บทความ
- 1. การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
การอ่านเป็ นทักษะทีมความสาคัญในชีวตประจาวันและเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ซึง
่ ี ิ ่
ไม่ว่าจะเป็ นครู นักเรียน เด็กหรือผูใหญ่ จะต้องอ่านออกเขียนได้ เพราะการอ่านจะทาให้ได้รบ
้ ั
ความรู้ ความเพลิดเพลิน ก่อให้ความเข้าใจ แนวคิด อารมณ์ จินตนาการ และมีบทบาทสูงสุดใน
การศึกษาเล่าเรียน
ความหมายของการอ่าน
นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายประการดังนี้
แม็คเคย์ (Mckay, 1987: 7) กล่าวว่า การอ่าน คือ กระบวนการปฏิสมพันธ์ ั
ระหว่างความรูเดิมของผูอ่านกับสิงทีอ่าน ผูอ่านใช้ความรูเดิมทีมอยูในการทาความเข้าใจเรืองที่
้ ้ ่ ่ ้ ้ ่ ี ่ ่
อ่าน กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยความสามารถด้านความคิด ความรูเดิม และกลวิธในการ ้ ี
อ่านของผูอ่าน
้
รูบน (Rubin, 1991: 7) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ การเสนอ
ิ
ความหมาย และการรับรูความหมายจากสิงทีอ่าน โดยผูอ่านนาเอาความรู้ ประสบการณ์ตลอดจน
้ ่ ่ ้
ความรูสกของตนมาใช้ในการทาความเข้าใจความหมายของสิงทีอ่าน
้ ึ ่ ่
โคแนร์ (Konare, 1994: 30) กล่าวว่า การอ่าน คือ ข้อเท็จจริงสองประการได้แก่
กระบวนการซึงหมายถึงความเข้าใจ และผลทีได้จากกระบวนการนันซึงหมายถึงความเข้าใจ
่ ่ ้ ่
นัทเทิล (Nuttal, 1996: 2) กล่าวถึงความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ
ความสามารถของผูอ่านทีจะดึงเอาความหมายหรือใจความสาคัญของบทอ่านออกมาให้ได้
้ ่
ใกล้เคียงกับเจตนารมณ์ของผูเขียนให้มากทีสุดเท่าทีจะเป็นไปได้
้ ่ ่
สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 1) กล่าวว่า การอ่านคือการสื่อความหมายเป็ นการสื่
ความหมายระหว่างผูเขียนกับผูอ่าน ผูเขียนพูด ผูอ่านแสดงปฏิกรยาโต้ตอบกับผูอ่นด้วยการสื่อ
้ ้ ้ ้ ิิ ้ ื
ความหมายในการอ่านนันจะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ผูเขียน ผูอ่าน และรายงาน (สิงทีได้
้ ้ ้ ่ ่
อ่านมาแล้วหรือปฏิกรยาโต้ตอบซึงอาจจะเกิดขึนจากการอ่านนันๆ)
ิิ ่ ้ ้
บันลือ พฤกษะวัน (2545: 6) ยังได้ให้ความหมายของการไว้อกว่าการอ่านเป็น ี
การพัฒนาความคิด โดยผูอ่านใช้ความสามารถหลายๆ ด้าน นับตังแต่การสังเกต การจารูปคา
้ ้
การใช้ความรูเดิมมาแปลความ ตีความหรือถอดความให้เกิดความเข้าใจเรืองราวทีอ่านได้ดี
้ ่ ่
ตลอดจนนาสิงทีอ่านมาใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดแนวปฏิบตได้ดี
่ ่ ั ิ
ดังนันสรุปได้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการถอดรหัส แปลความหมายหรือ
้
เรืองราวออกมาเป็นความคิด เป็นกระบวนการทางสมองทีซบซ้อน และสามารถสรุปเรืองราวและ
่ ่ ั ่
ประเมินผลสิงทีอ่านได้ ซึงจะประสบผลสาเร็จในการอ่านหรือไม่ขนอยูกบความสามารถของผูอ่าน
่ ่ ่ ้ึ ่ ั ้
- 2. ความสาคัญของการอ่าน
ั ั
ปจจุบนการทีจะพัฒนาตนเอง ประเทศ หรือชาติ จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมีความรู้
่ ่ ่
ความสามารถในด้านการอ่าน ซึงผูทอ่านออกเขียนได้จะได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทังการเรียนการ
่ ้ ่ี ้
สอน การใช้ชวตในสังคม ซึงเป็นสังคมทียอมรับบุคคลทีมศกยภาพและความสามารถ ดังนันจึงได้
ีิ ่ ่ ่ ี ั ้
มีผให้ความสาคัญของการอ่านไว้ดงนี้
ู้ ั
สุนนทา มันเศรษฐวิทย์ (2545: 1) กล่าวว่า การอ่าน เป็ นวิธการทีสาคัญวิธหนึ่งที่
ั ่ ี ่ ี
มนุษย์ใช้ศกษาหาความรูให้แก่ตนเองตลอดมา การอ่านเป็นเครืองมือสาคัญทีใช้ใ นการเสาะแสวง
ึ ้ ่ ่
หาความรู้ การรูและใช้วธอ่านทีถูกต้องจึงจาเป็ นสาหรับผูอ่านทุกคน การรูจกฝึกฝน อ่านอย่าง
้ ิี ่ ้ ้ั
สม่าเสมอ จะช่วยให้เกิดความชานาญและมีความรูกว้างขวางด้วย ้
สุพรรณี วราทร (2545: 21) ได้กล่าวว่า การอ่านเป็นวิธสาคัญในการเสริมสร้าง ี
ความรูความชานาญทางวิชาชีพ ช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ เกิดการพัฒนาด้านอาชีพ เกิด
้ ู้
ความคิดและแนวทางใหม่ในการปฏิบตซงนาไปสูการปรับปรุงผลผลิตทาให้การพัฒนาด้านต่างๆ
ั ิ ่ึ ้
มีประสิทธิภาพยิงขึน ่ ้
มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 19) ได้ว่า การอ่านช่วยให้คนเราได้คาตอบจาก
ั ั
ั ั
ปญหาทีตองการแก้ หรือปญหาทีคางคาอยูในใจไม่ว่าจะทังทางตรงและทางอ้อม จึงทาให้เป็ นผูท่ี
่ ้ ่ ้ ่ ้ ้
ั
สามารถแก้ปญหาต่างๆ รอบด้านได้ดวยตนเอง การอ่านทีสาคัญทาให้คนมีความคิดกว้างไกลและ
้ ่
มีวสยทัศน์ เนื่องจากการอ่านเป็นการจุดประกายความคิดของผูอ่าน ทาให้เกิดพัฒนาการทาง
ิ ั ้
ั
สติปญญา ด้วยการนาความรูได้จากการอ่านไปบูรณาการกับความคิดของตนเองเกิดเป็ นความคิด
้
ใหม่ในการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึนไปอีก ้
สรุปได้ว่า ความสาคัญของการอ่านเป็ นสิงสาคัญในการพัฒนาและแก้ไขปญหา ่ ั
ต่างๆ และต้องฝึกฝนอย่างสม่าเสมอ เพื่อช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ มีความคิดกว้างไกล ู้
และมีวสยทัศน์ไกล มีความรอบรู้ ซึงนาไปสูความสาเร็จต่อไปในอนาคต
ิ ั ่ ้
ความมุ่งหมายในการอ่าน
การอ่านนันไม่ว่าจะเป็นการอ่านประเภทใดก็ตาม จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมี
้ ่ ่
เป้าหมายหรือจุดมุงหมายในการอ่าน ซึงผูอ่านจะต้องตังไว้ เพื่อจะช่วยให้การอ่านของผูอ่านมี
่ ่ ้ ้ ้
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทีดี ซึงจุดมุงหมายการอ่านของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไปซึง
่ ่ ่ ่
มีผกล่าวถึงความมุงหมายของการอ่านไว้แตกต่างกันดังนี้
ู้ ่
เกรลเล็ท (Grellet, 1995: 4) ได้แบ่งประเภทความเข้าใจการอ่านไว้เป็น 4
ประเภท ดังนี้คอ ื
1. การอ่านแบบคร่าวๆ (Skimming) เป็นการอ่านแบบกวาดสายตาไปอย่าง
รวดเร็ว เพื่อหาใจความสาคัญ
2. การอ่านแบบเฉพาะจุด (Scanning) เป็นลักษณะการอ่านเร็วอีกแบบหนึ่งใช้ใน
การหาข้อมูลทีตองการ ่ ้
- 3. 3. การอ่านอย่างกว้างๆ (Extensive Reading) ใช้อ่านกับข้อความทีค่อยข้างยาว ่
และตามความสนใจทีผอ่านจะต้องใช้ความรูรอบตัวมาช่วยประกอบการอ่าน
่ ู้ ้
4. การอ่านอย่างเข้ม (Intensive Reading) ใช้กบการอ่านเรืองสันๆ เพื่อเป็นการ
ั ่ ้
อ่านหาข้อมูลอย่างละเอียด
วรรณี โสมประยูร (2539: 127-128) กล่าวว่า การอ่านเป็นทักษะทีจาเป็ นในการ ่
ดารงชีวต การอ่านแต่ละครังจะมีความมุงหมายแตกต่างกันออกไป ถ้าผูอ่านตังจุดมุงหมายในการ
ิ ้ ่ ้ ้ ่
อ่านแต่ละครังไว้ จะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพสูง จากประสบการณ์ทผเขียนได้ทดลองปฏิบติ
้ ่ ี ู้ ั
และทดลองสอนมาแล้ว จุดมุงหมายทีเคยตังไว้มดงนี้
่ ่ ้ ี ั
1. การอ่านเพื่อค้นคว้าหาความรูเพิมเติม เช่น อ่านตารา อ่านบทความ
้ ่
2. การอ่านเพื่อความบันเทิง เช่น อ่านนวนิยาย อ่านการ์ตูน อ่านวรรณคดี
3. การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น อ่านหนังสือประเภทชวนหัว
4. การอ่านเพื่อหารายละเอียดของเรือง เช่น อ่านสารคดี อ่านประวัตศาสตร์
่ ิ
5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์จากข้อมูลทีได้ เช่น การอ่านข่าว
ิ ่
6. การอ่านเพื่อหาประเด็นว่าส่วนในเป็ นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นของจริง เช่น การ
คาโฆษณาต่างๆ
7. การอ่านเพื่อจับใจความสาคัญของเรืองทีอ่าน เช่น อ่านบทความในวารสาร
่ ่
8. การอ่านเพื่อปฏิบตตาม เช่น อ่านคาสัง่ อ่านคาแนะนา อ่านคู่มอการใช้เครือง
ั ิ ื ่
ไฟฟ้า
9. การอ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน มีน้ าเสียงเหมาะกับเนื้อเรืองและ ่
เหมือนกับพูด เช่น อ่านบทละครต่างๆ
สุพรรณี วราทร (2545: 36-38) กล่าวว่า การรูความมุงหมายในการอ่านเป็ น
้ ่
องค์ประกอบประการหนึ่งของทักษะการอ่านเร็ว การอ่านเพื่อได้รบประโยชน์อย่างเต็มที่ ผูอ่าน
ั ้
ควรรูว่าอ่านเพื่ออะไร และต้องการอะไรจากการอ่าน การรูความมุงหมายในการอ่านนอกจากช่วย
้ ้ ่
ให้มสมาธิ ซึงจะทาให้อ่านได้เร็วและจาได้ดวยแล้ว ในเบืองต้นยังช่วยในการเลือกสรรสื่อการอ่าน
ี ่ ้ ้
เพื่ออ่านด้วย ความมุงหมายในการอ่านทีสาคัญ ได้แก่
่ ่
1. อ่านเพื่อความรู้ คือ การอ่านทีครอบคลุมตังแต่เรืองทีมความสาคัญจาเป็ นต้อง
่ ้ ่ ่ ี
รู้ เรืองทีรแล้วเกิดประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีมความสาคัญจาเป็นต้องรู้ เรืองทีรแล้วเกิด
่ ่ ู้ ่ ่ ่ ี ่ ่ ู้
ประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีอ่านเพื่อเสริมความรู้ การอ่านเพื่อความรูมหลายลักษณะ เช่น
่ ่ ่ ้ ี
1.1 อ่านเพื่อหาคาตอบในเรืองทีตองการรู้ เช่น การอ่านคู่มอ คาแนะนา กฎ
่ ่ ้ ื
ระเบียนต่างๆ ตารา และหนังสืออ้างอิง เป็นต้น
1.2 การอ่านเพื่อรูข่าวสารและเป็นข้อมูล เช่น การอ่านเพื่อหนังสือพิมพ์
้
วารสาร เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็ นต้น
- 4. 1.3 การอ่านเพื่อประมวลสาระ ได้แก่ การอ่านเอกสาร วารสาร และหนังสือ
ต่างๆ เพื่อได้รในเรืองทีตองการรู้
ู้ ่ ่ ้
การอ่านเพื่อความรูนอกจากสนองความต้องการของผูอ่านเองแล้วยังมี
้ ้
ประโยชน์อ่นๆ อีก เนื่องจากการเป็ นผูมความรู้ และติดตามข้อมูลข่าวสารทันสมัย ทาให้เกิดมันใจ
ื ้ ี ่
และสร้างความประทับใจทีดแก่ผอ่น นอกจากนี้ความรูได้ทรบอาจเป็ นประโยชน์ในการประกอบ
่ ี ู้ ื ้ ่ี ั
อาชีพและชีวตประจาได้อกด้วย
ิ ี
2. อ่านเพื่อศึกษา เป็นการอ่านอย่างจริงจัง เพื่อได้สาระและข้อเท็จจริงจน
เกิดความเข้าใจ เช่น การอ่านตารา และหนังสือวิชาการต่างๆ
3. การอ่านเพื่อความคิด หมายถึง การอ่านเพื่อเข้าใจสาระสาคัญหรือแนวคิด
ของเรืองทีอ่านเพื่อนาไปปฏิบติ หรือเป็นแนวทางสาหรับริเริมสิงต่างๆ การอ่านเพื่อให้ได้ความคิด
่ ่ ั ่ ่
ได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภท
4. อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ หมายถึง การอ่านเพื่อรูและเข้าใจเรืองทีอ่านอย่าง
ิ ้ ่ ่
ลึกซึง จนสามารถแสดงความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่านในด้านต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล เช่น การ
้ ่ ่ ่
อ่านบทความ วรรณคดี ข่าว และหนังสือต่างๆ เป็นต้น
5. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านเพื่อพักผ่อนหรือเปลียนแปลงกิจกรรม
่
เพื่อให้เกิดความรืนรมย์ หรือคลายความรื่นรมย์ หรือคลายความทุกข์ การอ่านเพื่อความ
่
เพลิดเพลินได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภททีผอ่านพอใจแต่ไม่ควรเป็ นเรืองยาก ซับซ้อน หรือ
่ ู้ ่
เป็นวิชาการทีตองใช้ความคิดมาก
่ ้
6. อ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การอ่านไม่ได้มงหวังสิงใดุ่ ่
โดยเฉพาะ แต่เป็ นการใช้เวลาว่างทีจะต้องเสียไปให้เกิดประโยชน์ เช่น การอ่านนิตยาสาร ขณะรอ
่
คอยกิจกรรมต่างๆ สื่อการอ่านทีเหมาะสมสาหรับการอ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่
่
บันเทิงคดีหรือสารคดีทแบ่งเนื้อหาเป็ นบทหรือตอนสันๆ เนื่องจากสามารถหยุดอ่านได้เป็นช่วงๆ
่ี ้
โดยไม่ทาให้เสียความต่อเนื่องในการอ่าน
สรุปว่า จุดมุงหมายในการอ่าน คือ เป้าหมายก่อนการอ่านทีจะต้องตังใจไว้ว่า
่ ่ ้
ต้องการอ่านหนังสือเพื่ออะไร ซึงจุดมุงหมายของการอ่านจะมีแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น เพื่อหา
่ ่
ความรู้ อ่านเพื่อหารายละเอียด อ่านเพื่อรูข่าวสาระและข้อมูล อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ อ่านเพื่อ
้ ิ
ความบันเทิง การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึงการอ่านในแต่ละประเด็นนันขึ้นอยูกบ
่ ้ ่ ั
วัตถุประสงค์และความต้องการและความสามารถของผูอ่าน ้
การอ่านเพื่อความเข้าใจ
การอ่านเพื่อความเข้าใจเป็นสิงทีสาคัญทีสุด และเป็ นหัวใจของการอ่านทุกชนิด
่ ่ ่
ดังนันหากผูเรียนไม่เข้าใจความหมายทีผเขียนถ่ายทอดเอาไว้ในบทอ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบ
้ ้ ่ ู้
ผลสาเร็จ ดังนันในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์ เพื่อให้ผเรียนได้เข้าใจ
้ ั ู้
ในการอ่านนักการศึกษาได้กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านไว้ ดังนี้
- 5. คาเรลล์ (Carrell, 1984: 441) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือความสามารถ
ในการเข้าในประโยคหรืออนุเฉท (Paragraph) โดยเฉพาะความเข้าใจรูปแบบโครงสร้าง หรือการ
เรียบเรียงของผูเขียน ้
กันนิ่ง (Gunning, 1992: 188) อธิบายว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือ
ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคาและภาษาทีผเขียนใช้ในการสื่อสาร ซึงถือได้ว่าเป็น
่ ู้ ่
วัตถุประสงค์หลักของการอ่าน
สุพรรณี วราทร (2545: 31) กล่าวว่า การอ่านช้าหรือเร็วจะไม่เกิดประโยชน์เลย
หากผูอ่านไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน ความไม่เข้าใจสิงทีอ่านมีสาเหตุหลายประการ สาเหตุ
้ ่ ่ ่ ่
สาคัญนอกเหนือจากการขาดความรูพนฐานในเรืองทีอ่าน ได้แก่ การขาดความตังใจหรือไม่มสมาธิ
้ ้ื ่ ่ ้ ี
ในการอ่าน ซึงส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งทางอารมณ์ของผูอ่าน ทาให้สมองไม่รบสิงทีกาลัง
่ ้ ั ่ ่
อ่านจึงอ่านไม่รเรือง การพัฒนาตนเองให้สามารถอ่านโดยเข้าใจเรืองทีอ่านทาได้โดยสร้างสมาธิใน
ู้ ่ ่ ่
การอ่าน รูศพท์และสานวนภาษา และมีความรูและประสบการณ์ในเรืองที่อ่าน
้ ั ้ ่
สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 73) ให้ความหมายของการอ่านเพื่อความเข้าใจว่าคือ
ความสามารถทีจะอนุ มานข้อสนเทศหรือความหมายอันพึงประสงค์จากสิงทีอ่านมาแล้วได้อย่างมี
่ ่ ่
ประสิทธิภาพมากทีสุดเท่าทีจะทาได้ ความเข้าใจนี้เป็ นเรืองทีมความสัมพันธ์เกียวข้องกับ
่ ่ ่ ่ ี ่
การศึกษาและประสบการณ์ต่างๆ หลายๆ ด้านของแต่ละคนถือเป็นองค์ประกอบทีสาคัญยิงของ ่ ่
การอ่าน ถ้าอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจใดๆ เลยก็อาจจะกล่าวได้ว่าการอ่านทีแท้จริงยังไม่เกิดขึน ่ ้
และการอ่านในลักษณะนี้จงเป็นได้แค่เพียงเห็นตัวหนังสือปรากฏอยูบนหน้ากระดาษเท่านัน ไม่ส่ือ
ึ ่ ้
ความหมายอะไรทังสิน นอกจากจะทาให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วยังไม่ได้อะไรจากการ
้ ้
อ่านนันอีกด้วย
้
สรุปได้ว่า ในการอ่านนันผูอ่านจะต้องเข้าใจข้อความในระดับต่างๆ ซึงเริมจากคา
้ ้ ่ ่
วลี ประโยค และเรืองราวทีต่อเนื่องกัน สามารถทาความเข้าใจบอกเรืองราวของเรืองทีอ่านจับ
่ ่ ่ ่ ่
ใจความสาคัญ บอกรายละเอียดของเรือง สรุปความคิดเห็นและข้อเท็จจริงเกียวกับเรืองทีอ่าน
่ ่ ่ ่
แปลความ อธิบายความหมาย จากเรืองราวทีอ่านได้ ่ ่
องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจ
การอ่านเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็ นเป้าหมายสาคัญ เนื่องจากจุดมุงหมายของการ ่
อ่านก็คอเพื่อให้ผอ่านเข้าใจข้อความทีผเขียนต้องการสื่อความหมาย ดังนันในการพัฒนา
ื ู้ ่ ู้ ้
ความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์เพื่อให้ผเรียนเกิดความเข้าใจในการอ่าน นัก
ั ู้
การศึกษาได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั
แฮริส และซิเพย์ (Harris & Sipay, 1979: 319) กล่าวว่า องค์ประกอบสาคัญทีสุด ่
ของการอ่านมีดงนี้ ั
ั
1. สติปญญาทัวไป (General Intelligence) ในด้านความสามารถในการคิด
่
(Ability of Thinking) การให้เหตุผล (Reason Giving) การแก้ปญหา (Problem Solving) ั
- 6. 2. ความสามารถของผูอ่านเกียวกับคาศัพท์ ความสามารถในการแปลรหัส
้ ่
ความสามารถในการรวมความหมายเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ความสามารถทางโครงสร้างภาษา
วุฒภาวะ (Maturity) พืนฐานและประสบการณ์ (Background and Experience) ความสนใจ
ิ ้
(Interest) และรูปแบบการเขียน (Style) ของผูเขียนแต่ละคน
้
ลันเซอร์ และการ์ดเนอร์ (Lunzer & Gardner, 1981: 66-67) กล่าวถึง
ความสามารถในการอ่านไว้ว่าความสามารถในการอ่าน จะต้องประกอบด้วยสามารถในด้าน
ต่อไปนี้
1. ความสามารถด้านภาษาและตัวหนังสือ ได้แก่ ความสามารถในการทีจะเข้าใจ่
ความหมายของคาใหม่ๆ จากบริบท ความสามารถทีจะเข้าใจโครงสร้างของประโยคและ
่
ความสามารถทีจะเข้าใจเครื่องหมายวรรคตอนและตัวพิมพ์ เป็นต้น
่
2. ความสามารถด้านความคิด ได้แก่ ความสามารถทีจะระบุจดประสงค์ของผู้
่ ุ
แต่ง ความสามารถทีจะเข้าใจความคิดสาคัญ และความคิดย่อย ทีสนับสนุนความคิดสาคัญและ
่ ่
ความสามารถทีจะสรุปความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่าน
่ ่ ่ ่
3. ความสามารถในการตีความหมายจากน้ าเสียงทีผเขียนแสดงออก และ
่ ู้
สามารถทีจะระบุท่วงทานองของผูเขียน
่ ้
รูบน (Rubin, 1991: 235) กล่าวว่า ความสามารถทางการอ่านนันขึนอยูกบ
ิ ้ ้ ่ ั
พืนฐานต่อไปนี้
้
1. การเข้าใจความหมายของคา เป็นทักษะพืนฐานของการอ่าน ถ้าหากนักเรียน
้
เรียนรูความหมายของคาไม่เพียงพอ นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจประโยค อนุเฉท และทาให้ไม่
้
สามารถจะอ่านหรือพูดได้
2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคา นักเรียนจะเข้าใจความหมายของประโยคได้
ก็ต่อเมือนักเรียนรูจกอ่านเป็ นกลุ่มคา การอ่านทีละคาทาให้ไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน
่ ้ั ่ ่
3. การเข้าประโยค นอกจากนักเรียนจะเข้าใจความหมายเป็ นรายคาและเป็ น
กลุ่มคาแล้ว นักเรียนจะต้องเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคาและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาใน
ประโยคด้วย นักเรียนทีไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคา และระหว่างกลุ่มคาประโยค
่
จะไม่เข้าใจเรืองทีอ่าน
่ ่
4. การเข้าใจอนุเฉท นักเรียนจะเข้าใจอนุเฉทได้กต่อเมื่อนักเรียนมองเห็น
็
ความสัมพันธ์ระหว่างประโยคในอนุเฉท การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคค่อยข้างจะยาก
แต่ถานักเรียนขาดความสามารถทางด้านนี้แล้วนักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่านได้
้ ่ ่
5. การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of Larger Unit)
นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทียาวขึนได้กต่อเมือนักเรียนสามารถจัดลาดับความคิดของเรืองที่
่ ่ ้ ็ ่ ่
อ่านได้ และต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทด้วย
- 7. สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 74) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความเข้าใจในการ
อ่านทีสาคัญๆ ดังนี้
่
1. สามารถจดจาเรืองราวส่วนใหญ่ทอ่านมาแล้วได้ เมือถึงคราวจาเป็ นทีตองการ
่ ่ี ่ ่ ้
จะใช้ประโยชน์หรืออ้างอิงถึงก็ทาได้โดยไม่ยาก
2. สามารถจับใจความสาคัญๆ ได้ สามารถแยกแยะหรือระบุประเด็นหลักออก
จากประเด็นย่อยทีไม่จาเป็นหรือไม่สาคัญมากนักได้ สามารถประเมินได้ว่าอะไรบ้างทีควรจะสนใจ
่ ่
เป็นพิเศษ หรือตัดทิงไปได้้
3. สามารถตีความเกี่ยวกับเรืองราวหรือข้อคิดเห็นทีอ่านมาแล้วได้ว่ามีนบสาคัญ
่ ่ ั
หรือลึกซึงมากน้อยเพียงใด
่
4. สามารถสรุปลงความเห็นจากสิงทีได้อ่านมาแล้วอย่างถูกต้อง มีเหตุผลและ
่ ่
น่าเชื่อถือ
5. สามารถใช้วจารณญาณของตนพิจารณาไตร่ตรองข้อสรุป หรือการอ้างอิง
ิ
ต่างๆ ของผูเขียนได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ ไม่สบสน
้ ั
6. สามารถถ่ายโอนหรือประสมประสานความรูทได้จากการอ่านกับประสบการณ์
้ ่ี
อื่นๆ ได้อย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ
สรุปได้ว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ มีองค์ประกอบสาคัญหลายด้านซึง ่
ประกอบด้วย ความสามารถทางภาษาของผูอ่าน กระบวนการคิดในการแก้ไขปญหาทีเกิดขึน
้ ั ่ ้
ในขณะอ่าน เข้าใจความหมายของคา เข้าใจประโยค สามารถจับใจความและตีความโดยใช้
วิจารณญาณเกียวกับเรืองราวทีอ่าน และการเชื่อมโยงความรูหรือความรูเดิมกับข้อมูลทีได้รบจาก
่ ่ ่ ้ ้ ่ ั
การอ่าน สิงเหล่านี้จะช่วยให้ผอ่านเกิดความเข้าใจ และเกิดประโยชน์ตามทีผอ่านแต่ละคนได้ตง
่ ู้ ่ ู้ ั้
จุดประสงค์ในการอ่านไว้
ระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจ
การอ่านเพื่อความเข้าใจนัน มีจดประสงค์ทแตกต่างกันออกไป ดังนันจึงมีนกการ
้ ุ ่ี ้ ั
ศึกษาได้แบ่งระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั
ดัลแมน (Dallman, 1974: 166) ได้จาแนกระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั
1. ความเข้าใจในระดับข้อเท็จจริง (Literal Level) หมายถึง ความสามารถในการ
เข้าใจความหมายและเรืองทีอ่านตามตัวอักษรทีเขียนไว้โดยตรง
่ ่ ่
2. ความเข้าใจในระดับตีความ (Interpretative Level) คือ ความเข้าใจ
ความหมายของเรืองทีอ่านโดยความสามารถสรุป การตีความและการแปลความจากสิงทีอ่าน
่ ่ ่ ่
3. ความเข้าใจในระดับการประเมินค่า (Evaluative Level) หมายถึง
ความสามารถในการประเมินค่าหรือตัดสินสิงทีอ่านได้โดยอาศัยความรูและประสบการณ์ของผูอ่าน
่ ่ ้ ้
มาพิจารณาประกอบการตัดสิน
- 8. 4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Reading) หมายถึง การค้นพบแนวคิด
และข้อสรุปใหม่ ซึงไม่ใช่เพิงการอ่านเพื่อความเข้าใจเท่านัน
่ ่ ้
รูบน (Rubin, 1991: 327) จัดระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ 4 ระดับ ดังนี้
ิ
1. ความเข้าใจระดับความหมายตามตัวอักษร (Literal Comprehension) เป็น
ระดับทีผอ่านสามารถตอบคาถามเกียวกับเนื้อหาทีอ่านได้โดยใช้ขอมูลทีปรากฏตามตัวอักษร
่ ู้ ่ ่ ้ ่
ในบทอ่าน
2. ความเข้าใจระดับตีความ (Interpret Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้อง ่ ู้
ทาความเข้าใจในสิงทีผเขียนไม่ได้กล่าวเอาไว้ตรงๆ หากแต่แฝงเอาไว้ในเนื้อความ
่ ่ ู้
3. ความเข้าใจระดับวิจารณ์ (Critical Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้องใช้ ่ ู้
ความคิดเพื่อวิเคราะห์และประเมินความถูกต้อง คุณค่า และความเป็ นจริงของสิงทีอ่าน โดยผูอ่าน ่ ่ ้
จะต้องสามารถรวบรวม ตีความ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ และสรุปความข้อมูลทีอ่านได้ ่
4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Comprehension) เป็นระดับทีผอ่าน ่ ู้
ั ั
ต้องใช้ทกษะการคิดแก้ปญหา (Divergent Thinking) เพื่อเข้าใจความหมายทีผเขียนนาเสนอ ่ ู้
เอาไว้ในบทอ่าน และสามารถแสดงความคิดเห็นต่อสิงทีอ่านได้ ่ ่
สรุปได้ว่า ผูอ่านต้องอาศัยความเข้าใจในหลายระดับโดยจะเริมโดยเข้าใจระดับ
้ ่
ตามตัวอักษรซึงเข้าใจได้ทนที ความเข้าใจในระดับตีความซึงมีความหมายแฝงอยูในเนื้อความ
่ ั ่ ่
ความเข้าในระดับวิจารณ์ ซึงจะต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ระหว่างข้อเท็จจริงและความ
่
คิดเห็น และประเมินความถูกต้อง ผูอ่านต้องใช้ความรูความสามารถ และความคิดเข้าช่วยในการ
้ ้
วิเคราะห์ เมือเกิดความเข้าใจแล้ว ผูอ่านต้องรูจกอ่านขันตีความ จับใจความ เรียงลาดับเหตุการณ์
่ ้ ้ั ้
รูจกเหตุผล และสรุปความได้
้ั
การประเมิ นผลการอ่านเพื่อความเข้าใจ
ขันตอนสุดท้ายของการอ่านทีดและมีประสิทธิภาพนันจาเป็นอย่างยิงทีจะต้องมี
้ ่ ี ้ ่ ่
การวัดและประเมินผลเพื่อจะได้ทราบว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านได้ในระดับใด เพื่อทีจะ ่
ได้นาเอาผลจากการประเมินมาปรับปรุง และพัฒนาตนเองต่อไป ดังนัน ้
วาลีท และดิสค (Valette & Disick, 1972 อ้างจาก อัจฉรา วงศ์โสธรรม 2538: 15)
ิ
กล่าวถึงการประเมินผลการอ่านประกอบด้วยขันตอนต่อไปนี้ ้
1. ขันกลไก คือ การอ่านออกเสียง
้
2. ขันความจา คือ อ่านข้อความและเข้าใจความหมายทีได้เรียนและท่องจาไว้
้ ่
3. ขันถ่ายโอน คือ การนาความรูความจามาใช้ในการอ่านข้อความใหม่ๆ ให้
้ ้
เข้าใจ
4. ขันสื่อสาร คือ อ่านโดยเสรี เพื่อจับใจความสาคัญและรายละเอียดต่างๆ
้
5. ขันวิพากษ์วจารณ์ คือ ผูเรียนต้องสามารถตีความ เพื่อให้เข้าใจสิงทีผเขียน
้ ิ ้ ่ ่ ู้
มิได้กล่าวถึงตรงๆ ผูอ่านต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินสารได้
้
- 9. มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 221-227) กล่าวว่า เพื่อให้การเรียนการสอน อ่าน
ั ั
เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย ครูควรประเมินความสามารถในการอ่านของ
นักเรียนด้านสาคัญด้านต่างๆ ทังก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน และหลังอ่าน ซึงจะทาให้ครูทราบแนวทาง
้ ่
ั
ในการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดปญหาทางการอ่านทีกว้างขึน ่ ้
วิธการดาเนินการของครูในการประเมินความสามารถของนักเรียนทีสาคัญมี
ี ่
ดังนี้คอ
ื
1. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบทีครูสร้างขึนเอง (Informal Reading
่ ้
Inventory: IRI) (ก่อนอ่าน)
2. การประเมินการใช้ความรูและความรูเดิม (ก่อนอ่านและระหว่างอ่าน)
้ ้
3. การประเมินเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน (หลังอ่าน)
สรุปว่า การประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจนันพิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ
้
หลังจากทีสามารถเข้าใจคาศัพท์และหน้าทีชนิดของคาแล้ว จะต้องสามารถทีจะเรียงลาดับ
่ ่ ่
ข้อความ เพื่อทีจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดในเรืองทีอ่าน บอกชื่อ
่ ่ ่
เรือง และสามารถทีจะวิเคราะห์วจารณ์ในเนื้อเรืองทีอ่านได้ ซึงจะต้องสอดคล้องกับแนวการจัดการ
่ ่ ิ ่ ่ ่
เรียนการสอนทีครูผสอนได้จดกิจกรรมการเรียนการสอนทางภาษาทีครูได้จดให้นกเรียนในขณะที่
่ ู้ ั ่ ั ั
เรียนในห้องเรียน ซึงในแต่ละครังนันจะต้องมีการกาหนดเป้าหมายก่อนว่าจะต้องการให้เกิดอะไร
่ ้ ้
หลังจากทีนกเรียนได้รบความรูไปแล้ว และตัดสินผลการจัดกิจกรรมว่าบรรลุเป้าประสงค์ทตองไว้
่ ั ั ้ ่ี ้
อย่างไร ซึงการประเมินผลความเข้าใจในการอ่านนันต้องประเมินอย่างเป็ นขันเป็ นตอนและเพื่อให้
่ ้ ้
มีประสิทธิภาพในการประเมินต้องมีการประเมินทังก่อนการอ่าน ระหว่างการอ่าน และหลังการ
้
อ่าน