว้าง ค รอ บ ค ลุ มวิช าที่ น ามาเรี ยง ล าดับ ไ ว้
ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษาพ.ศ.2503ได้มีการนาเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรมหน้าที่พลเมือง
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลาดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1. จุ ด ห ม าย ข อ งห ลั กสู ต ร มี ข อบ ข่ าย ก ว้ างข ว างก ว่ าห ลั ก สู ต รร าย วิ ช า
ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย จะเห็นได้จากการที่จุดหมายของหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503
ค ร อ บ ค ลุ มก าร ฝึ ก อ บ ร มเ พื่ อ น า ไป สู่ คุณ ลั ก ษ ณ ะ ที่ เกี่ย ว กับ ก าร ต ร ะ ห นั ก ใ น ต น
มนุษย์สัมพันธ์ความสามารถในการครองชีพ และความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง
2.จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นามารวมกันไว้
ตัวอย่าง เช่น ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม
ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์
ได้กาหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนาเอาจุดประสงค์ทั้งหมด
(ซึ่งในหลักสูตรเรียกว่าความมุ่งหมาย) มาเสนอไว้ในที่นี้ด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2503หน้าที่ 1)
1.
ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม
2.ให้เด็กมีความรู้และความรู้สึ กซาบซึ้ งใน ความเป็ น มาใน การเมืองของ สังคม
และทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละชาติได้สร้างสมกันมาตามประวัติศาสตร์
3. ให้เด็กยอมรับคุณค่าในทางศีลธรรมและวัฒนธรรม และยินดีปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ
4. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ว่ า
ส มาชิ ก ข อ ง สั ง ค มย่อ มมีห น้ าที่ อ าน วย ป ร ะ โยช น์ ใ ห้ แ ก่สั ง ค มตามวิถี ท าง ข อ ง เข า
สอนให้เด็กได้รู้จักเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น โดยไม่คานึงถึง เชื้อชาติศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ
และฐานะทางสังคมของบุคคลนั้น
5. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์
ระหว่างบุคคลกับระบอบการปกครองในปัจจุบัน
6. ใ ห้ เด็ ก รู้จัก สิ ท ธิ แ ล ะ ห น้ าที่ ต ล อ ด จน ค ว ามรับ ผิ ด ช อ บ ซึ่ ง พ ล เมือ ง
แ ต่ ล ะ ค น พึ ง มี ต่อ สั ง ค ม ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น เ รื่ อ ง ค ว า ม มั่ น ค ง
และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติ
7.ให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการผลิต การบริโภค
และการสงวนทรัพยากรของสังคม
8. ใ ห้ เ ด็ ก รู้ จั ก เ ห ตุ ผ ล รู้ จั ก ป ร ะ เ มิ น ผ ล
ยอมรับหลักการและกระบวนการที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา
3.
โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนาเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้ วมาเรียงลาดับกันเข้า
โ ด ย ไ ม่ มี ก า ร ผ ส ม ผ ส า น กั น แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด ห รื อ ถ้ า มี ก็ น้ อ ย ม า ก
อย่างไรก็ตามห ลักสู ต รนี้ เมื่อได้รับการดัด แปลง ใ ห้ เป็ น ห ลักสู ต รบู รณ าการ วิช าต่าง ๆ
จะผสมผสานกันกันจนหมดความเป็นเอกลักษณ์
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
1. เป็นหลักสูตรที่ทาให้วิชาต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดวามเข้าใจ และมีทัศนะคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
3.เป็ นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
เป็นการเอื้ออานวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจาวัน
ข.ส่วนเสีย
1. ห ลัก สู ต รนี้ ถึง แม้ว่าพ ย าย ามจะ ใ ห้ เอ ก ลัก ษ ณ์ ข อ ง แต่ล ะ วิช าห มดไ ป
แต่ก็ยัง ไม่ส ามารถท าใ ห้เนื้ อห าของ วิช าต่าง ๆ เห ล่านั้ น ผส มผส าน กัน จน เป็ น เนื้ อเดียว
ดั ง นั้ น ใ น ก า ร ผู้ ส อ น จึ ง มี แ น ว โ น้ ม ที่ จ ะ รั ก ษ า เอ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ล ะ วิช า ไ ว้
ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาขาดหายไป
2.ลักษณะของหลักสูตรทาให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
เข้าทานองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
3. เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก สู ต ร ค ร อ บ ค ลุ ม วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า
ผู้สอนจึงอาจสอนไม่ดีเพราะขาดความรู้บางวิชานอกจากนี้ในการเตรียมการเรียนการสอนจะต้องใช้เวลามาก
เพราะเท่ากับต้องเตรียมสอนหลายวิชา แทนที่จะสอนวิชาเดียวอย่างที่สอนหลักสูตรรายวิชา
4. การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
3. หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์ (TheExperienceCurriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่
ไ ม่ ว่ า จ ะ เ ป็ น ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ห รื อ ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง
ล้ ว น ไ ม่ส่ ง เส ริ ม ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ส น ใ จ แ ล ะ ก ร ะ ตื อ รื อ ร้ น ใ น ก า ร เ รี ย น เท่ า ที่ ค ว ร
พื้ น ฐ าน ค วาม คิ ด ขอ ง ห ลัก สู ต รนี้ มีมาตั้ ง แ ต่ส มัยรุ ซ โซ (Rousseau) แ ละ เพ ล โต ( Plato)
แต่ได้นามาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
แ ร ก ที่ เดี ย ว ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ชื่ อ ว่า ห ลั ก สู ต ร กิ จ ก ร ร ม ( The Activity Curriculum)
ที่เปลี่ยน ชื่อไปก็เนื่ องจากได้มีการแป ลเจตน ารมณ์ ของห ลักสู ตรผิดไ ป จากเดิม กล่าวคือ
มี บุ ค ค ล บ า ง ก ลุ่ ม คิ ด ว่า ถ้ า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ท า กิ จ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ ด้ ว ย ต น เ อ ง แ ล้ ว
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรผู้เรียนก็จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เข้าทานองว่าขอให้ทากิจกรรมก็เป็นใช้ได้
( Activity for activity sake) ด้ ว ย เ ห ตุ นี้ จึ ง ไ ด้ มี ก า ร คิ ด ว่า ค ว ร เ ป ลี่ ย น ชื่ อ เ สี ย ใ ห ม่
ประกอบกันในระยะนั้นทฤษฎีเปลี่ยนชื่อเป็นหลักสูตรประสบการณ์ ต่อมาภายหลังเมื่อ วิลเลี่ยมคิลแพทริก
( William Kilpatrick)
นาเอาความคิดเรื่องการจัดประสบการณ์ในรูปการสอนแบบโครงการเข้ามาหลักสูตรนี้ก็ได้ชื่อเพิ่มขึ้นอีกชื่อหนึ่ง
ว่ า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ( The Project Curriculum)
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในที่นี้เราจะใช้ชื่อหลักสูตรประสบการณ์เพียงชื่อเดียว
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
ห ลักสู ตรป ระ สบ การณ์ ถูกน ามาใช้ครั้ งแรกที่ โรงเรียน ทดลอง (Laboratory School)
ของ มหาวิทยาลัยซิคาโก ป ระ เทศส หรัฐอเมริ กา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์ น และ แมรีดิวอี้
พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน
จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง สั ง ค ม ( Social Impulse)
ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้เรียนมีความปรารถนาที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อน
2. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ( Constructive Impulse)
ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้เรียนไม่อยู่นิ่งชอบเล่น ชอบทากิจกรรม ชอบเล่นสมมุติ ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ฯลฯ
3.แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง (Impulse to Investigateand Experiment) หมายถึง
ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งอยากทดลองทาสิ่งที่ตนสงสัย จะเห็นได้จากการที่ผู้เรียนชอบรื้อค้นสิ่งต่างๆ
และเล่นกับสิ่งที่อาจจะเป็นอันตราย เช่น เอามือไปแหย่ไฟด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น
4.แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคาพูด การกระทาและทางศิลปะ (Expressiveor Artistic
Impulse) ได้แก่การแสดงออกในด้านการขีดเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นดนตรี ฯลฯ
จ อ ห์ น ดิ ว อิ ถื อ ว่า แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ทั้ ง 4 อ ย่ า ง นี้ ผู้ เ รี ย น มี อ ยู่ พ ร้ อ ม
และจะนาออกมาใช้ตามขั้นของพัฒนาการของตน ดั้งนั้นถ้าจะให้ผู้เรียนรู้และมีทักษะในด้านหนึ่งด้านใด
ก็ควรเริ่มต้น จากกิจกรรมที่เป็ น แรงกระตุ้นอยู่แล้ว และถ้าจะ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น กิจกรรมต่างๆ
เ ห ล่ า นั้ น ค ว ร มี ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย
โดยเฉพาะควรเป็นกิจกรรมประเภทการงานที่มีประโยชน์ต่อชีวิติประจาวัน เช่น งานประกอบอาหาร
งานเย็บปักถักร้อย และงานช่าง เป็ นต้น สาหรับทักษะต่างๆ เช่น การอ่าน การเขียนและการคิดเลข
ควรเป็นผลที่เกิดจากการกระทากิจกรรมต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วโดยที่เด็กหรือผู้เรียนมองเห็นด้วยตนเองว่า
ถ้าจะทากิจกรรมให้เกิดผลดีก็จาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
ใ น ปี ค .ศ . 1904 นั ก ก า ร ศึ ก ษ า อี ก ท่ า น ห นึ่ ง ชื่ อ มิ เ รี ย ม ( J.L Meriam)
ได้ทดลองนาหลักสูตรประสบการณ์ไปใช้ในโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยมิสซูรี (Universityof Missouri)
โดยกาหนดขอบเขตของหลักสูตรให้คลอบคลุมกิจกรรม 4อย่างคือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการสังเกตพิจารณา
กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเล่น กิจกรรมที่เกี่ยวกับนิ ยายและเรื่องราวต่างๆ และกิจกรรมที่เกี่ยวกับ
การทางานด้วยมือ หลักการของหลักสูตรก็เหมือนกันกับของจอห์น ดิวอี้ คือใช้ทักษะในการอ่าน เขียน คิดเลข
เป็นเครื่องส่งเสริมประสิทธิภาพในการทากิจกรรม
ในปี ค.ศ. 1918นักการศึกษาอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ งคือ วิลเลียมคิลแพทริก (W.H.
Kilpatrick) ไ ด้ เ ขี ย น บ ท ค ว า ม ชื่ อ วิ ธี ส อ น แ บ บ โ ค ร ง ก า ร ( The Project Method)
เป็นผลให้หลักสูตรประสบการณ์ในรูปแบบของโครงการถูกนามาใช้อย่างแพร่หลายในชั้นประถมศึกษาแต่ในชั้
น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห ลั ก สู ต ร นี้ ไ ม่ ป ร ะ ส บ ผ ล ส า เ ร็ จ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูและผู้บริหารยังคงถูกอิทธิพลของหลักสูตรรายวิชาครอบงาอยู่
อย่าง ไรก็ตาม ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ ได้รับ ความนิ ยมอยู่ไม่น าน ก็ซ บเซ าไป
ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของหลักสูตรนี้มีมาก และปัญหาบางอย่างก็ยังแก้กันไม่ตก ดังจะได้กล่าวต่อไป
สาหรับประเทศไทยได้มีการศึกษาเกี่ยวกับวิธีสอนแบบโครงการในสถานศึกษาฝึกหัดครูก่อน พ.ศ.
2500 เ สี ย อี ก แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ มี ก า ร จั ด ท า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ขึ้ น ใ ช้
ได้มีการนาเอาวิธีสอนแบบโครงการมาทดลองใช้บ้างในบางที่บางแห่ง แต่ก็เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น
2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1.ความสนใจของผู้เรียน เป็นตัวกาหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร ลักษณะข้อนี้หมายความว่า
จ ะ ส อ น อ ะ ไ ร เ มื่ อ ใ ด
และจะเรียงลาดับการสอนก่อน หลังอย่างไรขึ้นอยู่กับความสน ใจและความต้องการของผู้เรียน
ก ล่ า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ
กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทาเป็นกิจกรรมที่เขามองเห็นความจาเป็นและประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่สนใจเพราะเห็น
ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานและไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ
แ น ว ค ว า มคิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ว่า เ ว ล า ที่ ผู้เ รี ย น ท า กิจ ก ร ร ม ใ ด ๆ ก็ ต า ม
ผู้เรี ยน ย่อมห วัง ผลอ ย่าง ใด อย่าง ห นึ่ ง ไม่ใ ช่ท าขึ้ น ลอยๆ โดยปราศ จากความมุ่ง ห มาย
คว ามส น ใ จข อ ง ผู้เรี ยน ย่อ มมีอ ยู่แ ล ะ เป็ น ห น้ าที่ ขอ ง ผู้ส อ น ที่ จะ ต้อ ง ค้น ห าใ ห้ พ บ
แล้ว ใ ช้เป็ น บัน ได ใ น ก าร ส ร้ าง กิจก รร มที่ เป็ น ป ระ โย ช น์ ท าง ก ารศึ ก ษ าแ ก่ผู้เรี ย น
แนวความคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรประสบการณ์ประกอบด้วยกิจกรรมอันจะนาไปสู่ความสนใจใหม่และกิจกร
รมใหม่ต่อเนื่องกัน ไป อย่างไรก็ตามปัญหาสาคัญ ที่ควรเอาใจใส่ก็คือความสน ใจของผู้เรียน
ในเรื่องนี้ เราจะต้องระวังอย่าเอาไปปะปน กับสิ่งที่เขาเห่อหรือนิยมชมชอบเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
พึงเข้าใจว่าความสนใจที่แท้จริงนั้นจะต้องประกอบด้วยจุดมุ่งหมายที่แน่นอนและเมื่อได้ทราบความสนใจที่แท้จ
ริงแล้ว จึงใช้เป็นพื้นฐานในการวางแผนการสอนต่อไป
ห ลัก ที่ ว่าแ ผน ก าร ส อ น ขึ้ น อยู่กับ คว าม ส น ใ จแ ล ะ คว าม ต้อ ง ก าร ขอ ง ผู้เรี ย น
ชี้ให้เห็นว่าเนื้อหาวิชาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะสนองความมุ่งหมายหรือความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลและของ
ห มู่ ค ณ ะ เ ป็ น ก า ร ต ร ง กั น ข้ า ม กั บ ทั ศ น ะ ดั้ ง เ ดิ ม ที่ ว่ า
ความมุ่งหมายและความสนใจของผู้เรียนเปรียบเสมือนเครื่องช่วยให้ผู้เรียนสามารถเป็นวิชาที่ผู้ใหญ่กาหนดให้เรี
ย น ไ ด้ ดี ขึ้ น
ในที่นี้เนื้อวิชามีประโยชน์ในการกาหนดลักษณะของกิจกรรมที่จะตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจข
อ ง ผู้ เ รี ย น ซึ่ ง ห ม าย ค ว า ม ว่า ค ว า ม รู้ เกิ ด ขึ้ น จ าก ผ ล ข อ ง ก า ร ก ร ะ ท าข อ ง ผู้ เรี ย น
เ ป็ น ก า ร ก ร ะ ท า เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ต น ก ล่ า ว คื อ
ในระหว่างที่ทากิจกรรมนั้นผู้เรียนจะเกิดความต้องการความรู้ และเมื่อได้ศึกษาเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง
ก็ทาให้เรียนสิ่งที่ต้องการ
อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ปั ญ ห า ที่ ผู้ ส อ น ยั ง ต้ อ ง เ ผ ชิ ญ อ ยู่ ก็ คื อ
จ ะ ท า อ ย่า ง ไ ร กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ผู้ เ รี ย น แ ต่ล ะ ค น แ ล ะ ทั้ ง ห ม ด ใ น ชั้ น
เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องค้นหาความสนใจทั้งสองประเภทนี้เสียก่อนแล้วช่วยให้ผู้เรียนเลือกว่าอะไรคือควา
ม ส น ใ จ ที่ แ ท้ จ ริ ง
อะไรที่มีคุณค่าสาหรับส่วนรวมและแต่ละคนทั้งนี้เพื่อจะได้สามารถสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรี
ยนได้อย่างเต็มที่
2. วิ ช า ที่ผู้ เรี ย น ทุ ก ค น ต้ อ งเรี ย น คื อ วิช าที่ ผู้เรี ย น มี ค วาม ส น ใ จ ร วมกัน
ความสน ใ จรวมกัน จะ ต้อง อาศัยความรู้เรื่ อง พัฒ น าการของเด็ก รวมทั้งพื้ น ฐาน ครอบครัว
ซึ่ ง จ ะ ชี้ ถึ ง ค่ า นิ ย ม ล ะ ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย
เมื่อทราบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่สนใจอะไรก็นาเอามาจัดเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนขึ้น
ก า ร ที่ ต้ อ ง อ า ศั ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ห ลั ก
ทาให้เห็นความแตกต่างระหว่างหลักสูตรประสบการณ์กับหลักสูตรรายวิชา และหลักสู ตรแกน
โ ด ย ที่ เ นื้ อ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ห ลั ง ทั้ ง ส อ ง แ บ บ จ ะ ถู ก ก า ห น ด ไ ว้ล่ว ง ห น้ า
แต่ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ กาห น ด เนื้ อห าจาก ความส น ใ จขอ ง ผู้เรี ยน เป็ น คราวๆ ไป
น อ ก จ า ก นี้ ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ยั ง อ า ศั ย ค ว า ม รู้ เ ป็ น ก ร อ บ
และหลักสูตรแกนก็อาศัยปัญหาสังคมเป็นกรอบซึ่งต่างกับหลักสูตรประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
3. โป รแกรมการสอน ไม่ ได้ กาห น ด ไว้ ล่ ว งห น้ า ที่กล่าวเช่น นี้ ห มายความว่า
ใ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ผู้ ส อ น ไ ม่ส าม า ร ถ ก า ห น ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เรี ย น ไ ว้ล่ว ง ห น้ า
แ ต่ ทั้ ง นี้ มิ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ผู้ ส อ น ไ ม่ เ ต รี ย ม ตั ว ก า ร ส อ น เ ล ย
อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้เรียนต้องกระทาก่อนการสอนก็คือ การสารวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น
และ ช่วยผู้เรียน ใ น ก ารตัดสิ น ใ จว่าค วามส น ใ จเรื่ อง ใ ดมีคุณ ค่าควรแก่การศึ กษา อนึ่ ง
เมื่อ ล ง มือ ส อ น ห น้ า ที่ ข อ ง ผู้ ส อ น ก็ คื อ ก า ร ช่ว ย ผู้ เรี ย น ว่าง แ ผ น กิ จ ก ร ร มต่าง ๆ
และช่วยในการประเมินผลกิจกรรมที่ทาไปแล้ว
4 . ใ ช้ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า เ ป็ น ห ลั ก ใ ห ญ่ ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น
ดังได้กล่าวแล้วว่าในหลักสูตรประสบการณ์ผู้สอนและผู้เรียนรวมกันพิจารณาตัดสินว่าควรจะทากิจกรรมอะไร
จึงเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มแรกก็มีปัญหาต้องขบคิดกันแล้ว คือปัญหาที่ว่าจะทาอะไร อย่างไร และเมื่อใด
จ ะ ต้ อ ง อ า ศั ย อ ะ ไ ร เ ป็ น เ ค รื่ อ ง ช่ ว ย เ พื่ อ ใ ห้ ก า ร ก ร ะ ท า ส า เ ร็ จ ผ ล
ปั ญ ห า แ ล ะ อุ ป ส ร ร ค ที่ จ าเ ป็ น ต้ อ ง แ ก้ไ ข เป็ น ก า ร ล่ว ง ห น้ า มี อ ะ ไ ร บ้ า ง ฯ ล ฯ
สิ่ ง ดัง ก ล่าว นี้ ชี้ ใ ห้ เห็ น ว่าก าร ส อ น ต ามห ลัก สู ต รป ร ะ ส บ ก าร ณ์ ไม่ใ ช่เป็ น เรื่ อ ง ง่าย
ไ ม่ ใ ช่ เ ป็ น ก า ร บ อ ก วิ ช า แ ก่ ผู้ เ รี ย น โ ด ย ต ร ง
จริ ง อยู่การบ อกวิช าอาจมีบ้าง เป็ น ค รั้ง คราวแ ต่ไม่ใ ช่เป็ น หั วใ จของ การเรี ยน ก ารสอ น
ถ้าผู้เรียนจะได้รับความรู้อะไรจากการบอกเล่าก็ควรเป็นในแง่ที่ความรู้นั้นจะช่วยกระตุ้นหรือส่งเสริมการแก้ปัญ
ห าที่ ก า ลัง ท าอ ยู่ คุ ณ ค่าข อ ง ห ลัก สู ต ร ไม่ได้ อ ยู่ที่ ค าต อ บ ที่ ไ ด้จ าก ก าร แ ก้ปั ญ ห า
แ ต่อ ยู่ที่ ผ ล ซึ่ ง ผู้ เรี ย น ไ ด้ รั บ จ า ก ก า ร ที่ มี ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า นั้ น
โ ด ย ใ น ดั ง ก ล่ า ว วิ ช า จึ ง เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ส า ห รั บ ใ ช้ แ ก้ ปั ญ ห า
แ ล ะ ด้ ว ย เห ตุ ผ ล นี้ ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ จึ ง ใ ช้ วิช า เ กื อ บ ทุ ก วิช า เ ข้ า ช่ ว ย
สุดแท้แต่ว่าปัญหาจะพาดพิงถึงหรือต้องอาศัยวิชาใด ขณะเดียวกันผู้เรียนก็จะได้เรียนรู้วิชาต่างๆ
และฝึกทักษะไปด้วยในระหว่างที่ทาการแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะในเมื่อความสนใจได้เกิดขึ้นแล้ว
3. ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
ดัง ได้กล่าวแล้วว่าห ลักสู ตรประ สบการณ์ อาศัยความสน ใ จของ ผู้เรียน เป็ น ห ลัก
ในการจัดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนั้นจึงสร้างปัญหาแก่ผู้ใช้หลักสูตรอย่างมาก ที่สาคัญคือ
1. ปัญหาการกาหนดวิชาในหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์นาเอาแนวความคิดใหม่มาใช้
คือแทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา กลับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลัก
เมื่อเป็ น ดังนี้ จึงเกิดปั ญ ห าว่าผู้เรียน จะ ได้เรี ยน อะ ไร การกาห น ดเนื้ อห าย่อมท าได้ยาก
ประสบการณ์ที่จัดให้ตามความสนใจอาจไม่ใช่ประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่จาเป็นก็ได้นอกจากนี้การที่ยึดความส
นใจเป็นหลักอาจเกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของประสบการณ์รวมทั้งความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย
ปัญหาที่สาคัญอีกปัญหาหนึ่ งก็คือ ครูหรือผู้สอน อาจเผลอน าเอาความสนใจของตนมาสรุปว่า
เป็นความสนใจของผู้เรียน ถ้าหากเป็นดังว่าก็เท่ากับได้ทาลายหลักการของหลักสูตรนี้โดยสิ้นเชิง
2. ปัญ ห าการจัด แบ่ งวิชาเรีย น ใน ชั้ น ต่ างๆ ใ น การจัด แบ่ง เนื้ อห าใน ชั้ น ต่าง ๆ
หลักสูตรประสบการณ์ใช้หลักเดียวกันกับหลักสูตรรายวิชา คือพิจารณาจากวุฒิภาวะ ประสบการณ์เดิม
เนื้ อ ห าวิช าที่ เรี ย น มาแ ล้ว ค วา มส ม ใ จ ป ระ โ ย ช น์ แ ล ะ ค ว ามย าก ง่าย ข อ ง เนื้ อ ห า
ข้อแตกต่างมีว่าหลักสูตรประสบการณ์ไม่ได้คิดเพียงการนาเอาเนื้อหาวิชามาเรียนลาดับกันเท่านั้น
แต่จะพิจารณาด้วยว่าเนื้อหาอะไรที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด ปัญหานี้ยังหาคาตอบที่พอใจไม่ได้
แ ร ก ที เ ดี ย ว ก็ เ ข้ า ใ จ กั น ว่ า ก า ร จั ด แ บ่ ง วิ ช า ใ น ชั้ น ต่ า ง ๆ
ต า ม แ น ว คิ ด ข อ ง คิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ไ ม่น่ า จ ะ มี ปั ญ ห า อ ะ ไ ร
เพราะตราบใดที่ผู้สอนและผู้เรียนมีอิสรเสรีในการเลือกกิจกรรมด้วยตัวเองแล้วปัญหาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้ น
ค รั้ น เ มื่ อ ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ก ลั บ ป ร า ก ฏ ว่า มี ปั ญ ห า ม า ก เ ป็ น ต้ น ว่ า
ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้าๆ กันทุกปี
ไ ด้ มี ก า ร แ ก้ ไ ข โ ด ย ก า ร จั ด ท า ต า ร า ง ส อ น ข อ ง แ ต่ ล ะ ปี ขึ้ น แ ต่ ก็ ไ ม่ไ ด้ ผ ล
เพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ควรทาอะไรกัน
4. หลักสูตรรายวิชา
ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า (The Subject Curriculum)
เป็ น ห ลักสู ต รที่ ใ ช้กัน ม าแ ต่ดั้ ง เดิม ไม่เฉ พ าะ แ ต่ใ น ยุโรป ห รื อส ห รัฐอ เมริ ก าเท่านั้ น
ป ร ะ เ ท ศ ใ น เ อ เชี ย ร ว ม ทั้ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ก็ ไ ด้ ใ ช้ ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ม า แ ต่ ต้ น
การที่ เรี ยน กว่าห ลักสู ต รรายวิช าก็เนื่ อ ง จากโค รง ส ร้าง ข อง เนื้ อ ห าวิช าใ น ห ลักสู ต ร
จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จาเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน
ส า ห รั บ เนื้ อ ห า ที่ คั ด ม า ถื อ ว่า เป็ น เ นื้ อ ห า ที่ ส า คั ญ แ ล ะ จ า เ ป็ น ต่อ ก า ร เรี ย น รู้
หลักสู ต รข อง ไท ยเราที่ ยัง เป็ น ห ลักสู ตรรายวิช า ได้แก่ ห ลัก สู ตรมัธยมแ ละ อุดมศึกษ า
แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนาเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
1. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1.จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
ดั ง นั้ น โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้
2. จุ ด มุ่ง ห มาย ข อ ง ห ลัก สู ต ร อ าจ มีส่ ว น สั มพั น ธ์ กับ สั ง ค ม ห รื อ ไ ม่ก็ ไ ด้
และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คานึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ใ น ห ลั ก สู ต ร
เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสาคัญ
4. โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง เ นื้ อ ห า วิ ช า
ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ
เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5.กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจาเนื้อหาวิชา
ก า ร ส่ ง เส ริ มพั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น อื่ น ๆ ถื อ ว่า เป็ น เรื่ อ ง กิ จ ก ร ร ม น อ ก ห ลั ก สู ต ร
หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลาดับขั้นอย่างมีระบบ เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทาให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4. การประเมินผลการเรียนทาได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสาคัญ
ข.ส่วนเสีย
1.เนื่องจากจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้ตามเนื้ อหาที่กาหนดไว้
ดั ง นั้ น จึ ง มั ก ล ะ เ ล ย ต่ อ ส ภ า พ แ ล ะ ปั ญ ห า ข อ ง สั ง ค ม แ ล ะ ท้ อ ง ถิ่ น
ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
2.การเน้นเนื้อหา ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร
น อ ก จ า ก นี้ ก า ร ที่ มุ่ ง ใ ห้ จ า เ นื้ อ ห า
ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการคิดทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะหย่อนไป
3. ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ท า ใ ห้ ผู้ ส อ น ล ะ เ ล ย ก า ร เ รี ย น รู้ อื่ น ๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่า การเรียนที่เป็นผลพวง (Concomitant Learning)
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ผู้เรียนก็ได้
4. ก า ร ที่ ห ลั ก สู ต ร จั ด แ ย ก วิ ช า ต่ า ง ๆ
ออกเป็ น เอกเทศโดยไม่สัมพันธ์กัน ทาให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียน
อัน จะ น าไป สู่ จุด ห ม ายข อง ห ลักสู ตรสิ่ ง ที่ ม อง เห็ น ก็คื อ จุด ป ระ ส ง ค์ ขอ ง แ ต่ละ วิช า
ซึ่ ง ก ร ะ จั ด ก ร ะ จ า ย แ ย ก กั น เ ป็ น อิ ส ร ะ เ ป็ น ก า ร ส ร้ า ง ทั ศ น ะ แ ค บ ๆ
ในด้านการเรียนรู้ซึ่งเท่ากับบั่นทอนความอยากรู้ไปในตัว
5.ถึงแม้ว่าหลักสูตรแบบนี้ จะมีการจัดโครงสร้างและลาดับของเนื้อหาอย่างมีระบบ
แ ต่ ก็ มั ก จ ะ ล ะ เ ล ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ทั้ ง นี้ ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ที่ ว่ า
การจัดเนื้อหานั้นจะยึดหลักเหตุผลในด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คานึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ
พัฒนาการและความต้องการของผู้เรียนแต่อย่างใด ซึ่งเท่ากับการแยกความรู้และความสนใจออกจากกัน
ดังนั้นการเรียนจึงไม่เกิดผลสูงสุด เพราะผู้เรียนขาดความสนใจในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนตั้งแต่ต้นแล้ว
6. กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้
จ ะ จ า กั ด อ ยู่ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผู้ ส อ น เ ป็ น ผู้ ใ ห้ แ ล ะ ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ผู้ รั บ
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย
บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจากัดให้อยู่ในวงแคบ
ทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน
3. การปรับปรุงหลักสูตร
เนื่องจากหลักสูตรรายวิชามีข้อบกพร่องหลายประการดังกล่าวแล้วจึงได้มีการปรับปรุงแก้ไข
วิธีการที่ทามี 2 วิธี คือ
1. จั ด เ รี ย ง ล า ดั บ เ นื้ อ ห า ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง กั น ( Articulation) คื อ
จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้
การจัดมีอยู่ 2 แบบ คือ
ก . จั ด ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง ต า ม แ น ว น อ น ( Horizontal Articulation) ห ม า ย ถึ ง
การจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่ งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่ ง ซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน เช่น
กาหนดเนื้อหาเรื่องปฏิภาคไว้ในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาเอาความรู้ไปใช้ในการคานวณในเรื่อง
กฎของก๊าซ ซึ่งจัดไว้คู่ขนานกันในวิชาวิทยาศาสตร์ หรือจัดเนื้อหารายวิชาวรรณคดีไทยในกรุงศรีอยุธยา
ไว้คู่ขนานกับประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาในชั้นเดียวกัน และให้เรียนในเวลาใกล้เคียงกันด้วย
ข.จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง (VerticalArticulation) หมายถึง การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน คือ
ระหว่างชั้นต่ากับชั้นสูงโดยทาให้เกิดความต่อเนื่องของวิชา ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษา
แ ล ะ อ า จ ถึ ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ด้ ว ย ก็ ไ ด้
ถ้าการจัดใช้หลักอย่างเดียวกันการจัดความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาตามแบบนี้จะจัดภายในหลักสูตรเดียวกัน เช่น
ระ ห ว่าง ชั้ น ป .1 ถึ ง ป .6 ใ น ร ะ ดับ ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ห รื อ ระ ห ว่าง ชั้ น ป .6 ถึ ง ชั้ น ม .1
ข อ ง ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห รื อ ร ะ ห ว่า ง มั ธ ย ม ศึ ก ษ า กั บ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ก็ ไ ด้
หลักในการจัดทานองเดียวกันกับการจัดลาดับเนื้อหาของแต่ละรายวิชา คือ อาศัยหลักความจาเป็นก่อนหลัง
ความยากง่ายของเนื้อหา และหลักอื่นๆ ที่เห็นว่าสาคัญ
2. จั ด โ ด ย ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง เ นื้ อ ห า เ ข้ า ด้ ว ย กั น ( Coherence)
คือ จัด เนื้ อ ห าข อง แ ต่ล ะ วิช าใ ห้ เชื่ อ มโ ยง กัน ใ น ลัก ษ ณ ะ ที่ ส่ ง เส ริ มซึ่ ง กัน แ ล ะ กัน
ทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทาได้2 ระดับ
คือ
ก. ระดับความคิด (Cognitive level) จุดหมายของหลักสูตรข้อหนึ่ งที่เราต่างก็ยอมรับกัน คือ
การพัฒนาความสามารถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ความพึงพอใจ ฯลฯ สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือความสามารถอย่างหนึ่ งจะส่งเสริมความสามารถอีกอย่างหนึ่ ง
และผลสัมฤทธิ์ทางปัญญาทั้งหมดทุกด้านย่อมมีผลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลส่วนรวม
การจัดหลักสูตรตามหลักการเชื่อมโยงในระดับความคิดหมายถึงการจัดโดยให้เนื้อหาส่งผลให้ผู้เรียนมีความสาม
า ร ถ ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผ ส ม ก ล ม ก ลื น กั น
เป็ นการจัดที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับการพัฒน าการของบุคคลเข้าด้วยกัน เช่น จัดวิช าวรรณคดี
ไม่เพียงแต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เท่านั้นแต่ให้เกิดเจตคติที่ดีต่อวิชานั้นด้วยหรือให้การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่
จ ะ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร ท ด ล อ ง เ ท่ า นั้ น
แต่ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในประโยชน์ที่วิทยาศาสตร์มีต่อมนุษย์ชาติอีกด้วย
ข . ร ะ ดั บ โ ค ร ง ส ร้ า ง (Organizational Level) ห ม า ย ถึ ง
การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน และเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆ ด้วย
เป็ น การจัดที่เพ่งเล็ง ที่เนื้ อห าไม่ใ ช่ตัวบุคคลเห มือน กับระ ดับความคิด ดังนั้ น ผู้จัดจะดูว่า
เนื้ อห าของแต่ละวิช านั้ น จะเชื่อมโยงและอานวยประโยช น์ แก่วิชาอื่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น
การอ่านในวิชาภาษาไทยจะกาหนดเนื้อหาให้มีเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาอยู่ด้วย เป็นต้น
วิธีการจัดโดยโยงเนื้อหาเข้าด้วยกันนี้ ทาให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum)
5. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (TheCoreCurriculum) ถือกาเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900
ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ส อ ง ป ร ะ ก า ร คื อ
ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็ นรายวิชาย่อยๆ หรือพูดง่ายๆ
ก็คื อ ค วามพ ยาย ามที่ จ ะ ใ ห้ ห ลุ ด พ้ น จ าก ก ารเป็ น ห ลัก สู ต ร ราย วิช า ป ร ะ ก ารห นึ่ ง
และความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร อีกประการหนึ่ง
แรกทีเดียวได้มีการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มารวมกันเข้าเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่าหมวดวิชา
ทาให้เกิดหลักสูตรแบบกว้างขึ้น แต่หลักสูตรนี้มิได้มีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการของสังคมมากนัก
ดังนั้นจึงมีผู้คิดหลักสูตรแกนเพื่อสนองจุดหมายที่ต้องการ
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด เ รื่ อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น
เริ่มจากการใช้วิชาเป็ นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนามาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน
แล้วกาห น ดหัวข้อขึ้น ให้มีลักษณะ เห มือน เป็ น วิชาให ม่เช่น น าเอาเนื้อหาของวิช าชีววิทยา
สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพและอน ามัยของท้องถิ่น” เป็ นต้น
ต่อมาภ ายห ลัง มีผู้คิ ดป รับ ป รุ ง การเชื่ อมโยง อี ก โด ยยึดเอาวิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น แก น
แล้วกาหน ดหัวข้อการเรียน การสอน ใ ห้ครอบคลุมวิช าอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เป็ น ต้น ว่า
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3
บทที่ 3

More Related Content

Similar to บทที่ 3

บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3kanwan0429
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่Pitsiri Lumphaopun
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจShe's Kukkik Kanokporn
 
ภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยArm Watcharin
 
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วยภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วยPamkritsaya3147
 
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วย
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วยการออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วย
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วยMuBenny Nuamin
 
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่Ailada_oa
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือSukanya Burana
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือSukanya Burana
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11wanneemayss
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826gam030
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11benty2443
 

Similar to บทที่ 3 (20)

บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจครูผู้ช่วย ภารกิจ
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
 
Ch 2
Ch 2Ch 2
Ch 2
 
ภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วยภารกิจครูผู้ช่วย
ภารกิจครูผู้ช่วย
 
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วยภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
 
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วย
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วยการออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วย
การออกแบบการสอนระดับครูผู้ช่วย
 
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
การออกแบบการสอนระดับครูมือใหม่
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
 
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 

More from wanichaya kingchaikerd

มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพwanichaya kingchaikerd
 
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยwanichaya kingchaikerd
 

More from wanichaya kingchaikerd (20)

บทที่10
บทที่10บทที่10
บทที่10
 
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
 
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทยทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
ทฤษฎีหลักสูตร แนวคิด รูปแบบ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรของนักวิชาการไทย
 
บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่11
บทที่11บทที่11
บทที่11
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่8
บทที่8บทที่8
บทที่8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่5
บทที่5บทที่5
บทที่5
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่2
บทที่2บทที่2
บทที่2
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 3

  • 1. บทที่ 3 ประเภทของหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) การจัดประเภทของหลักสูตรว่าเป็นประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ สอน และสถาน การณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมแต่ละประเภ ทและแต่ละ ระดับการศึกษาเป็ น สาคัญ ประเภทของหลักสูตรสามารถแบ่งได้เป็นหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรกว้าง หลักสูตรเสริมประสบการณ์ หลักสูตรรายวิชาหลักสูตรแกน หลักสูตรแฝง หลักสูตรสัมพันธ์วิชา หลักสูตรเกลียวสว่าน และหลักสูตรสูญ เ ป็ น ต้ น ซึ่งจะช่วยให้นักหลักสูตรได้นาจุดเด่นจุดด้อยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์ภายใต้ ทรัพยากรที่มีจากัด ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) บทเรียนนี้ออกแบบไว้ให้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถ ดังนี้ 1. มีความรู้ในการจัดจาแนกประเภทของหลักสูตร 2. สามารถบอกลักษณะสาคัญของหลักสูตรแต่ละประเภทได้ สาระเนื้อหา(Content) 1. หลักสูตรบูรณาการ ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ( The Integrated Curriculum) เป็ น หลักสู ตรที่พัฒ น ามาจากหลักสู ตรกว้างโดยน าเอาเนื้ อห าของวิช าต่าง ๆ มาหลอมรวม ทาใ ห้ เป็ น เอกลักษณ์ ของ แต่ละ วิช าห มด ไป การผส มผส าน เนื้ อห าขอ งวิช าต่าง ๆ เ ข้ า เ ป็ น เ นื้ อ เ ดี ย ว กั น ท า ไ ด้ ห ล า ย วิ ธี ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทาหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของห ลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่ อไปนี้
  • 2. 1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด 1.1 เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ ก . โ ด ย ธ ร ร ม ช า ติ เ ด็ ก ห รื อ ผู้ เ รี ย น จ ะ มี ค ว า ม ส น ใ จ ฉงนสนเทห์และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ อยู่เส มอ ส มอ ง ขอ ง เด็กจ ะ ไม่จากัดอ ยู่กับ ก ารเรี ยน รู้ วิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น ส่วน ๆ โ ด ย เฉ พ าะ เมื่ อ มี ก า ร แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ ก็ จ ะ เรี ย น รู้ ห ล า ย ๆ อ ย่ า ง พ ร้ อ ม ๆ กั น ด้วยเหตุนี้หลักสูตรบูรณาการจึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมเพราะจะสามารถสนองความต้องการของเด็กหรือผู้เรีย นได้ ข. จากผ ลก ารวิจัยเรื่ อง พั ฒ น าก ารท าง ปั ญ ญ าของ เด็ กใ น ชั้ น ประ ถม ศึก ษ า แ ส ด ง ว่ า พั ฒ น า ก า ร ท า ง ปั ญ ญ า จ ะ ด า เ นิ น ไ ป เ ป็ น ขั้ น ๆ แต่ละ ขั้น จะ แตกต่าง กัน ไป และ พัฒ น าการของแต่ละ คน ก็จะ มีอัตราความเจริญ ต่างกัน แต่ที่สาคัญคือพัฒนาการนั้นจะดาเนินไปด้วยดีในเมื่อเด็กหรือผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ยิ่งประส บการณ์มีความห ลากห ลายเพียงใด โอกาสใ น การพัฒ น าการก็ยิ่งมีมากเพียงนั้ น เมื่อมาพิจารณาดูหลักสูตรบูรณาการที่มีลักษณะครอบคลุมวิชาหลายวิชาก็จะเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เ รียนได้มีประสบการณ์หลายด้าน ค.หลักสู ตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ อ ย่าง แ ล ะ ใ ห้ ไ ด้มีโอ ก าส แ ก้ปั ญ ห าด้ว ยต น เอ ง ซึ่ ง เป็ น ก าร ส นั บ ส นุ น ก ารเรี ยน รู้ อนึ่ งแบบฉบับของหลักสูตรยังกระ ตุ้นและสนองความต้องการทางปัญญาและอารมณ์ของผู้เรียนได้ ช่วยใ ห้เกิดการเรียน รู้ต่อเนื่ อง กัน ไปการเรียน การสอน จะ ต้อง ดาเนิ น ไปอย่างมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมความคิดริเริ่มหลักสูตรแบบนี้ทาได้ดีมากส่วนดีอีกประการหนึ่งของหลักสูตรคือช่ วยลดภาวะที่จะต้องท่องจาลงไปอย่างมาก 1.2 เหตุผลทางสังคมวิทยา ก . เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น แ ล้ ว ว่ า การศึกษ าจะ เกิดผลดี ที่สุ ดก็ต่อเมื่อใ ห้ ผู้เรี ยน ส ามารถตอบ ปั ญ ห าใ น ชีวิตป ระ จาวัน ได้ ด้วยเหตุนี้หลักสูตรจึงต้องเป็นหลักสูตรสนับสนุนสิ่งดังกล่าวซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในหลักสูตรบูรณาการกล่าวคือ ป ร ะ ส า น สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ส า ข า วิ ช า ต่ า ง ๆ ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องกา รของชีวิต 1.3 เหตุผลทางการบริหาร
  • 3. ก.หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตาราเรียนได้คือแทนที่จะแยกเป็นตาราสาหรับ แต่ละวิชา ซึ่ ง ท า ใ ห้ ต้ อ ง ใ ช้ ต า ร า ห ล า ย เ ล่ ม ก็อาจรวมเนื้อหาของหลายวิชาไว้ในตาราเล่มเดียวกันและยังสามารถทาให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย น อ ก จ า ก นี้ ใ น ก ร ณี ที่ ข า ด แ ค ล น ค รู หลักสูตรบูรณาการซึ่งอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่ง ชั้นในเวลาเดียวกัน การผสมผสานวิชาเพื่อให้ได้ห ลักสูตรบูรณาการ ทาได้ห ลายวิธีหลายรูปแบบ ดังนั้ น ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ท า ไ ด้ อ ย า ก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งก็คือหลักสูตรนี้ก้าวข้ามขั้นจากวิธีการที่รวมวิชาเข้าด้วยกันแบบธรรม ดา ที่ยังทิ้งร่องรอยของวิชาเดิมไว้แต่เป็นการหลอมรวมในลักษณะที่เอกลักษณ์ของวิชาเดิมไม่คงเหลืออยู่เลย ดังนั้นความรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจึงเกิดจากการเรียนรู้หลายวิชาในขณะเดียวกัน ต า ม แ น ว ค ว า ม คิ ด ข้ า ง บ น นี้ อ า จ ก ล่ า ว ไ ด้ ว่ า หลักสูตรบูรณาการคือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ(Inter-disciplinary) คือมีการผสมผสานอย่างกลมกลืน แนบแน่นระหว่างองค์ประกอบการเรียนรู้ทุกด้านอันได้แก่พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัยและ มีกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นสหวิทยาการ (Inter-disciplinary Learning) ด้วย ใ น บ า ง ต า ร า ก ล่ า ว ว่ า ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร คือห ลักสู ตรที่โครง สร้างของ เนื้ อห าวิช ามีลักษณ ะ เป็ น หั วข้อห รื อกิจกรรม ห รื อปั ญ ห า ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ที่ มี ใ ช้ อ ยู่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ต่ า ง ๆ ใ น เ อ เ ชี ย มีทั้งที่เป็นหลักสูตรบูรณาการเต็มรูปและไม่เต็มรูป มีหลายประเทศที่เห็นว่าวิชาประเภททักษะเช่น คณิตศาสตร์ และภาษาถ้าจะจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดี ควรจัดหลักสูตรเป็นแบบรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง 2. ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี ใน ก ารผส มผ สาน วิช าห รื อส าข าวิช าต่าง ๆ เพื่ อ ให้ ได้ห ลักสู ตรบู รณ าการนั้ น ถ้าจะให้ดีจริงๆนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพยายามให้เกิดบูรณาการในลักษณะต่อไปนี้โดยครบถ้วนคือ 1. บู ร ณ า ก า ร ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม รู้ แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้ แต่เดิมเมื่อสภ าพ และ ปัญ หาสังคมยังไม่สลับซับซ้อน และ ปริมาณเนื้ อห าก็ยัง ไม่มีมากนั ก การเรียนรู้ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่นการบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจา อาจทาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรในกรณีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับกระบวนการเรียนรู้เกือบไม่มีอยู่เลยและ การ เรี ย น รู้ก็นั บ ว่ามีป ระ สิ ท ธิ ภ าพ พ อ ส มค วร แ ต่ใ น ปั จจุ บัน ป ริ มาณ ค วามรู้ มีมาก
  • 4. สภ าพ แ ละ ปั ญ ห าสั ง ค มส ลับ ซับ ซ้อน การเรี ยน รู้จะ กระ ท าอ ย่าง เดิ มย่อ มไ ม่ได้ผล ดี ถ้าจะให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเราจาเป็นต้องให้กระบวนการการเรียนรู้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรู้ ทั้งนี้หมายความว่าผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนจะแสวงหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวนการอย่างไร 2. บู ร ณ าก า รร ะ ห ว่าง พั ฒ น าก า รท า ง ค ว ามรู้ แ ล ะ พั ฒ น าก าร ท า ง จิต ใ จ มีผู้ก ล่าว ต าห นิ ว่า ก าร ศึ ก ษ ามัก จ ะ ใ ห้ ค ว ามเอ าใ จ ใ ส่ ต่อ ก ารพั ฒ น าจิต ใ จ น้ อ ย ไ ป คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัยอันได้แก่ความรู้ความคิดและการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ค ว า ม ส น ใ จ และความสุนทรียภาพซึ่งตามความเป็นจริงแล้วทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยก็มีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แ ล ะ เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ย ก กั น ไ ม่ อ อ ก เพราะการเรียนรู้วิชาการหรือทักษะในด้านหนึ่งด้านใดโดยปราศจากความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งที่เรียน ย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางกลับกันถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจและประทับใจ ก็จะมุ่งมั่นในการเรียนและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุนี้การสร้างบูรณาการระหว่างความรู้และจิตใจจึ งเป็นสิ่งจาเป็น 3.บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทา การสร้างสหสัมพัน ธ์ระหว่างความรู้และ การกระทามีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสมจะปรากฏผลดีห รื อ ไ ม่ ย อ ม ขึ้ น อ ยู่ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ห รื อ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ข อ ง ผู้ เ รี ย น การแยกความรู้ออกจากการกระทาก็เหมือนกับการแยกหลักสู ตรออกเป็ นส่วนๆ ซึ่งเป็ นไปไม่ได้ ดังนั้นการบูรณาการความรู้และการกระทาเข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่จาเป็น 4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจาวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูต รดีห รื อไม่ดี คือผลที่เกิดแก่คุณ ภ าพ ของ ชีวิตผู้เรี ยน ด้วยเห ตุนี้ การบู รณ าการวิช าต่าง ๆ ในหลักสูตรเราจึงต้องแน่ใจว่าสิ่งที่สอนในห้องเรียนนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อชีวิตของผู้เรียนไม่ว่าผู้เรียน จ ะ อ ยู่ ที่ ใ ด ก า ร ที่ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้ หลักสูตรจะต้องกาหนดให้ความสนใจและความต้องการมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของผู้เรียน และให้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนการสอน 5.บูรณาการระหว่างวิช าต่างๆ ถ้าเรายอมรับว่าบูรณ าการระหว่างความรู้กับจิตใจ และระห ว่างความรู้กับการกระ ทาเป็ น สิ่ ง ที่จาเป็ น และสาคัญ และเป็ น สิ่ งที่สามารถทาได้ เราก็ย่อมจะ มอง เห็ น คว ามจาเป็ น แล ะ ค ว ามส าคัญ ขอ ง ก ารที่ จะ บู รณ าก าร วิช าต่าง ๆ
  • 5. เข้า ด้ ว ย กัน ซึ่ ง อ าจ ท าไ ด้ โ ด ย น า เอ าเนื้ อ ห าข อ ง วิช าห นึ่ ง มา เส ริ ม อี ก วิช า ห นึ่ ง เ พื่ อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ แ ล ะ เ กิ ด เ จ ต ค ติ ต า ม ที่ ต้ อ ง ก า ร หรือโดยกาหนดปัญหาหรือความต้องการของผู้เรียนเป็นหัวข้อแล้วกาหนดหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนการ สอนขึ้น โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชามาช่วยในการแก้ปัญหานั้น 3. รูปแบบของบูรณาการ ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร เ ท่ า ที่ มี อ ยู่ ใ น เ ว ล า นี้ มี 3 รู ป แ บ บ แ ต่ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง มั ก จ ะ มี ก า ร ผ ส ม กั น ร ะ ห ว่ า ง รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ ที่นามาจาแนกให้เห็นก็เพื่อความเข้าใจว่าพื้นฐานที่แท้จริงของแต่ละรูปแบบนั้นเป็นอย่างไร 1. บูรณาการภายในหมวดวิชา เราได้ทราบแล้วว่าหลักสูตรกว้างนั้นเป็ นหลักสูตรที่ได้มี การนาเอาวิชาหลายๆ วิชามารวมกันในลักษณะที่ผสมกลมกลืน แทนที่จะนาเอาเนื้อวิชามาเรียงลาดับกันเฉยๆ ตัวอย่างเช่น ใน วิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้มีการน าเอาเนื้ อหาวิช าฟิ สิ กส์ เคมี ชีววิทยา มารวมกัน และต่อมาก็นาเอาวิชาโภชนาการ สุขศึกษา และสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานด้วย หรือในวิชาสังคมศึกษา ก็ น า เ อ า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ภู มิ ศ า ส ต ร์ ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง จ ริ ย ศึ ก ษ า ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ 2. บูรณาการ ภายในหัวข้อ และโครงการ หลายประเทศในเอเชียนิยมใช้วิธีการแบบนี้คือ การนาเอาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไป ม า ผ ส ม ผ ส า น กั น ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ เ ป็ น หั ว ข้ อ ห รื อ โ ค ร ง ก า ร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนและในแต่ละหัวข้อจะมีการแบ่งเป็นหน่วยการเรียน (Unitsof Learning) ด้วยทาให้เกิดหลักสูตรบูรณาการที่เราเรียกว่า หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม ( TheSocialProcessand Life Function Curriculum) 3. บูรณาการโดยการผสมผสาน ปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และของสังคม ห ลั ก สู ต ร ที่ ใ ช้ ก า ร ผ ส ม ผ ส า น แ บ บ นี้ ความจริงก็มีรูปแบบเหมือนอย่างสองแบบแรกที่ได้กล่าวมาแล้วคืออาจผสมผสานภายในหมวดวิชาหรือภายในหั ว ข้ อ แ ล ะ โ ค ร ง ก า ร ก็ ไ ด้ สิ่ ง ที่ แ ต ก ต่า ง อ อ ก ไ ป คื อ หั ว ข้ อ ห รื อ ห น่ ว ย ก า ร เ รี ย น หรือโครงการจะเน้นการแก้ปัญหาชีวิตประจาวันของผู้เรียนไม่ว่าปัญหาส่วนตัว ปัญหาชุมชน ปัญหางานอาชีพ ปัญหาสังคม ฯลฯ ตัวอย่างของหัวข้อหรือหน่วยการเรียนได้แก่ “มลภาวะจากอากาศ น้ าและเสียง” “การตกต่าของผลผลิตทางการเกษตรกรรม” “การตัดไม้ทาลายป่าและการทาลายทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ” “สภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ” “โรคที่สาคัญ” ฯลฯ
  • 6. ในการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นนี้ ผู้เรียนจาเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา ร ว ม ทั้ ง ต้ อ ง มี ทั ก ษ ะ ที่ จ า เ ป็ น ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ด้ ว ย ก า ร เ รี ย น รู้ จึ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น บู ร ณ า ก า ร เนื่ อ ง จ า ก ต้ อ ง ผ ส ม ผ ส า น วิช า ต่า ง ๆ ในการแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฏชัดในการเรียนรู้ 2. หลักสูตรกว้าง ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง ( The Broad-Field Curriculum) เป็ น ห ลั ก สู ต ร อี ก แ บ บ ห นึ่ ง ที่ พ ย าย า ม แ ก้ไ ข จุ ด อ่อ น ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า โด ยมี จุด มุ่ง ห มาย ที่ จ ะ ส่ ง เส ริ ม ก าร เรี ยน ก าร ส อ น ใ ห้ เป็ น ที่ น่ าส น ใ จ แ ล ะ เร้ าใ จ ช่วยใ ห้ผู้เรี ยน มีความเข้าใจและ สามารถปรับตน ใ ห้เข้ากับสภ าวะ แวดล้อมได้เป็ น อย่าง ดี ร ว ม ทั้ ง ใ ห้ มี พั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ทุ ก ด้ า น ก ล่า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ พ ย า ย า ม จ ะ ห นี จ า ก ห ลั ก สู ต ร ที่ ยึ ด วิ ช า เ ป็ น พื้ น ฐ า น มีค รู ห รื อผู้ส อน เป็ น ผู้สั่ ง การ แต่เพี ยง ผู้เดี ยว วิช าต่าง ๆ ที่ แ ยก จ าก กัน เป็ น เอก เท ศ จ น ท า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่า ง วิ ช า เ ห ล่ า นั้ น ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนาเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน 1. วิวัฒนาการของหลักสูตร หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ จากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์ (Thomas Huxicy) ส อ น เด็ ก ที่ เรี ยน อ ยู่ใ น โ รง เรี ยน ใ น ราช ส านั ก ( The Royal Insutunon) ที่ น ค รล อ น ด อ น วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้าเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกาเริ่มนาเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1914 โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst Collge) จัดทาเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Socialand EconomicInstitions) ต่อมาในปี ค.ศ.1923 มหาวิทยาลัยชิคาโก (Universityof Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ วิช าเข้าด้วยกัน ได้แ ก่ วิช าการคิ ดแบบ แก้ปั ญ ห าขั้น น า (Introduction to Reflective Thinking) ธรรมชาติของโลกและมนุษย์ (The Natureof the World and of Man) มนุษย์ในสังคม (Man in Society) แ ล ะ ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ ค่ า นิ ย ม ข อ ง ศิ ล ป ะ ( The Meaning and Value of the Arts) ใน ช่วงเวลาเดียวกัน นั้น โรงเรียนมัธยมของสห รัฐอเมริกาเริ่มน าเอาห ลักสูตรแบบกว้างมาใช้ ทาใ ห้ เกิดห มวดวิช าต่าง ๆ ขึ้ น เช่น สั งคม ศึกษา วิทยาศาส ตร์ ทั่วไป พ ลศึ กษา ศิลป ะ คณิ ต ศาส ตร์ ทั่ว ไป แ ล ะ ภ าษ าใ น ต อ น แ รก ๆ ก ารจัด เนื้ อ ห าใ ช้ วิธี จัด เรี ย ง กัน เฉ ย ๆ
  • 7. ไม่มีก าร ผ ส มผ ส าน กัน แต่อ ย่าง ใ ด ท าใ ห้ การ เรี ยน ก าร ส อ น ไม่บ ร รลุ จุด ป ร ะ ส ง ค์ เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกาหนดหัวข้อขึ้นก่อน แล้วจึงคัดเลือกเนื้ อหาที่สามารถสน องจุดประสงค์จากวิช าต่าง ๆ น ามาเรียง กัน อีกต่อหนึ่ ง วิธี นี้ ทาให้ การเรียน การสอน บ รรลุจุดประ สง ค์ได้ ขณ ะ เดียวกัน ก็มีผลพ วงตามมา คื อ เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ห ม ด ไ ป เ นื้ อ ห า วิ ช า ผ ส ม ผ ส า น กั น ม า ก ขึ้ น ซึ่งในที่สุดได้นาไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Cumculum) ประเทศไทยได้นาห ลักสูตรมาใช้เป็ นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503โดยเรียงลาดับเนื้ อหาต่างๆ ที่ มี ค ว า ม ค ล้ า ย ค ลึ ง กั น เ ข้ า ไ ว้ ใ น ห ลั ก สู ต ร แล ะ ใ ห้ ชื่ อ วิช าเสี ยใ ห ม่ใ ห้ มีค วามห มายก ว้าง ค รอ บ ค ลุ มวิช าที่ น ามาเรี ยง ล าดับ ไ ว้ ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษาพ.ศ.2503ได้มีการนาเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรมหน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลาดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น 2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร 1. จุ ด ห ม าย ข อ งห ลั กสู ต ร มี ข อบ ข่ าย ก ว้ างข ว างก ว่ าห ลั ก สู ต รร าย วิ ช า ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย จะเห็นได้จากการที่จุดหมายของหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503 ค ร อ บ ค ลุ มก าร ฝึ ก อ บ ร มเ พื่ อ น า ไป สู่ คุณ ลั ก ษ ณ ะ ที่ เกี่ย ว กับ ก าร ต ร ะ ห นั ก ใ น ต น มนุษย์สัมพันธ์ความสามารถในการครองชีพ และความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง 2.จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นามารวมกันไว้ ตัวอย่าง เช่น ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ได้กาหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนาเอาจุดประสงค์ทั้งหมด (ซึ่งในหลักสูตรเรียกว่าความมุ่งหมาย) มาเสนอไว้ในที่นี้ด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2503หน้าที่ 1) 1. ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม 2.ให้เด็กมีความรู้และความรู้สึ กซาบซึ้ งใน ความเป็ น มาใน การเมืองของ สังคม และทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละชาติได้สร้างสมกันมาตามประวัติศาสตร์ 3. ให้เด็กยอมรับคุณค่าในทางศีลธรรมและวัฒนธรรม และยินดีปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ 4. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ว่ า ส มาชิ ก ข อ ง สั ง ค มย่อ มมีห น้ าที่ อ าน วย ป ร ะ โยช น์ ใ ห้ แ ก่สั ง ค มตามวิถี ท าง ข อ ง เข า
  • 8. สอนให้เด็กได้รู้จักเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น โดยไม่คานึงถึง เชื้อชาติศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ และฐานะทางสังคมของบุคคลนั้น 5. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ระหว่างบุคคลกับระบอบการปกครองในปัจจุบัน 6. ใ ห้ เด็ ก รู้จัก สิ ท ธิ แ ล ะ ห น้ าที่ ต ล อ ด จน ค ว ามรับ ผิ ด ช อ บ ซึ่ ง พ ล เมือ ง แ ต่ ล ะ ค น พึ ง มี ต่อ สั ง ค ม ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น เ รื่ อ ง ค ว า ม มั่ น ค ง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติ 7.ให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการผลิต การบริโภค และการสงวนทรัพยากรของสังคม 8. ใ ห้ เ ด็ ก รู้ จั ก เ ห ตุ ผ ล รู้ จั ก ป ร ะ เ มิ น ผ ล ยอมรับหลักการและกระบวนการที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา 3. โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนาเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้ วมาเรียงลาดับกันเข้า โ ด ย ไ ม่ มี ก า ร ผ ส ม ผ ส า น กั น แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด ห รื อ ถ้ า มี ก็ น้ อ ย ม า ก อย่างไรก็ตามห ลักสู ต รนี้ เมื่อได้รับการดัด แปลง ใ ห้ เป็ น ห ลักสู ต รบู รณ าการ วิช าต่าง ๆ จะผสมผสานกันกันจนหมดความเป็นเอกลักษณ์ ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร ก.ส่วนดี 1. เป็นหลักสูตรที่ทาให้วิชาต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น 2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดวามเข้าใจ และมีทัศนะคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น 3.เป็ นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง เป็นการเอื้ออานวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ข.ส่วนเสีย 1. ห ลัก สู ต รนี้ ถึง แม้ว่าพ ย าย ามจะ ใ ห้ เอ ก ลัก ษ ณ์ ข อ ง แต่ล ะ วิช าห มดไ ป แต่ก็ยัง ไม่ส ามารถท าใ ห้เนื้ อห าของ วิช าต่าง ๆ เห ล่านั้ น ผส มผส าน กัน จน เป็ น เนื้ อเดียว ดั ง นั้ น ใ น ก า ร ผู้ ส อ น จึ ง มี แ น ว โ น้ ม ที่ จ ะ รั ก ษ า เอ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ล ะ วิช า ไ ว้ ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาขาดหายไป 2.ลักษณะของหลักสูตรทาให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เข้าทานองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
  • 9. 3. เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก สู ต ร ค ร อ บ ค ลุ ม วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า ผู้สอนจึงอาจสอนไม่ดีเพราะขาดความรู้บางวิชานอกจากนี้ในการเตรียมการเรียนการสอนจะต้องใช้เวลามาก เพราะเท่ากับต้องเตรียมสอนหลายวิชา แทนที่จะสอนวิชาเดียวอย่างที่สอนหลักสูตรรายวิชา 4. การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน 3. หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรประสบการณ์ (TheExperienceCurriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ไ ม่ ว่ า จ ะ เ ป็ น ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ห รื อ ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง ล้ ว น ไ ม่ส่ ง เส ริ ม ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ส น ใ จ แ ล ะ ก ร ะ ตื อ รื อ ร้ น ใ น ก า ร เ รี ย น เท่ า ที่ ค ว ร พื้ น ฐ าน ค วาม คิ ด ขอ ง ห ลัก สู ต รนี้ มีมาตั้ ง แ ต่ส มัยรุ ซ โซ (Rousseau) แ ละ เพ ล โต ( Plato) แต่ได้นามาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แ ร ก ที่ เดี ย ว ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ชื่ อ ว่า ห ลั ก สู ต ร กิ จ ก ร ร ม ( The Activity Curriculum) ที่เปลี่ยน ชื่อไปก็เนื่ องจากได้มีการแป ลเจตน ารมณ์ ของห ลักสู ตรผิดไ ป จากเดิม กล่าวคือ มี บุ ค ค ล บ า ง ก ลุ่ ม คิ ด ว่า ถ้ า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ท า กิ จ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ ด้ ว ย ต น เ อ ง แ ล้ ว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรผู้เรียนก็จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เข้าทานองว่าขอให้ทากิจกรรมก็เป็นใช้ได้ ( Activity for activity sake) ด้ ว ย เ ห ตุ นี้ จึ ง ไ ด้ มี ก า ร คิ ด ว่า ค ว ร เ ป ลี่ ย น ชื่ อ เ สี ย ใ ห ม่ ประกอบกันในระยะนั้นทฤษฎีเปลี่ยนชื่อเป็นหลักสูตรประสบการณ์ ต่อมาภายหลังเมื่อ วิลเลี่ยมคิลแพทริก ( William Kilpatrick) นาเอาความคิดเรื่องการจัดประสบการณ์ในรูปการสอนแบบโครงการเข้ามาหลักสูตรนี้ก็ได้ชื่อเพิ่มขึ้นอีกชื่อหนึ่ง ว่ า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ( The Project Curriculum) อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในที่นี้เราจะใช้ชื่อหลักสูตรประสบการณ์เพียงชื่อเดียว 1. วิวัฒนาการของหลักสูตร ห ลักสู ตรป ระ สบ การณ์ ถูกน ามาใช้ครั้ งแรกที่ โรงเรียน ทดลอง (Laboratory School) ของ มหาวิทยาลัยซิคาโก ป ระ เทศส หรัฐอเมริ กา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์ น และ แมรีดิวอี้ พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ 1. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง สั ง ค ม ( Social Impulse) ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้เรียนมีความปรารถนาที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อน
  • 10. 2. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ( Constructive Impulse) ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้เรียนไม่อยู่นิ่งชอบเล่น ชอบทากิจกรรม ชอบเล่นสมมุติ ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ฯลฯ 3.แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง (Impulse to Investigateand Experiment) หมายถึง ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งอยากทดลองทาสิ่งที่ตนสงสัย จะเห็นได้จากการที่ผู้เรียนชอบรื้อค้นสิ่งต่างๆ และเล่นกับสิ่งที่อาจจะเป็นอันตราย เช่น เอามือไปแหย่ไฟด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น 4.แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคาพูด การกระทาและทางศิลปะ (Expressiveor Artistic Impulse) ได้แก่การแสดงออกในด้านการขีดเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นดนตรี ฯลฯ จ อ ห์ น ดิ ว อิ ถื อ ว่า แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ทั้ ง 4 อ ย่ า ง นี้ ผู้ เ รี ย น มี อ ยู่ พ ร้ อ ม และจะนาออกมาใช้ตามขั้นของพัฒนาการของตน ดั้งนั้นถ้าจะให้ผู้เรียนรู้และมีทักษะในด้านหนึ่งด้านใด ก็ควรเริ่มต้น จากกิจกรรมที่เป็ น แรงกระตุ้นอยู่แล้ว และถ้าจะ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น กิจกรรมต่างๆ เ ห ล่ า นั้ น ค ว ร มี ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย โดยเฉพาะควรเป็นกิจกรรมประเภทการงานที่มีประโยชน์ต่อชีวิติประจาวัน เช่น งานประกอบอาหาร งานเย็บปักถักร้อย และงานช่าง เป็ นต้น สาหรับทักษะต่างๆ เช่น การอ่าน การเขียนและการคิดเลข ควรเป็นผลที่เกิดจากการกระทากิจกรรมต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วโดยที่เด็กหรือผู้เรียนมองเห็นด้วยตนเองว่า ถ้าจะทากิจกรรมให้เกิดผลดีก็จาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ใ น ปี ค .ศ . 1904 นั ก ก า ร ศึ ก ษ า อี ก ท่ า น ห นึ่ ง ชื่ อ มิ เ รี ย ม ( J.L Meriam) ได้ทดลองนาหลักสูตรประสบการณ์ไปใช้ในโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยมิสซูรี (Universityof Missouri) โดยกาหนดขอบเขตของหลักสูตรให้คลอบคลุมกิจกรรม 4อย่างคือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการสังเกตพิจารณา กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเล่น กิจกรรมที่เกี่ยวกับนิ ยายและเรื่องราวต่างๆ และกิจกรรมที่เกี่ยวกับ การทางานด้วยมือ หลักการของหลักสูตรก็เหมือนกันกับของจอห์น ดิวอี้ คือใช้ทักษะในการอ่าน เขียน คิดเลข เป็นเครื่องส่งเสริมประสิทธิภาพในการทากิจกรรม ในปี ค.ศ. 1918นักการศึกษาอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ งคือ วิลเลียมคิลแพทริก (W.H. Kilpatrick) ไ ด้ เ ขี ย น บ ท ค ว า ม ชื่ อ วิ ธี ส อ น แ บ บ โ ค ร ง ก า ร ( The Project Method) เป็นผลให้หลักสูตรประสบการณ์ในรูปแบบของโครงการถูกนามาใช้อย่างแพร่หลายในชั้นประถมศึกษาแต่ในชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห ลั ก สู ต ร นี้ ไ ม่ ป ร ะ ส บ ผ ล ส า เ ร็ จ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูและผู้บริหารยังคงถูกอิทธิพลของหลักสูตรรายวิชาครอบงาอยู่ อย่าง ไรก็ตาม ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ ได้รับ ความนิ ยมอยู่ไม่น าน ก็ซ บเซ าไป ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของหลักสูตรนี้มีมาก และปัญหาบางอย่างก็ยังแก้กันไม่ตก ดังจะได้กล่าวต่อไป
  • 11. สาหรับประเทศไทยได้มีการศึกษาเกี่ยวกับวิธีสอนแบบโครงการในสถานศึกษาฝึกหัดครูก่อน พ.ศ. 2500 เ สี ย อี ก แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ มี ก า ร จั ด ท า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ขึ้ น ใ ช้ ได้มีการนาเอาวิธีสอนแบบโครงการมาทดลองใช้บ้างในบางที่บางแห่ง แต่ก็เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น 2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร 1.ความสนใจของผู้เรียน เป็นตัวกาหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร ลักษณะข้อนี้หมายความว่า จ ะ ส อ น อ ะ ไ ร เ มื่ อ ใ ด และจะเรียงลาดับการสอนก่อน หลังอย่างไรขึ้นอยู่กับความสน ใจและความต้องการของผู้เรียน ก ล่ า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทาเป็นกิจกรรมที่เขามองเห็นความจาเป็นและประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่สนใจเพราะเห็น ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานและไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ แ น ว ค ว า มคิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ว่า เ ว ล า ที่ ผู้เ รี ย น ท า กิจ ก ร ร ม ใ ด ๆ ก็ ต า ม ผู้เรี ยน ย่อมห วัง ผลอ ย่าง ใด อย่าง ห นึ่ ง ไม่ใ ช่ท าขึ้ น ลอยๆ โดยปราศ จากความมุ่ง ห มาย คว ามส น ใ จข อ ง ผู้เรี ยน ย่อ มมีอ ยู่แ ล ะ เป็ น ห น้ าที่ ขอ ง ผู้ส อ น ที่ จะ ต้อ ง ค้น ห าใ ห้ พ บ แล้ว ใ ช้เป็ น บัน ได ใ น ก าร ส ร้ าง กิจก รร มที่ เป็ น ป ระ โย ช น์ ท าง ก ารศึ ก ษ าแ ก่ผู้เรี ย น แนวความคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรประสบการณ์ประกอบด้วยกิจกรรมอันจะนาไปสู่ความสนใจใหม่และกิจกร รมใหม่ต่อเนื่องกัน ไป อย่างไรก็ตามปัญหาสาคัญ ที่ควรเอาใจใส่ก็คือความสน ใจของผู้เรียน ในเรื่องนี้ เราจะต้องระวังอย่าเอาไปปะปน กับสิ่งที่เขาเห่อหรือนิยมชมชอบเพียงชั่วครั้งชั่วคราว พึงเข้าใจว่าความสนใจที่แท้จริงนั้นจะต้องประกอบด้วยจุดมุ่งหมายที่แน่นอนและเมื่อได้ทราบความสนใจที่แท้จ ริงแล้ว จึงใช้เป็นพื้นฐานในการวางแผนการสอนต่อไป ห ลัก ที่ ว่าแ ผน ก าร ส อ น ขึ้ น อยู่กับ คว าม ส น ใ จแ ล ะ คว าม ต้อ ง ก าร ขอ ง ผู้เรี ย น ชี้ให้เห็นว่าเนื้อหาวิชาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะสนองความมุ่งหมายหรือความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลและของ ห มู่ ค ณ ะ เ ป็ น ก า ร ต ร ง กั น ข้ า ม กั บ ทั ศ น ะ ดั้ ง เ ดิ ม ที่ ว่ า ความมุ่งหมายและความสนใจของผู้เรียนเปรียบเสมือนเครื่องช่วยให้ผู้เรียนสามารถเป็นวิชาที่ผู้ใหญ่กาหนดให้เรี ย น ไ ด้ ดี ขึ้ น ในที่นี้เนื้อวิชามีประโยชน์ในการกาหนดลักษณะของกิจกรรมที่จะตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจข อ ง ผู้ เ รี ย น ซึ่ ง ห ม าย ค ว า ม ว่า ค ว า ม รู้ เกิ ด ขึ้ น จ าก ผ ล ข อ ง ก า ร ก ร ะ ท าข อ ง ผู้ เรี ย น เ ป็ น ก า ร ก ร ะ ท า เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ต น ก ล่ า ว คื อ ในระหว่างที่ทากิจกรรมนั้นผู้เรียนจะเกิดความต้องการความรู้ และเมื่อได้ศึกษาเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง ก็ทาให้เรียนสิ่งที่ต้องการ
  • 12. อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ปั ญ ห า ที่ ผู้ ส อ น ยั ง ต้ อ ง เ ผ ชิ ญ อ ยู่ ก็ คื อ จ ะ ท า อ ย่า ง ไ ร กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ผู้ เ รี ย น แ ต่ล ะ ค น แ ล ะ ทั้ ง ห ม ด ใ น ชั้ น เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องค้นหาความสนใจทั้งสองประเภทนี้เสียก่อนแล้วช่วยให้ผู้เรียนเลือกว่าอะไรคือควา ม ส น ใ จ ที่ แ ท้ จ ริ ง อะไรที่มีคุณค่าสาหรับส่วนรวมและแต่ละคนทั้งนี้เพื่อจะได้สามารถสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรี ยนได้อย่างเต็มที่ 2. วิ ช า ที่ผู้ เรี ย น ทุ ก ค น ต้ อ งเรี ย น คื อ วิช าที่ ผู้เรี ย น มี ค วาม ส น ใ จ ร วมกัน ความสน ใ จรวมกัน จะ ต้อง อาศัยความรู้เรื่ อง พัฒ น าการของเด็ก รวมทั้งพื้ น ฐาน ครอบครัว ซึ่ ง จ ะ ชี้ ถึ ง ค่ า นิ ย ม ล ะ ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย เมื่อทราบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่สนใจอะไรก็นาเอามาจัดเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนขึ้น ก า ร ที่ ต้ อ ง อ า ศั ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ห ลั ก ทาให้เห็นความแตกต่างระหว่างหลักสูตรประสบการณ์กับหลักสูตรรายวิชา และหลักสู ตรแกน โ ด ย ที่ เ นื้ อ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ห ลั ง ทั้ ง ส อ ง แ บ บ จ ะ ถู ก ก า ห น ด ไ ว้ล่ว ง ห น้ า แต่ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ กาห น ด เนื้ อห าจาก ความส น ใ จขอ ง ผู้เรี ยน เป็ น คราวๆ ไป น อ ก จ า ก นี้ ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ยั ง อ า ศั ย ค ว า ม รู้ เ ป็ น ก ร อ บ และหลักสูตรแกนก็อาศัยปัญหาสังคมเป็นกรอบซึ่งต่างกับหลักสูตรประสบการณ์โดยสิ้นเชิง 3. โป รแกรมการสอน ไม่ ได้ กาห น ด ไว้ ล่ ว งห น้ า ที่กล่าวเช่น นี้ ห มายความว่า ใ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ผู้ ส อ น ไ ม่ส าม า ร ถ ก า ห น ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เรี ย น ไ ว้ล่ว ง ห น้ า แ ต่ ทั้ ง นี้ มิ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ผู้ ส อ น ไ ม่ เ ต รี ย ม ตั ว ก า ร ส อ น เ ล ย อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้เรียนต้องกระทาก่อนการสอนก็คือ การสารวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น และ ช่วยผู้เรียน ใ น ก ารตัดสิ น ใ จว่าค วามส น ใ จเรื่ อง ใ ดมีคุณ ค่าควรแก่การศึ กษา อนึ่ ง เมื่อ ล ง มือ ส อ น ห น้ า ที่ ข อ ง ผู้ ส อ น ก็ คื อ ก า ร ช่ว ย ผู้ เรี ย น ว่าง แ ผ น กิ จ ก ร ร มต่าง ๆ และช่วยในการประเมินผลกิจกรรมที่ทาไปแล้ว 4 . ใ ช้ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า เ ป็ น ห ลั ก ใ ห ญ่ ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ดังได้กล่าวแล้วว่าในหลักสูตรประสบการณ์ผู้สอนและผู้เรียนรวมกันพิจารณาตัดสินว่าควรจะทากิจกรรมอะไร จึงเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มแรกก็มีปัญหาต้องขบคิดกันแล้ว คือปัญหาที่ว่าจะทาอะไร อย่างไร และเมื่อใด จ ะ ต้ อ ง อ า ศั ย อ ะ ไ ร เ ป็ น เ ค รื่ อ ง ช่ ว ย เ พื่ อ ใ ห้ ก า ร ก ร ะ ท า ส า เ ร็ จ ผ ล ปั ญ ห า แ ล ะ อุ ป ส ร ร ค ที่ จ าเ ป็ น ต้ อ ง แ ก้ไ ข เป็ น ก า ร ล่ว ง ห น้ า มี อ ะ ไ ร บ้ า ง ฯ ล ฯ สิ่ ง ดัง ก ล่าว นี้ ชี้ ใ ห้ เห็ น ว่าก าร ส อ น ต ามห ลัก สู ต รป ร ะ ส บ ก าร ณ์ ไม่ใ ช่เป็ น เรื่ อ ง ง่าย
  • 13. ไ ม่ ใ ช่ เ ป็ น ก า ร บ อ ก วิ ช า แ ก่ ผู้ เ รี ย น โ ด ย ต ร ง จริ ง อยู่การบ อกวิช าอาจมีบ้าง เป็ น ค รั้ง คราวแ ต่ไม่ใ ช่เป็ น หั วใ จของ การเรี ยน ก ารสอ น ถ้าผู้เรียนจะได้รับความรู้อะไรจากการบอกเล่าก็ควรเป็นในแง่ที่ความรู้นั้นจะช่วยกระตุ้นหรือส่งเสริมการแก้ปัญ ห าที่ ก า ลัง ท าอ ยู่ คุ ณ ค่าข อ ง ห ลัก สู ต ร ไม่ได้ อ ยู่ที่ ค าต อ บ ที่ ไ ด้จ าก ก าร แ ก้ปั ญ ห า แ ต่อ ยู่ที่ ผ ล ซึ่ ง ผู้ เรี ย น ไ ด้ รั บ จ า ก ก า ร ที่ มี ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า นั้ น โ ด ย ใ น ดั ง ก ล่ า ว วิ ช า จึ ง เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ส า ห รั บ ใ ช้ แ ก้ ปั ญ ห า แ ล ะ ด้ ว ย เห ตุ ผ ล นี้ ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ จึ ง ใ ช้ วิช า เ กื อ บ ทุ ก วิช า เ ข้ า ช่ ว ย สุดแท้แต่ว่าปัญหาจะพาดพิงถึงหรือต้องอาศัยวิชาใด ขณะเดียวกันผู้เรียนก็จะได้เรียนรู้วิชาต่างๆ และฝึกทักษะไปด้วยในระหว่างที่ทาการแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะในเมื่อความสนใจได้เกิดขึ้นแล้ว 3. ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์ ดัง ได้กล่าวแล้วว่าห ลักสู ตรประ สบการณ์ อาศัยความสน ใ จของ ผู้เรียน เป็ น ห ลัก ในการจัดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนั้นจึงสร้างปัญหาแก่ผู้ใช้หลักสูตรอย่างมาก ที่สาคัญคือ 1. ปัญหาการกาหนดวิชาในหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์นาเอาแนวความคิดใหม่มาใช้ คือแทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา กลับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลัก เมื่อเป็ น ดังนี้ จึงเกิดปั ญ ห าว่าผู้เรียน จะ ได้เรี ยน อะ ไร การกาห น ดเนื้ อห าย่อมท าได้ยาก ประสบการณ์ที่จัดให้ตามความสนใจอาจไม่ใช่ประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่จาเป็นก็ได้นอกจากนี้การที่ยึดความส นใจเป็นหลักอาจเกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของประสบการณ์รวมทั้งความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย ปัญหาที่สาคัญอีกปัญหาหนึ่ งก็คือ ครูหรือผู้สอน อาจเผลอน าเอาความสนใจของตนมาสรุปว่า เป็นความสนใจของผู้เรียน ถ้าหากเป็นดังว่าก็เท่ากับได้ทาลายหลักการของหลักสูตรนี้โดยสิ้นเชิง 2. ปัญ ห าการจัด แบ่ งวิชาเรีย น ใน ชั้ น ต่ างๆ ใ น การจัด แบ่ง เนื้ อห าใน ชั้ น ต่าง ๆ หลักสูตรประสบการณ์ใช้หลักเดียวกันกับหลักสูตรรายวิชา คือพิจารณาจากวุฒิภาวะ ประสบการณ์เดิม เนื้ อ ห าวิช าที่ เรี ย น มาแ ล้ว ค วา มส ม ใ จ ป ระ โ ย ช น์ แ ล ะ ค ว ามย าก ง่าย ข อ ง เนื้ อ ห า ข้อแตกต่างมีว่าหลักสูตรประสบการณ์ไม่ได้คิดเพียงการนาเอาเนื้อหาวิชามาเรียนลาดับกันเท่านั้น แต่จะพิจารณาด้วยว่าเนื้อหาอะไรที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด ปัญหานี้ยังหาคาตอบที่พอใจไม่ได้ แ ร ก ที เ ดี ย ว ก็ เ ข้ า ใ จ กั น ว่ า ก า ร จั ด แ บ่ ง วิ ช า ใ น ชั้ น ต่ า ง ๆ ต า ม แ น ว คิ ด ข อ ง คิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ไ ม่น่ า จ ะ มี ปั ญ ห า อ ะ ไ ร เพราะตราบใดที่ผู้สอนและผู้เรียนมีอิสรเสรีในการเลือกกิจกรรมด้วยตัวเองแล้วปัญหาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้ น
  • 14. ค รั้ น เ มื่ อ ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ก ลั บ ป ร า ก ฏ ว่า มี ปั ญ ห า ม า ก เ ป็ น ต้ น ว่ า ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้าๆ กันทุกปี ไ ด้ มี ก า ร แ ก้ ไ ข โ ด ย ก า ร จั ด ท า ต า ร า ง ส อ น ข อ ง แ ต่ ล ะ ปี ขึ้ น แ ต่ ก็ ไ ม่ไ ด้ ผ ล เพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ควรทาอะไรกัน 4. หลักสูตรรายวิชา ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า (The Subject Curriculum) เป็ น ห ลักสู ต รที่ ใ ช้กัน ม าแ ต่ดั้ ง เดิม ไม่เฉ พ าะ แ ต่ใ น ยุโรป ห รื อส ห รัฐอ เมริ ก าเท่านั้ น ป ร ะ เ ท ศ ใ น เ อ เชี ย ร ว ม ทั้ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ก็ ไ ด้ ใ ช้ ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ม า แ ต่ ต้ น การที่ เรี ยน กว่าห ลักสู ต รรายวิช าก็เนื่ อ ง จากโค รง ส ร้าง ข อง เนื้ อ ห าวิช าใ น ห ลักสู ต ร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จาเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน ส า ห รั บ เนื้ อ ห า ที่ คั ด ม า ถื อ ว่า เป็ น เ นื้ อ ห า ที่ ส า คั ญ แ ล ะ จ า เ ป็ น ต่อ ก า ร เรี ย น รู้ หลักสู ต รข อง ไท ยเราที่ ยัง เป็ น ห ลักสู ตรรายวิช า ได้แก่ ห ลัก สู ตรมัธยมแ ละ อุดมศึกษ า แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนาเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป 1. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร 1.จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ ดั ง นั้ น โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้ 2. จุ ด มุ่ง ห มาย ข อ ง ห ลัก สู ต ร อ าจ มีส่ ว น สั มพั น ธ์ กับ สั ง ค ม ห รื อ ไ ม่ก็ ไ ด้ และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คานึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก 3. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ใ น ห ลั ก สู ต ร เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสาคัญ 4. โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง เ นื้ อ ห า วิ ช า ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน 5.กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจาเนื้อหาวิชา ก า ร ส่ ง เส ริ มพั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น อื่ น ๆ ถื อ ว่า เป็ น เรื่ อ ง กิ จ ก ร ร ม น อ ก ห ลั ก สู ต ร หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา 6. การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
  • 15. 2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร ก.ส่วนดี 1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย 2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลาดับขั้นอย่างมีระบบ เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน 3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทาให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง 4. การประเมินผลการเรียนทาได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสาคัญ ข.ส่วนเสีย 1.เนื่องจากจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้ตามเนื้ อหาที่กาหนดไว้ ดั ง นั้ น จึ ง มั ก ล ะ เ ล ย ต่ อ ส ภ า พ แ ล ะ ปั ญ ห า ข อ ง สั ง ค ม แ ล ะ ท้ อ ง ถิ่ น ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้ 2.การเน้นเนื้อหา ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร น อ ก จ า ก นี้ ก า ร ที่ มุ่ ง ใ ห้ จ า เ นื้ อ ห า ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการคิดทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะหย่อนไป 3. ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ท า ใ ห้ ผู้ ส อ น ล ะ เ ล ย ก า ร เ รี ย น รู้ อื่ น ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่า การเรียนที่เป็นผลพวง (Concomitant Learning) ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ผู้เรียนก็ได้ 4. ก า ร ที่ ห ลั ก สู ต ร จั ด แ ย ก วิ ช า ต่ า ง ๆ ออกเป็ น เอกเทศโดยไม่สัมพันธ์กัน ทาให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียน อัน จะ น าไป สู่ จุด ห ม ายข อง ห ลักสู ตรสิ่ ง ที่ ม อง เห็ น ก็คื อ จุด ป ระ ส ง ค์ ขอ ง แ ต่ละ วิช า ซึ่ ง ก ร ะ จั ด ก ร ะ จ า ย แ ย ก กั น เ ป็ น อิ ส ร ะ เ ป็ น ก า ร ส ร้ า ง ทั ศ น ะ แ ค บ ๆ ในด้านการเรียนรู้ซึ่งเท่ากับบั่นทอนความอยากรู้ไปในตัว 5.ถึงแม้ว่าหลักสูตรแบบนี้ จะมีการจัดโครงสร้างและลาดับของเนื้อหาอย่างมีระบบ แ ต่ ก็ มั ก จ ะ ล ะ เ ล ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ทั้ ง นี้ ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ที่ ว่ า การจัดเนื้อหานั้นจะยึดหลักเหตุผลในด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คานึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ พัฒนาการและความต้องการของผู้เรียนแต่อย่างใด ซึ่งเท่ากับการแยกความรู้และความสนใจออกจากกัน ดังนั้นการเรียนจึงไม่เกิดผลสูงสุด เพราะผู้เรียนขาดความสนใจในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนตั้งแต่ต้นแล้ว 6. กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ จ ะ จ า กั ด อ ยู่ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผู้ ส อ น เ ป็ น ผู้ ใ ห้ แ ล ะ ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ผู้ รั บ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย
  • 16. บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจากัดให้อยู่ในวงแคบ ทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน 3. การปรับปรุงหลักสูตร เนื่องจากหลักสูตรรายวิชามีข้อบกพร่องหลายประการดังกล่าวแล้วจึงได้มีการปรับปรุงแก้ไข วิธีการที่ทามี 2 วิธี คือ 1. จั ด เ รี ย ง ล า ดั บ เ นื้ อ ห า ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง กั น ( Articulation) คื อ จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้ การจัดมีอยู่ 2 แบบ คือ ก . จั ด ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง ต า ม แ น ว น อ น ( Horizontal Articulation) ห ม า ย ถึ ง การจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่ งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่ ง ซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน เช่น กาหนดเนื้อหาเรื่องปฏิภาคไว้ในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาเอาความรู้ไปใช้ในการคานวณในเรื่อง กฎของก๊าซ ซึ่งจัดไว้คู่ขนานกันในวิชาวิทยาศาสตร์ หรือจัดเนื้อหารายวิชาวรรณคดีไทยในกรุงศรีอยุธยา ไว้คู่ขนานกับประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาในชั้นเดียวกัน และให้เรียนในเวลาใกล้เคียงกันด้วย ข.จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง (VerticalArticulation) หมายถึง การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน คือ ระหว่างชั้นต่ากับชั้นสูงโดยทาให้เกิดความต่อเนื่องของวิชา ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษา แ ล ะ อ า จ ถึ ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ด้ ว ย ก็ ไ ด้ ถ้าการจัดใช้หลักอย่างเดียวกันการจัดความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาตามแบบนี้จะจัดภายในหลักสูตรเดียวกัน เช่น ระ ห ว่าง ชั้ น ป .1 ถึ ง ป .6 ใ น ร ะ ดับ ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ห รื อ ระ ห ว่าง ชั้ น ป .6 ถึ ง ชั้ น ม .1 ข อ ง ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห รื อ ร ะ ห ว่า ง มั ธ ย ม ศึ ก ษ า กั บ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ก็ ไ ด้ หลักในการจัดทานองเดียวกันกับการจัดลาดับเนื้อหาของแต่ละรายวิชา คือ อาศัยหลักความจาเป็นก่อนหลัง ความยากง่ายของเนื้อหา และหลักอื่นๆ ที่เห็นว่าสาคัญ 2. จั ด โ ด ย ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง เ นื้ อ ห า เ ข้ า ด้ ว ย กั น ( Coherence) คือ จัด เนื้ อ ห าข อง แ ต่ล ะ วิช าใ ห้ เชื่ อ มโ ยง กัน ใ น ลัก ษ ณ ะ ที่ ส่ ง เส ริ มซึ่ ง กัน แ ล ะ กัน ทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทาได้2 ระดับ คือ ก. ระดับความคิด (Cognitive level) จุดหมายของหลักสูตรข้อหนึ่ งที่เราต่างก็ยอมรับกัน คือ การพัฒนาความสามารถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ความพึงพอใจ ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือความสามารถอย่างหนึ่ งจะส่งเสริมความสามารถอีกอย่างหนึ่ ง และผลสัมฤทธิ์ทางปัญญาทั้งหมดทุกด้านย่อมมีผลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลส่วนรวม
  • 17. การจัดหลักสูตรตามหลักการเชื่อมโยงในระดับความคิดหมายถึงการจัดโดยให้เนื้อหาส่งผลให้ผู้เรียนมีความสาม า ร ถ ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผ ส ม ก ล ม ก ลื น กั น เป็ นการจัดที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับการพัฒน าการของบุคคลเข้าด้วยกัน เช่น จัดวิช าวรรณคดี ไม่เพียงแต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เท่านั้นแต่ให้เกิดเจตคติที่ดีต่อวิชานั้นด้วยหรือให้การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่ จ ะ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร ท ด ล อ ง เ ท่ า นั้ น แต่ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในประโยชน์ที่วิทยาศาสตร์มีต่อมนุษย์ชาติอีกด้วย ข . ร ะ ดั บ โ ค ร ง ส ร้ า ง (Organizational Level) ห ม า ย ถึ ง การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน และเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆ ด้วย เป็ น การจัดที่เพ่งเล็ง ที่เนื้ อห าไม่ใ ช่ตัวบุคคลเห มือน กับระ ดับความคิด ดังนั้ น ผู้จัดจะดูว่า เนื้ อห าของแต่ละวิช านั้ น จะเชื่อมโยงและอานวยประโยช น์ แก่วิชาอื่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น การอ่านในวิชาภาษาไทยจะกาหนดเนื้อหาให้มีเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาอยู่ด้วย เป็นต้น วิธีการจัดโดยโยงเนื้อหาเข้าด้วยกันนี้ ทาให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum) 5. หลักสูตรแกน หลักสูตรแกน (TheCoreCurriculum) ถือกาเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900 ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ส อ ง ป ร ะ ก า ร คื อ ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็ นรายวิชาย่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ก็คื อ ค วามพ ยาย ามที่ จ ะ ใ ห้ ห ลุ ด พ้ น จ าก ก ารเป็ น ห ลัก สู ต ร ราย วิช า ป ร ะ ก ารห นึ่ ง และความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร อีกประการหนึ่ง แรกทีเดียวได้มีการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มารวมกันเข้าเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่าหมวดวิชา ทาให้เกิดหลักสูตรแบบกว้างขึ้น แต่หลักสูตรนี้มิได้มีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการของสังคมมากนัก ดังนั้นจึงมีผู้คิดหลักสูตรแกนเพื่อสนองจุดหมายที่ต้องการ 1. วิวัฒนาการของหลักสูตร วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด เ รื่ อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น เริ่มจากการใช้วิชาเป็ นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนามาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกาห น ดหัวข้อขึ้น ให้มีลักษณะ เห มือน เป็ น วิชาให ม่เช่น น าเอาเนื้อหาของวิช าชีววิทยา สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพและอน ามัยของท้องถิ่น” เป็ นต้น ต่อมาภ ายห ลัง มีผู้คิ ดป รับ ป รุ ง การเชื่ อมโยง อี ก โด ยยึดเอาวิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น แก น แล้วกาหน ดหัวข้อการเรียน การสอน ใ ห้ครอบคลุมวิช าอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เป็ น ต้น ว่า