SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
Download to read offline
การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ

              การอ่านเป็ นทักษะทีมความสาคัญในชีวตประจาวันและเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ซึง
                                                ่ ี                   ิ                                                ่
ไม่ว่าจะเป็ นครู นักเรียน เด็กหรือผูใหญ่ จะต้องอ่านออกเขียนได้ เพราะการอ่านจะทาให้ได้รบ
                                                    ้                                                              ั
ความรู้ ความเพลิดเพลิน ก่อให้ความเข้าใจ แนวคิด อารมณ์ จินตนาการ และมีบทบาทสูงสุดใน
การศึกษาเล่าเรียน
              ความหมายของการอ่าน
                     นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายประการดังนี้
                     แม็คเคย์ (Mckay, 1987: 7) กล่าวว่า การอ่าน คือ กระบวนการปฏิสมพันธ์                   ั
ระหว่างความรูเดิมของผูอ่านกับสิงทีอ่าน ผูอ่านใช้ความรูเดิมทีมอยูในการทาความเข้าใจเรืองที่
                   ้              ้                ่ ่    ้                ้        ่ ี ่                        ่
อ่าน กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยความสามารถด้านความคิด ความรูเดิม และกลวิธในการ                    ้           ี
อ่านของผูอ่าน
           ้
                     รูบน (Rubin, 1991: 7) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ การเสนอ
                        ิ
ความหมาย และการรับรูความหมายจากสิงทีอ่าน โดยผูอ่านนาเอาความรู้ ประสบการณ์ตลอดจน
                                    ้                    ่ ่            ้
ความรูสกของตนมาใช้ในการทาความเข้าใจความหมายของสิงทีอ่าน
       ้ ึ                                                                         ่ ่
                     โคแนร์ (Konare, 1994: 30) กล่าวว่า การอ่าน คือ ข้อเท็จจริงสองประการได้แก่
กระบวนการซึงหมายถึงความเข้าใจ และผลทีได้จากกระบวนการนันซึงหมายถึงความเข้าใจ
                 ่                                            ่                             ้ ่
                     นัทเทิล (Nuttal, 1996: 2) กล่าวถึงความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ
ความสามารถของผูอ่านทีจะดึงเอาความหมายหรือใจความสาคัญของบทอ่านออกมาให้ได้
                          ้             ่
ใกล้เคียงกับเจตนารมณ์ของผูเขียนให้มากทีสุดเท่าทีจะเป็นไปได้
                                            ้               ่       ่
                     สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 1) กล่าวว่า การอ่านคือการสื่อความหมายเป็ นการสื่
ความหมายระหว่างผูเขียนกับผูอ่าน ผูเขียนพูด ผูอ่านแสดงปฏิกรยาโต้ตอบกับผูอ่นด้วยการสื่อ
                              ้               ้        ้          ้                    ิิ             ้ ื
ความหมายในการอ่านนันจะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ผูเขียน ผูอ่าน และรายงาน (สิงทีได้
                                ้                                                ้            ้                 ่ ่
อ่านมาแล้วหรือปฏิกรยาโต้ตอบซึงอาจจะเกิดขึนจากการอ่านนันๆ)
                            ิิ                   ่              ้                    ้
                     บันลือ พฤกษะวัน (2545: 6) ยังได้ให้ความหมายของการไว้อกว่าการอ่านเป็น           ี
การพัฒนาความคิด โดยผูอ่านใช้ความสามารถหลายๆ ด้าน นับตังแต่การสังเกต การจารูปคา
                                          ้                                               ้
การใช้ความรูเดิมมาแปลความ ตีความหรือถอดความให้เกิดความเข้าใจเรืองราวทีอ่านได้ดี
              ้                                                                                 ่       ่
ตลอดจนนาสิงทีอ่านมาใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดแนวปฏิบตได้ดี
                ่ ่                                                       ั ิ
                     ดังนันสรุปได้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการถอดรหัส แปลความหมายหรือ
                            ้
เรืองราวออกมาเป็นความคิด เป็นกระบวนการทางสมองทีซบซ้อน และสามารถสรุปเรืองราวและ
  ่                                                                          ่ ั                            ่
ประเมินผลสิงทีอ่านได้ ซึงจะประสบผลสาเร็จในการอ่านหรือไม่ขนอยูกบความสามารถของผูอ่าน
             ่ ่                      ่                                                ้ึ ่ ั                        ้
ความสาคัญของการอ่าน
                                ั ั
                              ปจจุบนการทีจะพัฒนาตนเอง ประเทศ หรือชาติ จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมีความรู้
                                                      ่                                                              ่ ่
ความสามารถในด้านการอ่าน ซึงผูทอ่านออกเขียนได้จะได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทังการเรียนการ
                                                           ่ ้ ่ี                                                         ้
สอน การใช้ชวตในสังคม ซึงเป็นสังคมทียอมรับบุคคลทีมศกยภาพและความสามารถ ดังนันจึงได้
                      ีิ                          ่                     ่                     ่ ี ั                             ้
มีผให้ความสาคัญของการอ่านไว้ดงนี้
     ู้                                                         ั
                              สุนนทา มันเศรษฐวิทย์ (2545: 1) กล่าวว่า การอ่าน เป็ นวิธการทีสาคัญวิธหนึ่งที่
                                     ั          ่                                                                ี      ่         ี
มนุษย์ใช้ศกษาหาความรูให้แก่ตนเองตลอดมา การอ่านเป็นเครืองมือสาคัญทีใช้ใ นการเสาะแสวง
                  ึ                       ้                                                             ่          ่
หาความรู้ การรูและใช้วธอ่านทีถูกต้องจึงจาเป็ นสาหรับผูอ่านทุกคน การรูจกฝึกฝน อ่านอย่าง
                           ้             ิี              ่                                      ้             ้ั
สม่าเสมอ จะช่วยให้เกิดความชานาญและมีความรูกว้างขวางด้วย                                   ้
                              สุพรรณี วราทร (2545: 21) ได้กล่าวว่า การอ่านเป็นวิธสาคัญในการเสริมสร้าง       ี
ความรูความชานาญทางวิชาชีพ ช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ เกิดการพัฒนาด้านอาชีพ เกิด
          ้                                                                 ู้
ความคิดและแนวทางใหม่ในการปฏิบตซงนาไปสูการปรับปรุงผลผลิตทาให้การพัฒนาด้านต่างๆ
                                                                    ั ิ ่ึ           ้
มีประสิทธิภาพยิงขึน          ่ ้
                              มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 19) ได้ว่า การอ่านช่วยให้คนเราได้คาตอบจาก
                                       ั                      ั
  ั                                           ั
ปญหาทีตองการแก้ หรือปญหาทีคางคาอยูในใจไม่ว่าจะทังทางตรงและทางอ้อม จึงทาให้เป็ นผูท่ี
              ่ ้                                           ่ ้                  ่                  ้                               ้
                    ั
สามารถแก้ปญหาต่างๆ รอบด้านได้ดวยตนเอง การอ่านทีสาคัญทาให้คนมีความคิดกว้างไกลและ
                                                                     ้                                ่
มีวสยทัศน์ เนื่องจากการอ่านเป็นการจุดประกายความคิดของผูอ่าน ทาให้เกิดพัฒนาการทาง
    ิ ั                                                                                                   ้
        ั
สติปญญา ด้วยการนาความรูได้จากการอ่านไปบูรณาการกับความคิดของตนเองเกิดเป็ นความคิด
                                                    ้
ใหม่ในการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึนไปอีก                                    ้
                              สรุปได้ว่า ความสาคัญของการอ่านเป็ นสิงสาคัญในการพัฒนาและแก้ไขปญหา   ่                           ั
ต่างๆ และต้องฝึกฝนอย่างสม่าเสมอ เพื่อช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ มีความคิดกว้างไกล  ู้
และมีวสยทัศน์ไกล มีความรอบรู้ ซึงนาไปสูความสาเร็จต่อไปในอนาคต
            ิ ั                                                   ่                ้
                    ความมุ่งหมายในการอ่าน
                              การอ่านนันไม่ว่าจะเป็นการอ่านประเภทใดก็ตาม จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมี
                                            ้                                                                         ่ ่
เป้าหมายหรือจุดมุงหมายในการอ่าน ซึงผูอ่านจะต้องตังไว้ เพื่อจะช่วยให้การอ่านของผูอ่านมี
                                 ่                                     ่ ้                  ้                               ้
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทีดี ซึงจุดมุงหมายการอ่านของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไปซึง
                                                        ่ ่               ่                                                           ่
มีผกล่าวถึงความมุงหมายของการอ่านไว้แตกต่างกันดังนี้
     ู้                            ่
                              เกรลเล็ท (Grellet, 1995: 4) ได้แบ่งประเภทความเข้าใจการอ่านไว้เป็น 4
ประเภท ดังนี้คอ          ื
                              1. การอ่านแบบคร่าวๆ (Skimming) เป็นการอ่านแบบกวาดสายตาไปอย่าง
รวดเร็ว เพื่อหาใจความสาคัญ
                              2. การอ่านแบบเฉพาะจุด (Scanning) เป็นลักษณะการอ่านเร็วอีกแบบหนึ่งใช้ใน
การหาข้อมูลทีตองการ    ่ ้
3. การอ่านอย่างกว้างๆ (Extensive Reading) ใช้อ่านกับข้อความทีค่อยข้างยาว                 ่
และตามความสนใจทีผอ่านจะต้องใช้ความรูรอบตัวมาช่วยประกอบการอ่าน
                         ่ ู้                            ้
                   4. การอ่านอย่างเข้ม (Intensive Reading) ใช้กบการอ่านเรืองสันๆ เพื่อเป็นการ
                                                                                ั                  ่ ้
อ่านหาข้อมูลอย่างละเอียด
                   วรรณี โสมประยูร (2539: 127-128) กล่าวว่า การอ่านเป็นทักษะทีจาเป็ นในการ                ่
ดารงชีวต การอ่านแต่ละครังจะมีความมุงหมายแตกต่างกันออกไป ถ้าผูอ่านตังจุดมุงหมายในการ
           ิ                  ้               ่                                          ้          ้ ่
อ่านแต่ละครังไว้ จะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพสูง จากประสบการณ์ทผเขียนได้ทดลองปฏิบติ
                ้                                                                          ่ ี ู้                     ั
และทดลองสอนมาแล้ว จุดมุงหมายทีเคยตังไว้มดงนี้
                                ่       ่           ้ ี ั
                   1. การอ่านเพื่อค้นคว้าหาความรูเพิมเติม เช่น อ่านตารา อ่านบทความ
                                                              ้ ่
                   2. การอ่านเพื่อความบันเทิง เช่น อ่านนวนิยาย อ่านการ์ตูน อ่านวรรณคดี
                   3. การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น อ่านหนังสือประเภทชวนหัว
                   4. การอ่านเพื่อหารายละเอียดของเรือง เช่น อ่านสารคดี อ่านประวัตศาสตร์
                                                                  ่                                           ิ
                   5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์จากข้อมูลทีได้ เช่น การอ่านข่าว
                                                       ิ                  ่
                   6. การอ่านเพื่อหาประเด็นว่าส่วนในเป็ นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นของจริง เช่น การ
คาโฆษณาต่างๆ
                   7. การอ่านเพื่อจับใจความสาคัญของเรืองทีอ่าน เช่น อ่านบทความในวารสาร
                                                                      ่ ่
                   8. การอ่านเพื่อปฏิบตตาม เช่น อ่านคาสัง่ อ่านคาแนะนา อ่านคู่มอการใช้เครือง
                                          ั ิ                                                           ื           ่
ไฟฟ้า
                   9. การอ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน มีน้ าเสียงเหมาะกับเนื้อเรืองและ                    ่
เหมือนกับพูด เช่น อ่านบทละครต่างๆ
                   สุพรรณี วราทร (2545: 36-38) กล่าวว่า การรูความมุงหมายในการอ่านเป็ น
                                                                            ้          ่
องค์ประกอบประการหนึ่งของทักษะการอ่านเร็ว การอ่านเพื่อได้รบประโยชน์อย่างเต็มที่ ผูอ่าน
                                                                                  ั                               ้
ควรรูว่าอ่านเพื่ออะไร และต้องการอะไรจากการอ่าน การรูความมุงหมายในการอ่านนอกจากช่วย
         ้                                                             ้            ่
ให้มสมาธิ ซึงจะทาให้อ่านได้เร็วและจาได้ดวยแล้ว ในเบืองต้นยังช่วยในการเลือกสรรสื่อการอ่าน
       ี      ่                                      ้              ้
เพื่ออ่านด้วย ความมุงหมายในการอ่านทีสาคัญ ได้แก่
                       ่                          ่
                   1. อ่านเพื่อความรู้ คือ การอ่านทีครอบคลุมตังแต่เรืองทีมความสาคัญจาเป็ นต้อง
                                                               ่              ้       ่ ่ ี
รู้ เรืองทีรแล้วเกิดประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีมความสาคัญจาเป็นต้องรู้ เรืองทีรแล้วเกิด
      ่ ่ ู้                          ่                    ่ ่ ี                                     ่ ่ ู้
ประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีอ่านเพื่อเสริมความรู้ การอ่านเพื่อความรูมหลายลักษณะ เช่น
                   ่              ่ ่                                                          ้ ี
                         1.1 อ่านเพื่อหาคาตอบในเรืองทีตองการรู้ เช่น การอ่านคู่มอ คาแนะนา กฎ
                                                             ่ ่ ้                                    ื
ระเบียนต่างๆ ตารา และหนังสืออ้างอิง เป็นต้น
                         1.2 การอ่านเพื่อรูข่าวสารและเป็นข้อมูล เช่น การอ่านเพื่อหนังสือพิมพ์
                                                ้
วารสาร เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็ นต้น
1.3 การอ่านเพื่อประมวลสาระ ได้แก่ การอ่านเอกสาร วารสาร และหนังสือ
ต่างๆ เพื่อได้รในเรืองทีตองการรู้
                      ู้ ่ ่ ้
                            การอ่านเพื่อความรูนอกจากสนองความต้องการของผูอ่านเองแล้วยังมี
                                                          ้                            ้
ประโยชน์อ่นๆ อีก เนื่องจากการเป็ นผูมความรู้ และติดตามข้อมูลข่าวสารทันสมัย ทาให้เกิดมันใจ
             ื                                     ้ ี                                                          ่
และสร้างความประทับใจทีดแก่ผอ่น นอกจากนี้ความรูได้ทรบอาจเป็ นประโยชน์ในการประกอบ
                                    ่ ี ู้ ื                            ้ ่ี ั
อาชีพและชีวตประจาได้อกด้วย
                 ิ                ี
                        2. อ่านเพื่อศึกษา เป็นการอ่านอย่างจริงจัง เพื่อได้สาระและข้อเท็จจริงจน
เกิดความเข้าใจ เช่น การอ่านตารา และหนังสือวิชาการต่างๆ
                        3. การอ่านเพื่อความคิด หมายถึง การอ่านเพื่อเข้าใจสาระสาคัญหรือแนวคิด
ของเรืองทีอ่านเพื่อนาไปปฏิบติ หรือเป็นแนวทางสาหรับริเริมสิงต่างๆ การอ่านเพื่อให้ได้ความคิด
         ่ ่                             ั                                     ่ ่
ได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภท
                        4. อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ หมายถึง การอ่านเพื่อรูและเข้าใจเรืองทีอ่านอย่าง
                                                    ิ                              ้              ่ ่
ลึกซึง จนสามารถแสดงความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่านในด้านต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล เช่น การ
       ้                                              ่         ่ ่
อ่านบทความ วรรณคดี ข่าว และหนังสือต่างๆ เป็นต้น
                        5. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านเพื่อพักผ่อนหรือเปลียนแปลงกิจกรรม
                                                                                              ่
เพื่อให้เกิดความรืนรมย์ หรือคลายความรื่นรมย์ หรือคลายความทุกข์ การอ่านเพื่อความ
                         ่
เพลิดเพลินได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภททีผอ่านพอใจแต่ไม่ควรเป็ นเรืองยาก ซับซ้อน หรือ
                                                                 ่ ู้                ่
เป็นวิชาการทีตองใช้ความคิดมาก
                   ่ ้
                        6. อ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การอ่านไม่ได้มงหวังสิงใดุ่           ่
โดยเฉพาะ แต่เป็ นการใช้เวลาว่างทีจะต้องเสียไปให้เกิดประโยชน์ เช่น การอ่านนิตยาสาร ขณะรอ
                                               ่
คอยกิจกรรมต่างๆ สื่อการอ่านทีเหมาะสมสาหรับการอ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่
                                             ่
บันเทิงคดีหรือสารคดีทแบ่งเนื้อหาเป็ นบทหรือตอนสันๆ เนื่องจากสามารถหยุดอ่านได้เป็นช่วงๆ
                               ่ี                                     ้
โดยไม่ทาให้เสียความต่อเนื่องในการอ่าน
                        สรุปว่า จุดมุงหมายในการอ่าน คือ เป้าหมายก่อนการอ่านทีจะต้องตังใจไว้ว่า
                                       ่                                                 ่                ้
ต้องการอ่านหนังสือเพื่ออะไร ซึงจุดมุงหมายของการอ่านจะมีแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น เพื่อหา
                                           ่     ่
ความรู้ อ่านเพื่อหารายละเอียด อ่านเพื่อรูข่าวสาระและข้อมูล อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ อ่านเพื่อ
                                                             ้                                  ิ
ความบันเทิง การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึงการอ่านในแต่ละประเด็นนันขึ้นอยูกบ
                                                                           ่                          ้     ่ ั
วัตถุประสงค์และความต้องการและความสามารถของผูอ่าน                         ้
                 การอ่านเพื่อความเข้าใจ
                        การอ่านเพื่อความเข้าใจเป็นสิงทีสาคัญทีสุด และเป็ นหัวใจของการอ่านทุกชนิด
                                                               ่ ่           ่
ดังนันหากผูเรียนไม่เข้าใจความหมายทีผเขียนถ่ายทอดเอาไว้ในบทอ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบ
     ้         ้                                        ่ ู้
ผลสาเร็จ ดังนันในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์ เพื่อให้ผเรียนได้เข้าใจ
                    ้                                                            ั                 ู้
ในการอ่านนักการศึกษาได้กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านไว้ ดังนี้
คาเรลล์ (Carrell, 1984: 441) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือความสามารถ
ในการเข้าในประโยคหรืออนุเฉท (Paragraph) โดยเฉพาะความเข้าใจรูปแบบโครงสร้าง หรือการ
เรียบเรียงของผูเขียน  ้
                            กันนิ่ง (Gunning, 1992: 188) อธิบายว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือ
ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคาและภาษาทีผเขียนใช้ในการสื่อสาร ซึงถือได้ว่าเป็น
                                                                              ่ ู้                               ่
วัตถุประสงค์หลักของการอ่าน
                            สุพรรณี วราทร (2545: 31) กล่าวว่า การอ่านช้าหรือเร็วจะไม่เกิดประโยชน์เลย
หากผูอ่านไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน ความไม่เข้าใจสิงทีอ่านมีสาเหตุหลายประการ สาเหตุ
       ้                                      ่ ่                          ่ ่
สาคัญนอกเหนือจากการขาดความรูพนฐานในเรืองทีอ่าน ได้แก่ การขาดความตังใจหรือไม่มสมาธิ
                                                    ้ ้ื              ่ ่                                 ้                  ี
ในการอ่าน ซึงส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งทางอารมณ์ของผูอ่าน ทาให้สมองไม่รบสิงทีกาลัง
                 ่                                                                 ้                               ั ่ ่
อ่านจึงอ่านไม่รเรือง การพัฒนาตนเองให้สามารถอ่านโดยเข้าใจเรืองทีอ่านทาได้โดยสร้างสมาธิใน
                    ู้ ่                                                               ่ ่
การอ่าน รูศพท์และสานวนภาษา และมีความรูและประสบการณ์ในเรืองที่อ่าน
             ้ ั                                                    ้                       ่
                            สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 73) ให้ความหมายของการอ่านเพื่อความเข้าใจว่าคือ
ความสามารถทีจะอนุ มานข้อสนเทศหรือความหมายอันพึงประสงค์จากสิงทีอ่านมาแล้วได้อย่างมี
                          ่                                                                     ่ ่
ประสิทธิภาพมากทีสุดเท่าทีจะทาได้ ความเข้าใจนี้เป็ นเรืองทีมความสัมพันธ์เกียวข้องกับ
                                   ่        ่                                ่ ่ ี                      ่
การศึกษาและประสบการณ์ต่างๆ หลายๆ ด้านของแต่ละคนถือเป็นองค์ประกอบทีสาคัญยิงของ                                  ่           ่
การอ่าน ถ้าอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจใดๆ เลยก็อาจจะกล่าวได้ว่าการอ่านทีแท้จริงยังไม่เกิดขึน            ่                          ้
และการอ่านในลักษณะนี้จงเป็นได้แค่เพียงเห็นตัวหนังสือปรากฏอยูบนหน้ากระดาษเท่านัน ไม่ส่ือ
                                        ึ                                                 ่                              ้
ความหมายอะไรทังสิน นอกจากจะทาให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วยังไม่ได้อะไรจากการ
                                  ้ ้
อ่านนันอีกด้วย
         ้
                            สรุปได้ว่า ในการอ่านนันผูอ่านจะต้องเข้าใจข้อความในระดับต่างๆ ซึงเริมจากคา
                                                              ้ ้                                                    ่ ่
วลี ประโยค และเรืองราวทีต่อเนื่องกัน สามารถทาความเข้าใจบอกเรืองราวของเรืองทีอ่านจับ
                                ่         ่                                                   ่               ่ ่
ใจความสาคัญ บอกรายละเอียดของเรือง สรุปความคิดเห็นและข้อเท็จจริงเกียวกับเรืองทีอ่าน
                                                          ่                                         ่               ่ ่
แปลความ อธิบายความหมาย จากเรืองราวทีอ่านได้           ่           ่
                   องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจ
                            การอ่านเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็ นเป้าหมายสาคัญ เนื่องจากจุดมุงหมายของการ        ่
อ่านก็คอเพื่อให้ผอ่านเข้าใจข้อความทีผเขียนต้องการสื่อความหมาย ดังนันในการพัฒนา
           ื                 ู้                          ่ ู้                                    ้
ความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์เพื่อให้ผเรียนเกิดความเข้าใจในการอ่าน นัก
                                                  ั                     ู้
การศึกษาได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้                         ั
                            แฮริส และซิเพย์ (Harris & Sipay, 1979: 319) กล่าวว่า องค์ประกอบสาคัญทีสุด                          ่
ของการอ่านมีดงนี้       ั
                                      ั
                            1. สติปญญาทัวไป (General Intelligence) ในด้านความสามารถในการคิด
                                                ่
(Ability of Thinking) การให้เหตุผล (Reason Giving) การแก้ปญหา (Problem Solving)      ั
2. ความสามารถของผูอ่านเกียวกับคาศัพท์ ความสามารถในการแปลรหัส
                                          ้        ่
ความสามารถในการรวมความหมายเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ความสามารถทางโครงสร้างภาษา
วุฒภาวะ (Maturity) พืนฐานและประสบการณ์ (Background and Experience) ความสนใจ
    ิ                      ้
(Interest) และรูปแบบการเขียน (Style) ของผูเขียนแต่ละคน
                                                ้
                    ลันเซอร์ และการ์ดเนอร์ (Lunzer & Gardner, 1981: 66-67) กล่าวถึง
ความสามารถในการอ่านไว้ว่าความสามารถในการอ่าน จะต้องประกอบด้วยสามารถในด้าน
ต่อไปนี้
                    1. ความสามารถด้านภาษาและตัวหนังสือ ได้แก่ ความสามารถในการทีจะเข้าใจ่
ความหมายของคาใหม่ๆ จากบริบท ความสามารถทีจะเข้าใจโครงสร้างของประโยคและ
                                                      ่
ความสามารถทีจะเข้าใจเครื่องหมายวรรคตอนและตัวพิมพ์ เป็นต้น
                ่
                    2. ความสามารถด้านความคิด ได้แก่ ความสามารถทีจะระบุจดประสงค์ของผู้
                                                                         ่     ุ
แต่ง ความสามารถทีจะเข้าใจความคิดสาคัญ และความคิดย่อย ทีสนับสนุนความคิดสาคัญและ
                         ่                                      ่
ความสามารถทีจะสรุปความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่าน
                  ่                     ่         ่ ่
                    3. ความสามารถในการตีความหมายจากน้ าเสียงทีผเขียนแสดงออก และ
                                                                    ่ ู้
สามารถทีจะระบุท่วงทานองของผูเขียน
            ่                       ้
                    รูบน (Rubin, 1991: 235) กล่าวว่า ความสามารถทางการอ่านนันขึนอยูกบ
                       ิ                                                         ้ ้ ่ ั
พืนฐานต่อไปนี้
  ้
                    1. การเข้าใจความหมายของคา เป็นทักษะพืนฐานของการอ่าน ถ้าหากนักเรียน
                                                             ้
เรียนรูความหมายของคาไม่เพียงพอ นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจประโยค อนุเฉท และทาให้ไม่
        ้
สามารถจะอ่านหรือพูดได้
                    2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคา นักเรียนจะเข้าใจความหมายของประโยคได้
ก็ต่อเมือนักเรียนรูจกอ่านเป็ นกลุ่มคา การอ่านทีละคาทาให้ไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน
          ่           ้ั                                                      ่ ่
                    3. การเข้าประโยค นอกจากนักเรียนจะเข้าใจความหมายเป็ นรายคาและเป็ น
กลุ่มคาแล้ว นักเรียนจะต้องเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคาและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาใน
ประโยคด้วย นักเรียนทีไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคา และระหว่างกลุ่มคาประโยค
                             ่
จะไม่เข้าใจเรืองทีอ่าน
              ่ ่
                    4. การเข้าใจอนุเฉท นักเรียนจะเข้าใจอนุเฉทได้กต่อเมื่อนักเรียนมองเห็น
                                                                  ็
ความสัมพันธ์ระหว่างประโยคในอนุเฉท การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคค่อยข้างจะยาก
แต่ถานักเรียนขาดความสามารถทางด้านนี้แล้วนักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่านได้
      ้                                                                      ่ ่
                    5. การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of Larger Unit)
นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทียาวขึนได้กต่อเมือนักเรียนสามารถจัดลาดับความคิดของเรืองที่
                                 ่ ่        ้  ็ ่                                       ่
อ่านได้ และต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทด้วย
สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 74) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความเข้าใจในการ
อ่านทีสาคัญๆ ดังนี้
        ่
                     1. สามารถจดจาเรืองราวส่วนใหญ่ทอ่านมาแล้วได้ เมือถึงคราวจาเป็ นทีตองการ
                                         ่                 ่ี               ่                    ่ ้
จะใช้ประโยชน์หรืออ้างอิงถึงก็ทาได้โดยไม่ยาก
                     2. สามารถจับใจความสาคัญๆ ได้ สามารถแยกแยะหรือระบุประเด็นหลักออก
จากประเด็นย่อยทีไม่จาเป็นหรือไม่สาคัญมากนักได้ สามารถประเมินได้ว่าอะไรบ้างทีควรจะสนใจ
                       ่                                                                   ่
เป็นพิเศษ หรือตัดทิงไปได้้
                     3. สามารถตีความเกี่ยวกับเรืองราวหรือข้อคิดเห็นทีอ่านมาแล้วได้ว่ามีนบสาคัญ
                                                  ่                     ่                         ั
หรือลึกซึงมากน้อยเพียงใด
           ่
                     4. สามารถสรุปลงความเห็นจากสิงทีได้อ่านมาแล้วอย่างถูกต้อง มีเหตุผลและ
                                                      ่ ่
น่าเชื่อถือ
                     5. สามารถใช้วจารณญาณของตนพิจารณาไตร่ตรองข้อสรุป หรือการอ้างอิง
                                       ิ
ต่างๆ ของผูเขียนได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ ไม่สบสน
               ้                                         ั
                     6. สามารถถ่ายโอนหรือประสมประสานความรูทได้จากการอ่านกับประสบการณ์
                                                                   ้ ่ี
อื่นๆ ได้อย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ
                     สรุปได้ว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ มีองค์ประกอบสาคัญหลายด้านซึง      ่
ประกอบด้วย ความสามารถทางภาษาของผูอ่าน กระบวนการคิดในการแก้ไขปญหาทีเกิดขึน
                                                ้                                    ั        ่ ้
ในขณะอ่าน เข้าใจความหมายของคา เข้าใจประโยค สามารถจับใจความและตีความโดยใช้
วิจารณญาณเกียวกับเรืองราวทีอ่าน และการเชื่อมโยงความรูหรือความรูเดิมกับข้อมูลทีได้รบจาก
                   ่       ่         ่                           ้            ้                ่ ั
การอ่าน สิงเหล่านี้จะช่วยให้ผอ่านเกิดความเข้าใจ และเกิดประโยชน์ตามทีผอ่านแต่ละคนได้ตง
             ่                    ู้                                            ่ ู้                       ั้
จุดประสงค์ในการอ่านไว้
                 ระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจ
                     การอ่านเพื่อความเข้าใจนัน มีจดประสงค์ทแตกต่างกันออกไป ดังนันจึงมีนกการ
                                              ้ ุ             ่ี                       ้             ั
ศึกษาได้แบ่งระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้     ั
                     ดัลแมน (Dallman, 1974: 166) ได้จาแนกระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้           ั
                     1. ความเข้าใจในระดับข้อเท็จจริง (Literal Level) หมายถึง ความสามารถในการ
เข้าใจความหมายและเรืองทีอ่านตามตัวอักษรทีเขียนไว้โดยตรง
                             ่ ่                    ่
                     2. ความเข้าใจในระดับตีความ (Interpretative Level) คือ ความเข้าใจ
ความหมายของเรืองทีอ่านโดยความสามารถสรุป การตีความและการแปลความจากสิงทีอ่าน
                      ่ ่                                                                    ่ ่
                     3. ความเข้าใจในระดับการประเมินค่า (Evaluative Level) หมายถึง
ความสามารถในการประเมินค่าหรือตัดสินสิงทีอ่านได้โดยอาศัยความรูและประสบการณ์ของผูอ่าน
                                               ่ ่                        ้                              ้
มาพิจารณาประกอบการตัดสิน
4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Reading) หมายถึง การค้นพบแนวคิด
และข้อสรุปใหม่ ซึงไม่ใช่เพิงการอ่านเพื่อความเข้าใจเท่านัน
                    ่                      ่                              ้
                  รูบน (Rubin, 1991: 327) จัดระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ 4 ระดับ ดังนี้
                         ิ
                  1. ความเข้าใจระดับความหมายตามตัวอักษร (Literal Comprehension) เป็น
ระดับทีผอ่านสามารถตอบคาถามเกียวกับเนื้อหาทีอ่านได้โดยใช้ขอมูลทีปรากฏตามตัวอักษร
        ่ ู้                                         ่             ่          ้     ่
ในบทอ่าน
                  2. ความเข้าใจระดับตีความ (Interpret Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้อง              ่ ู้
ทาความเข้าใจในสิงทีผเขียนไม่ได้กล่าวเอาไว้ตรงๆ หากแต่แฝงเอาไว้ในเนื้อความ
                        ่ ่ ู้
                  3. ความเข้าใจระดับวิจารณ์ (Critical Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้องใช้         ่ ู้
ความคิดเพื่อวิเคราะห์และประเมินความถูกต้อง คุณค่า และความเป็ นจริงของสิงทีอ่าน โดยผูอ่าน       ่ ่               ้
จะต้องสามารถรวบรวม ตีความ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ และสรุปความข้อมูลทีอ่านได้              ่
                  4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Comprehension) เป็นระดับทีผอ่าน                    ่ ู้
          ั                            ั
ต้องใช้ทกษะการคิดแก้ปญหา (Divergent Thinking) เพื่อเข้าใจความหมายทีผเขียนนาเสนอ           ่ ู้
เอาไว้ในบทอ่าน และสามารถแสดงความคิดเห็นต่อสิงทีอ่านได้               ่ ่
                  สรุปได้ว่า ผูอ่านต้องอาศัยความเข้าใจในหลายระดับโดยจะเริมโดยเข้าใจระดับ
                                               ้                                           ่
ตามตัวอักษรซึงเข้าใจได้ทนที ความเข้าใจในระดับตีความซึงมีความหมายแฝงอยูในเนื้อความ
                ่                        ั                                  ่                    ่
ความเข้าในระดับวิจารณ์ ซึงจะต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ระหว่างข้อเท็จจริงและความ
                                             ่
คิดเห็น และประเมินความถูกต้อง ผูอ่านต้องใช้ความรูความสามารถ และความคิดเข้าช่วยในการ
                                                       ้              ้
วิเคราะห์ เมือเกิดความเข้าใจแล้ว ผูอ่านต้องรูจกอ่านขันตีความ จับใจความ เรียงลาดับเหตุการณ์
             ่                                           ้   ้ั         ้
รูจกเหตุผล และสรุปความได้
  ้ั
               การประเมิ นผลการอ่านเพื่อความเข้าใจ
                  ขันตอนสุดท้ายของการอ่านทีดและมีประสิทธิภาพนันจาเป็นอย่างยิงทีจะต้องมี
                      ้                                      ่ ี                ้                  ่ ่
การวัดและประเมินผลเพื่อจะได้ทราบว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านได้ในระดับใด เพื่อทีจะ                                ่
ได้นาเอาผลจากการประเมินมาปรับปรุง และพัฒนาตนเองต่อไป ดังนัน                       ้
                  วาลีท และดิสค (Valette & Disick, 1972 อ้างจาก อัจฉรา วงศ์โสธรรม 2538: 15)
                                                 ิ
กล่าวถึงการประเมินผลการอ่านประกอบด้วยขันตอนต่อไปนี้            ้
                  1. ขันกลไก คือ การอ่านออกเสียง
                             ้
                  2. ขันความจา คือ อ่านข้อความและเข้าใจความหมายทีได้เรียนและท่องจาไว้
                               ้                                                      ่
                  3. ขันถ่ายโอน คือ การนาความรูความจามาใช้ในการอ่านข้อความใหม่ๆ ให้
                                 ้                               ้
เข้าใจ
                  4. ขันสื่อสาร คือ อ่านโดยเสรี เพื่อจับใจความสาคัญและรายละเอียดต่างๆ
                                   ้
                  5. ขันวิพากษ์วจารณ์ คือ ผูเรียนต้องสามารถตีความ เพื่อให้เข้าใจสิงทีผเขียน
                                     ้             ิ       ้                                        ่ ่ ู้
มิได้กล่าวถึงตรงๆ ผูอ่านต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินสารได้
                           ้
มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 221-227) กล่าวว่า เพื่อให้การเรียนการสอน อ่าน
                              ั              ั
เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย ครูควรประเมินความสามารถในการอ่านของ
นักเรียนด้านสาคัญด้านต่างๆ ทังก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน และหลังอ่าน ซึงจะทาให้ครูทราบแนวทาง
                                      ้                                  ่
                                        ั
ในการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดปญหาทางการอ่านทีกว้างขึน     ่     ้
                     วิธการดาเนินการของครูในการประเมินความสามารถของนักเรียนทีสาคัญมี
                        ี                                                            ่
ดังนี้คอ
       ื
                     1. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบทีครูสร้างขึนเอง (Informal Reading
                                                           ่         ้
Inventory: IRI) (ก่อนอ่าน)
                      2. การประเมินการใช้ความรูและความรูเดิม (ก่อนอ่านและระหว่างอ่าน)
                                                 ้           ้
                      3. การประเมินเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน (หลังอ่าน)
                สรุปว่า การประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจนันพิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ
                                                                   ้
หลังจากทีสามารถเข้าใจคาศัพท์และหน้าทีชนิดของคาแล้ว จะต้องสามารถทีจะเรียงลาดับ
          ่                                    ่                              ่
ข้อความ เพื่อทีจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดในเรืองทีอ่าน บอกชื่อ
                  ่                                                               ่ ่
เรือง และสามารถทีจะวิเคราะห์วจารณ์ในเนื้อเรืองทีอ่านได้ ซึงจะต้องสอดคล้องกับแนวการจัดการ
  ่                       ่                ิ       ่ ่           ่
เรียนการสอนทีครูผสอนได้จดกิจกรรมการเรียนการสอนทางภาษาทีครูได้จดให้นกเรียนในขณะที่
                    ่ ู้          ั                                    ่    ั      ั
เรียนในห้องเรียน ซึงในแต่ละครังนันจะต้องมีการกาหนดเป้าหมายก่อนว่าจะต้องการให้เกิดอะไร
                            ่             ้ ้
หลังจากทีนกเรียนได้รบความรูไปแล้ว และตัดสินผลการจัดกิจกรรมว่าบรรลุเป้าประสงค์ทตองไว้
            ่ ั                 ั   ้                                                   ่ี ้
อย่างไร ซึงการประเมินผลความเข้าใจในการอ่านนันต้องประเมินอย่างเป็ นขันเป็ นตอนและเพื่อให้
             ่                                         ้                        ้
มีประสิทธิภาพในการประเมินต้องมีการประเมินทังก่อนการอ่าน ระหว่างการอ่าน และหลังการ
                                                     ้
อ่าน

More Related Content

What's hot

บทที่ 3 หลักการอ่าน
บทที่ 3 หลักการอ่านบทที่ 3 หลักการอ่าน
บทที่ 3 หลักการอ่านAj.Mallika Phongphaew
 
นวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนนวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนkuneena
 
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอนkuneena
 
สารพันเลือกสรรตีความ
สารพันเลือกสรรตีความสารพันเลือกสรรตีความ
สารพันเลือกสรรตีความพัน พัน
 
หลักการอ่านจับใจความสำคัญ
หลักการอ่านจับใจความสำคัญหลักการอ่านจับใจความสำคัญ
หลักการอ่านจับใจความสำคัญRung Kru
 
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความ
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความ
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความPensri Sangsuk
 
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
สื่อและแหล่งการเรียนรู้สื่อและแหล่งการเรียนรู้
สื่อและแหล่งการเรียนรู้yuapawan
 
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์เล็ก เล็ก
 
การอ่านจับใจความ
การอ่านจับใจความการอ่านจับใจความ
การอ่านจับใจความmayavee16
 
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯ
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯการอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯ
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯsompoy
 
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญPiyarerk Bunkoson
 
บทความ
บทความบทความ
บทความaorchalisa
 
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1Wichit Thepprasit
 
4 บทความ
4 บทความ4 บทความ
4 บทความKo Kung
 
SMEfriend: KM
SMEfriend: KMSMEfriend: KM
SMEfriend: KMSMEfriend
 
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทย
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทยหลักสูตรแกนกลางภาษาไทย
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทยน้อง มัดไหม
 

What's hot (20)

บทที่ 3 หลักการอ่าน
บทที่ 3 หลักการอ่านบทที่ 3 หลักการอ่าน
บทที่ 3 หลักการอ่าน
 
นวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอนนวัตกรรมช่วยสอน
นวัตกรรมช่วยสอน
 
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
Unlicensed-นวัตกรรมช่วยสอน
 
สารพันเลือกสรรตีความ
สารพันเลือกสรรตีความสารพันเลือกสรรตีความ
สารพันเลือกสรรตีความ
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษา
 
หลักการอ่านจับใจความสำคัญ
หลักการอ่านจับใจความสำคัญหลักการอ่านจับใจความสำคัญ
หลักการอ่านจับใจความสำคัญ
 
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความ
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความ
ชุดกิจกรรม ๒ การคิดวิเคราะห์ บทความ
 
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
สื่อและแหล่งการเรียนรู้สื่อและแหล่งการเรียนรู้
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
 
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์
นำเสนอการอ่านเชิงวิเคราะห์
 
การอ่านจับใจความ
การอ่านจับใจความการอ่านจับใจความ
การอ่านจับใจความ
 
หน่วยที่ 5 การรับสารจากการอ่าน
หน่วยที่ 5 การรับสารจากการอ่านหน่วยที่ 5 การรับสารจากการอ่าน
หน่วยที่ 5 การรับสารจากการอ่าน
 
บทที่ 2.ใหม่
บทที่ 2.ใหม่บทที่ 2.ใหม่
บทที่ 2.ใหม่
 
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯ
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯการอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯ
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณฯ
 
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
 
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
 
บทความ
บทความบทความ
บทความ
 
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1
อบรม "ห้องเรียนสร้างสรรค์" วันที่ 1
 
4 บทความ
4 บทความ4 บทความ
4 บทความ
 
SMEfriend: KM
SMEfriend: KMSMEfriend: KM
SMEfriend: KM
 
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทย
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทยหลักสูตรแกนกลางภาษาไทย
หลักสูตรแกนกลางภาษาไทย
 

Similar to บทความ

นวัตกรรม
นวัตกรรมนวัตกรรม
นวัตกรรมPrapa Khangkhan
 
ห้องสมุด 3 ดี
ห้องสมุด 3 ดีห้องสมุด 3 ดี
ห้องสมุด 3 ดีteerasak04
 
นวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนนวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนkuneena
 
คู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรคู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรniralai
 
บทท 3-6 กศบป
บทท   3-6 กศบปบทท   3-6 กศบป
บทท 3-6 กศบปNamfon Wannapa
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยVs'veity Sirvcn
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยVs'veity Sirvcn
 
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matSiriphan Kristiansen
 
การเขียนเรียงความ.pdf
การเขียนเรียงความ.pdfการเขียนเรียงความ.pdf
การเขียนเรียงความ.pdfGREATTEACHERCYBERFOX
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่Pitsiri Lumphaopun
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยPiyatida Prayoonprom
 
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)Srion Janeprapapong
 
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5กชนุช คำเวียง
 
สรุปบทที่ 7
สรุปบทที่ 7สรุปบทที่ 7
สรุปบทที่ 7Tsheej Thoj
 

Similar to บทความ (20)

นวัตกรรม
นวัตกรรมนวัตกรรม
นวัตกรรม
 
ห้องสมุด 3 ดี
ห้องสมุด 3 ดีห้องสมุด 3 ดี
ห้องสมุด 3 ดี
 
นวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอนนวัฒกรรมช่วยสอน
นวัฒกรรมช่วยสอน
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
Ch 2
Ch 2Ch 2
Ch 2
 
คู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากรคู่มือพระวิทยากร
คู่มือพระวิทยากร
 
บทท 3-6 กศบป
บทท   3-6 กศบปบทท   3-6 กศบป
บทท 3-6 กศบป
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 matเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ 4 mat
 
การเขียนเรียงความ.pdf
การเขียนเรียงความ.pdfการเขียนเรียงความ.pdf
การเขียนเรียงความ.pdf
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วยภารกิจระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจระดับครูผู้ช่วย
 
ครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วยครูผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย
 
บทที่ 4 new
บทที่ 4 newบทที่ 4 new
บทที่ 4 new
 
ระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วยระดับครูผู้ช่วย
ระดับครูผู้ช่วย
 
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ)
 
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5
แบบฝึกการเขียนสะกดคำ ชั้น ป.5
 
สรุปบทที่ 7
สรุปบทที่ 7สรุปบทที่ 7
สรุปบทที่ 7
 

บทความ

  • 1. การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ การอ่านเป็ นทักษะทีมความสาคัญในชีวตประจาวันและเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ซึง ่ ี ิ ่ ไม่ว่าจะเป็ นครู นักเรียน เด็กหรือผูใหญ่ จะต้องอ่านออกเขียนได้ เพราะการอ่านจะทาให้ได้รบ ้ ั ความรู้ ความเพลิดเพลิน ก่อให้ความเข้าใจ แนวคิด อารมณ์ จินตนาการ และมีบทบาทสูงสุดใน การศึกษาเล่าเรียน ความหมายของการอ่าน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายประการดังนี้ แม็คเคย์ (Mckay, 1987: 7) กล่าวว่า การอ่าน คือ กระบวนการปฏิสมพันธ์ ั ระหว่างความรูเดิมของผูอ่านกับสิงทีอ่าน ผูอ่านใช้ความรูเดิมทีมอยูในการทาความเข้าใจเรืองที่ ้ ้ ่ ่ ้ ้ ่ ี ่ ่ อ่าน กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วยความสามารถด้านความคิด ความรูเดิม และกลวิธในการ ้ ี อ่านของผูอ่าน ้ รูบน (Rubin, 1991: 7) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ การเสนอ ิ ความหมาย และการรับรูความหมายจากสิงทีอ่าน โดยผูอ่านนาเอาความรู้ ประสบการณ์ตลอดจน ้ ่ ่ ้ ความรูสกของตนมาใช้ในการทาความเข้าใจความหมายของสิงทีอ่าน ้ ึ ่ ่ โคแนร์ (Konare, 1994: 30) กล่าวว่า การอ่าน คือ ข้อเท็จจริงสองประการได้แก่ กระบวนการซึงหมายถึงความเข้าใจ และผลทีได้จากกระบวนการนันซึงหมายถึงความเข้าใจ ่ ่ ้ ่ นัทเทิล (Nuttal, 1996: 2) กล่าวถึงความหมายของการอ่านว่า การอ่าน คือ ความสามารถของผูอ่านทีจะดึงเอาความหมายหรือใจความสาคัญของบทอ่านออกมาให้ได้ ้ ่ ใกล้เคียงกับเจตนารมณ์ของผูเขียนให้มากทีสุดเท่าทีจะเป็นไปได้ ้ ่ ่ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 1) กล่าวว่า การอ่านคือการสื่อความหมายเป็ นการสื่ ความหมายระหว่างผูเขียนกับผูอ่าน ผูเขียนพูด ผูอ่านแสดงปฏิกรยาโต้ตอบกับผูอ่นด้วยการสื่อ ้ ้ ้ ้ ิิ ้ ื ความหมายในการอ่านนันจะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ผูเขียน ผูอ่าน และรายงาน (สิงทีได้ ้ ้ ้ ่ ่ อ่านมาแล้วหรือปฏิกรยาโต้ตอบซึงอาจจะเกิดขึนจากการอ่านนันๆ) ิิ ่ ้ ้ บันลือ พฤกษะวัน (2545: 6) ยังได้ให้ความหมายของการไว้อกว่าการอ่านเป็น ี การพัฒนาความคิด โดยผูอ่านใช้ความสามารถหลายๆ ด้าน นับตังแต่การสังเกต การจารูปคา ้ ้ การใช้ความรูเดิมมาแปลความ ตีความหรือถอดความให้เกิดความเข้าใจเรืองราวทีอ่านได้ดี ้ ่ ่ ตลอดจนนาสิงทีอ่านมาใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดแนวปฏิบตได้ดี ่ ่ ั ิ ดังนันสรุปได้ว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการถอดรหัส แปลความหมายหรือ ้ เรืองราวออกมาเป็นความคิด เป็นกระบวนการทางสมองทีซบซ้อน และสามารถสรุปเรืองราวและ ่ ่ ั ่ ประเมินผลสิงทีอ่านได้ ซึงจะประสบผลสาเร็จในการอ่านหรือไม่ขนอยูกบความสามารถของผูอ่าน ่ ่ ่ ้ึ ่ ั ้
  • 2. ความสาคัญของการอ่าน ั ั ปจจุบนการทีจะพัฒนาตนเอง ประเทศ หรือชาติ จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมีความรู้ ่ ่ ่ ความสามารถในด้านการอ่าน ซึงผูทอ่านออกเขียนได้จะได้เปรียบในหลายๆ ด้าน ทังการเรียนการ ่ ้ ่ี ้ สอน การใช้ชวตในสังคม ซึงเป็นสังคมทียอมรับบุคคลทีมศกยภาพและความสามารถ ดังนันจึงได้ ีิ ่ ่ ่ ี ั ้ มีผให้ความสาคัญของการอ่านไว้ดงนี้ ู้ ั สุนนทา มันเศรษฐวิทย์ (2545: 1) กล่าวว่า การอ่าน เป็ นวิธการทีสาคัญวิธหนึ่งที่ ั ่ ี ่ ี มนุษย์ใช้ศกษาหาความรูให้แก่ตนเองตลอดมา การอ่านเป็นเครืองมือสาคัญทีใช้ใ นการเสาะแสวง ึ ้ ่ ่ หาความรู้ การรูและใช้วธอ่านทีถูกต้องจึงจาเป็ นสาหรับผูอ่านทุกคน การรูจกฝึกฝน อ่านอย่าง ้ ิี ่ ้ ้ั สม่าเสมอ จะช่วยให้เกิดความชานาญและมีความรูกว้างขวางด้วย ้ สุพรรณี วราทร (2545: 21) ได้กล่าวว่า การอ่านเป็นวิธสาคัญในการเสริมสร้าง ี ความรูความชานาญทางวิชาชีพ ช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ เกิดการพัฒนาด้านอาชีพ เกิด ้ ู้ ความคิดและแนวทางใหม่ในการปฏิบตซงนาไปสูการปรับปรุงผลผลิตทาให้การพัฒนาด้านต่างๆ ั ิ ่ึ ้ มีประสิทธิภาพยิงขึน ่ ้ มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 19) ได้ว่า การอ่านช่วยให้คนเราได้คาตอบจาก ั ั ั ั ปญหาทีตองการแก้ หรือปญหาทีคางคาอยูในใจไม่ว่าจะทังทางตรงและทางอ้อม จึงทาให้เป็ นผูท่ี ่ ้ ่ ้ ่ ้ ้ ั สามารถแก้ปญหาต่างๆ รอบด้านได้ดวยตนเอง การอ่านทีสาคัญทาให้คนมีความคิดกว้างไกลและ ้ ่ มีวสยทัศน์ เนื่องจากการอ่านเป็นการจุดประกายความคิดของผูอ่าน ทาให้เกิดพัฒนาการทาง ิ ั ้ ั สติปญญา ด้วยการนาความรูได้จากการอ่านไปบูรณาการกับความคิดของตนเองเกิดเป็ นความคิด ้ ใหม่ในการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึนไปอีก ้ สรุปได้ว่า ความสาคัญของการอ่านเป็ นสิงสาคัญในการพัฒนาและแก้ไขปญหา ่ ั ต่างๆ และต้องฝึกฝนอย่างสม่าเสมอ เพื่อช่วยให้ผอ่านสามารถคิดหาความรู้ มีความคิดกว้างไกล ู้ และมีวสยทัศน์ไกล มีความรอบรู้ ซึงนาไปสูความสาเร็จต่อไปในอนาคต ิ ั ่ ้ ความมุ่งหมายในการอ่าน การอ่านนันไม่ว่าจะเป็นการอ่านประเภทใดก็ตาม จาเป็ นอย่างยิงทีจะต้องมี ้ ่ ่ เป้าหมายหรือจุดมุงหมายในการอ่าน ซึงผูอ่านจะต้องตังไว้ เพื่อจะช่วยให้การอ่านของผูอ่านมี ่ ่ ้ ้ ้ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทีดี ซึงจุดมุงหมายการอ่านของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไปซึง ่ ่ ่ ่ มีผกล่าวถึงความมุงหมายของการอ่านไว้แตกต่างกันดังนี้ ู้ ่ เกรลเล็ท (Grellet, 1995: 4) ได้แบ่งประเภทความเข้าใจการอ่านไว้เป็น 4 ประเภท ดังนี้คอ ื 1. การอ่านแบบคร่าวๆ (Skimming) เป็นการอ่านแบบกวาดสายตาไปอย่าง รวดเร็ว เพื่อหาใจความสาคัญ 2. การอ่านแบบเฉพาะจุด (Scanning) เป็นลักษณะการอ่านเร็วอีกแบบหนึ่งใช้ใน การหาข้อมูลทีตองการ ่ ้
  • 3. 3. การอ่านอย่างกว้างๆ (Extensive Reading) ใช้อ่านกับข้อความทีค่อยข้างยาว ่ และตามความสนใจทีผอ่านจะต้องใช้ความรูรอบตัวมาช่วยประกอบการอ่าน ่ ู้ ้ 4. การอ่านอย่างเข้ม (Intensive Reading) ใช้กบการอ่านเรืองสันๆ เพื่อเป็นการ ั ่ ้ อ่านหาข้อมูลอย่างละเอียด วรรณี โสมประยูร (2539: 127-128) กล่าวว่า การอ่านเป็นทักษะทีจาเป็ นในการ ่ ดารงชีวต การอ่านแต่ละครังจะมีความมุงหมายแตกต่างกันออกไป ถ้าผูอ่านตังจุดมุงหมายในการ ิ ้ ่ ้ ้ ่ อ่านแต่ละครังไว้ จะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพสูง จากประสบการณ์ทผเขียนได้ทดลองปฏิบติ ้ ่ ี ู้ ั และทดลองสอนมาแล้ว จุดมุงหมายทีเคยตังไว้มดงนี้ ่ ่ ้ ี ั 1. การอ่านเพื่อค้นคว้าหาความรูเพิมเติม เช่น อ่านตารา อ่านบทความ ้ ่ 2. การอ่านเพื่อความบันเทิง เช่น อ่านนวนิยาย อ่านการ์ตูน อ่านวรรณคดี 3. การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น อ่านหนังสือประเภทชวนหัว 4. การอ่านเพื่อหารายละเอียดของเรือง เช่น อ่านสารคดี อ่านประวัตศาสตร์ ่ ิ 5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์จากข้อมูลทีได้ เช่น การอ่านข่าว ิ ่ 6. การอ่านเพื่อหาประเด็นว่าส่วนในเป็ นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นของจริง เช่น การ คาโฆษณาต่างๆ 7. การอ่านเพื่อจับใจความสาคัญของเรืองทีอ่าน เช่น อ่านบทความในวารสาร ่ ่ 8. การอ่านเพื่อปฏิบตตาม เช่น อ่านคาสัง่ อ่านคาแนะนา อ่านคู่มอการใช้เครือง ั ิ ื ่ ไฟฟ้า 9. การอ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน มีน้ าเสียงเหมาะกับเนื้อเรืองและ ่ เหมือนกับพูด เช่น อ่านบทละครต่างๆ สุพรรณี วราทร (2545: 36-38) กล่าวว่า การรูความมุงหมายในการอ่านเป็ น ้ ่ องค์ประกอบประการหนึ่งของทักษะการอ่านเร็ว การอ่านเพื่อได้รบประโยชน์อย่างเต็มที่ ผูอ่าน ั ้ ควรรูว่าอ่านเพื่ออะไร และต้องการอะไรจากการอ่าน การรูความมุงหมายในการอ่านนอกจากช่วย ้ ้ ่ ให้มสมาธิ ซึงจะทาให้อ่านได้เร็วและจาได้ดวยแล้ว ในเบืองต้นยังช่วยในการเลือกสรรสื่อการอ่าน ี ่ ้ ้ เพื่ออ่านด้วย ความมุงหมายในการอ่านทีสาคัญ ได้แก่ ่ ่ 1. อ่านเพื่อความรู้ คือ การอ่านทีครอบคลุมตังแต่เรืองทีมความสาคัญจาเป็ นต้อง ่ ้ ่ ่ ี รู้ เรืองทีรแล้วเกิดประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีมความสาคัญจาเป็นต้องรู้ เรืองทีรแล้วเกิด ่ ่ ู้ ่ ่ ่ ี ่ ่ ู้ ประโยชน์อย่างยิง ไปจนถึงเรืองทีอ่านเพื่อเสริมความรู้ การอ่านเพื่อความรูมหลายลักษณะ เช่น ่ ่ ่ ้ ี 1.1 อ่านเพื่อหาคาตอบในเรืองทีตองการรู้ เช่น การอ่านคู่มอ คาแนะนา กฎ ่ ่ ้ ื ระเบียนต่างๆ ตารา และหนังสืออ้างอิง เป็นต้น 1.2 การอ่านเพื่อรูข่าวสารและเป็นข้อมูล เช่น การอ่านเพื่อหนังสือพิมพ์ ้ วารสาร เอกสารโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็ นต้น
  • 4. 1.3 การอ่านเพื่อประมวลสาระ ได้แก่ การอ่านเอกสาร วารสาร และหนังสือ ต่างๆ เพื่อได้รในเรืองทีตองการรู้ ู้ ่ ่ ้ การอ่านเพื่อความรูนอกจากสนองความต้องการของผูอ่านเองแล้วยังมี ้ ้ ประโยชน์อ่นๆ อีก เนื่องจากการเป็ นผูมความรู้ และติดตามข้อมูลข่าวสารทันสมัย ทาให้เกิดมันใจ ื ้ ี ่ และสร้างความประทับใจทีดแก่ผอ่น นอกจากนี้ความรูได้ทรบอาจเป็ นประโยชน์ในการประกอบ ่ ี ู้ ื ้ ่ี ั อาชีพและชีวตประจาได้อกด้วย ิ ี 2. อ่านเพื่อศึกษา เป็นการอ่านอย่างจริงจัง เพื่อได้สาระและข้อเท็จจริงจน เกิดความเข้าใจ เช่น การอ่านตารา และหนังสือวิชาการต่างๆ 3. การอ่านเพื่อความคิด หมายถึง การอ่านเพื่อเข้าใจสาระสาคัญหรือแนวคิด ของเรืองทีอ่านเพื่อนาไปปฏิบติ หรือเป็นแนวทางสาหรับริเริมสิงต่างๆ การอ่านเพื่อให้ได้ความคิด ่ ่ ั ่ ่ ได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภท 4. อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ หมายถึง การอ่านเพื่อรูและเข้าใจเรืองทีอ่านอย่าง ิ ้ ่ ่ ลึกซึง จนสามารถแสดงความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่านในด้านต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล เช่น การ ้ ่ ่ ่ อ่านบทความ วรรณคดี ข่าว และหนังสือต่างๆ เป็นต้น 5. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านเพื่อพักผ่อนหรือเปลียนแปลงกิจกรรม ่ เพื่อให้เกิดความรืนรมย์ หรือคลายความรื่นรมย์ หรือคลายความทุกข์ การอ่านเพื่อความ ่ เพลิดเพลินได้จากการอ่านหนังสือทุกประเภททีผอ่านพอใจแต่ไม่ควรเป็ นเรืองยาก ซับซ้อน หรือ ่ ู้ ่ เป็นวิชาการทีตองใช้ความคิดมาก ่ ้ 6. อ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การอ่านไม่ได้มงหวังสิงใดุ่ ่ โดยเฉพาะ แต่เป็ นการใช้เวลาว่างทีจะต้องเสียไปให้เกิดประโยชน์ เช่น การอ่านนิตยาสาร ขณะรอ ่ คอยกิจกรรมต่างๆ สื่อการอ่านทีเหมาะสมสาหรับการอ่านเพื่อใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่ ่ บันเทิงคดีหรือสารคดีทแบ่งเนื้อหาเป็ นบทหรือตอนสันๆ เนื่องจากสามารถหยุดอ่านได้เป็นช่วงๆ ่ี ้ โดยไม่ทาให้เสียความต่อเนื่องในการอ่าน สรุปว่า จุดมุงหมายในการอ่าน คือ เป้าหมายก่อนการอ่านทีจะต้องตังใจไว้ว่า ่ ่ ้ ต้องการอ่านหนังสือเพื่ออะไร ซึงจุดมุงหมายของการอ่านจะมีแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น เพื่อหา ่ ่ ความรู้ อ่านเพื่อหารายละเอียด อ่านเพื่อรูข่าวสาระและข้อมูล อ่านเพื่อวิเคราะห์วจารณ์ อ่านเพื่อ ้ ิ ความบันเทิง การอ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึงการอ่านในแต่ละประเด็นนันขึ้นอยูกบ ่ ้ ่ ั วัตถุประสงค์และความต้องการและความสามารถของผูอ่าน ้ การอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจเป็นสิงทีสาคัญทีสุด และเป็ นหัวใจของการอ่านทุกชนิด ่ ่ ่ ดังนันหากผูเรียนไม่เข้าใจความหมายทีผเขียนถ่ายทอดเอาไว้ในบทอ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบ ้ ้ ่ ู้ ผลสาเร็จ ดังนันในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์ เพื่อให้ผเรียนได้เข้าใจ ้ ั ู้ ในการอ่านนักการศึกษาได้กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านไว้ ดังนี้
  • 5. คาเรลล์ (Carrell, 1984: 441) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือความสามารถ ในการเข้าในประโยคหรืออนุเฉท (Paragraph) โดยเฉพาะความเข้าใจรูปแบบโครงสร้าง หรือการ เรียบเรียงของผูเขียน ้ กันนิ่ง (Gunning, 1992: 188) อธิบายว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ คือ ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคาและภาษาทีผเขียนใช้ในการสื่อสาร ซึงถือได้ว่าเป็น ่ ู้ ่ วัตถุประสงค์หลักของการอ่าน สุพรรณี วราทร (2545: 31) กล่าวว่า การอ่านช้าหรือเร็วจะไม่เกิดประโยชน์เลย หากผูอ่านไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน ความไม่เข้าใจสิงทีอ่านมีสาเหตุหลายประการ สาเหตุ ้ ่ ่ ่ ่ สาคัญนอกเหนือจากการขาดความรูพนฐานในเรืองทีอ่าน ได้แก่ การขาดความตังใจหรือไม่มสมาธิ ้ ้ื ่ ่ ้ ี ในการอ่าน ซึงส่วนใหญ่เกิดจากความขัดแย้งทางอารมณ์ของผูอ่าน ทาให้สมองไม่รบสิงทีกาลัง ่ ้ ั ่ ่ อ่านจึงอ่านไม่รเรือง การพัฒนาตนเองให้สามารถอ่านโดยเข้าใจเรืองทีอ่านทาได้โดยสร้างสมาธิใน ู้ ่ ่ ่ การอ่าน รูศพท์และสานวนภาษา และมีความรูและประสบการณ์ในเรืองที่อ่าน ้ ั ้ ่ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 73) ให้ความหมายของการอ่านเพื่อความเข้าใจว่าคือ ความสามารถทีจะอนุ มานข้อสนเทศหรือความหมายอันพึงประสงค์จากสิงทีอ่านมาแล้วได้อย่างมี ่ ่ ่ ประสิทธิภาพมากทีสุดเท่าทีจะทาได้ ความเข้าใจนี้เป็ นเรืองทีมความสัมพันธ์เกียวข้องกับ ่ ่ ่ ่ ี ่ การศึกษาและประสบการณ์ต่างๆ หลายๆ ด้านของแต่ละคนถือเป็นองค์ประกอบทีสาคัญยิงของ ่ ่ การอ่าน ถ้าอ่านแล้วไม่เกิดความเข้าใจใดๆ เลยก็อาจจะกล่าวได้ว่าการอ่านทีแท้จริงยังไม่เกิดขึน ่ ้ และการอ่านในลักษณะนี้จงเป็นได้แค่เพียงเห็นตัวหนังสือปรากฏอยูบนหน้ากระดาษเท่านัน ไม่ส่ือ ึ ่ ้ ความหมายอะไรทังสิน นอกจากจะทาให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วยังไม่ได้อะไรจากการ ้ ้ อ่านนันอีกด้วย ้ สรุปได้ว่า ในการอ่านนันผูอ่านจะต้องเข้าใจข้อความในระดับต่างๆ ซึงเริมจากคา ้ ้ ่ ่ วลี ประโยค และเรืองราวทีต่อเนื่องกัน สามารถทาความเข้าใจบอกเรืองราวของเรืองทีอ่านจับ ่ ่ ่ ่ ่ ใจความสาคัญ บอกรายละเอียดของเรือง สรุปความคิดเห็นและข้อเท็จจริงเกียวกับเรืองทีอ่าน ่ ่ ่ ่ แปลความ อธิบายความหมาย จากเรืองราวทีอ่านได้ ่ ่ องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจถือว่าเป็ นเป้าหมายสาคัญ เนื่องจากจุดมุงหมายของการ ่ อ่านก็คอเพื่อให้ผอ่านเข้าใจข้อความทีผเขียนต้องการสื่อความหมาย ดังนันในการพัฒนา ื ู้ ่ ู้ ้ ความสามารถด้านการอ่านจึงมีวตถุประสงค์เพื่อให้ผเรียนเกิดความเข้าใจในการอ่าน นัก ั ู้ การศึกษาได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั แฮริส และซิเพย์ (Harris & Sipay, 1979: 319) กล่าวว่า องค์ประกอบสาคัญทีสุด ่ ของการอ่านมีดงนี้ ั ั 1. สติปญญาทัวไป (General Intelligence) ในด้านความสามารถในการคิด ่ (Ability of Thinking) การให้เหตุผล (Reason Giving) การแก้ปญหา (Problem Solving) ั
  • 6. 2. ความสามารถของผูอ่านเกียวกับคาศัพท์ ความสามารถในการแปลรหัส ้ ่ ความสามารถในการรวมความหมายเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ความสามารถทางโครงสร้างภาษา วุฒภาวะ (Maturity) พืนฐานและประสบการณ์ (Background and Experience) ความสนใจ ิ ้ (Interest) และรูปแบบการเขียน (Style) ของผูเขียนแต่ละคน ้ ลันเซอร์ และการ์ดเนอร์ (Lunzer & Gardner, 1981: 66-67) กล่าวถึง ความสามารถในการอ่านไว้ว่าความสามารถในการอ่าน จะต้องประกอบด้วยสามารถในด้าน ต่อไปนี้ 1. ความสามารถด้านภาษาและตัวหนังสือ ได้แก่ ความสามารถในการทีจะเข้าใจ่ ความหมายของคาใหม่ๆ จากบริบท ความสามารถทีจะเข้าใจโครงสร้างของประโยคและ ่ ความสามารถทีจะเข้าใจเครื่องหมายวรรคตอนและตัวพิมพ์ เป็นต้น ่ 2. ความสามารถด้านความคิด ได้แก่ ความสามารถทีจะระบุจดประสงค์ของผู้ ่ ุ แต่ง ความสามารถทีจะเข้าใจความคิดสาคัญ และความคิดย่อย ทีสนับสนุนความคิดสาคัญและ ่ ่ ความสามารถทีจะสรุปความคิดเห็นเกียวกับเรืองทีอ่าน ่ ่ ่ ่ 3. ความสามารถในการตีความหมายจากน้ าเสียงทีผเขียนแสดงออก และ ่ ู้ สามารถทีจะระบุท่วงทานองของผูเขียน ่ ้ รูบน (Rubin, 1991: 235) กล่าวว่า ความสามารถทางการอ่านนันขึนอยูกบ ิ ้ ้ ่ ั พืนฐานต่อไปนี้ ้ 1. การเข้าใจความหมายของคา เป็นทักษะพืนฐานของการอ่าน ถ้าหากนักเรียน ้ เรียนรูความหมายของคาไม่เพียงพอ นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจประโยค อนุเฉท และทาให้ไม่ ้ สามารถจะอ่านหรือพูดได้ 2. การเข้าใจความหมายของกลุ่มคา นักเรียนจะเข้าใจความหมายของประโยคได้ ก็ต่อเมือนักเรียนรูจกอ่านเป็ นกลุ่มคา การอ่านทีละคาทาให้ไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่าน ่ ้ั ่ ่ 3. การเข้าประโยค นอกจากนักเรียนจะเข้าใจความหมายเป็ นรายคาและเป็ น กลุ่มคาแล้ว นักเรียนจะต้องเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคาและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาใน ประโยคด้วย นักเรียนทีไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคา และระหว่างกลุ่มคาประโยค ่ จะไม่เข้าใจเรืองทีอ่าน ่ ่ 4. การเข้าใจอนุเฉท นักเรียนจะเข้าใจอนุเฉทได้กต่อเมื่อนักเรียนมองเห็น ็ ความสัมพันธ์ระหว่างประโยคในอนุเฉท การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยคค่อยข้างจะยาก แต่ถานักเรียนขาดความสามารถทางด้านนี้แล้วนักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทีอ่านได้ ้ ่ ่ 5. การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉท (Comprehension of Larger Unit) นักเรียนจะไม่สามารถเข้าใจเรืองทียาวขึนได้กต่อเมือนักเรียนสามารถจัดลาดับความคิดของเรืองที่ ่ ่ ้ ็ ่ ่ อ่านได้ และต้องมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอนุเฉทด้วย
  • 7. สมุทร เซ็นเชาวนิช (2545: 74) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความเข้าใจในการ อ่านทีสาคัญๆ ดังนี้ ่ 1. สามารถจดจาเรืองราวส่วนใหญ่ทอ่านมาแล้วได้ เมือถึงคราวจาเป็ นทีตองการ ่ ่ี ่ ่ ้ จะใช้ประโยชน์หรืออ้างอิงถึงก็ทาได้โดยไม่ยาก 2. สามารถจับใจความสาคัญๆ ได้ สามารถแยกแยะหรือระบุประเด็นหลักออก จากประเด็นย่อยทีไม่จาเป็นหรือไม่สาคัญมากนักได้ สามารถประเมินได้ว่าอะไรบ้างทีควรจะสนใจ ่ ่ เป็นพิเศษ หรือตัดทิงไปได้้ 3. สามารถตีความเกี่ยวกับเรืองราวหรือข้อคิดเห็นทีอ่านมาแล้วได้ว่ามีนบสาคัญ ่ ่ ั หรือลึกซึงมากน้อยเพียงใด ่ 4. สามารถสรุปลงความเห็นจากสิงทีได้อ่านมาแล้วอย่างถูกต้อง มีเหตุผลและ ่ ่ น่าเชื่อถือ 5. สามารถใช้วจารณญาณของตนพิจารณาไตร่ตรองข้อสรุป หรือการอ้างอิง ิ ต่างๆ ของผูเขียนได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ ไม่สบสน ้ ั 6. สามารถถ่ายโอนหรือประสมประสานความรูทได้จากการอ่านกับประสบการณ์ ้ ่ี อื่นๆ ได้อย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ สรุปได้ว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ มีองค์ประกอบสาคัญหลายด้านซึง ่ ประกอบด้วย ความสามารถทางภาษาของผูอ่าน กระบวนการคิดในการแก้ไขปญหาทีเกิดขึน ้ ั ่ ้ ในขณะอ่าน เข้าใจความหมายของคา เข้าใจประโยค สามารถจับใจความและตีความโดยใช้ วิจารณญาณเกียวกับเรืองราวทีอ่าน และการเชื่อมโยงความรูหรือความรูเดิมกับข้อมูลทีได้รบจาก ่ ่ ่ ้ ้ ่ ั การอ่าน สิงเหล่านี้จะช่วยให้ผอ่านเกิดความเข้าใจ และเกิดประโยชน์ตามทีผอ่านแต่ละคนได้ตง ่ ู้ ่ ู้ ั้ จุดประสงค์ในการอ่านไว้ ระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อความเข้าใจนัน มีจดประสงค์ทแตกต่างกันออกไป ดังนันจึงมีนกการ ้ ุ ่ี ้ ั ศึกษาได้แบ่งระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั ดัลแมน (Dallman, 1974: 166) ได้จาแนกระดับการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ดงนี้ ั 1. ความเข้าใจในระดับข้อเท็จจริง (Literal Level) หมายถึง ความสามารถในการ เข้าใจความหมายและเรืองทีอ่านตามตัวอักษรทีเขียนไว้โดยตรง ่ ่ ่ 2. ความเข้าใจในระดับตีความ (Interpretative Level) คือ ความเข้าใจ ความหมายของเรืองทีอ่านโดยความสามารถสรุป การตีความและการแปลความจากสิงทีอ่าน ่ ่ ่ ่ 3. ความเข้าใจในระดับการประเมินค่า (Evaluative Level) หมายถึง ความสามารถในการประเมินค่าหรือตัดสินสิงทีอ่านได้โดยอาศัยความรูและประสบการณ์ของผูอ่าน ่ ่ ้ ้ มาพิจารณาประกอบการตัดสิน
  • 8. 4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Reading) หมายถึง การค้นพบแนวคิด และข้อสรุปใหม่ ซึงไม่ใช่เพิงการอ่านเพื่อความเข้าใจเท่านัน ่ ่ ้ รูบน (Rubin, 1991: 327) จัดระดับของการอ่านเพื่อความเข้าใจไว้ 4 ระดับ ดังนี้ ิ 1. ความเข้าใจระดับความหมายตามตัวอักษร (Literal Comprehension) เป็น ระดับทีผอ่านสามารถตอบคาถามเกียวกับเนื้อหาทีอ่านได้โดยใช้ขอมูลทีปรากฏตามตัวอักษร ่ ู้ ่ ่ ้ ่ ในบทอ่าน 2. ความเข้าใจระดับตีความ (Interpret Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้อง ่ ู้ ทาความเข้าใจในสิงทีผเขียนไม่ได้กล่าวเอาไว้ตรงๆ หากแต่แฝงเอาไว้ในเนื้อความ ่ ่ ู้ 3. ความเข้าใจระดับวิจารณ์ (Critical Comprehension) เป็นระดับทีผอ่านต้องใช้ ่ ู้ ความคิดเพื่อวิเคราะห์และประเมินความถูกต้อง คุณค่า และความเป็ นจริงของสิงทีอ่าน โดยผูอ่าน ่ ่ ้ จะต้องสามารถรวบรวม ตีความ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ และสรุปความข้อมูลทีอ่านได้ ่ 4. ความเข้าใจระดับสร้างสรรค์ (Creative Comprehension) เป็นระดับทีผอ่าน ่ ู้ ั ั ต้องใช้ทกษะการคิดแก้ปญหา (Divergent Thinking) เพื่อเข้าใจความหมายทีผเขียนนาเสนอ ่ ู้ เอาไว้ในบทอ่าน และสามารถแสดงความคิดเห็นต่อสิงทีอ่านได้ ่ ่ สรุปได้ว่า ผูอ่านต้องอาศัยความเข้าใจในหลายระดับโดยจะเริมโดยเข้าใจระดับ ้ ่ ตามตัวอักษรซึงเข้าใจได้ทนที ความเข้าใจในระดับตีความซึงมีความหมายแฝงอยูในเนื้อความ ่ ั ่ ่ ความเข้าในระดับวิจารณ์ ซึงจะต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ระหว่างข้อเท็จจริงและความ ่ คิดเห็น และประเมินความถูกต้อง ผูอ่านต้องใช้ความรูความสามารถ และความคิดเข้าช่วยในการ ้ ้ วิเคราะห์ เมือเกิดความเข้าใจแล้ว ผูอ่านต้องรูจกอ่านขันตีความ จับใจความ เรียงลาดับเหตุการณ์ ่ ้ ้ั ้ รูจกเหตุผล และสรุปความได้ ้ั การประเมิ นผลการอ่านเพื่อความเข้าใจ ขันตอนสุดท้ายของการอ่านทีดและมีประสิทธิภาพนันจาเป็นอย่างยิงทีจะต้องมี ้ ่ ี ้ ่ ่ การวัดและประเมินผลเพื่อจะได้ทราบว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านได้ในระดับใด เพื่อทีจะ ่ ได้นาเอาผลจากการประเมินมาปรับปรุง และพัฒนาตนเองต่อไป ดังนัน ้ วาลีท และดิสค (Valette & Disick, 1972 อ้างจาก อัจฉรา วงศ์โสธรรม 2538: 15) ิ กล่าวถึงการประเมินผลการอ่านประกอบด้วยขันตอนต่อไปนี้ ้ 1. ขันกลไก คือ การอ่านออกเสียง ้ 2. ขันความจา คือ อ่านข้อความและเข้าใจความหมายทีได้เรียนและท่องจาไว้ ้ ่ 3. ขันถ่ายโอน คือ การนาความรูความจามาใช้ในการอ่านข้อความใหม่ๆ ให้ ้ ้ เข้าใจ 4. ขันสื่อสาร คือ อ่านโดยเสรี เพื่อจับใจความสาคัญและรายละเอียดต่างๆ ้ 5. ขันวิพากษ์วจารณ์ คือ ผูเรียนต้องสามารถตีความ เพื่อให้เข้าใจสิงทีผเขียน ้ ิ ้ ่ ่ ู้ มิได้กล่าวถึงตรงๆ ผูอ่านต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินสารได้ ้
  • 9. มณีรตน์ สุกโชติรตน์ (2548: 221-227) กล่าวว่า เพื่อให้การเรียนการสอน อ่าน ั ั เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย ครูควรประเมินความสามารถในการอ่านของ นักเรียนด้านสาคัญด้านต่างๆ ทังก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน และหลังอ่าน ซึงจะทาให้ครูทราบแนวทาง ้ ่ ั ในการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดปญหาทางการอ่านทีกว้างขึน ่ ้ วิธการดาเนินการของครูในการประเมินความสามารถของนักเรียนทีสาคัญมี ี ่ ดังนี้คอ ื 1. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบทีครูสร้างขึนเอง (Informal Reading ่ ้ Inventory: IRI) (ก่อนอ่าน) 2. การประเมินการใช้ความรูและความรูเดิม (ก่อนอ่านและระหว่างอ่าน) ้ ้ 3. การประเมินเพื่อตรวจสอบความเข้าใจในการอ่าน (หลังอ่าน) สรุปว่า การประเมินผลการอ่านเพื่อความเข้าใจนันพิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ ้ หลังจากทีสามารถเข้าใจคาศัพท์และหน้าทีชนิดของคาแล้ว จะต้องสามารถทีจะเรียงลาดับ ่ ่ ่ ข้อความ เพื่อทีจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างรายละเอียดในเรืองทีอ่าน บอกชื่อ ่ ่ ่ เรือง และสามารถทีจะวิเคราะห์วจารณ์ในเนื้อเรืองทีอ่านได้ ซึงจะต้องสอดคล้องกับแนวการจัดการ ่ ่ ิ ่ ่ ่ เรียนการสอนทีครูผสอนได้จดกิจกรรมการเรียนการสอนทางภาษาทีครูได้จดให้นกเรียนในขณะที่ ่ ู้ ั ่ ั ั เรียนในห้องเรียน ซึงในแต่ละครังนันจะต้องมีการกาหนดเป้าหมายก่อนว่าจะต้องการให้เกิดอะไร ่ ้ ้ หลังจากทีนกเรียนได้รบความรูไปแล้ว และตัดสินผลการจัดกิจกรรมว่าบรรลุเป้าประสงค์ทตองไว้ ่ ั ั ้ ่ี ้ อย่างไร ซึงการประเมินผลความเข้าใจในการอ่านนันต้องประเมินอย่างเป็ นขันเป็ นตอนและเพื่อให้ ่ ้ ้ มีประสิทธิภาพในการประเมินต้องมีการประเมินทังก่อนการอ่าน ระหว่างการอ่าน และหลังการ ้ อ่าน