More Related Content
Similar to ระบบสื่อสารข้อมูล
Similar to ระบบสื่อสารข้อมูล (20)
ระบบสื่อสารข้อมูล
- 4. ระบบการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและ
ผู้รับโดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับ
เกิดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน
) จากผู้ส่งไปยังผู้รับข้อมูล การสื่อสารทุกรูปแบบจะมีองค์ประกอบในการสื่อสาร ( Component of
Communication) ดังนี้
1.ผู้ส่งข้อมูล (Sender) คือสิ่งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังจุดที่ต้องการ
2.ผู้รับข้อมูล (Receiver) คือ สิ่งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาจากผู้ส่ง
3.ข้อมูล (Data) คือสิ่งที่ผู้ส่งต้องการส่งไปยังผู้รับ ซึ่งอาจเป็นข้อความ เสียง หรือภาพเคลื่อนไหว
4.สื่อนาข้อมูลหรือตัวกลาง (Medium) คือ สิ่งที่ทาหน้าที่เป็นตัวกลางในการนาข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ เช่น คน อากาศ
และสายเคเบิล
5.โพรโทคอล (Protocol) คือ กฎเกณฑ์ ข้อตกลง หรือวิธีการในการสื่อสารข้อมูลซึ่งผู้ส่งและผู้รับจะต้องตกลงวิธีการ
สื่อสารให้เข้าใจตรงกัน เพื่อที่จะส่งและรับข้อมูลได้ถูกต้อง
- 5. ทิศทางการสื่อสาร แบ่งการสื่อสารข้อมูลตามทิศทางการส่งข้อมูล ( Transmission Mode) ได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1.การสื่อสารข้อมูลทิศทางเดียว ( Simplex Transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีผู้ส่งข้อมูลทาหน้าที่ส่งแต่เพียงผู้
เดียว และผู้รับทาหน้าที่ รับข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียว เช่น การส่งอีเมล การใช้บริการรับฝากข้อความ ข้อดีคือ ไม่มีข้อจากัด
ทางด้านเวลา แต่ผลเสียคือผู้รับข้อมูลอาจ ไม่ได้รับข้อมูลที่ส่งไป และผู้ส่งข้อมูลจะไม่ทราบว่าผู้รับได้รับหรือไม่ ตัวอย่าง
การสื่อสารข้อมูลทิศทางเดียว เช่น การฟังวิทยุ การดูโทรทัศน์ และการฟังเสียงประกาศ
2.การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน ( Half-Duplex Transmission) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ผู้สื่อสารจะผลัดกันเป็น
ผู้รับและผู้ส่งข้อมูล โดยในขณะที่มีการสื่อสารข้อมูล ผู้รับข้อมูลจะต้องรอให้ผู้ส่งส่งข้อมูลเสร็จสิ้นก่อนจึงจะสามารถส่ง
ข้อมูลได้ การสื่อสารข้อมูลประเภทนี้ นิยมใช้ในเฉพาะกลุ่ม ได้แก่วิทยุสื่อสาร ( Radio Communication)
3.การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน ( Full-Duplex Transmission) ผู้สื่อสารสามารถส่งข้อมูลโต้ตอบกันได้ทันทีโดย
ไม่ต้องรอให้ผู้ส่งข้อมูล เสร็จก่อน ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน เช่น การคุยโทรศัพท์ การแชท
- 6. ชนิดของสัญญาณ
สัญญาณข้อมูล(Data Signal) แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.สัญญาณแอนะล็อก (Analog Signal) มีลักษณะเป็นสัญญาณต่อเนื่องในรูปแบบคลื่น สามารถแทนลักษณะของ
สัญญาณได้ด้วยรูปกราฟคลื่นไซน์ (Sine Wave)
ตัวอย่างของสัญญาณแอนะล็อก เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์และสัญญาณเสียงจากสถานีวิทยุ
2.สัญญาณดิจิทัล (Digital Signal) มีลักษณะเป็นสัญญาณไม่ต่อเนื่องในรูปแบบกราฟสี่เหลี่ยม ( Square Graph) มี
คุณภาพและแม่นยากว่า สัญญาณแอ
นะล็อก
ตัวกลาง (Media)
เป็นองค์ประกอบสาคัญของการถ่ายโอนและการสื่อสารข้อมูล ( Communication Media) มี 2ประเภทคือ แบบมีสาย
และไร้สาย ตัวอย่างตัวกลางที่มีการใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
1. สายคู่บิดเกลียว ( Twisted Pair Cable) ประกอบด้วยสายทองแดงพันเป็นเกลียวคู่โดยแต่ละเส้นจะมีพลาสติกแผ่น
บางๆหุ้มอยู่ สายคู่บิดเกลียวมีทั้งแบบที่มีชั้นโลหะห่อและแบบหุ้มไม่มีชั้นโลหะหุ้มซึ่งนิยมใช้เพราะราคาถูก รองรับความเร็ว
ได้สูงถึงกิกะบิต
2. สายตัวนาร่วมแกนหรือสายโคแอกเชียล ( Coaxial Cable) มีลักษณะคล้ายสายเคเบิลทีวีที่เชื่อมต่อระหว่างเครื่องรับ
โทรทัศน์กับเสาอากาศ มีราคาแพงกว่าสายคู่บิดเกลียว แต่ส่งข้อมูลได้ระยะทางไกล และส่งข้อมูลได้เร็วกว่า
3. สายใยแก้วนาแสง ( Optical Fiber Cable) ส่งข้อมูลได้เร็วเท่ากับความเร็วแสง ส่งข้อมูลได้ระยะไกล แต่มีราคาสูง
ติดตั้งและดูแลรักษายากกว่าสายอื่นๆ
- 7. 4. อินฟราเรด (Infrared) มีความถี่สั้น นิยมใช้สื่อสารระยะทางใกล้ๆ เช่น การใช้แสงอินฟราเรดจากรีโมตคอนโทรลไปยัง
เครื่องรับวิทยุ และโทรทัศน์
5. สัญญาณวิทยุ (Radio Wave) สามารถส่งสัญญาณได้ในระยะทางไกลๆหรือในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้สายส่งได้
6. ไมโครเวฟ ( Microwave) เป็นการสื่อสารไร้สาที่เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ในระดับกิกะเฮิรตซ์ โดยจะส่งสัญญาณเป็น
คลื่นจาก เสาไมโครเวฟต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งที่ไกลออกไปในทิศทางที่เป็นเส้นตรง
7. ดาวเทียม ( Satellite Communication) โดยพื้นโลกจะมีสถานีส่งสัญญาณ ไปยังดาวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลก
สามารถรับและส่งสัญญาณ ได้ตลอดเวลา เหมาะกับการสื่อสารระยะทางไกลมากๆเช่นการสื่อสารระหว่างประเทศ
ระบบบัส (System Bus) คือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทาหน้าที่รับ ส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างฮาร์ดแวร์ในคอมพิวเตอร์ เพื่อ
ถ่ายโอนข้อมูลและติดต่อสื่อสารระหว่างฮาร์ดแวร์ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะใช้ระบบบัสนี้เป็นหลัก
- 8. เครือข่ายคอมพิวเตอร์
คือ การนาคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในเครือข่ายแบ่งตามลักษณะของการทางาน
เป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์และเครื่องไคลเอนต์ โดยทาการเชื่อมต่อกันได้หลายรูปแบบ เช่น เครือข่ายแบบบัส เครือข่ายแบบดาว
เครือข่ายแบบวงแหวน และเครือข่ายตาข่าย ซึ่งสามารถจาแนกชนิดของเครือข่ายตามพื้นที่ที่ทางานเป็น 4ชนิด ได้แก่
เครือข่ายแบบส่วนบุคคล เครือข่ายแบบท้องถิ่น เครือข่ายแบบเชื่อมโยงภายในเมืองเดียวกัน และเครือข่ายแบบระะ
ทางไกล
- 9. องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของระบบ
องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของระบบสื่อสารโทรคมนาคม สามารถจาแนกออกเป็นส่วนประกอบได้ดังต่อไปนี้
1. ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกาเนิดข่าวสาร( source)
อาจจะเป็นสัญญาณต่างๆเช่น สัญญาณภาพ ข้อมูล และเสียงเป็นต้น ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใช้แสงไฟ ควัน
ไฟ หรือท่าทางต่างๆก็นับว่าเป็นแหล่งกาเนิดข่าวสารจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
2. ผู้รับข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร ( sink)
ซึ่งจะรับรู้จากสิ่งที่ผู้ส่งข่าวสาร หรือแหล่งกาเนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใด ที่การติดต่อสื่อสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับ
สารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะได้รับข่าวสารนั้นๆถ้าผู้รับสาร หรือจุดหมายปลายทางไม่ได้รับข่าวสาร ก็แสดง
ว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสาเร็จ กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอ ง
3. ช่องสัญญาณ(channel)หมายถึง สื่อกลางหรือตัวกลางที่ข่าวสารเดินทางผ่านอาจจะเป็นอากาศ สายนาสัญญาณ
ต่างๆหรือแม้กระทั่งของเหลว เช่น น้า น้ามัน เป็นต้น ปรียบเสมือนเป็นสะพานที่จะให้ข่าวสารข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง
หนึง
่
4. การเข้ารหัส(encoding)เป็นการช่วยให้ผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมายจึงมี
ความจาเป็นต้องแปลง ความหมายนี้ การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูปพลังงาน ที่พร้อมจะส่งไปใน
สื่อกลาง ทางผู้ส่งมีความเข้าใจต้องตรงกันระหว่าง ผู้ส่งและผู้รับ หรือมีรหัสเดียวกัน การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้
5. การถอดรหัส(decoding)หมายถึง การที่ผู้รับข่าวสารแปลงพลังงานจากสื่อกลางให้กลับไปอยู่ในรูปข่าวสารที่ส่งมาจาก
ผู้ส่งข่าวสาร โดยมีความเข้าในหรือรหัสตรงกัน
6. สัญญาณรบกวน(noise)
เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ มักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านผู้ส่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และ
ช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมุติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาด
ตาแหน่ง ที่ใช้วิเคราะห์ มักจะเป็นที่ตัวกลางหรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับ
ข่าวสาร ในทางปฎิบัติ มักจะใช้ วงจรกรอง (filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง เพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อย
ดาเนินการ เช่นการเข้ารหัสแหล่งข้อมูล เป็นต้น
- 10. ระบบการสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบพื้นฐาน 5 ประการ
1. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) เป็นต้นทางของการสื่อสาร มีหน้าที่เตรียมข้อมูลข่าวสารเพื่อจัดส่ง
2. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) เป็นปลายทางของการสื่อสาร มีหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารที่ผู้จัดส่งมาให้
3. สื่อกลาง (Medium) เป็นเส้นทางการสื่อสาร เพื่อนาข้อมูลข่าวสารจากต้นทางไปยัง
– ปลายทางสื่อกลางการ
สื่อสารนี้อาจเป็นเส้นลวดทองแดง สายเคเบิล สายใยแก้วนาแสง หรือคลื่นต่าง ๆ ที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ
คลื่นวิทยุ
4. ข่าวสาร ( Message) เป็นสัญญาณที่ส่งผ่านไปในสื่อกลาง แบ่งออกเป็น 4
รูปแบบ ดังนี้ คือ
- เสียง (Voice) อาจเป็นเสียงของคนหรือเสียงที่ถูกสร้างขึ้นจากอุปกรณ์ต่างๆ สัญญาณเสียงเป็นสัญญาณที่กระจัด
กระจายมีรูปแบบไม่แน่นอน ดังนั้นการส่งสัญญาณเสียงจึงต้อง ส่งด้วยความเร็วต่า
- ข้อมูล (Data) ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์จึงมีรูปแบบแน่นอน การส่งสัญญาณข้อมูลจึงสามารถส่งด้วย
ความเร็วสูง
- ข้อมูล (Text) ส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบของอักขระหรือเอกสารมีรูปแบบ ไม่แน่นอนการส่งสัญญาณข้อความจะส่งด้วย
ความเร็วปานกลาง
- รูปภาพ (Image) เป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของกราฟฟิกต่าง ๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพวิดีโอใช้ปริมาณเนื้อหาที่มาก การส่ง
สัญญาณรูปภาพต้องส่งด้วยความเร็วสูง
5. โพรโตคอล (Protocol) หมายถึงกฎระเบียบหรือข้อตกลงที่ใช้ใน การสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งสามารถเข้าใจ
หรือพูดคุยกันได้
- 12. ประโยชน์ของการสื่อสารข้อมูล
1. การจัดเก็บข้อมูลได้ง่าย และสื่อสารได้รวดเร็ว การจัดเก็บซึ่อยู่ในรูปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ สามารถจัดเก็บไว้ใน
แผ่นบันทึกที่มีความหนาแน่นสูงแผ่นบันทึกแผ่นหนึ่ง สามารถ บันทึกข้อมูล ได้มากกกว่า 1 ล้านตัวอักษร สาหรับการ
สื่อสารข้อมูลนั้น ถ้าข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ได้ในอัตรา120 ตัวอักษรต่อวินาทีแล้วจะส่งข้อมูล 200 หน้าได้ในเวลา 40 นาที
โดยไม่ต้องเสียเวลานั่งป้อนข้อมูลเหล่านั้นซ้าใหม่อีก
2. ความถูกต้องของข้อมูล โดยปกติวิธีส่งข้อมูลด้วยสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยระบบดิจิตอล
วิธีการส่งข้อมูลนั้นมีการตรวจสอบสภาพของข้อมูล หากข้อมูลผิดพลาดก็จะมีการรับรู้ และพยายามหาวิธีแก้ไขให้ข้อมูลที่
ได้รับมีความถูกต้อง โดยอาจให้ ทาการส่งใหม่ หรือกรณีที่ผิดพลาดไม่มากนัก ฝ่ายผู้รับอาจใช้โปรแกรมของตนแก้ไขข้อมูล
ให้ถูกต้องได้
3. ความเร็วของการทางาน โดยปกติสัญญาณทางไฟฟ้าจะเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสง ทาให้การใช้คอมพิวเตอร์ส่ง
ข้อมูลจากซีกโลกหนึ่ง ไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง หรือค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถทาได้รวดเร็ว ความรวดเร็ว
ของระบบทาให้ผู้ใช้สะดวกสบายยิ่งขึ้นเช่น บริษัทสายการบินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ว
ทาให้การจองที่นั่งของสายการบินสามารถทาได้ทันที
4. ต้นทุนประหยัด การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าหากันเป็นเครือข่าย เพื่อส่งหรือสาเนาข้อมูล ทาให้ราคาต้นทุนของการใช้
ข้อมูลประหยัดขึ้น เมื่อเทียบกับการจัดส่งแบบวิธีอื่น สามารถส่งข้อมูลให้กันและกันผ่านทางสายโทรศัพท์ได้
- 13. ชนิดของการสื่อสารข้อมูล
วิธีการสื่อสารข้อมูล (DATA TRANSMISSION)
ลักษณะของการสื่อสารข้อมูล มี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม ( serial data transmission) และการสื่อสารแบบ
ขนาน
(parallel data transmission) การสื่อสารแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
1. การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรม (serail data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิต ไปบนสัญญาณจนครบจานวนข้อมูลที่มีอยู่ สามารถนาไปใช้กับสื่อนาข้อมูลที่มีเพียง1
ช่องสัญญาณได้ สื่อนาข้อมูลที่มี 1 ช่องสัญญาณนี้จะมีราคาถูกกว่าสื่อนาข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ และเนื่องจากการ
สื่อสารแบบอนุกรมมีการส่งข้อมูล
ได้ครั้งละ 1 บิตเท่านั้น การส่งข้อมูลประเภทนี้จึงช้ากว่าการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิต
. การสื่อสารข้อมูลแบบขนาน ( parallel data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิตขนานกันไปบนสื่อนาข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ วิธีนี้จะเป็นวิธีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า
การส่งข้อมูลแบบอนุกรมจากรูป เป็นการแสดงการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ 2 ตัว ที่มีการส่งข้อมูลแบบขนาน โดยส่ง
ข้อมูลครั้งละ 8 บิตพร้อมกัน
รูปแบบการสื่อสารข้อมูล ( MODES OF DATA TRANSMISSION)
รูปแบบการสื่อสารข้อมูล แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.การส่งข้อมูลแบบไม่ประสานจังหวะ ( asynchronous transmission)
เป็นวิธีการส่งข้อมูลไปบนสื่อนาข้อมูล โดยข้อมูลที่ส่งไปนั้นไม่มีจังหวะการส่งข้อมูล แต่จะส่งเป็นชุดๆมีช่องว่าง ( gap) อยู่
ระหว่างข้อมูล แต่ละชุดเพื่อใช้แบ่งข้อมูลออกเป็นชุดๆเมื่อเริ่มต้นส่งข้อมูลแต่ละชุดจะมีสีญญาณบอกจุดเริ่มต้นของข้อมูล
ขนาด 1 บิต (start bit) และมีสัญญาณบอกจุดสิ้นสุดของข้อมูลขนาด 1 บิต (stop bit) ตัวอย่างเช่น ถ้าขนาดข้อมูลแต่
ละชุดมีขนาด 8 บิต ลักษณะของการส่งข้อมูล
จะมีลาดับ ดังนี้คือ สัญญาณบอกจุดเริ่มต้นขนาด 1 บิตข้อมูล 8 บิต และสัญญาณบอกจุดสิ้นสุด 1 บิต ตัวอย่างการส่ง
ข้อมูลแบบไม่ประสาน
- 14. จังหวะ เช่น การส่งข้อมูล ของแป้นพิมพ์ และโมเด็ม เป็นต้น
2.การส่งข้อมูลแบบประสานจังหวะ (synchronous transmission)
เป็นการส่งข้อมูลไปบนสื่อนาข้อมูลที่มีลักษณะเป็นกลุ่มของข้อมูลที่ต่อเนื่องกันอย่างเป็นจังหวะ โดยใช้สัญญาณนาฬิกา
เป็นตัวบอก
จังหวะ เหล่านั้นการส่งข้อมูลวิธีนี้จะไม่มีช่องว่าง( gap) ระหว่างข้อมูลแต่ละชุดและไม่มีสัญญาณบอกจุดเริ่มต้นและ
จุดสิ้นสุดการส่งข้อมูล
แบบประสานจังหวะนิยมใช้กับการส่งข้อมูล ของระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีการส่งข้อมูล ปริมาณมากๆ ด้วยความเร็วสูง